[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 เมษายน 2567 09:51:04 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 5 6 [7] 8 9
121  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / มาอย่างไร ไปอย่างนั้น เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553 08:23:08


คนเราจะดีหรือชั่วขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเป็นสำคัญ ไม่มีใครหรืออะไรที่จะมาดลบันดาลให้เราเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ได้ ความโชคร้ายหรือโชคดีของชีวิตก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้มีใครกำหนดให้เรา แต่เราเป็นผู้กำหนดเองทั้งสิ้น ด้วยการกระทำต่างๆ ของเราเอง ผู้ฉลาดจึงเลือกทำแต่กรรมดี ส่วนคนโง่ย่อมทำความชั่ว เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ในความเป็นไปของกฎแห่งกรรม

ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ของคนผู้มีปัญญา ที่เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ และได้ปฏิบัติต่อธรรมชาติอย่างถูกต้อง จนได้รับผลดีมีความสุขตามกฎเกณฑ์นั้น ถึงแม้พวกเขาจะสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักที่สุดในชีว ิต แต่ก็สามารถมีรอยยิ้มได้อย่างเต็มใบหน้า เพราะปัญญาที่เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอย่างแท้จริงน ี่เอง

เรื่องมี อยู่ว่า ครั้งพุทธกาลอุบาสกคนหนึ่งอาศัยอยู่ใน กรุงสาวัตถี เขามีบุตรชายผู้เป็นที่รักมาก แต่จู่ๆ บุตรของเขาก็เสียชีวิตลง เขาจึงเศร้าโศกเสียใจมาก ได้แต่ร้องไห้รำพึงรำพันถึงลูกจนไม่เป็นอันกินอันนอน

พระศาสดาเสด็จ ออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ และทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุตามปกติ และทรงเห็นอุบาสกนั้น พอรุ่งเช้าพระองค์จึงทรงอุ้มบาตรเสด็จไปยังบ้านของเข า แล้วได้ประทับยืนอยู่ที่หน้าบ้าน เมื่ออุบาสกทราบว่าพระศาสดาเสด็จมา จึงรีบออกไปนิมนต์ให้เสด็จเข้าไปในบ้าน

พระองค์ตรัสกับอุบาสกนั้นว่า

"ดูก่อนอุบาสก ทำไมหน้าตาของท่านจึงดูเศร้าโศกเหลือเกิน"

เขา จึงกราบทูลพระพุทธองค์ว่า ลูกที่เขารักมากได้ตายจากไปแล้ว จึงเศร้าโศกเสียใจเพราะคิดถึงลูก ครั้นพระศาสดาได้ฟังแล้ว จึงคิดที่จะทำความเศร้าโศกของอุบาสกให้บรรเทาลง จึงตรัสว่า

"ชื่อ ว่าสิ่งที่มีการแตกทำลาย เป็นธรรมดาย่อมจะแตกทำลายไป ชื่อว่าสิ่งที่มีการพินาศไป เป็นธรรมดาย่อมจะพินาศไป สิ่งที่มีการแตกและการพินาศไปนั้น จะมีแก่คนผู้เดียวเท่านั้นก็หามิได้ จะมีในหมู่บ้านเดียวเท่านั้น ก็หามิได้ ชื่อว่าสภาวธรรม คือ ความไม่ตายย่อมไม่มีในภพทั้งสาม ในจักรวาลอันหาประมาณมิได้ แม้สังขารอย่างหนึ่งซึ่งสามารถดำรงอยู่โดยภาวะนั้นเท ่านั้น ชื่อว่าเที่ยงยั่งยืนย่อมไม่มี สัตว์ทั้งปวงมีความตายเป็นธรรมดา สังขารทั้งหลายมีการแตกสลายไปเป็นธรรมดา"

แล้วทรงยกเทศนามา ตรัสเล่าให้อุบาสกฟังความว่า นานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี แคว้นกาสี มีตระกูลพราหมณ์ชื่อว่า ธรรมปาละ ตระกูลนี้เป็นครอบครัวใหญ่ มีพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว ลูกสะใภ้ และคนใช้ ทุกคนชอบเจริญมรณานุสสติ ระลึกนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะทำให้ตนเองไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ฉะนั้นหากใครจะออกจากบ้าน จะต้องให้โอวาทคนที่อยู่ในบ้านก่อนแล้วค่อยออกไป

อยู่มาวันหนึ่ง พ่อกับลูกชายจะออกจากบ้านไปไถนา ลูกชายเห็นหญ้า ใบไม้และฟืนแห้งๆ กองรวมกันอยู่ จึงจุดไฟเผา พอไฟลุกไหม้ก็มีงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากกองใบไม ้ เพราะกลัวถูกไฟเผา เขาไม่ทันระวังตัวจึงถูกงูกัด จนขาดใจตาย หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราชา

