[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 23:09:13 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 233 234 [235] 236
4681  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / จิตวิวัฒน์ : เรียนรู้ด้วยใจอย่างไร้คอก เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 08:48:42


โดย วิจักขณ์ พานิช



หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 9 มกราคม 2553

กระบวนการเรียนรู้ใจตัวเองเป็นเรื่องแปลก แปลกที่ว่าหากเผลอเมื่อไร ใจเราก็มักจะสร้างคอกของ “ความรู้ (แล้ว)” ไว้เป็นหลักอ้างอิงให้กับตัวมันเองอยู่เสมอๆ ความรู้ที่ว่านี้อาจใช้การได้ดี และอาจขายได้อยู่พักใหญ่ แต่ไม่นานนักความรู้ก็จะกลายเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งยวดต่อกระบวนการเรียนรู้ของใจ

ธรรมชาติของใจไม่มีคอก ไม่มีขอบเขตแม้กระทั่งเรื่องของความถูกผิด นั่นคือเหตุที่ว่าทำไมใจจึง (ง่าย) งาม ใจจึง (ปกติ) ดี และใจจึงกว้างขวางยิ่งนัก จนเราสามารถไว้วางธรรมชาติของใจได้อย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้ขอเน้นย้ำว่าเราไว้วาง “ใจ” ไม่ใช่เอาใจไปวางไว้ (ในคอก)

คอกที่ว่านี้มีด้วยกันหลายรูปแบบ ความร่ำรวยมีชื่อเสียง เกียรติยศ ปริญญา สถานะ ความเด่น ความดัง และความสำเร็จ ถือเป็นคอกลักษณะหนึ่งที่เราชอบเอาใจไปวางไว้ ของรักของชอบ ความสุข ความสมหวังในชีวิต และเพื่อนฝูง ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง และอีกแบบหนึ่งที่ลึกซึ้งขึ้นไป ก็คือเรื่องของความรู้ความเข้าใจ สติปัญญา และความดี (ความงามและความจริง) ที่ยิ่งใจเดินทางไปไกลมากเท่าไร คอกเจ้ากรรมก็ดูจะมีความเจ้าเล่ห์ยิ่งขึ้น ดูดียิ่งขึ้น เชื้อชวนและชวนเชื่อยิ่งขึ้น จนเราอดไม่ได้ที่จะพักใจไปวางไว้ในคอก แต่หากเรายังรู้ใจตน นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่มืดมนอะไร

ใจของแต่ละคนผ่านการเดินทางมาแสนยาวนาน พักบ้าง ตื่นบ้างไปตามเรื่องตามราว ทว่าความสุขสูงสุดทางจิตใจ คือการที่ใจได้เรียนรู้ที่จะปลดโซ่ตรวนที่ล่ามอิสรภาพของใจไปทีละน้อย ชั่วขณะของความสุขทางจิตวิญญาณ คือการที่เราได้เข้าไปสัมผัสสายลมแห่งอิสรภาพที่ผ่านพัด และการเดินทางก็ยังมีต่อไปด้วยความโหยหาของใจที่จะเข้าถึงอิสรภาพโดยสมบูรณ์ สู่ธรรมชาติเดิมแท้ของใจที่ไร้การปรุงแต่ง ดังนั้นแม้เราจะแอบเอาใจไปพักไว้ในคอกบ้างเป็นครั้งคราว แต่เมื่อใดที่เราได้กลับมารู้ใจตัวเองแล้ว เราก็ควร “ออกนอกคอก” เสีย แล้วเดินทางต่อ

การเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ คือการบ่มเพาะความเชื่อมั่นของ “ใจนอกคอก” ดวงนี้ ด้วยความรู้จิตรู้ใจของตัวเอง เคราะห์ดีที่เราๆ เกิดมาเป็นคนที่มีร่างกาย เราจึงไม่ต้องมัวดูดาย นิ่งดูใจไปอย่างแอบๆ และแอ็บสแตรค การรู้จิตรู้ใจจึงฝึกฝนกันได้แบบคนเดินดินธรรมดา ด้วยการบ่มเพาะความรู้เนื้อรู้ตัว ที่ทำให้ใจนอกคอกดวงนี้ปกติตั้งมั่น จนรู้ทันตัวเองได้ในทุกย่างก้าว

และเมื่ออุตส่าห์ลงมาเดินดินกันแล้ว ไม่ว่าความเป็นคนมันจะดูห่วยขนาดไหน มันจะเจ็บขนาดไหน มันจะร้อนรุ่มขนาดไหน มันจะซาบซ่านขนาดไหน มันจะหลงไปไกลใครบ่นอะไรก็ไม่ได้ยิน สิ่งเร้าเข้ามากระทบ อารมณ์ผุด ความรู้สึกโผล่ หรือแม้แต่ความโหยหา ความปรารถนา ตัณหาราคะ ความโกรธ ความเกลียด อิจฉาริษยา อยากจะฆ่าใคร ก็ไหนๆ เหตุปัจจัยก็เอื้อให้สิ่งเหล่านี้ที่ยังคงเหลืออยู่ในใจ ได้ขึ้นมาให้เราเห็นกันจะๆ แล้ว เราจะมัวหนีไปไย แล้วเราจะไปเอาคอกที่ไหนมากดเก็บและกีดกันภาวะเหล่านี้เพื่อจะได้เอาใจไปเก็บใส่ไว้อีก

บางคนอาจจะกล้าๆ กลัวๆ แล้วแก้ตัวไปขุ่นๆ ว่า “ก็เข้าใจอ่ะนะ แต่เอาเป็นว่าฉันจะลองมองหาคอกดีๆ ก็แล้วกัน” คอกที่ดูดีจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเอาไว้ผูกใจที่กล้าๆ กลัวๆ เป็นภาวะของความกึ่งดิบกึ่งดีทางปัญญาที่ดูเผินๆ ออกจะน่าหลงใหลอยู่ไม่น้อย ทว่ายิ่งคอกดีมากเท่าไร ใจก็ดูจะยิ่งถูกปิดกั้นจากการรู้ใจตนมากเท่านั้น

การเรียนรู้ของใจจะเกิดขึ้นได้ ก็แต่ในคอกห่วยๆ เท่านั้น คอกที่มีขึ้นเพียงชั่วคราวบนรากฐานของความเข้าใจในความยิ่งใหญ่ของ “ใจนอกคอก” คอกที่คอยโอบอุ้มให้ใจที่กล้าๆ กลัวๆ ได้รู้จักความกล้าและความกลัวตามที่เป็น ไม่มีมาตรฐานผ่านเกณฑ์ ไม่มีกดดันบีบคั้น ไม่มีรางวัล พันธสัญญา หรือปริญญาบัตร (หรือหากจะมีก็มีไปขำๆ) เพราะจิตวิญญาณแห่งการแสวงหา คือการเข้าถึงใจตน ไม่ใช่ไปเอาใจใคร เป็นการเรียนรู้เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่การเรียนรู้เพื่อเอาใจ (หรือเอาแต่ใจ) คอกห่วยๆ จึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งห่วยเท่าไรก็ยิ่งดี เป็นคอกห่วยดีที่หลวม สด ดิบ ง่าย ไม่ซับซ้อน พร้อมที่จะถูกแหกออกเพื่อหลีกทางให้กับใจนอกคอกได้ออกไปโลดโผนยามที่ใจพร้อม หากคอกเกิดพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้วยใจอะไรขึ้นมา ก็น่าจะอ่อนน้อมถ่อมตัวเป็น “ศูนย์นอกคอก” ที่รวมความหลากหลายของใจทั้งในคอกและนอกคอก ใจในคอกที่ยอมรับถึงข้อจำกัดของใจตน จนไม่ยกตัวตนไปข่มใคร และไม่พยายามเอาใครมาใส่คอก และใจนอกคอกที่เห็นใจเหตุปัจจัยภายในคอก สื่อสาร สัมพันธ์ บนรากฐานของความจริงใจ จนเส้นแบ่งระหว่างนอกและในหายไปจนศูนย์ไม่กลายเป็นคอก

แล้วการเรียนรู้ของใจก็จะเดินทางต่อไป บนหนทางแห่งความไม่รู้ (แล้ว) ที่ยิ่งก้าวไป ใจก็ยิ่งอ่อนน้อม พร้อมที่จะเผชิญกับทุกภาวะ ทุกผู้คน ทุกเหตุการณ์ ทุกปัญหา ทุกความสับสน ทุกสุข ทุกทุกข์ ที่ผ่านเข้ามาอย่างรู้ใจตน เกิดเป็นความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อไทย เพื่อใคร หรือเพื่ออะไร ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอะไรทั้งนั้น มีก็แต่เพียงเส้นทางของ “การเรียนรู้ด้วยใจ” อย่างที่ไม่มีคอกใดจะเอาอยู่
 
http://jitwiwat.blogspot.com/2010/01/blog-post_08.html
4682  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / จิตวิวัฒน์ : อารยธรรมแห่งการอยู่ร่วม เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 08:46:42


โดย ณัฐฬส วังวิญญู



หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 16 มกราคม 2553

การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาทางปัญญาที่มองเห็นความเชื่อมโยงและการพึ่งพิงอาศัยของข่ายใยชีวิต สำหรับคนในยุคปัจจุบันที่วิถีชีวิตมีความสะดวกสบายผ่านการใช้เงินตราและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็น เรื่องที่ท้าทาย ยิ่งการที่จะตระหนักว่าสังคมมนุษย์ยังคงพึ่งพาอาศัย “ธรรมชาติ” นั้น ดูจะห่างไกลจากสำนึก ประจำวันไปเสียทุกที เป็นแต่เพียงคำลอยๆ สวยๆ ที่นิยมใช้เพื่อชื่นชม “ธรรมชาติ” ราวกับเป็นเพียง เครื่องประดับจำเป็นที่จะต้องมีไว้เพื่อความครบถ้วนทางวาทกรรมเท่านั้น ยิ่งคำๆ นี้ดำรงอยู่เพียงในความคิด หรือคำพูด อย่างขาดการสัมผัสตรงเท่าไร “ธรรมชาติ” ก็เป็นแค่เพียงมายาคติที่ถูกโหยหาและกล่าวถึง แอบอ้างอย่างผิวเผิน

การตระหนักรู้ถึงธรรมชาติของชีวิตที่เชื่อมโยงพึ่งพิง จะเกิดขึ้นเมื่อเราได้สัมผัสตรงกับธรรมชาติ ในช่วงเวลาที่ยาวนานพอ และในภาวะการรับรู้ที่ละเอียดอ่อนมากพอแล้ว คำว่า “ธรรมชาติคือครูที่ยิ่งใหญ่” จะมีความหมายสำหรับเรามากกว่าหลักปรัชญางามหรู เพราะเราสามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่มี ลักษณะเป็นองค์กรจัดการตัวเองของธรรมชาติ เราสามารถรับรู้และให้ความหมายพลังของธรรมชาติได้อย่าง หลากหลาย มีทั้งความธรรมดาเรียบง่ายและยิ่งใหญ่อลังการ มีทั้งความบรรสานกลมกลืนและความแตกต่าง อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตน

วิกฤติของสังคมที่เรากำลังเผชิญอยู่ ท้าทายความสามารถในการ “อยู่ร่วม” กันท่ามกลางความ แตกต่างหลากหลายทางความคิด คุณค่า และวิธีการอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เราจะพบ ความแตกแยก ความไม่ลงรอย ความรุนแรงทั้งแบบเปิดเผยและแบบหลบซ่อน ทั้งในองค์กรธุรกิจ องค์กรทาง วิชาการ และองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ ที่ผู้คนมีความตั้งใจหรือเจตนาที่ดีในการสร้างสรรค์สังคมให้มีสุข เกิดอะไรขึ้นกับสังคมที่ก้าวหน้า มีการศึกษา และเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีที่ชาญฉลาด

ผู้เขียนคิดว่า อารยธรรมมนุษย์ที่เดินทางมาสุดขั้วความเจริญทางวัตถุ กำลังเรียนรู้ที่จะเดินทางต่อด้วย การหวนคืนสู่การใช้เทคโนโลยีทางจิต ที่อาจดูเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ไม่มีมูลค่าหรือราคาค่างวดใดๆ แต่กลับอาจ ส่งผลให้เราสามารถ “อยู่ร่วมกัน” กับตัวเองและผู้อื่นได้อย่างกลมกลืนและอ่อนโยนยิ่งขึ้น การสัมผัสรับรู้ถึง “ธรรมชาติของชีวิต” จะทำให้เราเห็นว่า ชีวิตไม่ได้อยู่ในอำนาจควบคุมของเรา ธรรมชาติไม่ได้ถูกสร้างโดยมนุษย์ ในทางตรงกันข้าม ธรรมชาติคือแหล่งกำเนิดหรือที่มาของชีวิตทั้งมวลรวมทั้งมนุษย์ นอกจากนี้ ธรรมชาติยังเป็น “บ้าน” เป็น “ฐานทรัพยากร” ให้กับอารยธรรมแห่งการบริโภคที่มีแต่จะเสื่อมโทรม และร่อยหรอลงทุกทีๆ แม้จะมีความพยายามในการ “จัดการ” ทรัพยากรเหล่านี้อย่างยั่งยืนเพียงใด ก็ดูจะเล็กน้อยไม่ทันอัตราการล้างผลาญที่กำลังเกิดขึ้น นี่อาจจะถึงจุดที่การจัดการที่สำคัญคือการจัดการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับ “บ้าน” หลังนี้ของเรา

คุรุหรือผู้นำที่สามารถเป็นตัวอย่างแห่งการสำนึกรักและตระหนักรู้ในภาวะพึ่งพิงอาศัยของระบบชีวิตนี้ อาจไม่ได้อยู่ตามมหาวิทยาลัยหรือชุมชนวิชาการที่มีผลงานน่าเชื่อถือ แต่คือชุมชนที่ยังคงสืบทอดและดำรง วิถีชีวิตของเผ่าพันธุ์เรื่อยมาอย่างถ่อมตัว หนึ่งในนั้นคือชาวปกาเกอญอแห่งบ้านสบลาน ที่อยู่อาศัยกันเพียง ๒๐ ครัวเรือน แต่รับผิดชอบดูแลผืนป่านับหมื่นไร่ในเขตพื้นที่ของอำเภอสะเมิง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำปิง และแม่น้ำเจ้าพระยา หลายปีก่อนหญิงชาวปกาเกอญอคนหนึ่งเคยกล่าว กับผมว่า “แม้ว่าเราจะเป็นคนตัวเล็กๆ และดูแลลำห้วยเล็กๆ ที่นี่ แต่เราก็รู้ว่าเรากำลังทำหน้าที่ดูแลแม่น้ำให้กับ คนพื้นราบ คนเชียงใหม่ คนกรุงเทพฯ ไปด้วย เราคือคนตัวเล็กๆ ที่ดูแลคนกรุงเทพฯ และเราภูมิใจที่ได้ทำ อย่างนั้น”

ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ๒๕๕๒ ผมได้นำพากลุ่มผู้ฝึกกระบวนกรในโครงการจิตตปัญญาศึกษา ที่เสมสิกขาลัยร่วมกับศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เดินทางไปเรียนรู้กับชุมชนสบลาน ในหัวข้อ นิเวศภาวนา (Ecological Quest) เป็นเวลา ๗ วัน โดยผู้ร่วมเดินทางประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่หลากหลาย มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ เจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชน และนักการละคร เป็นการเรียนรู้ผ่าน การสัมผัสตรงกับเรื่องราวของการอยู่ร่วมอย่างเป็นชุมชน มิติของความศักดิ์สิทธิ์และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อย่างอ่อนน้อม ทั้งสองมิตินี้เป็นลักษณะสำคัญของ “จิตวิญญาณชนเผ่า” ที่อาจจะดูไม่ฮิบหรือล้าหลังไปใน ยุคออนไลน์ แต่ผมกลับเห็นว่าเป็นทางออกทางหนึ่งของสังคม ด้วยความเป็นตัวอย่างของความรู้ที่ได้รับ การผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวิถีชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงวาทกรรมที่หวานหูดูดีมีสำนึกทางนิเวศเท่านั้น

พวกเราใช้เวลาในการเรียนรู้ชีวิตที่ธรรมชาติและเรียบง่ายธรรมดาที่หมู่บ้าน แล้วจึงเดินทางไป ภาวนาในป่าเพื่อทำความเข้าใจกับชีวิตตัวเอง เป้าหมายชีวิต การคลี่คลายความสัมพันธ์กับผู้คนในอดีต หรืออาจค้นหาแรงบันดาลใจ ความกระจ่างชัดจากธรรมชาติ เพื่อนำกลับมาสู่การดำเนินชีวิตในเมือง อีกครั้งหนึ่ง การที่ได้มีเวลาอยู่กับธรรมชาติเพียงลำพัง ทำให้หลายคนได้เผชิญหน้ากับความกลัว ความโดดเดี่ยว อ้างว้าง ความหิว และความเบื่อหน่าย แต่เมื่อพวกเราผ่านความยากลำบากทั้งทางกาย และใจไปได้ ผลที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นความผูกพันกับชีวิตที่แน่นแฟ้นและกลมกลืนยิ่งขึ้น รอยละอองของฝุ่น และคราบไคลบนผิวหน้าก็ไม่ใช่เป็นสิ่งแปลกปลอมของชีวิตอีกต่อไป พร้อมกับใจที่กลมกลืนน้อมรับชีวิต แวดล้อมอย่างอ่อนโยนและยืดหยุ่น ราวกับได้กลับมารู้สึกอีกครั้งว่าธรรมชาติคือบ้านที่แท้จริงของเรา ดังที่บรรพบุรุษของเราอาจเคยตระหนักเช่นนั้น

ประสบการณ์นี้ช่วยย้ำเตือนให้พวกเราไม่หลงลืมธรรมชาติแห่งความเป็นปกติ และความเป็นเหตุปัจจัยที่เชื่อมโยง อีกทั้งได้สัมผัสความอ่อนโยนและความกรุณาภายในตัวเอง ไม่เพียงแต่เท่านั้น ชาวปกาเกอญอเจ้าบ้าน ทั้งคนหนุ่มและผู้เฒ่าที่เป็นดังครูของพวกเรา ก็ยังได้ระลึกรู้ถึงความสำคัญและคุณค่าของพวกเขาเองที่มีต่อโลกและสังคมอีกด้วย ผู้เฒ่าคนหนึ่ง “พะตีแดง” เคยกล่าวกับผมเมื่อหลายปีก่อนว่า “อยากให้พวกเรามากันบ่อยๆ พวกเราที่อยู่ที่นี่ จะได้ไม่หลงลืมว่าเราคือใคร และมีความหมายอย่างไร” ตอนแรกๆ ผมไม่เข้าใจนักว่าการมาของพวกเรา จะช่วยไม่ให้ชาวบ้าน หลงลืมคุณค่าของตัวเองได้อย่างไร แต่มาตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า การพึ่งพาอาศัยกัน และกันทางจิตใจนั้น ดำรงอยู่ในปฏิสัมพันธ์ บทสนทนาที่เป็นมิตร และการอยู่ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ช่วยทำให้เรารับรู้คุณค่าและความหมายของการดำรงอยู่ของตัวเองได้