เมื่อพ่อรู้ว่าลูกชายตาย จึงบอกกับบุรุษผู้หนึ่งที่เดินผ่านมาตรงนั้นว่า "สหายเอ๋ย ท่านจงกลับไปบอกภรรยาของเราที่บ้านหน่อยเถิดว่าให้อา บน้ำ นุ่งผ้าขาว แล้วเอาอาหารและดอกไม้ของหอม เป็นต้น ที่สำหรับกินได้คนเดียว แล้วให้รีบมาหาเรา"

บุรุษนั้นก็รีบกลับไปทำตามที่พราหมณ์ธรรมปาละบอก ไว้ และเมื่อภรรยาของเขาพร้อมด้วยบริวารมาถึง ก็ยกศพลูกชายขึ้นวางบนเชิงตะกอนจุดไฟเผา โดยไม่มีความเศร้าโศกเสียใจแต่อย่างใด ทั้งหมดได้ยืนพิจารณาซากศพนั้นว่าเป็นเหมือนกับเผาท่ อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น เอง

ลูกชายของเขาที่ไปเกิดเป็นท้าวสักกะนั้น ได้พิจารณาชาติก่อนของตนเอง และบุญที่เคยได้กระทำไว้ จึงทรงคิดที่จะโปรดพวกญาติๆ จึงได้แปลงเป็นพราหมณ์มาในที่นั้นแต่เมื่อเห็นพวกญาต ิไม่ร้องไห้เศร้าโศก เสียใจ จึงถามขึ้นว่า

"คนที่ตายเป็นศัตรูของพวกท่านหรือ?"

เมื่อ ได้รับคำตอบว่าไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นลูกชายที่รักมาก ท้าวสักกะก็สงสัย จึงถามต่อไปว่า "หากเขาเป็นคนที่พวกท่านรัก ทำไมเมื่อเขาตาย พวกท่านจึงไม่เศร้าโศกเสียใจเลยล่ะ"

ธรรมปาละผู้เป็นพ่อจึงบอกว่า "ลูก ของเราละร่างกายอันคร่ำคร่าของตนไป ก็เป็นเหมือนกับงูลอกคราบ เมื่อร่างกายใช้สอยไม่ได้แล้ว ถึงแก่ความตายแล้ว ศพนี้ย่อมไม่รับรู้ว่าพวกญาติร้องไห้คร่ำครวญ ฉะนั้น พวกเราจะร้องไห้ เศร้าโศกถึงเขาทำไมกันเล่า เขาเคยทำกรรมใดไว้ เขาก็จะต้องไปตามกรรมที่เขาเคยทำไว้แล้วนั่นเอง"

ท้าวสักกะจึงถามผู้เป็นแม่ว่า "ผู้ตายนั้นเป็นอะไรกับท่านหรือ"

ผู้เป็นแม่ได้ตอบว่า "เขาเป็นลูกชายของฉัน ฉันอุ้มท้องมาถึง ๑๐ เดือน ให้ดื่มน้ำนม ประคบประหงมมือและเท้าจนเขาโตเป็นผู้ใหญ่"

ท้าว สักกะถามต่อไปว่า "บิดาไม่ร้องไห้ เพราะเป็นบุรุษก็ยกไว้ ส่วนมารดาซึ่งโดยปกติมักจะเป็นคนมีจิตใจอ่อนโยนอ่อนไ หวง่าย แล้วทำไมท่านจึงไม่ร้องไห้ล่ะ"

นางได้ฟังดังนั้น จึงบอกสาเหตุที่ไม่ได้ร้องไห้เพราะลูกตายว่า "ลูกชายของฉัน ฉันไม่ได้เชิญมาก็มาเองจากปรโลก แม้เมื่อจะไปจากมนุษยโลกนี้ ดิฉันก็มิได้อนุญาตให้เขาไปเขามาอย่างใด เขาก็ไปอย่างนั้น ทำไมต้อง ร้องไห้เพราะการเดินทางจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าของเขาด ้วยเล่า ศพของเขาที่ถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกอะไร เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงเขา เขาเคยทำกรรมใดไว้ ย่อมไปตามกรรมที่เขาทำไว้นั่นเอง"

ครั้นท้าวสักกะได้ฟังคำตอบจากแม่แล้ว จึงหันไปถามน้องสาวว่า ไม่รักพี่ชายหรือ หรือจึงไม่เสียใจ นางตอบว่า

"ถ้า ฉันมัวแต่ร้องไห้เสียใจก็จะผ่ายผอม ฉันจะได้ประโยชน์อะไร พวกญาติก็จะพลอยเป็นกังวลไปด้วย พี่ชายของฉันที่ถูกเผาอยู่ ก็ย่อมจะไม่รับรู้ว่าฉันเสียใจเพราะฉะนั้นฉันจึงไม่ร ้องไห้เสียใจถึงเขา"