ชายหนุ่มปกาเกอญอคนหนึ่งได้กล่าวถ้อยคำจากใจกับพวกเราก่อนกลับว่า “ผมดีใจที่มีคนส่วนหนึ่ง เข้าใจปกาเกอญอ ผมภูมิใจกับความเป็นปกาเกอญอ ถึงแม้จะไม่รวย ความรวยไม่ทําให้คนสบายเสมอไป อาจจะสู้น้ำใจ รอยยิ้มไม่ได้ สิ่งเหล่านี้มีค่ามากกว่าเงิน อย่างพะตี (พวกผู้เฒ่า) อาจรวยอีกแบบ รวยธรรมชาติ แต่ถ้าในเมืองอาจมองอีกแบบ คิดว่าคนดอยไม่รู้อะไร อยากฝากทุกท่านว่า ชาวบ้านมีวิถีชีวิต จิตวิญญาณแบบนี้ วันใดถ้าผมไม่ได้อยู่ที่นี้ ผมก็ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ ผมจบ (การศึกษากับ) มีด จบมุย (ฆ้อน) จบหน้าแข้ง จบจากบรรพบุรุษ ผมจะทําอย่างนี้ตลอดไป การศึกษาไม่ใช่ไม่จำเป็น จําเป็น ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีเข้ามา ซึ่งเทคโนโลยีอาจพัฒนาอะไรบางอย่งผิดอยู่ ผมยังจับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เป็นห่วง อาจกระทบทั้งบ้านเมือง ไปทั้งหมด อยากฝากว่า ชาวบ้นที่นี้จะรักษาผืนป่านี้ จะภูมิใจ แม้ว่าเขาจะว่าว่าเป็นคนดอย คนปกาเกอญอก็จะไม่น้อยใจ จะมีแรงบันดาลใจ ความรู้สึกดีๆ จะไม่ลืม จะจําไว้ตลอดชีวิต ถ้มีโอกาส ก็ชวนให้กลับมาอีก ทุกคนยินดีต้อนรับเสมอ”

http://jitwiwat.blogspot.com/2010/01/blog-post_15.html
4683  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / จิตวิวัฒน์ : อวตารของเรา เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 08:43:33


โดย ชลนภา อนุกูล


หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 30 มกราคม 2553

“โลกที่เราจากมาไม่มีสีเขียวอีกแล้ว พวกเขาฆ่าแม่ตัวเอง และกำลังทำอย่างนั้นกับที่นี่” - นี้อาจจะเป็นสาสน์ที่ทรงพลังที่สุดจากภาพยนตร์เรื่องอวตาร ตำนานใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้นบนแผ่นฟิล์มในต้นศตวรรษที่ ๒๑

เมื่อหญิงสาวต้องฆ่าเพื่อช่วยชีวิต เธอก็มิได้ยินดีในการฆ่าแม้แต่น้อย และเมื่อชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์แสดงให้เห็นถึงการฆ่าที่ปราศจากความกระหายหรือละโมบในชีวิต เธอก็ถึงกับเอ่ยปากว่า “เป็นการประหารที่ประณีตหมดจด”

แม้ในการใช้สัตว์เป็นพาหนะ การสร้างความผูกพันด้วยการผูกโยงอวัยวะของกันและกันไว้เพื่อสื่อสารเชื่อมโยงนั้นเป็นมากกว่าการทำตัวเป็นเจ้าชีวิตเหนืออีกชีวิตหนึ่ง

แม้จะรู้ว่าต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิต แต่การสื่อสารพูดคุยระหว่างต้นไม้ กระทั่งข้ามเผ่าพันธุ์ชีวิต ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดสำหรับชาวเนวี

ส่วนตัวละครมนุษย์ของเราในภาพยนตร์นั้นก็คงไม่ต่างจากพวกเราเท่าไหร่นัก ที่มองเห็นแต่ว่า ณ ดวงดาวอันไกลโพ้นที่อุตส่าห์กระเสือกกระสนเดินทางไปจนถึงนั้น มีแร่มูลค่ายิ่งกว่าทองรอให้ขุด และถ้ามีชาวบ้านสร้างบ้านนั่งทับเหมืองนั้นอยู่ ก็แค่ไล่ตะเพิดไปให้พ้นก็เป็นพอ ไหนเลยจะเห็นได้ว่า ชาวบ้านนั้นกำลังปกปักรักษานิเวศน์ชีวาลัย อันเป็นหัวใจแห่งสรรพชีวีและชีวาอาตมันของดาวแพนโดราแห่งนั้น

เราอาจเคยได้ยินเรื่องเล่าของชนเผ่าพื้นเมืองในทวีปอเมริกาอย่างอินเดียนแดง ได้ยินตำนานเล่าขานเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่ผสานสอดคล้องกับธรรมชาติ และการศิโรราบสยบยอมต่อมารดาบิดาและบรรพบุรุษอันศักดิ์สิทธิ์ – ภาพเหล่านั้นดูเหมือนจะปรากฎให้เห็นชัดเจนขึ้นกับตาด้วยเทคโนโลยีชั้นเลิศในการถ่ายทำภาพยนตร์ดังกล่าว

แต่เรื่องราวดังกล่าวในภาพยนตร์เป็นแต่เพียงผลผลิตของจินตนาการเพ้อฝันและคอมพิวเตอร์กราฟฟิกอันทรงพลังล่ะหรือ?

แนวคิดที่ว่าชีวาลัยอย่างโลก หรือดาวแพนโดรา เป็นสิ่งมีชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ดังที่เจมส์ เลิฟล็อก ได้นำเสนอทฤษฎีกายา ที่ว่าด้วยโลกมีชีวิต ตั้งแต่ช่วงปีค.ศ. ๑๙๖๐ ขณะที่ประจำอยู่ที่องค์การนาซ่า

ทฤษฎีกายาชี้เสนอว่า โลกเป็นระบบที่จัดการตัวเอง สามารถปรับตัวเพื่อให้เกิดสมดุลผ่านกลไกทางชีวภาพ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตหนึ่ง เป็นต้นว่า มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้มตัวเองทำให้น้ำบนโลกไม่ระเหยไปจนหมด สะท้อนความร้อนออกไปบางส่วนและเก็บไว้บางส่วน ทำให้มีอุณหภูมิเหมาะสมต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต ไม่เหมือนกับดวงจันทร์ ทั้งที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นระยะทางใกล้เคียงกัน

ที่น่าสนใจก็คือ ชั้นบรรยากาศของโลกเกิดขึ้นหลังจากการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิต ยิ่งทำให้ดูเหมือนว่า โลกและชีวิตบนโลกนั้นล้วนต่างพึ่งพาอาศัยเกื้อกูลกันอยู่ในที

แม้จะถูกโจมตีจากวงการวิทยาศาสตร์อย่างหนัก เพราะดูเหมือนเป็นการลากเอาวิทยาศาสตร์เข้าไปปนเปื้อนกับความเชื่อทางจิตวิญญาณ แต่อิทธิพลของแนวคิดจากทฤษฎีกายานั้นก็ส่งผลกระทบไปในวงกว้างทีเดียว ดังที่ได้เห็นจากภาพยนตร์เรื่องอวตาร หรือแม้แต่ภาพของต้นไม้พูดได้เดินได้ที่ลุกขึ้นมารื้อเขื่อนในเรื่องลอร์ดออฟเดอะริง จิตวิญญาณของแม่โลกในอนิเมชันเรื่องไฟนอลแฟนตาซีของฮอลลีวู้ด และพบได้ทั่วไปจากอนิเมชันจากญี่ปุ่นอย่างเรื่อง อรชุน (Arjuna) หรือ อีวานเกเลียน (Evangelion) เป็นต้น

ส่วนแนวคิดที่ว่าสัตว์และต้นไม้เป็นสิ่งชีวิตที่มีสติปัญญาและสามารถสื่อสารกันได้ก็เริ่มมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมารองรับกันมากขึ้น ดังเช่นงานของ ศ. อันโธนี เทรวาวัส แห่งมหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก ซึ่งยืนยันว่า พืชมีเจตจำนง ตัดสินใจได้ คำนวณได้ จำได้ ดังที่สามารถยื่นกิ่งก้านสาขาไปในตำแหน่งที่จะได้รับแสงมากที่สุด รู้ถึงวิธีการคำนวณหาจุดสมดุลของแรงโน้มถ่วงและจุดศูนย์ถ่วง พืชบางชนิด เช่น ยาสูบ เมื่อถูกแมลงกัดเจาะก็จะส่งสารเคมีบางอย่างออกมา ทำให้ลำต้นหนาขึ้น และสามารถส่งข่าวไปยังต้นที่อยู่ใกล้เคียงกันได้ด้วย

ทฤษฎีว่าด้วยความ “ล่มสลาย” ของ จาเร็ด ไดมอนด์ นั้นยืนยันอย่างชัดเจนว่า การทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยมือมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการล่มสลายของอารยธรรมหรือสังคมหนึ่ง เขายังมีข้อสังเกตอันแหลมคมต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาว่า ในหลายพื้นที่ แทบไม่มีความขัดแย้งระหว่างเผ่าฮูตูกับเผ่าทุตซีเลย แต่กลับมีการสวมรอยฆาตกรรม และแรงผลักดันหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องของการแย่งชิงทรัพยากรที่ดิน เนื่องจากประชากรจำนวนมากไม่สามารถเลี้ยงชีพปลูกผักเลี้ยงสัตว์ได้ด้วยผืนดินที่ครอบครองกันอยู่เพียงน้อยนิด

และถ้าเราจัดอันดับประเทศยากจนสิบอันดับแรกของโลก กับประเทศที่มีการทำลายสิ่งแวดล้อมสิบอันดับแรกของโลก ดูเหมือนว่ารายชื่อประเทศจะไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่นัก

และถ้าตระหนักว่า โลกใบนี้มีอายุยืนยาวมากกว่าเซลล์แรกราว ๑ พันล้านปี และอยู่รอดจากการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มาแล้วถึง ๕ ครั้ง กระแสความสนใจสิ่งแวดล้อม และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในปัจจุบัน จึงไม่ใช่อะไรเลยนอกเสียจาก “การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์บนดาวโลกอันมีชีวิตเก่าแก่นี้”

หากมองตำนานในฐานะภาพสะท้อนจิตวิญญาณภายในของปัจเจกที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับสรรพสิ่งรอบตัว ดังที่ โจเซฟ แคมป์เบลล์ คุรุผู้ยิ่งใหญ่ด้านปกรณัมได้เสนอไว้ ตำนานของมนุษย์ยุคใหม่ที่แสดงตนผ่านภาพยนตร์ร่วมสมัยเหล่านี้ ก็กำลังก่อรูปสร้างรอยปกรณัมร่วมสมัยที่กำลังก่อตัวขึ้นมาบนโลกทัศน์ของการมองเห็นสายสัมพันธ์เชื่อมโยงของความเป็นญาติระหว่างเราและสรรพชีวิตและแร่ธาตุอื่นๆ บนโลกนี้

อวตารของเราในร่างมนุษย์เห็นจะมีหน้าที่ไม่ต่างกับชาวเนวีแห่งดาวแพนโดราในแง่ที่ว่า เราต้องกลับไปหาจิตวิญญาณของแม่โลก กำซาบซึ้งถึงสายสัมพันธ์แห่งบรรพบุรุษร่วมกัน และส่งต่อจิตวิญญาณดั้งเดิมต่อให้กับคนรุ่นต่อไป
 
http://jitwiwat.blogspot.com/2010/01/blog-post_29.html
4684  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / จิตวิวัฒน์ : โรคสมองกดทับใจ เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 08:41:07


โดย ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย


หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2553


ผมนั่งจับเข่าคุยกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง สายตาเมียงมองหาเคาน์เตอร์กาแฟ นัยว่าจะช่วยทำให้การพูดคุยของเราออกรสยิ่งขึ้น... แต่เหมือนรู้ว่าผมกำลังทำอะไร เธอโพล่งออกมา

"เรากำลังควบคุมคาเฟอีนอยู่ งดกาแฟ ชา มาสองอาทิตย์แล้ว"

ยังไม่ทันที่ผมจะปริปากอะไร เธอไขข้อข้องใจให้

"ไมเกรนน่ะ…คาเฟอีนมันจะไปกระตุ้นไมเกรน แต่ก่อนไม่รู้ แต่ตั้งแต่มาฝึกโยคะ เริ่มสังเกตเห็นกายตัวเองมากขึ้น เห็นเลยว่าถ้าจิบเข้าไปมันขึ้นมาจี๊ดที่หัวเลย"

สารบางอย่างกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อร่างกาย เฉกเช่นเดียวกับอารมณ์ที่มากระทบทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อจิตใจ แต่จิตใจกับร่างกายสัมพันธ์กันอยู่อย่างลึกซึ้ง ร่างกายจึงถูกเหนี่ยวนำให้เปลี่ยนแปลง อาการทางกายเช่นปวดหัว ปวดท้อง โรคเรื้อรังทั้งหลายที่หมอหาสาเหตุไม่ได้ บางทีอาจจะเป็นโรค “สมองกดทับใจ” คืออารมณ์เหนี่ยวนำให้เกิดอาการทางใจ และใจเหนี่ยวนำให้เกิดความคิดแตกซ่านจนสะท้อนย้อนลงมาจิตใจให้ปั่นป่วนสับสน ส่งผลระยะยาวต่อร่างกาย

เมื่อรู้อย่างนี้เราก็น่าจะหลีกไปเสียจากอารมณ์ที่จรมากระทบ ฟังดูง่ายและเป็นน่าจะเป็นทางแห่งความสุข เพราะคนเราล้วนรักสุขเกลียดทุกข์กันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะหลายคนมีชีวิตอยู่โดยขาดดราม่าไม่ได้ หากชีวิตมันราบเรียบก็ต้องหาเรื่องให้โลดโผนเสียบ้าง อะไรที่มันจะดูราบรื่นก็ไปป่วนให้มันยุ่งเหยิงเสียบ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้วงซุบซิบนินทาจึงไม่ว่างเว้นเรื่องราว ผมว่าหากอยากทราบว่าจิตร่วมของคนไทยวิวัฒน์ไปเท่าใดแล้ว ก็ให้เอาจำนวนผู้คนที่ยังหาความรื่นรมย์จากวงกอสซิบสนทนาไปลบออกจากจำนวนผู้ที่เริ่มหันมาสนใจเรื่องจิตตปัญญา เชื่อว่าคงอีกนานกว่าตัวเลขนี้จะเป็นบวก!!

ทำไมเราขาดดราม่าไม่ได้ เอ็กฮาร์ท โทลลี พูดถึง “เหง้ารันทด” (Pain-body) เป็นปมที่สั่งสมอารมณ์ลบของเราตั้งแต่ในอดีต มันรอวันจะปะทุเมื่อได้รับการกระตุ้นจากแหล่งใดก็ตาม เขายกตัวอย่างเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมคนหนึ่งซึ่งตามปกติเป็นคนใจเย็นและเป็นคนสบาย ๆ เปลี่ยนไปเป็นคนโกรธเกรี้ยวอย่างหยุดไม่อยู่เมื่อนายหน้าขายหุ้นโทรมาแจ้งข่าวร้าย โทลลีบอกว่าในครอบครัวที่ “เงิน” สร้างปัญหาและการทะเลาะเบาะแว้งในบ้านตลอดเวลา อารมณ์ลบเกี่ยวกับเงินจะถูกสั่งสมเข้ามาอยู่ในตัวเราและรอวันที่จะถูก “กระตุ้น” ให้ระเบิดออกมาตามแต่วาระโอกาสที่สุกงอม

เขายังพูดถึงเด็กผู้ชายที่ถูกแม่ทอดทิ้งตั้งแต่เล็กหรือถูกแม่เลี้ยงดูอย่างทิ้งขว้าง เขาจะสั่งสมความระทมทุกข์อย่างมหาศาล เพราะต้องการที่จะได้รับความรักอย่างมากแต่กลับถูกปฏิเสธ ความโกรธเกลียดจึงปูดโปนออกมานัวเนียกับความต้องการได้รับความรัก เมื่อเด็กคนนี้โตขึ้น เขาจะถือว่าผู้หญิงทุกคนคือสมรภูมิรบที่ต้องโรมรันเอาชนะ เขาจะชำนาญการเกี้ยวพาราสีมีเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงข้าม เขาไม่รู้ว่า“เหง้ารันทด” กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มันโหยหา และเมื่อได้ตามปรารถนาแล้วก็หมดความสนใจและเปลี่ยนเป้าหมายต่อไป หรือมิฉะนั้นก็จะตีโพยตีพายอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อไม่จัดการกับเหง้าที่ฝังลึกและเงาที่แฝงเร้น เขาจึงรักใครไม่เป็นเอาเสียเลย

“เหง้ารันทด” ไม่ได้เป็นเพียงปมที่แฝงอยู่ในจิตอย่างไร้พิษสง โทลลีบอกว่ามันยังอาจจะส่งพลังงานออกไปยังคนรอบข้างให้สามารถสัมผัสได้ด้วย ผมเชื่อว่าทุกคนคงเคยเจอว่าบางคนเพียงเดินเข้ามาในประตูก็ทำให้บรรยากาศทั้งห้องเปลี่ยน บางคนอยู่ใกล้แล้วรู้สึกถึง “รังสีอำมหิต” แต่แท้จริงแล้วรังสีนั้นไม่ได้ออกมาจากเขาฝ่ายเดียว มันเกิดมาจากทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ คล้ายกับเมื่อเรานำกีตาร์สองตัวมาวางข้างกันแล้วดีดสายของกีตาร์ตัวหนึ่ง กีตาร์อีกตัวที่วางข้างกันซึ่งตั้งสายเอาไว้เหมือนกันจะเกิดคลื่นกำทอนส่งเสียงที่ความถี่นั้นออกมาด้วย ประเด็นอยู่ที่ต้องตั้งสายให้ตรงกัน หมายความว่าการส่งคลื่นจะไม่สมบูรณ์หากผู้รับไม่มีความสามารถในการรับ ดังนั้นครั้งหน้าเมื่อคุณรู้สึกว่าเดือดร้อนเพราะได้รับรังสีอำมหิตจากใคร ก็อย่าพึ่งไปโทษผู้ส่งเขาเสียฝ่ายเดียว ให้มองเสียใหม่ว่าตัวเราก็มี “เหง้ารันทด” เป็นภาครับสัญญานความถี่หรืออารมณ์นั้นอยู่ในตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว

เรื่องการส่งคลื่นระหว่างสิ่งมีชีวิตฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหลที่ไร้ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ โจเซฟ ชิลตัน เพียซ บอกว่าด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์เราสามารถวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากหัวใจซึ่งส่งกำลังออกไปได้ไกลในรัศมีถึง ๑๕ ฟุต ซึ่งถ้าเราไม่ลืมว่าแสงอาทิตย์ก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง สนามพลังที่ออกจากหัวใจจึงมีความไวเท่ากับแสงเลยทีเดียว ดร.ฟริซ อัลเบิร์ต พอพ (Dr.Fritz Albert Popp) นักชีวฟิสิกส์อ้างว่าในร่างกายคนเรามีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นเป็นแสนครั้งต่อวินาที มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะควบคุมปฏิกิริยาเหล่านั้นด้วยกระบวนการทางเคมี แต่โดยอาศัยอนุภาคโฟตอนเพียงตัวเดียว เราจะสามารถให้ข้อมูลที่เซลล์ต้องการเพื่อจัดการกับกระบวนการทางเคมีจำนวนมหาศาลนั้นได้ทั้งหมด อนุภาคโฟตอนที่พูดถึงก็คือ ‘แสง’ ที่ประพฤติตัวเหมือนกับอนุภาคนั่นเอง