ท้าวสักกะได้ฟังคำตอบของน้องสาวแล้ว จึงหันไปถามภรรยาในลักษณะเดียวกัน ภรรยาก็ตอบว่า

"ผู้ ใดเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้ว ผู้นั้นก็เปรียบเหมือน เด็กทารกร้องไห้ถึงพระจันทร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ศพของสามีฉันที่กำลังถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รับรู้ถึงการร้องไห้คร่ำครวญ ของฉันและญาติๆ เลย ฉะนั้นฉันจึงไม่ร้องไห้เสียใจเลย"


เมื่อฟังคำตอบ จากภรรยาแล้ว จึงหันไปถามคนรับใช้ซึ่งตอบว่า "ฉันไม่ร้องไห้เสียใจ ก็เพราะคิดว่า หม้อน้ำที่แตกแล้ว จะให้ประสานติดกันอีกย่อมเป็นไปไม่ได้"

ท้าว สักกะครั้นได้ฟังถ้อยคำของทุกคนแล้ว จึงมีจิตเลื่อมใส ตรัสว่า "ท่านทั้งหลาย เจริญมรณัสสติดีแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปพวกท่านไม่ต้องทำไร่ไถนาแล้ว ว่าแล้วก็เนรมิตรบ้านของพวกเขาให้เต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ และให้โอวาทว่า

"ท่าน ทั้งหลาย อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต จงให้ทาน รักษาศีล ทำอุโบสถกรรม" และก่อนจะกลับท้าวสักกะ ก็ได้บอกความจริงแก่พวกญาติว่า ท่านก็คือลูกชายของบ้านนี้ที่ตายไปนั่นเอง

ส่วนพวกญาติยังคงขวนขวาย ในการทำบุญให้ทานปฏิบัติธรรมจนตลอดชีวิต และเมื่อทุกคนตายไปก็ไปบังเกิดในเทวโลก เพราะอานุภาพของบุญที่พวกเขาได้สั่งสมไว้แล้วนั่นเอง
.......

ผู้มีปัญญา เมื่อทราบว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอน
จึงไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต
รีบสั่งสมกรรมดีไว้มากๆ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้กระทำอีกต่อไป
กรรมดีจะช่วยให้เรามีความสุขทั้งในชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป


(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 93 ส.ค. 51 โดยมาลาวชิโร)
122  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / "ภาษารัก"...ทำได้แต่ (บางคน)ไม่ทำ!! เมื่อ: 28 ธันวาคม 2553 08:01:37

การ ที่คนสองคนมีความรักและความรู้สึกที่ดีต่อกันนั้น บางคนเชื่อว่า "การกระทำสำคัญมากกว่าคำพูด" ในขณะที่หลายคน โดยเฉพาะผู้หญิงกลับมองว่า บางครั้งก็อยากได้ยินจากปากบ้าง

หากเอ่ยถึง "ภาษารัก" ภาษาที่นำไปสู่ความเข้าใจ ความอบอุ่นระหว่างคนสองคนไปจนถึงทุกคนในครอบครัวนั้น อาจจำแนกภาษารักได้ถึง 9 ภาษาด้วยกัน ซึ่งเป็นระบบการสื่อสัมพันธ์ของคนทั้งสองให้ตรงตามจร ิงและตามวัตถุประสงค์ มุ่งหวัง เป็นภาษาที่ต้องรู้ เข้าใจ ฝึกให้ดี ใช้ให้เป็นและบริหารให้เกิดประโยชน์

ทั้งนี้ คนสองคนจะเข้าใจและทำให้ครอบครัวอบอุ่นได้นั้น ต้องเข้าใจภาษารักทั้ง 9 ดังนี้

 รัก1. ภาษาใจ

ภาษาที่ว่าด้วยเรื่องการส่งรับด้วยจิตนิ่งเป็นหนึ่ง เมื่อจิตว่าง การรับรู้จะชัดเจน แจ่มใส และแม่นยำ การส่งการรับภาษาใจนี้จะก่อให้เกิดความเข้าใจ และความประทับใจในความสัมพันธ์กันมากซึ่งเป็นความจำเ ป็นพื้นฐานของคนสองคน ที่จะเป็นคู่ชีวิตใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

 รัก 2. ภาษาสายตา

ภาษาที่ลึกซึ้งและเที่ยงตรงที่สุดเพราะหลอกกันไม่ได้ ซึ่งวิธีการส่งภาษาใจออกมาเป็นภาษาตานั้น เพียงแค่ส่งความรู้สึกลึกๆในใจออกมา คนๆนั้นก็จะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกได้ทันที เพราะแววตาของมนุษย์สามารถบอกสิ่งต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นที่มาขอคำว่า "ดวงตา คือหน้าต่างของหัวใจ"

 รัก3. ภาษายิ้ม

ยิ้มเป็นสิ่งที่บ่งบอกและแสดงความเป็นไปของผู้ยิ้ม การกำหนดยิ้ม เกิดจากสภาวะทั้งภายใน ภายนอก และจากอุปนิสัย โดยแบ่งเป็น 3 แบบของยิ้ม คือ ยิ้มแบบมีความสุข ยิ้มแบบเหนื่อยๆ และยิ้มแบบขอไปที การยิ้มมีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้นเราจึงควรฝึกยิ้มให้มีเสน่ห์ และมีความสุขโดยการ ยิ้มจากใจ ยิ้มให้หมด ยิ้มเปล่งประกาย ยิ้มให้พอดี ยิ้มให้ปรากฎ ยิ้มให้ถูกกาละเทศะ ยิ้มให้ถูกวัตถุประสงค์ ยิ้มอย่างทรงพลัง และยิ้มทั้งตา

 รัก 4. ภาษาวาจา

คำพูดทุกคำที่เปล่งออกมาจะมีพลังอยู่ในตัว และซึมซาบเข้าสู่ผู้ฟัง สามารถใช้สร้างสรรค์หรือทำลายก็ได้ ซึ่งพลังแห่งคำพูดมี 2 องค์ประกอบ คือ พลังแห่งเสียงและพลังแห่งความหมาย ดังนั้นจึงต้องกลั่นกรองวาจาก่อนเจรจาใดๆ ทุกครั้งที่พูดให้ใคร่ครวญในสิ่งที่พูดว่าเป็นจริงหร ือเปล่าเพื่อก่อให้เกิด ความเข้าใจตรงกัน ความเข้าใจที่ถูกต้องจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริง เท่านั้น การพูดเท็จจึงเป็นการสร้างความเข้าใจผิด และเป็นการทำลายระบบสัจจะ ก่อให้เกิดปัญหาตามมา

ทั้งนี้อย่าคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความหมายได้เอง ภาษาวาจามีอานุภาพมาก มีทั้งประโยชน์และโทษถ้าไม่ระมัดระวังคำพูด ดังนั้นทุกครั้งที่พูดควรกลั่นกรองคำพูด เพื่อจรรโลงใจยังความรักให้งอกงามสถาพร

 รัก 5. ภาษาท่าทาง

ท่าทางอันจรรโลงรักให้ภาคภูมิ งดงาม และยังความมั่นใจในสัมพันธภาพ คือ บุคคลิกอันงามสง่า กิริยาที่สำรวม อิริยาบถอันสมดุล ท่วงท่าอันมั่นคง และท่าทีจริงจังที่ปล่อยวาง จึงจะได้ความมั่นคงอันอบอุ่น และความสบายใจอันเป็นรากฐานแห่งความสุข

 รัก 6. ภาษาสัมผัส

นับเป็นอีกระบบภาษาหนึ่งที่คู่รักชอบใช้กันเช่นการโอ บกอด การจับมือ ฯลฯ เพราะภาษาสัมผัสเป็นการถ่ายทอด หรือแลกเปลี่ยนพลังระหว่างบุคคล

อย่างไรก็ตาม การสัมผัสนั้นควรมีความพิถีพิถันบรรจง อ่อนโยน ทะนุถนอม นุ่มนวลและหนักแน่นเป็นการเกื้อกูลกันให้เกิดพลังมาก และยังสมานสัมพันธ์ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกที่คนกอดกันบ่อยๆ จับมือเดินไปด้วยกันมักมีความรักที่ไม่เคยเก่าไปสักว ัน

  รัก 7. ภาษาพฤติกรรม

รักแท้ที่จริงมิใช่คำพูด แต่ต้องฉายออกมาจริงทุกระดับทั้งใจ แววตา ยิ้ม วาจา ท่าทาง สัมผัส และพฤติกรรม ดังนั้นภาษา พฤติกรรมจึงเป็นภาษารักแห่งยั่งยืน

  รัก 8. ภาษาสัมพันธ์

สิ่งนี้คือ การจัดสมดุลให้แก่ชีวิตคู่ให้สัมพันธภาพคงอยู่เสมออย ่างบริสุทธิ์ใจ มั่นคง ลงตัว เข้ากันได้อย่างดี ให้คู่รักทั้งสองร่วมกันพัฒนายิ่งๆขึ้น จนกว่าสัมพันธภาพนั้นนิรันดร