คลื่นความเร็วแสงที่ทำหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลจากเซลล์หนึ่งไปสู่เซลล์อื่นมีลักษณะไม่ต่างอะไรกับการส่งผ่านคลื่นระหว่างสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปยังสิ่งมีชีวิตหนึ่ง เพียซชี้ให้เห็นถึงความละม้ายคล้ายคลึงของสนามพลังรูปโดนัทที่ส่งออกมาจากสิ่งมีชีวิตกับสนามแม่เหล็กโลก หากเราขยายนัยออกไปจะเห็นว่าสนามพลังที่มีอยู่ในระดับตั้งแต่ระดับเซลล์ ระดับดวงดาว ระดับแกแลกซี่ ไปจนถึงระดับจักรวาล อาจจะมีลักษณะเหมือนกับโฮโลแกรมที่ไม่ว่าจะตัดเสี้ยวส่วนใดมาพิจารณาก็จะเห็นถึงส่วนทั้งหมด เป็น “จักรวาลในหนึ่งอะตอม” หรือเป็นดั่งวาทะของโวลแตร์ที่ว่า “พระเจ้านั้นเปรียบเหมือนวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ทุกหนทุกแห่ง ส่วนเส้นรอบวงนั้นเล่าจะปรากฎ ณ ที่ใดก็หามิได้”

เพียซยังค้นพบผ่านกระบวนการฝึกสมาธิแบบฟรีซเฟรมของสถาบันฮาร์ทแมท (Institute of Heartmath) ว่าเมื่อปฏิบัติสมาธิถึงจุดหนึ่งจังหวะการเต้นของหัวใจกับคลื่นสมองจะเข้าสู่รูปคลื่นที่สอดคล้องกันเรียกว่า Entrainment เขาพบว่าการทำงานของสมองจะย้ายจากสมองส่วนหลังมาสู่สมองส่วนหน้า หรือพูดง่าย ๆ ว่าย้ายจากโหมดเอาตัวรอดไปสู่การใช้ปัญญาอันตื่นรู้ หมายความว่าคนนั้นจะไม่เป็นโรค “สมองกดทับใจ” หรือ “ใจกดทับสมอง” แต่ใจกับสมองไปด้วยกันด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว การฝึกปฏิบัติสมาธิที่ทำกันอยู่ในบ้านเราส่วนใหญ่น่าจะให้ผลเช่นเดียวกันโดยอาจไม่จำเป็นจะต้องใช้เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าให้ยุ่งยาก เพราะถ้าปฏิบัติได้ถูกทางจะสังเกตเห็นได้ด้วยตนเองว่า อารมณ์ที่ผ่านเข้ามา “กระตุ้น” เรานั้นมีอิทธิพลต่อเราน้อยลง ส่วน “เหง้ารันทด” และ “เงาในซอกหลืบ” ของเราก็ไม่ชวนเราให้เล่นละครบทโศกดราม่าเคล้าน้ำตาบ่อยจนเกินไปนัก แม้บางครั้งเมื่อเขาส่งบททดสอบมาให้เล่น เราอาจจะตอบปฏิเสธไปเสียก็ยังทำได้ ไม่เหมือนก่อนที่ต้องเล่นไปตามนั้นอย่างไม่มีทางเลือก มิหนำซ้ำยังเล่นด้วยความสะใจอีกต่างหาก
 
http://jitwiwat.blogspot.com/2010/02/blog-post.html
4685  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / จิตวิวัฒน์ : จุดดำดวงอาทิตย์เกี่ยวกับโลกไหม? เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 08:39:00


โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ


หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553

คาร์ล จุง ที่นักจิตวิทยาหลายคนเรียกว่าบิดาของจิตวิทยา พูดว่า “คนเราไม่ชอบฟังเรื่องจริง” ล่วงปีใหม่ไปแล้ว แต่ผู้เขียนยังเขียนเรื่อง ๒๐๑๒-๑๓ ที่ทางศาสนา วิทยาศาสตร์ และผู้เขียนคิดว่าอาจจะเป็นไปได้จริง แต่ผู้อ่านและคนไทยคงไม่ชอบฟัง อ่าน หรือได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เพราะเบื่อ เพราะรู้แล้ว ทั้งยังเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง คนไทยทั่วไปร้อยละ ๙๙ คงคิดว่าไม่เกิด หรือถึงเกิดขึ้นแต่คงไม่ทั้งหมด เหมือนเรื่อง Y2K เรื่อง 5-5-2000 เรื่องอุกาบาตชนโลก และเรื่องอื่นๆ ซึ่งทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม ยกเว้นเรื่องภาวะโลกร้อนในปัจจุบันซึ่งคนไทยที่ตอบโพลล์ไม่เชื่อว่ามีมนุษย์เป็นเหตุ พูดง่ายๆ ว่ามนุษย์นั้นทำอะไรก็ไม่ผิด นอกจากทำผิดกฎสังคมหรือกฎหมาย เรื่องอยุธยา กรีซ โรมัน อียิปต์ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยที่เราไม่ได้เห็นกับตา ฉะนั้นหาความสุขสนุกสนานกันดีกว่า แต่ครั้งนี้ – ในความคิดของผู้เขียน – คงไม่เป็นเช่นเดิมอีก เพราะว่าเราโลภ เราเห็นแก่ตัว และทำแต่เรื่องผิดๆ มากเกินไป

ผู้เขียนได้รับข้อมูลใหม่ๆ เรื่องการหายไปของจุดดำบนดวงอาทิตย์ การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก และความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์ลดลง ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อมีการสลับกันของขั้วแม่เหล็กดวงอาทิตย์ ที่อาจทำให้เกิดการย้ายขั้วโลกเหนือตามทฤษฎีของ ชาร์ลส์ แฮปกูด ซึ่งไอน์สไตน์สนับสนุนและเขียนคำนำให้ (Charles Hapgood, Paths of Pole, 1971) กับเมื่อเร็วๆ นี้ยังเกิดช่องเปิดของสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์กับโลก (Magnatic portal) และเหมือนกับโลกกำลังย่างเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง คือเกิดความหนาวเย็นมากกว่าและนานกว่าธรรมดา ทั้งที่ยุโรป อเมริกา และแคนาดาโดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ลุกลามมาถึง รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ

ผู้เขียนได้ข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับระบบสุริยะ ซึ่งจะโคจรมาตรงกับศูนย์กลางกาแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา ในคืนวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๐๑๒ และจะมีการเรียงตัวเป็นแถวหรือระนาบเดียวกันของดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ (มิชิโอะ กากุ ดูใน NASA, Pole Shift) ผู้เขียนรอๆ ดูอยู่แต่ไม่เห็นมีใครที่เมืองไทยจะสนใจเอามาสื่อสารกัน หรืออาจจะมี แต่ผู้เขียนไม่รู้ไม่เห็นเอง เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นักการเมืองโดยเฉพาะผู้นำรัฐบาลทั่วโลก รวมทั้งสหประชาชาติจะต้องใส่ใจอย่างยิ่ง เพราะว่า หนึ่ง ภาวะล่มสลายของโลกและการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกแบบถอนรากถอนโคนโดยการมีจิตใหม่หรือจิตวิญญาณของชาวโลก กับ สอง เรื่องการย้ายขั้วโลกที่เป็นเรื่องนอกตัว นอกประเทศ และนอกโลกชนิดที่เราไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นจะคิดว่าไม่เป็นไร “ทุกอย่างจะเหมือนเดิม” นั้น – ไม่เป็นการประมาทเกินไปหรอกหรือ? - มิชิโอะ กากุ ไม่ใช่ศาสตราจารย์ธรรมดาๆ แต่เป็นถึงนักฟิสิกส์ทฤษฎีของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยซิตี นิวยอร์ค อันมีชื่อเสียงยิ่ง กระทั่งหนังสือพิมพ์ที่มีอิทธิพลอย่างสูงมากๆ คือ นิวยอร์คไทม์ กับวอชิงตันโพสต์ ของสหรัฐอเมริกาได้เขียนชมหนังสือทั้ง ๒ เล่มของเขา ว่าเป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปีนั้นๆ – ต่างกรรมต่างวาระกัน

ผู้เขียนนั้น นานๆ ทีถึงได้ติดตามข้อมูลความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์กายภาพหรือฟิสิกส์ของดวงอาทิตย์บ้าง พบว่าในระยะหลังๆ ดวงอาทิตย์มีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยมนุษย์เรายังไม่รู้ไม่แน่ใจว่า การเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างนั้น จะมีผลต่อโลก ต่อมนุษยชาติ ต่อระบบสุริยะ หรือแม้แต่จักรวาลอย่างไรบ้าง? แต่ผู้เขียนคิดว่าไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรเสียหาย หากว่ารัฐบาลต่างๆ เช่น รัฐบาลไทยจะพูดคุยให้แน่ใจและเข้าใจถึง ความเป็นไปได้ ของการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ในครั้งนี้ โดยตั้งคณะกรรมการภัยธรรมชาติในด้านวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง ติดต่อสอบถาม มิชิโอะ กากุ (ที่ www.mkaku.org) เรื่องเฉพาะหน้าคือ การเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ในครั้งนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมกับเศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลังย่ำแย่สุดๆ อยู่ กับการค่อยๆ เปลี่ยนแปลง – บางทีและบางส่วนของจิตสำนึกที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลก เช่น จิตตปัญญาศึกษาและการทำสมาธิกรรมฐานที่มีผู้ปฏิบัติมากขึ้นมาก - บทความนี้จะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว

ความสัมพันธ์ที่กล่าวมานั้น อาจจะเกี่ยวกับภาวะล่มสลายทางด้านโลกกายภาพ (แต่โลกยังอยู่) กับวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณของมนุษยชาติ แม้จะมีคนต่อว่าผู้เขียนทำนองว่าชอบมองโลกในแง่ร้าย หายใจเป็นเรื่องความล่มสลายหายนะของมนุษยชาติไปเสียทั้งหมด เหมือนกับว่าผู้เขียนตั้งใจแต่จะให้ความฉิบหายเกิดกับมนุษย์และโลก ผู้เขียนเองยอมรับเช่นนั้น แต่ในส่วนที่น้อยนิด ผู้เขียนใคร่ขอร้องให้ผู้ที่ต่อว่านั้น คิดให้รอบคอบและถ้วนถี่ อย่าตื่นเต้นเสียขวัญเพราะเรื่องอาจไม่เกิดก็ได้

คิดในเชิงวิทยาศาสตร์ทั้งทางกาย ทางจิตเช่นจิตวิทยา กับศาสนาต่างๆ รวมทั้งลัทธิความเชื่อที่มีตั้งแต่โบราณ แม้ว่าผู้เขียนจะย้ำเขียนอย่างซ้ำๆ ซากๆ – อย่างมีทั้งเหตุผล หลักฐาน และเป็นวิทยาศาสตร์พร้อมมูลชนิดที่ใครปฏิเสธไม่ได้ – ว่าจักรวาลและโลกมีหน้าที่หลักเพียงอย่างเดียว คือวิวัฒนาการ ส่วนวิวัฒนาการไปทำไม? เพื่ออะไร? และแน่ใจได้อย่างไร? ขอตอบตามที่นักปราชญ์ทั้งหลายตอบเหมือนกันเป๊ะๆ ว่า วิวัฒนาการของโลก ของจักรวาล และของมนุษย์ไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ ดิน (โลก) มนุษย์ ฟ้า (จักรวาลหรือสวรรค์) เพื่อให้มีชีวิตและมีมนุษย์ “ผู้ประเสริฐ” สามารถมีวิวัฒนาการทั้งทางกายหรือชีววิทยากับจิต หรือรูปกับนามให้สัมฤทธิตามเป้าหมาย ทั้งหมดนั้นไม่ใช่จิตนิยม ไกลตัว ไร้สาระ ซึ่งเราคนทั่วไปโดยตัวตนเป็นผู้คิด เราส่วนใหญ่ที่มักเป็นนักวัตถุนิยมจึงคิดกันง่ายๆ ว่าเป็นเรื่องความบังเอิญ ท่านผู้อ่านช่วยกรุณาคิดให้รอบคอบด้วย เพราะไม่เพียงแต่นักปราชญ์ ศาสดา เซนต์ กับนะบีในทุกศาสนาต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันเช่นนั้น หากแต่นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกรวมทั้งผู้ได้รับรางวัลโนเบลทุกๆ คน ไม่มียกเว้น – เท่าที่ผู้เขียนรู้ – ยืนยันเช่นเดียวกันด้วย เช่น เดวิด โบห์ม เซอร์ อาเธอร์ เอดดิงตัน จอร์จ วอลด์ เจมส์ ลัฟลอค ฯลฯ แม้แต่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในทางอ้อม ทั้งนี้ว่ากันตรงๆ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทางกาย-ชีววิทยาสนับสนุนด้วย

การเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์เริ่มที่การสลับขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ซึ่งเคยเกิดมีมาก่อน ครั้งสุดท้ายเมื่อปี ๒๐๐๐-๐๑ และครั้งต่อไปจะมีในปี ๒๐๑๒-๑๓ นั้น – ย่อมทำให้สนามแม่เหล็กโลกหรือแมกนีโตสเฟียร์ (บริเวณที่มีสนามแม่เหล็กโลกแผ่กระจายไปถึง) หายไปด้วย และสองปีมานี้อยู่ๆ สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ก็ลดลงไปพร้อมกับการค่อยๆ หายไปอย่างมากของจุดดำ (sun spots) จากเรือนพันเรือนหมื่นลงมาเหลือไม่ถึงร้อยจุดในขณะนี้ หรือมีเค้าว่าจะลดลงไปกว่านั้นอีก นั่น-ทำให้อนุภาคที่เกิดในใจกลางดวงอาทิตย์ตามปกติวิสัยออกมาไม่ได้ด้วย จะมีแต่อนุภาคผีๆ เช่น นิวตริโนส์ที่ทะลวงออกมาได้ ดังที่มีรายงานไว้มากเช่นที่ แอลเอชซีแล็บ เป็นต้น และการที่สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ลดความเข้มข้นลงไปนี้ จะทำให้แมกนีโตสเฟียร์ของโลกค่อยๆ หายไปด้วย (เพราะแมกนีโตสเฟียร์เกิดจากการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสนามแม่เหล็กทั้งสอง) และโดยเฉพาะการขาดแมกนีเซียมจนทำให้จุดดำที่ดวงอาทิตย์หายไปกว่าร้อยละ ๙๐ ทำให้แมกนีโตสเฟียร์ของโลกต้องหายไปแทบสิ้นเชิง จะทำให้การป้องกันโลกด้วยสนามแม่เหล็กโลก (geomagnetism) หายไป เกิดภยันตรายจากรังสีแกมม่าของหลุมดำที่มาจากกาแล็คซีทางช้างเผือก

ไม่มีใครรู้ จริงๆ แล้วไม่มีใครเชื่อว่า ดวงอาทิตย์ของเราเคยมีช่องเปิด – ที่ปิด-เปิดโดยอัตโนมัติ ทุกๆ ๘ นาที มีขนาดใหญ่รูปทรงกระบอกแทบเท่าโลกของเรา - ทำให้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าระหว่างดวงอาทิตย์กับสนามแม่เหล็กติดต่อกันโดยตรงได้อย่างไม่มีมาก่อนนับตั้งแต่ติดตามดูดวงอาทิตย์มาหลายร้อยปี แต่ก่อนหน้านั้นเราไม่รู้ โดยเฉพาะในระหว่างการย้ายขั้วโลกเหนือ (ซึ่งเคยมีมาแล้วร่วม ๑๖ ครั้งในรอบหลายล้านปี) ครั้งสุดท้ายเมื่อ ๑๒,๐๐๐ ปีก่อนที่ขั้วโลกเหนืออยู่ที่อ่าวฮัดสัน – การย้ายของขั้วโลกเหนือ (ขั้วโลกใต้ไม่เคยย้ายที่เลยเท่าที่รู้ภายในเกือบ ๖๐๐ ล้านปี) ไม่เคยย้ายเกิน ๓๐ ดีกรีเลย (มีพูดไว้ในหนังสือของ ชาร์ลส์ แฮปกูด) การลดลงหรือหายไปหมดของสนามแม่เหล็กโลก (geomagnetic) มีแผ่นดินไหว และภูเขาไฟใกล้ระเบิดเหมือนกับสภาพโลกในปัจจุบัน จุดดำของดวงอาทิตย์หายไปหมดหรือเหลือน้อยเต็มทีเหมือนสภาพดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน ดินฟ้าอากาศและฤดูกาลมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนสภาพโลกในปัจจุบัน กับอีกอย่างหนึ่งที่มีในปัจจุบันแต่เราไม่รู้ คือเมื่อมีการย้ายขั้วโลกเหนือครั้งที่แล้วๆ ดวงอาทิตย์จะมีช่องเปิด เช่นที่เรามีในช่วงนี้หรือไม่? ส่วนอีกสองอย่างที่มีข้อมูลในปัจจุบัน แต่โลกเราไม่มีหรือยังไม่มี คือ ยุคน้ำแข็งใหญ่หรือย่อย กับการย้ายที่ของขั้วโลกเหนือ แต่ทั้งสองอย่างนั้นทางวิทยาศาสตร์เรารู้ว่า มันเกิดช้าหรือเร็วหรือเมื่อไรก็ได้

ฤดูกาลที่โลกประสบกับความหนาวเย็นจัดประดุจยุคน้ำแข็งเล็กหรือใหญ่มาเยือนเช่นในอดีตเมื่อ ๓๐๐-๕๐๐ ล้านปีที่แล้ว เรียกกันว่า มูแอนเดอมินิมัม (Muander minimum) เมื่อจุดดำของดวงอาทิตย์หายไปแทบทั้งหมด (คือเหลือไม่ถึง ๕๐ จุดจากหมื่นๆ จุดที่เคยมี) และความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ลดลงอย่างมาก สถานภาพของจุดดำและความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ลดลงอย่างมาก เหมือนสภาพปัจจุบันของดวงอาทิตย์และโลก เพียงแต่โลกยังไม่มียุคน้ำแข็งเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดทำให้ผู้เขียนเชื่อว่าอย่างน้อย โลก และมนุษยชาติ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงของสังคมวัฒนธรรมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่าลืมว่ากราฟที่ศูนย์สังเกตดวงอาทิตย์ (NSO) บอกว่าจุดดำกับความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์จะเหลือน้อยกว่าครึ่งในปี ๒๐๑๒-๑๓ และดวงอาทิตย์จะหมุนรอบตัวเองช้าลงด้วย อย่างมากโลกจะมีการย้ายที่ของขั้วโลกเหนือพ่วงยุคน้ำแข็งจริงๆ พร้อมกับมนุษย์ – สัตว์โลกจะเหลือน้อยลงเพราะสวิตซ์ของสายพานกัลฟ์สตรีมหยุดลงด้วย