  รัก 9. ภาษาแห่งความสงบ

ในบรรดาภาษาทั้งหลาย ภาษาแห่งความสงบเป็นภาษาที่ทรงอานุภาพสูงสุด เมื่อใดที่เข้าถึงความสงบได้ ความสุขจึงปรากฎ ความเข้าใจเที่ยงตรงตามจริงจึงแจ่มชัด ความตั้งใจเชิงสร้างสรรค์จึงพรั่งพรู จรรยามารยาทอันงดงามจึงส่องแสง ความอ่อนโยนจึงยังความอบอุ่นให้บังเกิดสัมผัสจึงทราบ ซึ้ง สัมพันธภาพจึงมั่นคง ดังนั้นภาษาแห่งความสงบจึงเป็นที่สุดแห่งภาษารักทั้ง มวล

ท้าย นี้ หากไม่อยากให้ความรักนั้นจืดจาง ยิ่งนานวันยิ่งเก่า รู้สึกเฉากับชีวิตคู่ ก็ควรเข้าใจ ใส่ใจ มีความละเอียดอ่อน และดูแลซึ่งกันและกันเฉกเช่นวันแรกที่รักกันใหม่ๆ โดยการใช้ภาษารักทั้ง 9 ให้เป็นประโยชน์ แล้วในที่สุดมั่นใจเถอะว่า "คู่แท้"และ"รักแท้" อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม




ขอขอบคุณที่มา .... love4home
123  จากใจถึงใจ / สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก) / Re: เว็บ มาด สะเต้อ ทำไม ไม่ทำห้องลับ ของทีมงาน ผู้ดูแล ล่ะ เมื่อ: 27 ธันวาคม 2553 18:51:41
 ขำ ขำ

พาลคืดถึงกระทู้โล่งๆ  กระทู้นึงซะงั้นแหละ   *-*
124  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: ของขวัญปริศนา เมื่อ: 27 ธันวาคม 2553 18:48:24
 หัวเราะลั่น

อ่ะแฮ่ม...รู้สึกเองนะคะ ว่าลุงน้าแม็กน่าจะเลือก
เพลงแดนซ์หลุดโลกพร้อมเบียร์อีก 10 ลัง
เพราะดูยังไง ๆ  ก็รู้สึกถึงความป่วน กวน ซ่าส์ สุด ๆ
ของคุณลุงอยู่นั่นแหละ  *-*
125  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / แช่อิ่ม แช่อ่วม รวมโรค เมื่อ: 27 ธันวาคม 2553 08:56:09

ผลไม้ดอง ของแช่อิ่ม อาหารว่างที่หลายคนเพรียกหา เพราะรสชาติหวานตัดเปรี้ยว บางคนกินเยอะเสียจนลืมตรองดูถึงส่วนผสมว่าสามารถทำอันตรายกับสุขภาพของคนกินได้อย่างไรบ้าง ซึ่ง นพ.กฤษดา  ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรัวฒน์นานาชาติ มีคำตอบ

@@@@

สมัยเรียนมหาวิทยาลัยจำได้ว่าสาวๆที่คณะจะมีกิจกรรมหนึ่งซึ่งนิยมคือไปหาซื้อผลไม้ดอง ของแช่อิ่มกันมาล้างปากหลังกินข้าวกลางวัน  ซึ่งบรรดาเพื่อนผู้ชายก็สบายไปด้วย  เป็นลาภปากที่ไม่ต้องเหนื่อยยาก

แช่อิ่ม ชวนชิม รสชาติหวานตัดเปรี้ยวแถมจิ้มด้วยพริกเกลือรสเด็ดจนเผ็ดแซ่บลิ้นทำให้คนกินติดใจกันโดยเฉพาะสาวๆ  ราวกับมีต่อมรับรสเพื่อของดองและแช่อิ่มสารพัด  แต่ถ้าจัดอันดับของแช่อิมที่ชวนหนีก็มีอยู่มาก  อยากให้รู้ว่าภายใต้รสสุโค่ยโดยมีน้ำลายสอเป็นแบ็คกราวน์นั้น  อาหารแช่อิ่มกลับกลายเป็นแหล่งรวมผู้ร้ายสารพัดที่จัดให้โดยท่านไม่รู้ตัว  ซึ่งตัวร้ายที่น่ากลัวมีดังต่อไปนี้ครับ

1)เกลือ ตัวร้ายเค็มปี๋ที่น่ากลัวไตวาย  กินไปมากเข้าก็ยิ่งหิวน้ำและในยามปกติเราก็กินอาหารที่ปรุงกันจนเค็มอยู่แล้ว  การกินของดองหรือแช่อิ่มเข้าไปจะยิ่งทำให้ได้เกลือมากขึ้นไปอีก  หรือในท่านที่ชอบกินอาหารสำเร็จรูปรวมถึงแหนม,ไส้กรอก,เบค่อน,หมูยอ  ก็ต้องคอยกะปริมาณเกลือไว้ให้ดีครับ  สำหรับวิธีคิดง่ายๆคือถ้ามื้อนี้กินของดองไปแล้วมื้อหน้าก็ขอเป็นดื่มน้ำตามให้มากและอย่าเติมน้ำปลา,ซีอิ๊ว,โชยุ,ปอนสุและซอสเค็มอื่นๆอีกในอาหารก็แล้วกันครับ