นั่นคือการวิเคราะห์จุดดำของดวงอาทิตย์ในปี ๒๐๑๒
 
 
http://jitwiwat.blogspot.com/2010/02/blog-post_12.html
4686  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / 3S วิวัฒน์จิต: สู่การตื่นรู้ท่ามกลางโลกอันซับซ้อน เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 08:35:48



โดย ดร.พงษธร ตันติฤทธิศักดิ์

หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2553

การตื่นรู้ในยุคปัจจุบันที่สังคมมีความซับซ้อนมากมายนั้น จำต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องการวิวัฒน์จิตให้ใหญ่ขึ้น และด้วยเหตุที่จิตใจมีอาณาเขตกว้างขวาง กินพื้นที่หลายพรมแดน ผู้เขียนจึงขอแนะนำพรมแดนภายในจิตใจสามพรมแดนใหญ่ๆ ที่เรียกว่า “3S” ซึ่งการเรียนรู้พรมแดนทั้งสามที่มีอยู่แล้วในจิตใจเราแต่ละคน อาจช่วยวิวัฒน์จิตให้ตื่นรู้เท่าทันกับโลกอันซับซ้อนในยุคนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย

พรมแดนแรกคือ สภาวะจิต (State) หากเปรียบเทียบกับภูมิทัศน์ทางกายภาพ ก็เหมือนเป็นมหาสมุทร เป็นพรมแดนที่มีลักษณะไม่คงที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เปรียบดั่งคลื่นในมหาสมุทร บางขณะก็เงียบสงบ บางขณะก็บ้าคลั่ง ไม่มีความเป็นเส้นตรง อยู่เหนือความเข้าใจด้วยเหตุผล หรือตรรกะใดๆ แต่ปรากฎให้รับทราบได้เป็นความจริงชั่วคราว สภาวะจิตที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ สภาวะตื่น สภาวะหลับฝัน สภาวะหลับลึกไม่ฝัน สภาวะสมาธิ สภาวะเลื่อนไหล (flow) เป็นต้น สภาวะเหล่านี้มีจุดร่วมกันคือ “ความชั่วคราว” ที่สามารถรับรู้ได้ในปัจจุบันขณะ

พรมแดนที่สองคือ ระดับจิต (Stage) เปรียบดั่งผืนแผ่นดิน ที่มีทั้งที่ราบลุ่มไปจนถึงภูเขาสูงชัน ระดับจิตก็เปรียบได้กับระดับความสูงต่ำของผืนแผ่นดิน มนุษย์จะมีลักษณะการเพิ่มระดับจิตเป็นไปตามลำดับขั้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป ก้าวกระโดดไม่ได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะมี “ความถาวร” โดยสัมพัทธ์กับสภาวะจิต วงวิชาการจิตวิทยาตะวันตกค้นพบว่า มนุษย์มีโครงสร้างทางจิตที่พัฒนาซับซ้อนขึ้นนับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงตาย ข้อค้นพบเหล่านี้ปรากฎในทฤษฎีโครงสร้างจิตของเพียเจต์ (Jean Piaget) โคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg) และคีแกน (Robert Kegan) เป็นต้น หากยกตัวอย่างในระบบของคีแกน มนุษย์มี ๕ ระดับจิต ที่มีพัฒนาการตามลำดับคือ ๑. ช่วงแรกเกิดคือ “จิตตามสิ่งเร้า” (Impulsive Mind) ๒. ช่วงวัยแรกรุ่นคือ “จิตตามใจตน” (Imperial Mind) ๓. ช่วงผู้ใหญ่ตอนต้นคือ “จิตตามสังคม” (Socialized Mind) ๔. ช่วงวัยกลางคนคือ “จิตประพันธ์ตน” (Self-authoring Mind) และ ๕. ช่วงสูงวัยคือ “จิตวิวัฒน์ตน” (Self-transforming Mind) ด้วยเหตุที่จิตมีโครงสร้าง การเปลี่ยนระดับจิตขึ้นลงจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก และอาศัยระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลง

พรมแดนที่สามคือ เงา (Shadow) เปรียบดั่งพรมแดนลี้ลับที่ยังไม่เคยมีใครเข้าไปสำรวจ เป็นพรมแดนที่ไม่ได้อยู่ภายในการรับรู้ของจิตสำนึก แต่ยังคงมีอยู่ในจิตไร้สำนึก เงามักจะโผล่หรือหลุดออกมาตอนเราเผลอไม่รู้ตัว ได้แก่ การหัวเราะกลบเกลื่อนความอับอายบางอย่างในใจ การโยนความผิดไปที่คนอื่น ทั้งที่จริงเราเองก็เป็นสิ่งนั้น การพลั้งปากพูดคำที่ไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น แม้ว่าดูเผินๆ เราอาจจะเห็นว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อเราลองสืบค้นไป จะพบว่ามีอะไรทำงานอยู่ในจิตไร้สำนึกเวลาแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ หลายต่อหลายครั้งที่พฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้คนต้องจบชีวิตการแต่งงาน หันเข้าหายาเสพติด หรือไม่ก็ก่อความรุนแรงขึ้นในสังคม เบื้องหลังของเรื่องเล็กๆ ที่ถูกขยายให้กลายเป็นเรื่องใหญ่นั้น ผู้เขียนเชื่อว่ามีเงาเป็นมูลเหตุแทบทั้งสิ้น เงาเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดกันในวัฒนธรรม ครอบครัว จากรุ่นสู่รุ่น จะว่าไปแล้ว ก็คล้ายกับเวรกรรม ที่ถ่ายทอดกันจากจิตสู่จิต ในขณะเดียวกันก็มีความเฉพาะตัวส่วนบุคคลอยู่ในที ด้วยเหตุนี้บุคคลจึงมีโอกาสเลือกว่าจะส่งต่อกรรมนี้ไปยังลูกหลานรุ่นต่อไปหรือไม่

พรมแดนทั้งสามมีอยู่แล้วภายในจิตใจของทุกคน อันที่จริงความสัมพันธ์ของมันมีลักษณะ “ไร้พรมแดน” เสียด้วยซ้ำ กล่าวคือ แต่ละพรมแดนต่างมีอิทธิพลถึงกัน ถ่ายทอดข้อมูลข้ามไปมาอยู่เสมอๆ

ตัวอย่างเช่น ในเส้นทางการเติบโตทางจิต ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม ทั้งความคิด ความรู้สึก หรือศีลธรรม เรามักจะทิ้งอะไรบางอย่างไป เช่น ทิ้งความอ่อนแอ ทิ้งความขี้เล่น หรือทิ้งความสนุกสนาน เป็นต้น เคยได้ยินหรือไม่ว่า ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่เสียอะไรไป ชีวิตเราที่เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เรายอมแลกอะไรบางอย่างไป เพื่อที่ว่าเราจะได้เติบโต แต่บางอย่างที่แลกไปนั้น อาจเป็นบางส่วนเสี้ยวของตัวตนที่เราเฉือนมันออกไป และนั่นก็จะกลายเป็น “เงา” ที่คอยตามหลอกหลอนมาในภายหลัง ว่ากันว่า ช่วงครึ่งแรกของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงของการเติบโตเพื่อเผชิญกับโลก จะเป็นช่วงแห่งการสะสมเงา ในขณะที่ช่วงครึ่งหลังของชีวิต จะเป็นช่วงแห่งการกลับมาของเงา แม้ว่าเราจะต้องการหรือไม่ก็ตาม การเติบโตในช่วงครึ่งหลังของชีวิตจึงเกี่ยวข้องอย่างมากกับการรู้จักและทำงานกับเงา

บางครั้งการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ ก็อาจแลกมาด้วยการสูญเสียตัวตนบางอย่างไปเช่นกัน และเงาที่เกิดขึ้นระหว่างทางการปฏิบัติจะย้อนกลับมาสร้างความยุ่งยากให้กับเราในภายหลัง เคยได้ยินหรือไม่ว่า นักปฏิบัติบางคนเมื่อปฏิบัติไปก็พบว่า ตนเองบรรลุธรรมขั้นนี้ๆ แล้ว ทั้งที่จริงเป็นเพียงวิปัสสนูกิเลสที่มาหลอกเอา หรือในทางคริสต์ศาสนามีช่วงเปลี่ยนผ่านทางจิตวิญญาณที่เรียกว่า “ค่ำคืนอันมืดมิด” (Dark Night) ถ้าในภาษาพุทธบ้านเราก็อาจเรียกว่าเป็นช่วง “พับเสื่อกลับบ้าน” ช่วงค่ำคืนเช่นนี้เองที่เงาอาจเข้ามาครอบงำ และทำให้นักปฏิบัติ “เพี้ยน” ไปได้ เริ่มเรี่ยไรเงินทอง มีเรื่องชู้สาว หรือเรื่องอำนาจบาตรใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง เงิน เซ็กส์ และอำนาจเป็นสิ่งที่เงามักเข้าไปจับ และเมื่อผูกเข้ากับเรื่องทางจิตวิญญาณแล้ว มันช่างเป็นเวรกรรมที่เรามักพบเห็นกันอยู่เนืองๆ ในสังคมไทย

ความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะจิตกับระดับจิตก็มีประเด็นที่น่าสนใจเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อเราประสบกับสภาวะการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นภายในจิตใจ แล้วเราจำเป็นต้องสื่อสารบอกกล่าวให้กับสังคมรับรู้ถึงความหมายและความสำคัญของมัน เราจะสามารถให้ความหมายได้ตามระดับจิตที่เรากำลังเป็นอยู่เท่านั้น และหลายต่อหลายครั้งที่ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณเดียวกัน กลับถูกตีความหมายไปต่างๆ นานา จนทำให้ “ตัวประสบการณ์” ขาดเอกภาพในการตีความ และดูเหมือนขาดความน่าเชื่อถือ ผู้เขียนลองตั้งคำถามท้าทายว่า จำเป็นหรือที่การตีความต้องมี “เอกภาพ” ในขณะเดียวกัน เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ตัวประสบการณ์นั้นมีความจริงแท้และน่าเชื่อถือได้ สำหรับผู้เขียนแล้ว หากการปฏิบัติทางจิตวิญญาณดำเนินไปตามหลักที่ถูกต้องแล้ว ผลการปฏิบัติย่อมไม่แตกต่างกัน พบกับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่มีความจริงแท้เช่นเดียวกัน หากแต่การตีความเป็นอีกเรื่องที่อาศัยระดับจิตที่แตกต่างหลากหลายในการสร้างความหมายที่มากกว่าหนึ่งขึ้นไป

การตื่นรู้ในยุคนี้จึงมีความกว้างขวางและลึกซึ้งกว่าการตื่นรู้ในยุคไหนๆ การเรียนรู้และเข้าใจพรมแดนทั้งสาม และความเข้าใจถึงลักษณะ “ไร้พรมแดน” จะช่วยให้เราตื่นรู้อย่าง “ก้าวข้ามและหลอมรวม” กล่าวคือ ก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ และหลอมรวมเอาแก่นสำคัญทั้งหมดของการตื่นรู้ ที่มนุษย์แต่ละยุคสมัยได้ค้นพบกันมา เพื่อที่ว่าการตื่นรู้ในยุคนี้ จะสามารถรองรับและทานทนต่อความซับซ้อนทางสังคมที่มากขึ้นได้

ชีวิตของเรานั้นเป็นองค์รวมโดยตัวมันเอง การฝึก 3S เป็นการฝึกที่เข้าไปสัมผัสกับพรมแดนต่างๆ ทีละส่วน เพื่อให้เราได้รับข้อมูลจากแต่ละส่วน แล้วนำมาบูรณาการเข้าหากันเป็นองค์รวม โดยไม่ได้พยายามหักล้างกัน แต่อนุญาตให้ข้อมูลไหลข้ามพรมแดนกัน แลกเปลี่ยน และถักทอจนเป็นผืนเดียวกัน จนเกิด “ปิ๊งแว้บ” เป็นปัญญาบูรณาการ

ดังนั้นฐานที่รองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามพรมแดนนี้ได้ ก็คือการฝึกฝนตนเองอย่างรอบด้าน ทั้งการฝึกสภาวะ ฝึกระดับจิต และฝึกทำงานกับเงา (ฝึก 3S)

การฝึกสภาวะจิต การฝึกที่คนไทยรู้จักกันดีได้แก่ การฝึกสมถะและวิปัสสนา กล่าวอย่างย่อ สมถะคือการฝึกสภาวะสมาธิ จนจิตตั้งมั่น สงบนิ่ง และเป็นหนึ่งเดียว วิปัสสนาคือ การเห็นตามการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสภาวะต่างๆ หลวงพ่อพุธ (ฐานิโย) เคยกล่าวไว้ว่า “สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด” ท่านกล่าวตรงไปยังลักษณะการเกิดขึ้นเองของสภาวะโดยไม่ได้บังคับ หรือคิดฟุ้งเอา การฝึกทั้งสองแนวทางอาศัยสติเป็นฐาน สติที่แท้เกิดขึ้นเอง บังคับให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่อาศัยว่าจำสภาวะได้ จึงมีสติ

การฝึกระดับจิต อาศัยการสืบค้นตนเองไปจนถึงสมมติฐานใหญ่ที่ยึดถืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อหรือข้อสรุปที่เรามักมีให้ต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว สมมติฐานใหญ่เปรียบเสมือนธรรมนูญชีวิตที่เรากำหนดใช้กับตัวเอง เป็นปกติอยู่เองที่เวลาสืบค้นจนเจอธรรมนูญชีวิตแล้ว เราจะสะท้านสะเทือน เพราะหลายต่อหลายครั้งเราเองอาจจะไม่อยากเชื่อเลยว่า เราได้ยึดถือสมมติฐานนี้มาโดยตลอด และหลายต่อหลายครั้งที่สมมติฐานเหล่านี้อาจจะไม่ตรงต่อความเป็นจริงที่ปรากฎอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ภายใต้สมมติฐานใหญ่ เรามักมีปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ ด่วนสรุปตัดสินอย่างรวดเร็วต่อเรื่องที่ปรากฎตรงหน้าว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดังนั้นจุดเริ่มต้นที่เป็นไปได้ประการหนึ่ง คือการสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการด่วนสรุป การทึกทักเอา ความผิดหวัง เป็นต้น เมื่อพบกับปฏิกิริยาบางอย่างนี้ในตัวเรา ลองสืบค้นต่อไปว่า เราเชื่ออะไร เรามองโลกอย่างไร อาจเขียนออกมาเป็นประโยคหรือวลีเช่น “โลกนี้มีแต่สีขาว ไม่มีที่อยู่ให้กับสีดำ” “ไม่ควรมีใครรังเกียจฉันแม้แต่คนเดียว” “ผู้ชนะคือผู้ที่อยู่รอดเสมอ” “เกิดมาทั้งทีก็ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า” “ฉันเท่านั้นที่รู้ทุกอย่าง คนอื่นไม่มีทางรู้ได้เท่าฉัน” เป็นต้น เมื่อสามารถสะท้อนสมมติฐานใหญ่เหล่านี้ออกมาได้ จากนั้นจึงเป็นการทดสอบสมมติฐานว่าจริงเท็จประการใด ซึ่งมีวิธีทดสอบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการให้เพื่อนช่วยบอกว่าเขาสังเกตเห็นอะไรในตัวเรา การสังเกตพฤติกรรมซ้ำๆ ของตนเอง การสังเกตแบบแผนทางความคิดของตนเอง ตลอดจนการสังเกตท่าทีที่เรามีต่อผู้อื่น เป็นต้น จนสามารถทำให้สมมติฐานใหญ่นั้นกลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่เข้ามาครอบงำเราได้อีกต่อไป

การฝึกทำงานกับเงา ด้วยการสังเกตในชีวิตประจำวันว่า เราหงุดหงิดรำคาญใจ หรือหลงใหลไปกับอะไรมากเป็นพิเศษ พูดในภาษาวัยรุ่นหน่อยก็ได้ว่า เรา “จี๊ด” “ปี๊ด” หรือ “ปลื้ม” ไปกับอะไร เราพึงตระหนักว่า มันอาจเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับเงา วิธีที่ง่ายที่สุด (แต่อาจยอมรับยากที่สุด) คือ เราเกลียดอะไร สิ่งนั้นก็คือเงาของเรา สิ่งนั้นก็คือตัวตนที่เราไม่เอา ทิ้ง หรือเก็บกดมันเอาไว้ในจิตไร้สำนึก นอกจากสิ่งที่ “ปี๊ด” แล้ว เราอาจสังเกตจากการพลั้งปาก เผลอลงมือทำอะไรที่เราไม่คาดคิด เผลออ่านอะไรผิดๆ หรือเผลอได้ยินอะไรผิดๆ เป็นต้น สิ่งที่เผลอเหล่านี้เราอาจคิดว่า เป็นเรื่องเล่นๆ ตลกๆ แต่ลองพิจารณาดูให้ดี มันเกี่ยวข้องอะไรกับเงาที่เราเกลียดหรือไม่ การสังเกตเงายังมีอีกหลากหลายวิธี เช่น การสังเกตการกล่าวโทษผู้อื่นของตัวเรา การสังเกตความฝันซ้ำๆ หรือความฝันที่ทำให้เราหัวใจเต้นแรง การสังเกตท่าทีตีตลกกลบเกลื่อน เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีที่ช่วยให้เรา “พบกับเงา” ที่อยู่ในมุมมืดของจิตใจ เมื่อพบแล้วก็มีโอกาสที่จะ “คืนรักให้กับเงา” ได้ด้วยกระบวนการทำงานกับเงา (ซึ่งต้องขออภัยที่ไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด เพราะจะใช้เนื้อที่อีกมาก)

ข้อมูลที่ได้รับจากการฝึกทั้งสามพรมแดน จะทำให้มีโอกาสเข้าใจตนเอง เข้าใจคนอื่น เข้าใจโลกมากขึ้น เป็นหนทางแห่งการตื่นรู้ในยุคปัจจุบันที่ก้าวข้ามและหลอมรวมภูมิปัญญาในยุคต่างๆ ของมนุษย์ จิตที่รับข้อมูลอย่างรอบด้านนั้นเองจะเป็นผู้บูรณาการ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งในการดำรงอยู่กับโลก สามารถนำพาให้เราเผชิญกับความซับซ้อนของโลกได้อย่างเหมาะสม และสมบูรณ์ คือ สม อันแปลว่า พอดี และบูรณ อันแปลว่า เต็มรอบ ขอเพียงเราหมั่นฝึกฝนตนเองอย่างเต็มรอบพอดี อย่างน้อยก็ 3S ในช่วงชีวิตที่เรายังมีแรงฝึกกันได้ และจิตยังคงวิวัฒน์อยู่ การตื่นรู้เท่าทันโลกอันซับซ้อนก็จะบังเกิดขึ้นแก่ตัวท่านเอง
 
http://jitwiwat.blogspot.com/2010/02/3s.html
4687  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / จิตวิวัฒน์ : ช่วยกันดูแลความคิดของตัวเราเอง เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 08:33:58


โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ื 27 กุมภาพันธ์ 2553

“ความคิด” ของมนุษย์เป็นพลังงานชนิดหนึ่งครับ

นักชีววิทยาชาวอังกฤษชื่อ รูเพิร์ต เชลเดรก ได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า

“สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีสนามของพลังงานร่วมกันอยู่” ที่เขาเรียกว่า “Morphic Resonance Field”