2)ขัณฑสกร  หรือ “หวานเทียม”
ที่เตรียมตัวเกิดอาการ “ติด” ไว้ได้เลย  อย่างคนสมัยก่อนที่มีการใช้ขัณฑสกรนี้อยู่มากก็จะมีอาการติดหวานประเภทที่ฝรั่งเรียกว่า “ฟันเชื่อม (Sweet tooth)” เพราะเจ้าตัวหวานเทียมนี้ให้รสหวานเชื่อมยิ่งกว่าน้ำตาลหลายร้อยเท่า  ทำเอาคนกินนี้ “ติด” ในความหวานถึงขั้นไม่ปล่อย คอยแต่จะกินหวานเติมหวานอยู่ท่าเดียว  เหมือนกับ “น้ำตาลผอม” ที่ว่าไม่มีแคลอรีให้ระคายใจนั้น  ลึกๆแล้วก็จี้ให้สมองติดหวานได้ไม่ต่างจากน้ำตาลอ้วนเลยทีเดียว

3)สีสดใสในของแช่อิ่ม  สีพวกนี้เป็นตัวดีเหมือนกัน  บางอย่างแค่ล้างจากถุงมือคนขายยังล้างไม่ออกเลย  แล้วไส้พุงเราเฉยๆก็คงจะกลายเป็นผ้าใบให้ย้อมสีละเลงเล่นอยู่โดยที่เราไม่เห็น  ซึ่งการติดอย่างเดียวยังพอทำเนาแต่ถ้าเอาพิษเข้ามาร่วมด้วยก็ยิ่งซวยหนัก  เพราะสีบางอย่างเป็นมิตรกับมะเร็ง  ช่วยเร่งภูมิแพ้ในเด็กที่ไวต่อสีพวกนี้ได้  บางทีอาการแพ้ไม่หายสักทีถ้าได้หยุดกินสีพวกนี้เข้าอาจดีขึ้นได้เองเลยครับ

4)กรดเปรี้ยว  เพื่อเพิ่มรสให้จัดจ้านได้ใจคนกินมากขึ้น  เลยใส่กรดเปรี้ยวลงไป  ซึ่งถ้าเป็นกรดในธรรมชาติก็พอทำเนาไม่เอาไส้พุงไปเสี่ยง  แต่บางเจ้าก็เลี่ยงใช้ของดีที่ราคาแพงแต่แต่งรสเปรี้ยวด้วยกรดกำมะถันที่ใช้กันในหม้อแบตเตอรีรสยนตร์  เพราะกลัวจนเลยต้องลดต้นทุน  เจออย่างนี้ก็วุ่นตัวใครตัวมันละครับ  สำหรับกรดกำมะถันนี้แค่มือคนดองยัง “เปื่อย” เพราะมันกัดเรื่อยจนเน่าแฉะ  ว่างๆลองขอแกะถุงมือคนขายดูก็น่าตื่นเต้นดีไม่น้อย(ถ้าเขายังคอยให้แกะอยู่นะครับ)

ความอร่อยที่รวมพิษจากของแช่อิ่มที่ไม่ธรรมดายังมีขั้นกว่า  โดยเฉพาะถ้าน้ำจิ้มหรือพริกเกลือมีผสมผงบ๊วยหรือสีสวยๆลงไปด้วยช่วยชูรส  อดจิ้มไม่ได้เพราะทำให้หวานจัดเปรี้ยวจี๊ดขึ้น  มีเรื่องตื่นเต้นขึ้นมาอีกเพราะถ้าเขาต้องการลดต้นทุนก็อาจใส่ทั้ง “หวานเทียม” และเตรียมรับ “ผงชูรส” ไว้ด้วย  เพราะหลายร้านใช้ตัวช่วยดังนี้ครับ  สังเกตได้จากเห็นมีเกล็ดขาวเป็นเงาวาวปนอยู่กับเกล็ดน้ำตาลป่น  บางทีทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้ำตาลพาลหยิบโรยอาหาร แถมบางท่านใช้โรยขนมครก!

ฟังไม่จืดแต่มีกรณีเกิดขึ้นมาแล้ว และยิ่งถ้าเป็นร้านที่ขายแบบไม่สนใจคนกินก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผงชูรสปลอมแบบเอื้ออาทรแบ่งขายเป็นถุงยักษ์แน่ๆ   เฮ้อ...แค่จะกินผลไม้ให้สบายใจสักทียังหืดขึ้นคอ.


ขอขอบคุณบทความดีดีจาก เดลินิวส์ออนไลน์
126  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ธรรมะคลายเครียดแบบ “ก้อย รัชวิน” เมื่อ: 27 ธันวาคม 2553 08:25:09




ทบทวนปัญหาจะพบสัจธรรม


               ความอ้วน เป็นปัญหาหนักอกของผู้หญิงมาทุกยุคทุกสมัย แต่สำหรับก้อย เธอบอกว่า เรื่องอ้วนๆจัดการได้ไม่ยากแค่รู้จักสร้างสมดุลให้ตัวเอง


                “เมื่อก่อนก้อยเป็นคนตามใจปาก อยากรับประทานอะไรก็ทานโดยไม่คิดเท่าไร แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังมีความสุขกับการกินอยู่ (หัวเราะ) แต่เป็นการกินอย่างมีสติมากขึ้น

 
                “ยกตัวอย่าง ถ้าวันนี้ก้อยรับประทานอาหารกลางวัน เป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หรือแป้งมาก มื้อเย็นก็จะรับประทานอาหารเบาๆ อย่างแซลมอนสลัด หรือซีซ่าร์สลัด และผลไม้แทน เพื่อเป็นการสร้างสมดุลและเปิดโอกาสให้ร่างกายได้รับสารอาหารหลากหลายค่ะ”


              คุณเคยมีอาการสมองไม่ปรอดโปร่ง คิดอะไรไม่ออก ขี้หลงขี้ลืม ตั้งแต่เริ่มทำงานตอนเช้าบ้างไหมคะ ขยับเข้ามาใกล้ๆค่ะ คุณก้อยมีประสบการณ์ดีๆมาเล่าให้ฟัง

 

                “ส่วนใหญ่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯจะมีค่านิยมไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้า หรือดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียวเป็นอาหารเช้า ก้อยก็เคยทำอย่างนั้น แต่มีอยู่วันหนึ่ง มีโอกาสได้รับประทานข้าวในตอนเช้าก่อนเริ่มทำงาน เชื่อไหมคะว่ารู้สึกเลยว่าร่างกายมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที แถมสมองก็ปรอดโปร่ง สดใส ตั้งแต่นั้นมา ก้อยก็จะพยายามรับประทานอาหารเช้าให้ได้ทุกวันค่ะ”

 

              แม้ว่างานจะยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน แต่ทุกครั้งที่มีโอกาส คุณก้อยจะไปออกกำลังกาย หรือไปเที่ยวเพื่อให้รางวัลชีวิตเสมอ

 

                “ตอนนี้ทำงานแทบทุกวัน เวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ถ้ามีเวลาว่างก้อยจะรีบไปออกกำลังกายก่อนเลยค่ะ ก้อยชอบเล่นโยคะ เพราะพอเล่นเสร็จจะรู้สึกผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ นอกจากนั้นก็มีไปเล่นฟิตเนสหรือว่ายน้ำบ้าง แต่ถ้ามีเวลาว่างหลายวัน ก้อยจะชอบชวนเพื่อนหรือครอบครัวไปเที่ยวต่างจังหวัด ซึ่งเป็นการให้รางวัลกับชีวิต แถมยังเป็นการพักผ่อนอย่างแท้จริง เพราะได้ออกไปจากโลกการทำงานวุ่นวาย ไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่ไม่ต้องรีบเร่ง เปิดโอกาสให้เราได้ใช้ชีวิตช้าลง ในขณะเดียวกันเป็นการพักสมองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆในการทำงานด้วยค่ะ”

 

               เมื่อถามว่า “รับมือกับเรื่องเครียดๆอย่างไร” คุณก้อยตอบทันทีค่ะว่าใช้ 2 พ.

 

               เวลามีเรื่องเครียด ก้อยจะโทรไปเล่าให้เพื่อนฟัง บ่อยครั้งเพื่อนก็มักจะมีมุมมองดีๆ ทำให้เราเห็นทางออกของปัญหา หรือด้านดีๆที่เราคิดไม่ถึงเสมอ อีกวิธีหนึ่งก็ใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนานี่ล่ะมาช่วยแก้ปัญหา

 

                “ก้อยว่าการเข้าวัด ทำบุญ ปฏิบัติธรรม ทำได้ตลอดเวลา คนเราชอบคิดถึงสิ่งเหล่านี้ต่อเมื่อมีความทุกข์เท่านั้น ปกติก้อยจะชอบเข้าวัด เป็นประจำ ยิ่งช่วงที่มีเรื่องเครียด จะหาเวลาเข้าวัดไปสนทนาธรรมกับพระ ซึ่งนอกจากจะได้ฟังหลักธรรม คำสั่งสอนดีๆจากท่านแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้เรากลับมาคิด ทบทวนปัญหา จนทำให้เราเห็นสัจธรรมดีๆก็ได้”