“สนามพลังของความคิดที่ร่วมกัน” นี้ ก็เหมือนกับที่มนุษย์ใช้บรรยากาศร่วมกัน เมื่อโลกร้อนขึ้นทุกคนก็จะถูกกระทบเช่นเดียวกันหมด ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

เชลเดรกได้สังเกตพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากมาย และเขารายงานว่ามีปรากฏการณ์ต่างๆ มากมายที่สนับสนุนสมมติฐานเรื่อง “สนามพลังร่วม” ที่ว่านี้ ตัวอย่างเช่น

เมื่อหลายร้อยปีก่อน ไร่นาในอังกฤษถูกวัวควายเดินย่ำจนเสียหาย ชาวนาก็เลยขุดร่องกั้นและวางแผ่นเหล็กเป็นช่องที่ใหญ่พอให้สัตว์เท้ากีบอย่างวัวควายเดินเข้าไปได้ แต่ไม่สามารถเดินผ่านได้ เพราะเมื่อฝูงวัวควายเดินเข้าไป กีบเท้าจะหลุดติดเข้าไปในช่องเหล็กที่ว่านี้ แผ่นเหล็กที่ว่านี้เรียกว่า “แคทเทิ้ลกริด” (Cattle Grid)

ปรากฏว่าในเวลาต่อมาวัวควายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแน่นอนว่าไม่เคยไปเที่ยวหรือไปดูงานในเกาะอังกฤษ เมื่อเห็นแผ่นแคทเทิ้ลกริดวางอยู่ วัวควายเหล่านี้จะเดินหนีไปเลย แถมคนอเมริกันยังหัวใส ไม่ต้องเสียเวลาทำแคทเทิ้ลกริดจริงๆ เพียงระบายสีบนพื้นให้เหมือนภาพของแคทเทิ้ลกริดเท่านั้น บรรดาวัวควายก็จะเดินเลี่ยงไปไม่ยอมเหยียบในพื้นที่ที่ระบายสีแบบนั้นอีกด้วย

ครั้งหนึ่งเมื่อนกชนิดหนึ่งในเมืองหนึ่งของอังกฤษ เรียนรู้ที่จะเจาะปากขวดนมวัวที่คนรีดนมวัวนำมาส่งและวางไว้หน้าบ้านในตอนเช้าได้ ก็ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ระบาดไปทั่วยุโรป ทั้งๆ ที่นกชนิดนี้เป็นนกเล็กๆ ที่ไม่สามารถบินไปไหนไกลๆ ได้

ในส่วนของมนุษย์ เราพบว่ามนุษย์ในแต่ละส่วนของโลกสามารถมีความคิดที่เหมือนๆ กันได้ ทั้งๆ ที่ในสมัยนั้นไม่ได้มีการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัยเลย เช่น มนุษย์ในแต่ละซีกโลกเริ่มรู้จักการเกษตรในเวลาไล่ๆ กัน ประดิษฐ์อักษรขึ้นมาใช้ในเวลาไล่ๆ กัน

หรือแม้แต่ “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” ของ ชาร์ล ดาร์วิน ก็มีหลักฐานว่า ในปีเดียวกัน มีนักชีววิทยาชาวมาเลเซียก็พูดถึงทฤษฎีในทำนองที่คล้ายคลึงกันมาก แต่ ชาร์ล ดาร์วิน ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ค้นพบ เพียงเพราะเขารายงานเร็วกว่า แต่ประเด็นก็คือ “ทำไมมนุษย์ในแต่ละซีกโลกถึงคิดถึงเรื่องราวเดียวกันได้ในเวลาใกล้เคียงกัน?”

ถ้ามองตามสมมติฐานของ รูเพิร์ต เชลเดรก นี้ มนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งก็น่าจะมี “สนามพลังร่วม” อยู่ด้วยกันกับมนุษย์ทั้งหกพันกว่าล้านคนบนโลกใบนี้

หมายความว่า ในขณะที่เรากำลังคิดอะไรอยู่ จะถูกบันทึกเข้าไปในสนามพลังร่วมของมนุษย์ และความคิดที่วิ่งอยู่ในหัวเราส่วนหนึ่งก็มาจากสนามพลังที่ว่านี้ด้วย

หรือหมายความว่า “ความคิดใดๆ” ของท่านผู้อ่านแต่ละท่านในขณะนี้ กำลังมี “ผลกระทบ” กับ “สนามพลังร่วมของมนุษย์” และ “กลับกันในทำนองเดียวกันด้วย”

เอ็กฮาร์ท โทลล์ (Ekhart Tolle) ผู้เขียนหนังสือขายดีที่ชื่อ The Power of Now และ The New Earth บอกไว้ว่า “พวกเราทุกคนควรจะต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อความคิดที่อยู่ในหัวของเราว่า เราจะต้องไม่ยอมปล่อยให้ตัวเราทำให้โลกใบนี้ต้องปนเปื้อนไปด้วยความคิดด้านลบต่างๆ ของเราเอง”

คำสอนในพุทธศาสนา ท่านก็สอนให้เรา “คิดดีพูดดีทำดี” อยู่เสมอๆ ท่านติช นัท ฮันห์ พระชาวเวียดนามก็พูดถึงเรื่องทำนองนี้เสมอว่า เราจะต้องรับผิดชอบต่อ “สิ่งที่เราคิด” พูดและทำ

คือคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า โอเค เรื่องการพูดการกระทำที่ไม่ดีนั้นส่งผลกระทบในเชิงลบได้ แต่คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่เข้าใจว่า “การคิด” คือเพียงแค่คิดจะมีผลกระทบมากมายขนาดนั้นได้จริงๆ เชียวหรือ?

ท่านผู้อ่านอาจจะลองนึกภาพเรื่องนี้เป็นแบบเดียวกันกับที่โรงงานอุตสาหกรรมหรือรถยนต์ทำให้บรรยากาศส่วนรวมปนเปื้อนไปด้วยก๊าซพิษ ฉันใดฉันนั้นเลยครับ

“บ่อพลัง” หรือ “สนามพลังของความคิด” ที่เป็น “ของส่วนรวม” นั้น สามารถ “ส่งผลกระทบ” ถึงมนุษย์ทุกๆ คน ไม่เว้นเราๆ ท่านๆ เลยครับ

วิธีการที่ดีก็คือ เราจะต้องฝึก “การรับรู้” ของเราให้ “ฉับไว” อยู่เสมอ

เราต้อง “รู้ทันความคิด” ที่กำลังก่อเกิดก่อตัวอยู่ในหัวสมองของเรา

“ความคิดด้านลบ” จะเกิดได้ยากขึ้น ถ้าเรา “รู้ตัวรู้ทัน”

และหากว่าเรายังสามารถ “ดำรงการรู้ตัวรู้ทันให้ยาวขึ้นอีก” แม้จะมีความคิดด้านลบผลุบขึ้นมาบ้าง พลังงานของความคิดด้านลบที่มีการรู้ตัวเกาะติดอยู่นี้ จะไม่รุนแรงมากเท่าความคิดด้านลบที่พลุ่งพล่านฟุ้งซ่านแบบม้าพยศ

ผมรู้สึกเห็นด้วยกับ เอ็กฮาร์ท โทลล์ เป็นอย่างยิ่งว่า บางทีแล้วสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง “หน้าที่สำคัญพื้นฐาน” ของเขาก็คือ “การรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่” นั่นเอง

“รับผิดชอบ” เหมือนกับที่เราจะไม่สร้างควันพิษให้กับชั้นบรรยากาศ “รับผิดชอบ” เหมือนกับที่เราจะพยายามรณรงค์ประหยัดพลังงานเพื่อลดภาวะโลกร้อน เหมือนกับที่เราจะดูแลสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเราให้ดีให้สะอาด ไม่ทิ้งขยะให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อน เหมือนกับที่เราจะดูแลคนใกล้ชิดของเราหรือดูแลร่างกายของเราเองให้สะอาดอยู่เสมอ

“ความคิด” ของมนุษย์นั้นเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง “ความคิดที่ไม่ดี-ด้านลบต่างๆ” ก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังงานที่ทำให้ “สนามพลังส่วนรวม” ปนเปื้อน

ถ้าเราอยากให้โลกใบนี้ดีขึ้นจริงๆ เราต้องเริ่มด้วยการ “รับผิดชอบ” ต่อ “สิ่งที่เรากำลังคิดอยู่ในหัวของเรา” นั่นเอง

คำอธิบายด้วยสมมติฐานเรื่อง “สนามพลังร่วม” ของ รูเพิร์ต เชลเดรก ในบทความนี้คงพอจะช่วยให้เกิดเข้าใจในเชิงวิทยาศาสตร์ได้บ้างกระมังครับ
 
http://jitwiwat.blogspot.com/2010/02/blog-post_26.html
4688  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : โลกกับแผ่นดินไหว-ทำไมถึงถี่และรุนแรงจัง? เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 07:44:06
<CENTER></CENTER>


พืชพันธุ์ป่าไม้กับสัตว์โลกทั้งหลายจำนวนมาก รวมทั้งมนุษย์เรา-ที่มาทีหลังเพื่อน-ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินของโลกในวันนี้ ในตอนแรกล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าเราอยู่บนแผ่นดินแผ่นหินเปลือกโลก (crust) ที่สุดแสนจะบางมากเพียงประมาณ 10-40 กิโลเมตร ลิทโธเสฟียร์ (lithosphere) คือเปลือกโลกที่เป็นหินเป็นภูเขาจะมีความหนามากกว่านั้นเล็กน้อย คือหนาประมาณ 0-60 กิโลเมตร นั่น-เมื่อเทียบกับขนาดของโลกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงราวๆ 12,000 กิโลเมตร แถมที่สำคัญ แผ่นดินแผ่นหินดังกล่าวยังไหลเลื่อนเคลื่อนที่ตลอดเวลา เนื่องจากการที่มันลอยบนของเหลวที่ร้อนจัด โดยเคลื่อนที่ช้ามากเพียงหนึ่งนิ้วต่อปีไปทางทิศเหนือและทิศตะวันตก เพราะโลกเราหมุนรอบตัวเองไปรอบๆ ดวงอาทิตย์แบบทวนเข็มนาฬิกา จริงๆ แล้วสถิติจะบอกเราว่า ทั่วทั้งโลกจะมีแผ่นดินสั่นไหวน้อยๆ โดยสังเกตไม่รู้ไม่เห็นในทุก 30 วินาที แต่จะมีขนาดใหญ่ที่รุนแรงราวๆ 4-5 มาตรของริกเตอร์ขึ้นไปประมาณ 15-20 ครั้งต่อปี แต่แทบทั้งหมดจะมีความรุนแรงอยู่แค่นั้น แต่ในระยะหลังๆ มานี้โลกเรามีแผ่นดินไหวจริงๆ ถี่ขึ้นกว่านี้ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ในส่วนที่ใหญ่กว่าจะมีความรุนแรงมากว่าก่อนหน้านี้มากนัก เฉพาะปีนี้ปีเดียวและเพิ่งผ่านไปสองเดือนเศษๆ เท่านั้น โลกเราได้มีแผ่นดินไหวตั้งแต่ร่วม 6 มาตรของริกเตอร์ไปแล้วถึงแปดครั้ง รวมทั้งที่ไต้หวัน-ตุรกีซึ่งมีขนาดราวๆ 6-7 มาตรของริกเตอร์ มีสองครั้งที่มีขนาดใหญ่เกินกว่า 8.5 ริกเตอร์สเกล

ริกเตอร์สเกล หรือมาตรวัดของชาร์ลส์ ริกเตอร์ นั้น เป็นมาตรที่เราใช้วัดความหนักหน่วงรุนแรง (magnitude) ของแผ่นดินไหว จริงๆ แล้วมาตรของริกเตอร์สเกลนี้จะมีแค่ 9 สเกลเท่านั้น แต่แผ่นดินไหวที่ไหนที่มีขนาดหนักเกินกว่า 9 มาตรของริกเตอร์ เราจะถือว่าเกินมาตรปกติของแผ่นดินไหวของริกเตอร์ บางคนจึงคิดว่าริกเตอร์สเกลมี 10 ระดับ ผู้เขียนถึงได้คิดว่าเพื่อให้จำง่าย ทั้งสมัยก่อนไม่ค่อยพบกัน ที่รู้มาก็มีเพียงครั้งเดียวที่ชิลีเหมือนกันในปี 1960 ขนาด 9.7 ริกเตอร์ และก็ที่สุมาตราในมาตรที่ไม่น้อยกว่ากันเท่าไหร่ ซึ่งได้ก่อสึนามิที่ชายฝั่งทะเลอันดามันที่บ้านเรา และมีคนตายไปหลายหมื่นคนเมื่อปลายปี 2004 บางคนที่ว่าจึงนับให้ริกเตอร์สเกลมีทั้งหมดเป็น 10 ระดับเสียเลย อีกอย่างหนึ่งต่อนี้ไปดูจากปริมาณแผ่นดินไหวที่มีถี่ขึ้นและจะรุนแรงหนักขึ้นดังที่สถิติมันบอก แผ่นดินไหวจึงมีแต่หนักหน่วงขึ้น ฉะนั้นต่อไปนี้ระดับริกเตอร์สเกลที่มีเพียง 9 หรือ 8 ระดับด้วยซ้ำคงจะไม่พอ อนึ่ง-ดังที่ผู้เขียนได้เขียนมาแล้วว่า อาจจะมีการย้ายขั้วโลกจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (ซึ่งเคยมีมาแล้วหลายครั้งในอดีต) และอาจจะเกิดอีกเมื่อไรก็ได้หรือเร็วๆ นี้ก็ได้ ระดับของริกเตอร์สเกลนั้น แต่ละระดับจะมีความหนักหน่วงรุนแรงนับเป็น 10 เท่าของระดับที่ต่ำกว่าเสมอไป พูดง่ายๆ ให้เอา 10 ไปคูณกับระดับที่มีความหนักหน่วงรุนแรงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหนึ่งระดับ ฉะนั้นระดับ 6 อาจจะยกตึกขนาดหลายหมื่นตันได้อย่างสบายๆ แต่ขนาด 7 จะให้พลังงานถึง 10 เท่าของระดับ 6

การย้ายที่ของแผ่นดินแผ่นหินของเปลือกโลก (lithosphere) นั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลกเรา เพียงแต่เรายังไม่รู้ว่าแผ่นดินไหวและมหาสมุทรไหวมันเกิดได้อย่างไร? เรารู้แต่สิ่งที่ตามองเห็นหูได้ยินเท่านั้น มิน่าเราถึงเชื่อแต่สิ่งที่อวัยวะสัมผัสบอกเราเท่านั้น เราอยู่กับทฤษฎีกับเหตุผลที่เราใช้ความคิดคิดขึ้น ความรู้ที่เรามีทั้งหมด ครึ่งหนึ่งจึงเป็นความเชื่อที่เชื่อตามๆ กันมาและเราคิดว่ามีเหตุผล อีกครึ่งหนึ่งถึงเป็นความรู้ที่เรารู้จริงๆ เพราะเราเห็นหรือได้ยินหรือสัมผัสได้ และเป็นความจริงทางโลกเท่านั้น เพราะฉะนั้น ปฐพีวิทยา เรื่องของโลก เรื่องของดินของหินนั้น ก็เช่นเดียวกับความรู้ทั้งหลาย คือครึ่งหนึ่งเราไม่รู้ ครึ่งหนึ่งเรารู้เพราะตาเราเห็น เช่นรู้เพราะเชื่อตามที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่า 99% ของธาตุที่ประกอบเป็นแผ่นเปลือกโลกนั้นมีอยู่สิบธาตุเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าเปลือกโลกมีขึ้นมาอย่างไร ทวีปหรืออเมริกาและประเทศไทยเรามีมาอย่างไร? ทั้งหมดเป็นแค่ทฤษฎีที่ไม่มีข้อพิสูจน์ตลอดกาล อยู่ที่ใครเชื่อมากน้อยเพียงใด หรือมีเหตุผลที่เราสมควรเชื่อตามหรือไม่?

ฉะนั้น ทฤษฎีแผ่นเปลือกโลก (plate tectonic theory) ที่มีขนาดใหญ่มากๆ 6 แผ่น และมีขนาดเล็กย่อยๆ อีกสิบกว่าแผ่น (ซึ่งเกิดจากการแตก-เบียดเสียดกันที่รอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกแผ่นใหญ่ที่ว่านั้น) ในปัจจุบันนี้ด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏ แต่นักปฐพีวิทยาบางคนคาดกันว่า เป็นธรรมชาติของโลกที่แผ่นเปลือกโลกใหญ่ๆ จะต้องย้ายเร็วขึ้นเป็นวัฏจักรของมัน และแผ่นเปลือกโลกแผ่นใหญ่ที่มีหกแผ่นนั้น ขณะนี้บางแผ่น เช่น แผ่นเปลือกโลกแปซิฟิกได้มีการย้ายที่มีอัตราเร่งที่เร็วขึ้นมาก และนี่เองอาจอธิบายการเกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศชิลี ขนาด 8.7 มาตรของริกเตอร์ ที่น้อยกว่าแต่มีจุดศูนย์กลาง (focus) ที่ลึกกว่าแผ่นดินไหวเมื่อปี 1960 ที่มีความรุนแรงถึง 9.6 ริกเตอร์สเกล แต่การไหวที่ประเทศชิลีเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ถึงกับทำให้แกนโลกเอียงไปทางตะวันตกถึง 8 ซม. (ซึ่งได้เคยมีรายงานมาแล้ว (Sciencetific American, 1996 ว่าเพราะน้ำที่กักเอาไว้ที่เขื่อนฮูเวอร์ ทำให้การหมุนรอบตัวเองของโลกฉุดให้แกนโลกต้องเอียงไปทางทิศตะวันตกก่อนหน้านี้อยู่แล้วถึงสามนิ้ว เพราะฉะนั้นแกนโลกหรือขั้วโลกเหนือในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ได้ย้ายไปทางทิศตะวันตกไปแล้ว รวมกันประมาณ 15.5 ซม.) หากเกิดแผ่นดินไหวที่บริเวณทวีปอเมริกาใต้หรือบริเวณแอฟริกาใต้สุดอีก และหากแผ่นดินไหวนั้นมีจุดที่ปล่อยพลังงาน (focus) ลึกใต้ผืนดินไปเยอะๆ หรือไม่ก็แผ่นดินไหวในทวีปแอนตาร์กติกเอง ก็อาจทำให้มีการย้ายขั้วโลกได้ การย้ายขั้วโลกเหนือไปมากๆ อาจจะก่อความล่มสลายหายนะให้กับสัตว์โลก รวมทั้งมนุษยชาติด้วยอย่างรุนแรง ยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่ถล่มฮิโชิมาและนางาซากิระเบิดพร้อมๆ กันนับแสนนับล้านลูกทีเดียว

อย่าลืมว่าการหมุนรอบตัวเองของโลกและแกนโลกนั้น ให้เรานึกถึงลูกข่างที่กำลังหมุนติ้วๆ อยู่ตลอดเวลา และฐานของมันหรือปลายล่างสุดของลูกข่างที่หมุนกับพื้น หรือทวีปแอนตาร์กติกหรือแอนตาร์กติกานั้น เป็นเทือกเขาสูงเหมือนเทือกเขาแอลป์ในยุโรป แถมยังมีน้ำแข็งปกคลุมบางแห่งที่หนาถึงสี่กิโลเมตร เราพอนึกภาพออกว่าขั้วโลกใต้มันแน่นหนาและหนักเพียงไร นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่ามันหนักและไม่เปลี่ยนแปลงมากเลย มาตั้งแต่มีแผ่นดินแผ่นหินที่ก่อประกอบเป็นทวีปกอนดาวันแลนด์ ทวีปดึกดำบรรพ์ที่รวมทวีปทั้งหมดของโลกไว้-รวมทั้งทวีปแอนตาร์กติกเอง-เมื่อประมาณ 600 ล้านปีก่อน เพราะฉะนั้น ฐานของลูกข่างหรือขั้วโลกใต้จึงน่าจะไม่ย้ายตำแหน่งเลยมาตั้งแต่ต้น ตรงกันข้ามกับขั้วโลกเหนือที่เคยย้ายที่มาแล้วถึง 200 ครั้งในกว่า 600 ล้านปีก่อน หรืออย่างน้อย 16 ครั้งในระยะหลังหรือไม่กี่ล้านปีมานี้ (Charles Hapgoods: Paths of the Pole, 1970) ที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขียนคำนำให้และยกย่องแฮปกูดไว้เป็นพิเศษในหนังสือเรื่องเดียวกันที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านั้น ก่อนที่ไอน์สไตน์จะเสียชีวิตในปี 1955 แฮปกูดบอกว่าการย้ายที่ของขั้วโลกเหนือนั้นในทุกๆ ครั้งจะย้ายไม่เกิน 30 ดีกรี หรือ 2,000 ไมล์ (3,200 กิโลเมตร)

ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง มีอยู่อีกสองประเด็นที่ชาร์ลส์ แฮปกูด คิดจากการที่ตนค้นคว้ามา นั่นคือ หนึ่งการย้ายขั้วโลก (เหนือ) มักจะเกิดพร้อมๆ กับการเกิดธารน้ำแข็ง หรือทิศทางไหลของเกลซิเอชัน (glaciation) และการเกิดยุคน้ำแข็งที่เกี่ยวข้องกับการลดต่ำของสนามแม่เหล็กโลก (geomagnetics or magnetosphere) และการเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศ สอง-การย้ายขั้วโลกซึ่งความจริงก็คือการย้ายแผ่นเปลือกโลกทั้งหมดเลย ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นวันๆ แต่จะกินเวลานานหลายปีหรือบางทีนับร้อยๆ ปี แต่เมื่อการย้ายแผ่นเปลือกโลกได้เกิดขึ้นแล้ว ก็จะมีอัตราเร่งเกิดขึ้นมากโดยเราไม่มีทางรู้ตัวเลย หลักฐานที่ชาร์ลส์ แฮปกูด ใช้คือ การใช้การสลายตัวของกัมมันตภาพรังสีของคาร์บอนและไอโอเนียม (radioactive carbon and ionium) ด้วยการตรวจของทั้งสองประการ แฮปกูดบอกว่าด้วยหลักฐานดังกล่าว เขาคิดว่าขั้วโลก (เหนือ) ในตำแหน่งที่เรารู้ว่าอยู่ในตำแหน่งของมันในปัจจุบันนี้นั้น ก่อนหน้านี้เมื่อราวๆ 18,000 ปีก่อน มันได้เริ่มย้ายจากตำแหน่งที่มันเคยอยู่ (ที่กรีนแลนด์) มาอยู่ที่อ่าวฮัดสันซึ่งต่ำกว่าตำแหน่งในปัจจุบันมาก คืออยู่ระหว่างเส้นแวงที่ 60 องศาเหนือ และเส้นรุ้งที่ 87 องศาตะวันตก ซึ่งในตอนนั้นเป็นเวลาที่ธารน้ำแข็งของอเมริกาเหนือเกิดมีมากที่สุด และเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวจัดที่สุดของยุคน้ำแข็ง (ซึ่งเริ่มราวๆ 90,000 ปีก่อน และน้ำทะเลที่แข็งได้ทำให้มีทางเดินบนพื้นดินสูงถึง 400 ฟีต เชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปอเมริกาเหนือที่อะแลสกาพอดี)

ยุคน้ำแข็งไม่ว่าใหญ่หรือเล็กเป็นคนละเรื่อง หรือมีคนละเหตุปัจจัยกับภาวะโลกร้อนที่เป็นฝีมือของมนุษย์กับเทคโนโลยี และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี ในขณะที่ยุคน้ำแข็ง-ไม่ว่าจะมีการย้ายขั้วโลก (เหนือ) หรือไม่?-เป็นเรื่องของวัฏจักรธรรมชาติ และยุคน้ำแข็งนั้นนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสัมพันธ์กับจุดดำในดวงอาทิตย์ (sun spots) และการหายไปของแมกนีโตสเฟียร์ของโลก ซึ่งทั้งสองกรณีก็กำลังเกิดขึ้นในช่วงนี้พอดี แถมเรื่องของแผ่นดินไหวที่มีทั้งถี่ขึ้นและรุนแรงหนักหน่วงยิ่งขึ้น จากการย้ายแผ่นเปลือกโลกแผ่นใหญ่ที่มีหลายๆ จุดและหลายๆ แผ่นด้วย เราไม่รู้ว่าแผ่นดินไหวใหญ่จริงๆ และการย้ายแผ่นเปลือกโลกพร้อมๆ กันทั้งหมดหรือแผ่นใหญ่ๆ เพียงบางส่วน อันเป็นสาเหตุของการย้ายตำแหน่งของขั้วโลกเหนือ-ที่ชาร์ลส์ แฮบกูด บอกว่าการย้ายที่แต่ละครั้งจะมีไม่เกิน 30 ดีกรี และไม่เกิน 2,000 ไมล์ที่ได้กล่าวมา แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? เพราะธรรมชาตินั้นเราจะทำนายอย่างเป๊ะๆ ไม่ได้เลย ไม่เหมือนกับภาวะโลกร้อนที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ อย่างน้อยก็มากกว่าครึ่งหนึ่งที่บอกได้บ้าง เช่นเมื่ออุณหภูมิของโลกในเทมเพอเรตโซน (ยุโรปและตอนเหนือของสหรัฐอเมริกากับแคนาดา) เกินกว่า 5 องศา และก๊าซคาร์บอนในบรรยากาศเกินกว่า 390-400 ppm ซึ่งกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ผู้เขียนคาดว่า-ตรงตามคำสัมภาษณ์ที่ให้กับหนังสือพิมพ์การ์เดียนเมื่อปีที่แล้วของนักวิทยาศาสตร์ใหญ่อังกฤษ เจมส์ ลัฟล็อก เพียงย่นเวลามาใกล้ๆ อีกสักหน่อย-โลกเราจะมีมนุษย์เหลืออยู่ไม่ถึง 20% ทั่วทั้งโลก ที่เกิดขึ้นเพราะภาวะโลกร้อนและน้ำท่วมโลก

ผู้เขียนคิดเอาเอง และเป็นไปได้ที่อาจจะคาดหมายว่าภัยธรรมชาติอันนี้คงจะมาก่อน และที่จะมาทีหลังระยะใกล้ๆ นั้น คือแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยมีมา จะเกิดทวีปอเมริกา (ใต้หรือเหนือ) พร้อมๆ กันนั้นก็จะมีการย้ายแผ่นเปลือกโลก ที่จะทำให้เกิดการย้ายตำแหน่งของขั้วโลกเหนือไปทางทิศตะวันตก ประเทศไทยจะย้ายที่ไปทางทิศเหนือกับตะวันตก จะเข้าไปใกล้ๆ ขั้วโลกเหนือที่ตำแหน่งใหม่อีกนับเป็นพันๆ กิโลเมตรทีเดียว บวกกับยุคน้ำแข็งที่จะมาถึงพร้อมๆ กันนั้น เนื่องจากการหายไปของจุดดำของดวงอาทิตย์ (Maunder minimum) จึงอาจมีหิมะตกได้ดังที่อาจารย์อาจอง ชมสาย ณ อยุธยา ทำนายไว้.
 
http://www.thaipost.net/sunday/140310/19303
4689  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / Re: นิวเอจ ทางเลือกของคนยุตใหม่ ? เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 10:27:00
กว้างมาก ถ้าจะอธิบาย แค่เป็นกระแส หลากหลาย สู่สิ่งใหม่ ๆ
มิใช่ ลัทธิ นิกาย ใด ๆ เลย เท่านั้นแหละ

และมิได้ โยนทิ้ง สิ่งเก่า ๆ ทำลาย สิ่ง เก่า ๆ ไปซะหมด
สิ่งไนดี ก็คงไว้ ไม่ดีก็ไม่เอา เท่านั้น

พุทธ คริส อิสลาม ศาสนาไหน ก็เป็น นิวเอจได้
คนไร้ศาสนา แต่ สนใจจิตวิญญาณ ความดีงาม ก็เป็นได้
นักวิทยาศาสตร์ ใจไม่คับแคบ เปิดกว้าง ก็เป็นได้

หลากหลาย กว้างใหญ่ ไม่จำกัด ในนามของความดีงาม อีกกระแสหนึ่งเท่านั้น แหละ

บางคนไม่ใช่ พวกนิวเอจ แต่ จริง ๆ แล้ว ใช่

มันก็แค่ ยี่ห้อ เสื้อผ้าอีกชุดหนึ่งแห่งความดีงาม


มดเอ๊ก สามารถเขียนอธิบายได้ บทความนี้มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห้นด้วย ละนะ

พอล่ะ ไปก่อน
4690  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / นิวเอจ ทางเลือกของคนยุตใหม่ ? เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 10:17:47
วเอจทางเลือกของคนยุคใหม่?


            เวลาพูดเรื่อง “นิวเอจ” หลายคนในบ้านเราทำหน้างง  บางคนก็ถามว่ามันคืออะไร?  แม้จะไม่ใช่เรื่องที่คนส่วนใหญ่สนใจ  แต่ใช่ว่าจะไม่รับเอาอิทธิพลของมันมา  เอาเป็นว่ามาทำความรู้จักกับมันหน่อยแล้วกัน

   จริง ๆ “นิวเอจ” ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่นักมีมานับสิบ ๆ ปีแล้ว  เพียงแต่บ้านเราไม่ค่อยพูดถึงเท่านั้น  แต่แม้ไม่พูดถึงอิทธิพลของนิวเอจและลัทธิความเชื่อนี้ก็แทรกแซงอยู่ในสังคมไทยแทบทุกวงการ  ไม่ว่าสื่อสิ่งพิมพ์  หนังสือ  ภาพยนตร์  ตลอดจนวิถีปฏิบัติ  ดนตรี  และ ฯลฯ  ยกตัวอย่างที่กำลังฮือฮาในเวลานี้ก็เห็นจะเป็นหนังสือและซีดีเรื่อง The Secret โดยรอนด้า เบิร์นหรือเล่มอื่นๆ  ที่เข้ามาทำกระแสเป็นพัก ๆ เช่น  The Conversation With God ในช่วงก่อนหน้านี้  และยังมีหลายๆ เล่มที่ร้านหนังสือบ้านเรายังไม่ได้ขึ้นป้ายจัดหมวดหมู่ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันหรือแม้แต่ภาพยนตร์ก็มีมาให้เห็นเรื่อยๆ ตัวอย่างชัดๆ เห็นจะเป็น The Golden Compass หรือพวกดนตรีกรีนมิวสิคทั้งหลายตลอดจน  การแพทย์ทางเลือก  การใช้ยาแผนโบราณ  ซึ่งบ่อยครั้งก็มักมีมิติด้านจิตวิญญาณบางอย่างอยู่ด้วย  เช่น  แนวคิดการผสมผสานกาย  ใจและจิตวิญญาณ  เป็นต้น  ซึ่งแต่ละอย่างที่กล่าวมาล้วนมีสิ่งดีๆ มากมายทว่า  นี่คือทางเลือกของคนยุคใหม่จริงหรือ  ก่อนอื่นมาดูที่มาที่ไปของลัทธินิวเอจกันคร่าวๆ





ลัทธินิวเอจคืออะไร

   จะว่าไปก็เป็นผลกระทบส่วนหนึ่งจากกระแสสังคมยุคโลกาภิวัตน์ก็ว่าได้ที่วัฒนธรรมตะวันตกมาบรรจบกับตะวันออกมากยิ่งขึ้น  เกิดผสมผสานขึ้นเป็นวัฒนธรรมใหม่ของคนยุคใหม่ที่เรียกว่า “นิวเอจ” ซึ่งมีรูปแบบย่อย ๆ หลากหลาย  ส่วนมากค่อนไปทางจิตนิยม  เน้นการปฏิบัติศาสนาในด้านพิธีกรรมของศาสนาที่อุบัติจากตะวันออก

   อาจเป็นเพราะองค์ประกอบของศาสนาตะวันออกที่เราคุ้นเคยและฝังตัวผสมปนเปอยู่ในความเชื่อของคนไทยมาช้านานนี่เองที่ทำให้คนในประเทศตะวันออกอย่างเราๆ ไม่ตื่นตัว หรือรับรู้ว่าเป็นลัทธิใหม่เสียทีเดียวเพราะโดยปกติการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาผสมปนเปกับวัฒนธรรมของเราก็ถือเป็นธรรมชาติส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว  แต่สำหรับประเทศที่มีพื้นฐานความเชื่อเดิมในศานาคริสต์  กระแสวัฒนธรรมและศาสนาตะวันออกถือเป็นสิ่งใหม่  และเมื่อเข้าไปมีอิทธิพลผสมผสานกับศาสตร์หรือศาสนาตะวันตก  จึงถูกมองเป็นสิ่งใหม่และตื่นตัวกันมากว่า

   จากบทความใน  www.songtangonline.com ที่โพสท์เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2007 กล่าวว่า  “ขบวนการเคลื่อนไหวสู่ยุคใหม่  วัฒนธรรมใหม่หลากหลายนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกกันหลวมๆ รวมๆ ว่า POSTMODERNISM (ยุคหลังสมัยใหม่)  ซึ่งนักคิดนักวิชาการด้านสังคมตะวันตกแทบทุกคนเชื่อว่า  การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมระดับโลก  อย่างน้อยก็จากยุคมืดบอดทางปัญญาในสมัยกลางของยุโรป (MIDDLE AGE) มาสู่ยุคฟื้นฟูและสู่ศตวรรษการรู้แจ้งของสังคมตะวันตกอันเป็นที่มาของอารยธรรมความศิวิไลซ์  วัฒนธรรม  “สมัยใหม่" ที่ยกมนุษย์ขึ้นเป็นศูนย์กลางของจักรวาลหรือที่ดำรงอยู่โดยมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือ  เพื่อคุณภาพที่ดีของชีวิต  เป้าหมายที่นำมาซึ่งการพัฒนาของเทคโนโลยี  เพื่อแปรเปลี่ยนธรรมชาติสู่ความมีคุณภาพที่ดีกว่าของชีวิตดังกล่าว...  ขบวนการนี้มีเป้าหมายหลักที่การ “โยนทิ้ง” วัฒนธรรมเก่าที่เรามี  ที่เคยชินมาหลายสิบชั่วคนนับแต่ยุคฟื้นฟูและศตวรรษแห่งการรู้แจ้งที่กล่าวมาข้างต้น  นั่นคือ  “โยนทิ้ง”  ความเป็นสมัยใหม่  ไม่ว่าจะเป็นหลัก  หรือเป็นคราบที่ฝังตัวอยู่ในระบบการเมือง  สังคม  หรือเศรษฐกิจที่เราใช้ ๆ  กันอยู่และคิดว่าถูกต้องแล้ว  แต่กลับเป็นแหล่งเพาะความแตกแยกขัดแย้งที่ก่อปัญหาสารพัดดังที่รู้ ๆ  กันในปัจจุบัน  ซึ่งก่อตัวขึ้นมาจากความรู้ด้านกายภาพเพียงด้านเดียว  โดยมีปรัชญาของเดส์การ์ต  มีฟิสิกส์คลาสสิกของนิวตัน  มีชีววิวัฒนาการของอาร์ลส์ ดาร์วิน  และมีจิตวิทยาพฤติกรรศาสตร์ผิวเผินของซิกมันด์  ฟรอยด์  เป็นเครื่องมือ”
นิยาม

  ลัทธินิวเอจเป็นการเคลื่อนไหวอิสระด้านจิตวิญญาณ  ซึ่งเป็นเครือข่ายผู้เชื่อและผู้ปฏิบัติที่ต่อเติมความเชื่อใหม่ๆ  เข้ากับความเชื่อทางศาสนาดั้งเดิมทั้งจากตะวันออกและตะวันตกซึ่งผสมผสานเข้ากับความคิดทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่  โดยเฉพาะจิตวิทยาและนิเวศวิทยาส่วนใหญ่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศาสนาหลักๆ  ในโลกนับจากลัทธิจิตวิญญาณนิยมพุทธศาสนา  ศาสตร์ลึกลับว่าด้วยไสยศาสตร์  และอาคมฮินดู  ศาสนาอิหร่าน  เทววิทยา  เต๋า  เวทย์มนต์ตามพิธีกรรมต่างๆ  และอื่นๆ  อีกมาก  จึงเป็นแนวความคิดและกิจกรรมที่ครอบคลุมกว้างมาก  ซึ่งผู้เข้าร่วมในวัฒนธรรมย่อยจะเลือกเอาเองว่าอยากสนับสนุนหรือเข้าร่วมสายไหน  และไม่มีนิยามที่เป็นทางการ  แต่มีงานวิจัยหนึ่งเสนอว่า  พวกที่เอาตัวอย่างจากคำสอนทั้งหลายแหล่มาปฏิบัติทั้งจาก  “ศาสนาหลัก”  และธรรมเนียม  “อื่นๆ”  แล้วสร้างความเชื่อของตัวเองจากประสบการณ์  นั่นก็ถือเป็นพวกนิวเอจได้  พวกนี้จะไม่ทำตามระบบศาสนาที่มีอยู่เดิม

   นิวเอจต่างจากศาสนาหลักๆ  ส่วนใหญ่ตรงที่ไม่มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์  องค์กรกลาง  สมาชิกภาพนักบวช  ศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์  หลักคำสอน  หลักข้อเชื่อ ฯลฯ  สำนักพิมพ์ถือเป็นองค์กรกลาง  ส่วนการสัมมนาการประชุมใหญ่  หนังสือ  และการรวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการเข้ามาแทนที่คำเทศนาและการประชุมทางศาสนา



ความเป็นมา

   คำสอนของลัทธินิวเอจเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษในช่วงทศวรรษ  1960 และ 1970 โดยเกิดจากปฏิกิริยาการต่อต้านสิ่งที่มองกันว่าเป็นความล้มเหลวของคริสเตียนและมนุษยนิยมทางโลกในการให้แนวทางจิตวิญญาณและศีลธรรมในอนาคตจึงเกิด วิถีปฏิบัติและความเชื่อรูปแบบจิตวิญญาณทางเลือก  หรือศาสนาทางเลือกขึ้น  ดังนั้น  การใช้คำว่า  “ทางเลือก”  ในความคิดแบบลัทธินิวเอจโดยทั่วไปจึงส่อถึงสิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อหลักๆ  ทางศาสนาและ/หรือวิทยาศาสตร์  และความคิดนิวเอจมากมาย  รวมทั้งวิถีปฏิบัติในโลกตะวันตกมักตำหนิคริสตศาสนาอย่างโจ่งแจ้งหรือไม่ก็อ้อมๆ

   ราวกลางปี  1970  เกิดนิตยสารรายเดือน New Age Journal ขึ้นแล้วถูกนำไปตั้งเป็นชื่อร้านหนังสือและของที่ระลึกเล็กๆ  แนวนี้อีกหลายพันแห่ง  ต่อมาคำนี้ยิ่งแพร่หลายมากขึ้นเพราะสื่อมวลชนอเมริกันนำไปใช้เรียกวัฒนธรรมย่อยด้านจิตวิญญาณทางเลือก รวมทั้งกิจกรรมทั้งหลายของกลุ่มตั้งแต่การนั่งสมาธิ  การปลุกวิญญาณผู้ตาย  การกลับชาติมาเกิด  ลูกแก้ว  จนถึงเรื่องสุขภาพ  เช่น  ฝังเข็ม  ดนตรีบำบัด  จิตบำบัด  ฯลฯ  ความเชื่อในปรากฏการณ์วิปริต  หรือ  “เรื่องลี้ลับ”  เช่น  ยูเอฟโอ  ความลึกลับของโลกและวัฏจักรของพืชผล  หรือทำนายดวงชะตาโดยใช้ลูกตุ้ม  ไพ่ทาโร่  โหราศาสตร์เป็นต้น

http://i20.photobucket.com/albums/b232/empathskiss/Thoth4.jpg


   ราวปลายปี  1980  มีสิ่งพิมพ์ใหม่ๆ  อีกมากมายปรากฏขึ้นสนองตลาดนี้  ได้แก่  Psychic Gulde Magazine (ต่อมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Body, Mind & Spirit), Yoga Journal, New Age Voice (นิตยสารดนตรีนิวเอจโดยเฉพาะ)  และนิตยสารการค้า เช่น New Age Retailer, NaPRA ReView (สมาคมผู้พิมพ์และค้าปลีกแนวนิวเอจ) และ ฯลฯ

ความเชื่อ

  จากความเชื่อพื้นฐานที่หลากหลายมาก  นิวเอจทุกคนจึงได้รับการสนับสนุนให้  “เลือกหา”  ความเชื่อและวิถีปฏิบัติที่ตัวเองรู้สึกสบายใจที่สุดอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้  หรือทั้งหมดนี้


ศาสตร์แห่งเป้าหมาย

-   เชื่อว่าเหตุการณ์ประจวบเหมาะมีความหมายและบทเรียนด้านจิตวิญญาณที่สอนผู้เปิดใจรับได้
-   ทุกสิ่งเชื่อมโยงกันหมดโดยพระเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  พวกที่มีพลังงานแบบเดียวกัน
-   มีเป้าหมายกว้างใหญ่ไพศาล  และความเชื่อที่ว่าธาตุแท้ทุกอย่างร่วมมือกัน  (เต็มใจหรือไม่ก็ตาม)  สู่เป้าหมายนี้
-   ทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตและบทเรียนต้องเรียน
-   ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง  และความสัมพันธ์ยังถูกกำหนดให้เกิดขึ้นซ้ำๆ  จนกว่าจะดี



ความรู้ด้านจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์

-   การหยั่งรู้โดยสัญชาติญาณเป็นตัวชี้นำที่เหมาะสมกว่าหลักเหตุผลหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์
-   วิญญาณทั้งหลาย  (นางฟ้า  วิญญาณที่ล่องลอย  ผีสางธรรมชาติ  และ/หรือ  มนุษย์ต่างดาว)  มีจริงและนำเราได้ถ้าเรายอมเปิดใจ
-   ทุกศาสนามีแก่นเหมือนกัน  ซึ่งทำให้ไม่จำเป็นต้องมีคำสอนและเอกลักษณ์ทางศาสนา
-   รูปแบบจิตวิญญาณผู้หญิง  รวมทั้งภาพลักษณ์ของพระเจ้าเพศหญิง
-   มีอารยธรรมโบราณอยู่ เช่น แอทแลนติส  และได้ทิ้งสิ่ง  ที่ตกทอดมาและอนุสาวรีย์ต่าง ๆ เช่น ปิรามิดใหญ่และอนุสาวรีย์หิน  ซึ่งธรรมชาติแท้จริงของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกค้นพบโดยนักประวัติศาสตร์สำคัญๆ
-   ทำเลทางภูมิศาสตร์บางแห่งพลังจิตได้  เช่น สถานที่บางแห่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาทั่วโลก
-   วิทยาศาสตร์ตะวันตกละทิ้งจิตวิทยาด้านประสาทรับรู้  การนั่งสมาธิและสุขภาพองค์รวมจนเกิดความเสียหาย
-   วิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณที่สุดแล้วก็เข้ากันได้  การค้นพบใหม่ ๆ  ทางวิทยาศาสตร์  เช่น  วิวัฒนาการ  กลไก  พลังงานรังสีเมื่อเราเข้าใจถูกต้องย่อมชี้ไปสู่หลักการจิตวิญญาณ





ศักยภาพของมนุษย์

-   ความคิด  มนุษย์มีศักยภาพยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิดและสามารถเอาชนะความเป็นจริงทางกายได้  มีผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณไม่กี่คนเท่านั้นที่บรรลุศักยภาพสูงสุดได้
-   ทุกวันนี้เด็กๆ  เกิดมาพร้อมอำนาจจิตวิญญาณที่พัฒนาสูงกว่าในยุคก่อนๆ
-   ท่าที่ดีที่ได้รับการสนับสนุนด้วยคำยืนยันชมเชยจะสามารถประสบความสำเร็จในทุกสิ่งได้
-   มนุษย์รับผิดชอบมีส่วนในกิจกรรมสร้างสรรค์ดีๆ ที่จะทำงานและรักษาตัวเอง  คนอื่นและโลกนี้
-   การนั่งสมาธิ  โยคะ  ไทชิ  จี้กง  และกิจกรรมของชาวตะวันออกช่วยให้เราบรรลุศักยภาพของตัวเองได้
-   มนุษย์มีศักยภาพรักษาโรคได้  (เช่น  การใช้สัมผัสบำบัด)  ซึ่งสามารถพัฒนาขึ้นมารักษาคนอื่นด้วยการสัมผัส  หรือแม้แต่จากระยะไกลได้
-   อาหารที่รับประทานเข้าไปมีอิทธิพลต่อจิตใจ  เช่นเดียวกับร่างกาย
-   การอดอาหารอาจช่วยให้บรรลุภาวะจิตสูงขึ้นได้

จิปาถะ

-   จิตสำนึกนั้นยังฝังแน่นดุจมีชีวิตแม้หลังจากตายแล้วแต่อยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง
-   ชีวิตหลังความตายมีเพื่อนเรียนรู้เพิ่มขึ้นโดยกลับชาติมาเกิด  วัฏจักรนี้วนเวียนไปเรื่อยๆ คล้ายแนวคิดของฮินดู
-   หินและลูกแก้วมีพลังจิตช่วยนั่งสมาธิ  และรักษาโรค
-   ความฝันและประสบการณ์ทางจิตมีความหมายด้านจิตวิญญาณ





ลัทธิผสมผสาน

-   เป็นแบบผสมผสาน  และมีรากมาจากปรากฏการณ์ที่ต่อต้านวัฒนธรรม
-   มักเน้นแนวคิดที่ใกล้เคียงความจริงและมักอ้างคำกล่าวตามศาสนาฮินดูที่ว่า  “มีความจริงเดียว  แต่ไปได้หลายทาง”
-   ไม่เพียงพยายามเน้นทางเลือกส่วนบุคคลเรื่องจิตวิญญาณเท่านั้น  แต่ยังยืนกรานว่า  ความจริงถูกกำหนดโดยบุคคลและประสบการณ์ของเขาหรือเธอได้ด้วย


พระเจ้าคือจักรวาล

-   ทุกอย่างที่ดำรงอยู่คือพระเจ้าซึ่งนำไปสู่แนวคิดที่ว่าเราแต่ละคนเป็นพระเจ้า
-   ไม่แสวงหาพระเจ้าตามที่บอกไว้ในพระคัมภีร์  แต่แสวงหาพระเจ้าในตัวเอง  และทั่วจักรวาล


กรรม

-   การดีและชั่วที่เราทำจะสั่งสมขึ้นหรือถูกลบล้างออกไป  เมื่อชีวิตสิ้นสุดลง  เราจะได้รับรางวัลหรือถูกลงโทษตามกรรมเวรของเรา  โดยกลับชาติมาเกิดใหม่ที่อาจดีหรือร้าย

รัศมีไฟฟ้า
-   เชื่อว่ามีสนามพลังที่แผ่รังสีออกมาจากร่างกาย  คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น  แต่บางคนอาจตรวจจับได้เป็นรัศมีระยิบระยับหลากสีที่ห้อมล้อมร่างกาย  พวกที่เชียวชาญ  ตรวจจับและตีความหมายรัศมีนี้สามารถวินิจฉัยภาวะจิตใจ  ตลอดจนสุขภาพร่างกาย  และจิตวิญญาณของคนได้





ศาสนาสากล

-   ทุกอย่างเป็นพระเจ้า  จึงมีความเป็นจริงเพียงอย่างเดียว  ฉะนั้น  ทุกศาสนาก็เป็นแค่เส้นทางสู่ความเป็นจริงสูงสุดนั้นเท่านั้น
-   อาจมองเป็นรูปภูเขาที่มีเส้นทางจิตวิญญาณหลายสายที่นำไปสู่ยอดเขาได้  บางเส้นทางก็ยาก  บางเส้นทางง่ายกว่า  ไม่มีเส้นทางใดถูกต้องเพียงเส้นทางเดียว  ในที่สุดทุกเส้นทางก็พาไปถึงยอดเขาเหมือนกัน
-   ควาดหวังว่าศาสนาสากลใหม่นี้ซึ่งมีองค์ประกอบของทุกความเชื่อในปัจจุบันจะวิวัฒนาการขึ้นไปและได้รับการยอมรับทั่วโลก





ระเบียบโลกใหม่

-   เมื่อยุคอควอเรียสเริ่มปรากฏขึ้น  ลัทธินิวเอจก็จะเฟื่องฟู  เป็นสังคมสมบูรณ์แบบที่มีรัฐบาลโลก
-   เป็นจุดจบของสงคราม  โรคภัยไข้เจ็บ  ความหิวโหยมลพิษ  และความยากจน  เพศชายหญิง  เชื้อชาติศาสนาและการเลือกที่รักมักที่ชังทุกอย่างจะหมดสิ้น
-   ความจงรักภักดีของผู้คนต่อเผ่าพันธุ์  หรือประเทศขอตนจะถูกแทนที่ด้วยความเป็นห่วง  และความสนใจในโลกและประชากรโลกทั้งหมด


http://nihil.exteen.com/20090208/entry
4691  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / แห่ชมพระธาตุเก่าแก่หลังน้ำโขงลดต่ำ เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 09:47:11

 

 
 
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ผู้สื่อข่าว จ.หนองคาย รายงานว่า หลังจากที่ระดับน้ำโขงลดต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี จนทำให้พระธาตุกลางน้ำ หรือพระธาตุหล้าหนอง พระธาตุเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัย พ.ศ.8 รุ่นราวคราวเดียวกับพระธาตุพนม เดิมตั้งอยู่ริมน้ำโขงฝั่งจังหวัดหนองคาย แต่ถูกกระแสน้ำโขงกัดเซาะจนพระธาตุล้มตะแคงและจมอยู่ใต้น้ำโขง มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2390 โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำโขงประมาณ 4 เมตร จนชาวบ้านในละแวกนั้นต่างพากันแตกตื่นฮือฮา เนื่องจากในอดีตแม้ว่าน้ำโขงจะลดต่ำลงในช่วงฤดูแล้ง แต่ก็เห็นขอบฐานพระธาตุเพียงเล็กน้อย หรือประมาณ 1 เมตรเท่านั้น แต่ปีนี้น้ำโขงลดจนเห็นองค์พระธาตุได้อย่างชัดเจน ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดเดินทางมาชมพระธาตุกลางน้ำกัน อย่างต่อเนื่อง และประสงค์จะได้สัมผัสองค์พระธาตุ ทางคณะกรรมการชุมชนวัดธาตุจึงได้จัดเรือไว้ให้บริการพานักท่องเที่ยวลงเรือไปกราบไหว้ขอพรจากองค์พระธาตุอย่างใกล้ชิด บางคนนำดอกไม้ธูปเทียนกราบไหว้ บางคนนำเหรียญบาทวางไว้บริเวณร่องฐานพระธาตุเพราะเชื่อว่าเป็นการเสริมดวง เสริมบารมี
4692  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / สงสัยคนรักที่ตายแล้ว กลับชาติมาเกิดเป็นไก่ เฝ้าคลอเคลียข้างกาย เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 09:43:56


สงสัยคนรักที่ตายแล้ว กลับชาติมาเกิดเป็นไก่ เฝ้าคลอเคลียข้างกาย

เรื่องราวพิสดารของไก่ชน ตามแจคลอเคลียสาววัย 17 ไม่ห่าง จนทุกคนที่รับรู้ต่างเชื่อเหมือนกัน สงสัยไก่ตัวนี้เป็นแฟนหนุ่มที่กลับชาติมาเกิด หลังตายด้วยอุบัติเหตุจยย. เผยหนุ่มกับสาวพบรักกันในร้านก๋วยเตี๋ยว ก่อนหนุ่มจะด่วนตายจากไปเมื่อ 8 เดือนก่อน ทันทีนั่นเอง ไก่ชนเล้าของเพื่อนผู้ตายก็ได้ลูกเจี๊ยบนิสัยประหลาดออกมา พอมาเจอหญิงสาว ก็วิ่งเข้ามาหาคลอเคลียตลอด ใครไล่ก็ไม่ไป จนแม้แต่เจ้าตัวเองก็ปักใจเชื่อ เป็นแฟนกลับชาติมาเกิดเป็นไก่

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระ นครศรีอยุธยา ว่า พบไก่ชนเพศผู้ มีความผูกพันเป็นพิเศษกับหญิงสาวคนหนึ่ง ถึงกับคอยเฝ้าติดตามอยู่ไม่ห่าง เหตุเกิดที่บ้านพักเลขที่ 42/2 ม.2 ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว ใกล้ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลสวนพริก

หลังรับทราบเบาะแสดังกล่าว ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบ พบน.ส.ภัทสนันท์ ขันธสารี อายุ 17 ปี นอนเล่นอยู่ในเปลญวน


หลังร้านก๋วยเตี๋ยว ข้างๆ มีไก่ชนสีแดงส้มวนเวียนกระโดดขึ้นไปอยู่บนตักไม่ยอมไปไหน แม้ถูกคนไล่ก็ไม่ยอมลงจากตักของน.ส.ภัทสนันท์

นาง วรรณะ ขันธสารี อายุ 55 ปี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว เล่าว่า ไก่ชนตัวนี้เป็นของหลานชายตนเอง ที่เลี้ยงไก่ชนเอาไว้เพาะพันธุ์ขาย แต่ไก่ชนตัวนี้มีอุปนิสัยแตกต่างจากไก่ชนตัวอื่นๆ จะคอยติดตามหลานสาวของตัวเองที่มาช่วยขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมให้ห่าง เวลาหลานสาวนอนพักผ่อน มันก็จะตามไปยืนอยู่ใกล้ๆ หรือกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนตัว ไปอยู่ตรงหน้าตัก ไม่ยอมออกไปหาอาหารกินเหมือนไก่ชนทั่วไป โดยไก่ตัวนี้ตามหลานสาวของตนเองมานานประมาณ 5 เดือนแล้ว ชื่อเจ้าใหญ่ อายุ 8 เดือน เป็นลูกโทน แม่ไก่ฟักออกมาตัวเดียว

นางวรรณะกล่าวว่า จากพฤติกรรมประหลาดของมัน ตนมีความเชื่อว่าไก่ตัวนี้น่าจะเป็นวิญญาณของนายใหญ่ แฟนหนุ่มของน.ส.ภัทส นันท์ ที่กลับชาติมาเป็นไก่ หลังจากประสบอุบัติเหตุถูกรถชนเสียชีวิตไปเมื่อ 8 เดือนก่อน พอตายไปก็รีบกลับชาติมาเกิดเป็นไก่ชนตัวนี้ทันที อาจเป็นเพราะมีความผูกพันกับหลานสาว เพราะหลานสาวได้พบรักกับนายใหญ่ที่ร้านของตน จากนั้นคบหากันเป็นแฟนดูใจกันหลายปี หากเรียกชื่อไก่ว่าเจ้าใหญ่ ไก่ตัวนี้จะขันขานรับทันที

ด้านน.ส.ภัทสนันท์ กล่าวว่า มาช่วยป้าขายของที่ร้านเป็นประจำทุกวัน จนได้รู้จักนายใหญ่ อดีตแฟนหนุ่มที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยระหว่างคบหาดูใจกันเป็นแฟน มักมานั่งคุยกันที่เปลญวนนี้เป็นประจำ นายใหญ่จะคอยดูแลตนอย่างดี จนเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ปีที่แล้ว นายใหญ่มาหาตนที่ร้าน จากนั้นขับรถจักรยานยนต์ออกไปได้เพียง 10 นาที ก็ไปประสบอุบัติเหตุถึงเสียชีวิต

"หนูเสียใจมาก เวลาที่มาที่ร้านแล้วทำให้อดคิดถึงพี่ใหญ่ไม่ได้ จึงไม่มาที่ร้านอีก แต่เมื่อทำใจได้เมื่อประมาณ 5 เดือนที่ผ่านมา จึงได้กลับมาช่วยป้าขายของที่ร้านอีกครั้ง ครั้งแรกที่เจ้าไก่เห็นหนู ก็แสดงอาการดีใจ กระโดดเข้ามาหาทันทีพร้อมกับส่งเสียงขัน จากนั้นเป็นต้นมา เจ้าไก่ชนตัวนี้คอยเดินตามหนูอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะนั่ง นอนหรือทำอะไร ก็จะมาคลอเคลียตลอด แม้จะมีคนอื่นมาไล่ หรือเอาข้าวเปลือกหรือของกินมาล่อก็ไม่ยอมห่างจากหนูไปไหน บอกตามตรงว่าเชื่อว่าวิญญาณของพี่ใหญ่มาสิงหรือกลับชาติมาเกิดเป็นไก่ชนตัว นี้" น.ส.ภัทสนันท์กล่าว

ทางด้านนายพิษณุ ทุสาวุฒิ อายุ 35 ปี เจ้าของไก่ชนประหลาด กล่าวว่า มีอาชีพเพาะพันธุ์ไก่ชนขาย มีไก่ชนเลี้ยงไว้กว่า 150 ตัว โดยนายใหญ่ที่เสียชีวิตไปคือเพื่อนสนิทของตน ก่อนตายมักจะไปไหนด้วยกันเสมอ เพราะชอบไก่ชนเหมือนกัน จนนายใหญ่มาพบรักกับ น.ส.ภัทสนันท์ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตน ต่อมานายใหญ่เสียชีวิตไป แม่พันธุ์ไก่ชนของตนก็ได้ฟักไก่ชนออกมา พออายุได้ 3 เดือน ไก่ชนตัวนี้เริ่มมีพฤติกรรมแปลกไปจากไก่ชนตัวอื่นๆ โดยสังเกตเห็นว่าจะไม่ยอมตีกับไก่ตัวอื่น ไม่ออกคุ้ยเขี่ยหาอาหารกินเหมือนไก่ตัวอื่น และเริ่มเดินตามตนเอง แต่พอน.ส.ภัทสนันท์กลับมาทำงานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ติดกับคอกไก่ชน ไก่ชนตัวนี้ก็รีบไปตามน.ส.ภัทส นันท์ทันที เชื่อว่านายใหญ่คงมารอน.ส.ภัทส นันท์อยู่ เพราะยังห่วงและรัก

นางประเทือง ทุสาวุฒิ อายุ 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 51 ม.2 ต.สวนพริก กล่าวว่า ตนเองมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านนี้เป็นประจำ และเห็นเจ้าไก่ชนตัวนี้คอยเฝ้าตามน.ส.ภัทสนันท์ตลอด ซึ่งแปลกประหลาดมาก เห็นภาพที่เจ้าไก่ชนคอยเฝ้าติดตามน.ส.ภัทสนันท์แล้วก็น่ารัก เหมือนสมัยตอนที่นายใหญ่ยังไม่ตาย ก็คอยมาหามาคอยแฟนสาวขายก๋วยเตี๋ยว สำหรับตนเองก็เชื่อว่าน่าจะเป็นนายใหญ่ที่มาเกิดเป็นไก่ชนคอยเฝ้าดูแลแฟนสาว

หน้า 1


<!-- google_ad_section_end -->
4693  สุขใจในธรรม / ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 / Re: จงฝึกมหาสติ เพื่อช่วยโลก ( หลวงปู่พุทธะอิสระ ) เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 09:36:24
ภาพงานกิจกรรมวันมาฆบูชา 2553








ลูกรัก... ลูกศิษย์ของหลวงปู่พุทธะอิสระ ต้องไม่มีเกียรติ

ไม่มีชื่อเสียงและต้องไม่มีศักดิ์ศรี และต้องปราบพยศ

ลดมานะ ละทิฐิ ทรงสติ ดำริเป็นสัมมา

4694  สุขใจในธรรม / ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 / Re: จงฝึกมหาสติ เพื่อช่วยโลก ( หลวงปู่พุทธะอิสระ ) เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 09:27:13
ภาพงานวันตรุษจีน
 
 

 
 
 

 

พระบาทองค์พระนาคปรกและพระหัตถ์ ที่ประดิษฐานอยู่หน้าโรงเจ ให้สาธุชนได้มีโอกาสปิดทอง ก่อนนำขึ้นประดิษฐานกับองค์ใหญ่ที่สูงถึง 60 เมตร
 
 
 

หลวงปู่นำเจริญพระพุทธมนต์ ทุกวันช่วงเทศกาลตรุษจีนที่หน้าโรงเจหอคุณธรรมฟ้า ในเวลา 18.00 น.พร้อมทั้งสาธุชนที่มาร่วมทำบุญ
 


หลวงปู่ทำพิธีปลุกเสกองค์พระนาคปรกจำลองหน้าตัก 5 นิ้ว
 


 

 
 
 

 
 
 

 
 
 

 
 
 
 
 

 
 
 



มีอีกเพียบ เก็บภาพไปได้ จ้า สาธุ

http://www.onoi.org/index.php?option=com_phocagallery&view=category&id=29:-2553&Itemid=82
4695  สุขใจในธรรม / ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 / Re: จงฝึกมหาสติ เพื่อช่วยโลก ( หลวงปู่พุทธะอิสระ ) เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 09:25:04




ลูกรัก...

คราใดที่เจ้ารู้สึกตัวว่า เจ้าอยู่ในพระพุทธศาสนานี้    
 ครานั้น เจ้าคือคนของพระศาสนา

คราใดที่เจ้าเป็นคนของพระศาสนา    
ครานั้น เจ้าก็ต้องทำงานให้กับพระศาสนา


คราใดที่เจ้าทำงานให้กับพระศาสนา    
ครานั้น เจ้าก็ต้องทำความเจริญให้กับพระศาสนา

คราใดที่เจ้าทำความเจริญให้กับพระศาสนา    
ครานั้น เจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า เจ้ากำลังทำความเจริญให้กับจักรวาล
และตัวเจ้าเอง
4696  สุขใจในธรรม / ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 / Re: จงฝึกมหาสติ เพื่อช่วยโลก ( หลวงปู่พุทธะอิสระ ) เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 09:23:27
ภาพงานกิจกรรมวันปีใหม่ 2010
 
4697  สุขใจในธรรม / ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 / ธรรมะจากทองผาภูมิ เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 09:19:05



ธรรมะจากทองผาภูมิ
10-13 ธันวาคม 2552
เราจะมีการฝึกเคร่งครัดอย่างยิ่งเพื่อให้เกิด ตัวรู้ ให้ท่านผู้รู้เติบโตในจิตวิญญาณ แล้วความรู้รอบ ๆ ตัว  ความเข้าใจความจริงของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ชีวิต จิตวิญญาณ ก็จะหลั่งไหลมาเอง  สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีการเตรียมการให้พร้อม  เช่น การตั้งใจ  ไม่ควรสนใจสิ่งอื่นนอกตัว ให้มีแต่ตัวกูล้วน ๆ มีแต่มึงกับกู
  • กติกาการศึกษา 4 ข้อ :
[LIST=1]
  • ไม่พูด ไม่สนใจเรื่องนอกตัว
  • อยู่อย่างเป็นผู้ที่พึ่งตัวเองได้ และเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่นได้  ทำ พูด คิด ด้วยจิตสาธารณะ
  • อย่าทำหรืออยู่เพราะแรงผลักดันของตัณหาพาไป
  • ให้เกียรติและเคารพกัน มีคารวะธรรมในใจ
  • วิเคราะห์สาระจากพระไตรปิฏก บุคคลผู้มีราตรี 1 เจริญ
[LIST=1]
  • บุคคล 3 จำพวก :
  • 1. บุคคลที่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว – เราได้มี รูป เวทนา สัญญา  สังขาร  วิญญาณ ในสิ่งที่ล่วงแล้ว
  • 2. บุคคลผู้มุ่งในสิ่งที่ยังไม่มาถึง - ขอเราพึงมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้ในอนาคต
  • 3. บุคคลผู้เห็นแจ้งในปัจจุบัน /ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนในธรรมที่เป็นปัจจุบัน  ได้แก่ บุคคลที่เห็นพระอริยเจ้า /สัตตบุรุษ , บุคคลผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้าและสัตตบุรุษ, บุคคลผู้ปฏิบัติตามธรรมของพระอริยเจ้าและสัตตบุรุษ
[LIST=1]
  • บทวิเคราะห์ โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ :
  • พระพุทธเจ้าทรงยกเอาขันธ์ 5 มาอธิบาย ว่า บุคคลผู้อยู่ในปัจจุบันจริง ๆ นั้นจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งมีอยู่ในขันธ์ 5 เห็นแจ้งความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 ในปัจจุบัน
  • บุคคลผู้อยู่ในปัจจุบันธรรม จะไม่เกิดอนาคต สังขารทั้งหลาย (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่แล้วดับไป  เราก็จะรู้ว่ามันจะไม่ส่งผลไปในอนาคตได้  เพราะเห็นมันดับไปในปัจจุบัน  ถ้ามีปัญญารู้ชัดอย่างนี้อนาคตก็จะดับสูญลงไปด้วย  แต่เพราะเรารู้ไม่ชัดจึงไปปรุงแต่งปัจจุบัน จึงเกิดอนาคตขึ้นมา
  • สิ่งที่ล่วงไปแล้วสังขารที่ล่วงไปแล้ว  เราจะเห็นได้เมื่อเรารู้ในปัจจุบัน  สิ่งใดที่ล่วงไปแล้วไม่มีตัวตน ที่เรามีตัวกู ของกู คือ เรามีอุปาทาน ความไม่รู้
  • เราเจริญได้ด้วย 1 วินาทีเดียว (ปัจจุบันธรรม) จะเจริญด้วยเรื่องอันใดก็ตาม ก็มีเพียงขณะเดียวเท่านั้น  ที่เหลือเป็นกระบวนการสืบเนื่องต่อ ๆ มา กระบวนการของ ตัณหา ราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ  เข้ามาหล่อเลี้ยงทำให้อายุขัยสืบเนื่อง
  • พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า เรามีชีวิตจริงแค่ 1 วินาที (ขณะจิต) เท่านั้น วินาทีต่อไป ขึ้นกับว่าอะไรมาหล่อเลี้ยงเรา : เป็นทางเจริญ หรือเสื่อม
- หนทางที่เจริญ : คือการหล่อเลี้ยงของวิชชา
- หนทางอันเสื่อม :  อวิชชาเลี้ยง
ถ้าเรามีชีวิตอยู่ 100,000 วินาที ด้วยความดี  ก็เป็นความต่อเนื่องของ บุญของวิชชา
ถ้าเรามีชีวิตอยู่ 100,000 วินาที ด้วยความอัปรีย์  ก็เป็นความต่อเนื่องของ บาปของอวิชชา
เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่า 1 วินาทีนั้น ถูกอะไรหล่อเลี้ยง  บุญ /บาป , วิชชา / อวิชชา   นั่นคือกรรม
  • อย่าเข้าใจผิดว่าเรามีอายุยืน ทุกคนมีชีวิตแค่วินาทีเดียวเท่านั้น ชีวิตของสัตว์ มีวินาทีเดียว คือวินาทีที่มาปฏิสนธิในครรภ์มารดา แล้วต่อจากนั้นเป็นการมาหล่อเลี้ยงของกรรม
  • การเกิดเป็นมนุษย์เป็นได้ยาก และเป็นผู้ใหญ่กว่าสัตว์อื่น ๆ เพราะเราสามารถเลือกชีวิตเราให้วิชชาเจริญขึ้นได้  ดังนั้น
- ความดีเราจึงต้องสะสม ให้บ่อยมาก และถี่มาก วินาทีต่อวินาที
- ความไม่ดีเราจึงต้องละ ให้บ่อยมาก และถี่มาก วินาทีต่อวินาที ไม่ใช่ 1 วัน หรือ 1 ปี
  • มนุษย์ ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ เพราะสามารถพัฒนาได้ ไม่ตัน สามารถเลือกทำกรรมได้  เทวดาพรหมยังไม่ใหญ่ เพราะมันตัน เลือกไม่ได้
    • สัตว์เดรัจฉาน  ทำตามสัญชาติญาณ
    • เทวดา ทำตามโปรแกรมบุญที่ได้มา
    • มนุษย์ไม่มีโปรแกรม เดี๋ยวก็ชั่วได้ เดี๋ยวก็ดีได้ อยู่ที่เราเลือกให้วินาทีนั้นมี กุศล หรืออกุศล ชี้ชวน
    • ธรรมชาติของมนุษย์ไม่เป็นไปตามกติกา ตารางสอน มนุษย์จะเป็นไปตามสิ่งเร้า ชักชวน หรือเสพย์ ดังนั้นมนุษย์ผู้ปัญญาเท่านั้นที่จะมีพลังในการคัดสรร และสร้างวิธีการพัฒนาตน คือ สร้างสิ่งเร้าองค์ประกอบในเชิงบวกให้มีมากขึ้น  เพื่อให้ชีวิตของเราทุกวินาทีไม่ตกเป็นทาสของซาตาน
สรุป : 1. ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา การจะรู้ชัด รู้จักของจริง ต้องเป็นผู้มีปัญญา รู้ชัดในปัจจุบันขณะ ( 1 วินาที)
2. การปรุงแต่ง / สังขาร / อายุขัย / การสืบเนื่อง  ของแต่ละขณะจิต เป็นการกระทำของกรรมซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ เท่านั้น คือ  บุญ (วิชชาเลี้ยง)  ,  บาป (อวิชชาเลี้ยง)
3. ผู้มีปัญญาจะเจริญทุกวินาที  (วิชชาเลี้ยง)  -  ผู้ไม่มีปัญญา ก็อัปรีย์ทุกวินาที (อวิชชาเลี้ยง)  ซึ่งเราเลือกได้   เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้น ที่จะให้เราได้รู้ทันวินาทีนั้น  จึงต้องสั่งสมอบรม
4. การสั่งสมปัญญา มาเลี้ยงดูจิต โดยวิธีการ ฟัง เรียน อบรม ลงมือทำ เพื่อป้องกันกรรมชั่วทั้งปวง ให้ชีวิตเรามีวินาทีที่ดีหลาย ๆ วินาที..จนถึงทั้งวัน.. ทั้งปี.. ทั้งชีวิต



  • หลักการปฏิบัติปราณโอสถ  การฝึกเดิน / เคาะนิ้ว ปรัชญาปรามิตาสูตร :
ชีวิตจริง ๆ ของเรามีอยู่แค่ 1 วินาทีเท่านั้น   เรามาทำของใหม่ที่เป็นปัจจุบันธรรม  ให้ (เจริญ) เป็นบุญ เป็นสติ สมาธิ ปัญญา หล่อเลี้ยงจิตตลอด 1 ชม.
- การเคาะนิ้ว 1 ครั้ง  หรือก้าวเดินตามจังหวะ 1 ก้าว =1 วินาทีอันเจริญของเรา
- ให้เราเคาะให้ชัด การเคาะชัดแสดงว่าชีวิตของเราไม่ขาด ไม่เกิน มีความเหมาะสมและซื่อตรงดี
- พยายามสลับนิ้วไปมา เคาะให้ได้ทั้ง 3 ข้อนิ้ว เพื่อฝึกความคล่องของสัมปชัญญะ ไม่ใช้สัญญา
- ก้าวเดินพร้อมเสียงป็อก 3 อย่างต้องรวมเป็น 1 : หูได้ยินเสียง / ใจรู้ / เท้าก้าวเดิน
- ฝึกให้เผชิญกับการเปลี่ยนจังหวะอย่างต่อเนื่อง   ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงจังหวะ ก้าว/ เคาะ 
จิตต้องไม่กระเพื่อม
มีสติรักษาภายใน พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง
- การเดินขั้น 3 ประกอบลมหายใจ เป็นขั้นที่เกิดปราณ และโคจร  ต้องไม่กลั้นลม (ท่อต้องไม่ตัน) ไม่   
ขังมันไว้ที่ใด ต้องให้ปราณแล่นไปทั่วร่างกาย
- เมื่อเดินขั้น 3 แล้ว ต้องสลับมาเดินขั้น 2 เป็นขั้นผ่อนคลาย เพื่อสลายปราณที่เกิดขึ้น
- สภาวะธรรมในการเดิน / เคาะจังหวะ: ถ้าทำถูกต้อง เราจะสามารถรู้ล่วงหน้าว่าเสียงป็อกจะมาเมื่อใด (จิตรู้)  สัมปชัญญะจะเตรียมกายเหมาะสม  พัฒนาการของจิตจะสูงขึ้น ตัวรู้มีความใสสะอาดมากขึ้น  ความไวของจิตจะมากขึ้น ทำให้เราเหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่า จะเกิดขึ้นเมื่อใด
 
  • การฝึกเจริญมนต์ : ตาดูมนต์  ใจรู้มนต์  ปากอ่านมนต์
แม้เมื่อมีเสียง หรือสถานการณ์รบกวนจากภายนอกต่างๆ เช่น เสียงเพลง โยนถาด ฯลฯ  จิตต้องไม่กระเพื่อม  มีสติรักษาภายใน จรดจ่อกับการงานที่กำลังทำอย่างซื่อตรง
  • ปัจฉิมโอวาท :
[LIST=1]
  • ผู้บริหารที่ดี ที่วิเศษยิ่งใหญ่ ไม่ใช่บริหารตัวเลข แต่เป็นการบริหารเวลา และอารมณ์  บริหารทุกเสี้ยววินาทีให้มีกำไรทุกวินาที ให้เรามีอารมณ์เป็นสุขทุกวินาที
  • การบริหารชีวิตให้เป็นสุข คือ ชีวิตของเรามีเพียงชั่วขณะเดียว ขณะหนึ่งเท่านั้น  อายุ 20 ปี มันตั้งอยู่แค่ขณะเดียว เวลาเป็นสิ่งที่ผ่านมาผ่านไป   หากเรายังไม่ได้ทำเท่าที่เราเสียไป เท่ากับว่าเราเสียชีวิตช่วงนั้น ๆ ของเราไป  เราจึงต้องมีความเพียร และมีอัปปมาทะธรรม คือความไม่ประมาท
  • อยากให้ลูกหลาน อยู่อย่างไม่ประมาท มัวเมา ในการทำภาระกรรมของตน ๆ
  • ชีวิตของเรามีแค่ 1 ขณะจิต ขณะนั้นจะสุข ทุกข์ , ดี-ชั่ว, ได้-เสีย : ขึ้นอยู่กับเราเลือก
  • เป็นผู้ซื่อตรง ทำ พูด คิด เรื่องเดียวกัน
-----------------
สรุปโดยคุณปู : 15 ธค. 52
    http://www.onoi.org/index.php?option=com_content&view=article&id=178:2009-12-16-03-43-08&catid=35:2009-04-14-16-21-52&Itemid=59
    4698  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: น้องหมา 2 ขาหัวใจแกร่ง เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 09:01:39







     








    http://picpost.mthai.com/view_picpost.php?cate_id=28&post_id=376913
    4699  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: น้องหมา 2 ขาหัวใจแกร่ง เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 08:59:15

     

     

     

     
     


    4700  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / น้องหมา 2 ขาหัวใจแกร่ง เมื่อ: 12 มีนาคม 2553 08:53:46













    เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบจากมติชนออนไลน์

              ใครที่คิดว่าชีวิตนี้ลำบากเหลือเกิน ทำไมโลกช่างโหดร้ายกับเราอย่างนี้... บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ งานก็ไม่มี เงินก็ยิ่งไม่มี แถมยังอกหัก รักคุด ตุ๊ดเมินอีก โอ้ย...!!! มีอะไรที่แย่กว่านี้อีกไหม ท้อแท้... ท้อแท้... ท้อแท้สุดๆ หมดใจไม่อยากทำอะไรต่อไปแล้ว จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกัน...!!!
              หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังรู้สึกแย่ ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ จนไม่อยากทำอะไร รู้สึกว่าตัวเองสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ทั้งๆ ที่บางทีคุณอาจยังไม่เคยคิดที่จะเริ่มต้นสู้เลยด้วยซ้ำ (ใช่ไหม) ลองดูภาพน่ารักๆ ของเจ้าสุนัข  2 ขาที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา สู้ทนใช้ชีวิตพิการด้วยความมุ่งมั่นตัวนี้ดู แม้มีเพียง 2 ขาผิดจากสุนัขธรรมดาทั่วไป แต่ก็ไม่เคยนอนรอความตาย แถมยังทำอะไรต่อมิอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เรียกได้ว่าเป็น "หมาสู้ชีวิต" เลยก็ว่าได้

              เอ้า!! เห็นอย่างนี้แล้ว มนุษย์อย่างเราๆ จะยอมแพ้มันเชียวหรือ...
    หน้า:  1 ... 233 234 [235] 236
    Powered by MySQL Powered by PHP
    Bookmark and Share

    www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
    Mckaforce Group | Sookjai Group
    Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
    Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
    Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
    หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.123 วินาที กับ 26 คำสั่ง