 

               เชื่อแล้วใช่ไหมว่า ความเครียดเกิดขึ้นได้ เราก็สยบมันได้ อย่าลืม ปล่อยวางความเครียด แล้วเพลิดเพลินกับความสุขรอบตัวบ้างนะ

 

              Star Tips


               “ทุกวันนี้ ก้อยพยายามพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ จะนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง ซึ่งทำให้สมองปรอดโปร่ง มีเรี่ยวแรงในการทำงาน สดชื่นตลอดวันค่ะ”



ขอขอบคุณที่มา ศูนย์ข้อมูลสุขภาพ สสส.
127  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / ชาวดาวอังคารเรียกอะไรไม่รู้ แต่ชาวโลกเรียกว่า “ความรัก” เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 08:52:11

เราทุกคนต่างต้องเคยมีประสบการณ์ เดินเข้าไปในร้านค้าที่มีแต่ของแพงเกินตัว ร้านค้าที่เต็มไปด้วยข้าวของที่เรารู้ซึ้งว่า ไม่มีทางซื้อได้ นอกจากจินตนาการเอา เวลาเจอประสบการณ์แบบนี้ บางคนก็กล่าวโทษราคาข้าวของแพงเกินไป บางคนโทษตนเองยากจน แต่ถ้าคิดได้ซะว่า “ของนั้นไม่ใช่ของๆเรา” อาการกล่าวโทษ หรือน้อยอกน้อยใจในตัวเองก็คงไม่เกิด

 ที่จริงแล้ว ความคิดเรื่อง“ของๆเรา” นี้ ใช้ได้กับทุกเรื่อง...

ชีวิตคงจะง่ายกว่านี้มาก หากเรารู้ว่า อะไรบ้างที่เป็นของๆ เรา,ที่ไหนคือที่ของเรา,ใครคือคนของเรา,อะไรคือการงานของเรา

ที่จริงแล้ว ชีวิตจะง่ายกว่านี้มากเลย หากเรายอมรับได้ว่า อะไรคือชีวิตของเรา และอะไรคือหัวใจของเรา…

 Laundry ผลงานกำกับฯ และเขียนบทภาพยนตร์เรื่องแรกของ จุนอิจิ โมริ ที่ผ่านงานเขียนบทโทรทัศน์และกำกับละครทีวี.มานานหลายปี ก่อนที่บทภาพยนตร์เรื่อง Laundry ของเขาได้รับเลือกจาก Sundance NHK International Filmmaker Award 2000 จนได้สร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่จุนอิจิลงมือกำกับฯเอง

เทรุ (โยสุเกะ คูโบซูกะ) เด็กหนุ่มที่เคยประสบอุบัติเหตุในวัยเด็ก เทรุมีแผลเป็นที่หัว แต่ใครๆ ก็พาลคิดว่า เขามีแผลเป็นที่สมองด้วย เทรุทำงานเฝ้าร้านซักผ้าหยอดเหรียญ งานของเขาไม่ค่อยนับเป็นงานเท่าไร เพราะแค่เปิด-ปิดร้าน ทำความสะอาดและคอยมองไม่ให้ใครขโมยของผู้คนที่มาร้านซักผ้าหยอดเหรียญต่างก็ดูบ๊องส์ๆ อย่าง นักมวยที่ไม่เคยชนะเลย เวลาแพ้มาก็ชอบมุดไปอยู่ในเครื่องซักผ้า, ผู้หญิงที่ชอบถ่ายรูป วันๆคุยแต่เรื่องถ่ายรูป ,ชายแก่ที่ซักกางเกงในด้วยเครื่องซักผ้าทุกวัน ปากก็พร่ำด่าลูกสะใภ้ที่ไม่ยอมซักให้
 
 
ถ้าเทียบกับบรรดาลูกค้าทั้งหลายแล้ว พี่สาว คนสวยเศร้าๆ ที่ชอบลืมเสื้อไว้ในเครื่องซักผ้า นับว่า ดูปกติที่สุด เสียแต่เธอชอบลืมเสื้อไว้ให้เทรุเอาไปคืนอยู่เรื่อย

 เทรุ เคยตามเอาเสื้อไปคืนเธอครั้งหนึ่ง แต่เธอก็ลืมไว้อีก หนนี้เทรุต้องเดินทางไกลเพื่อเอาเสื้อไปคืนให้เธอ  ด้วยเหตุผลว่า เพราะมันไม่ใช่ของๆ เขา

เธอชื่อ มิซูเอะ(โค ยูกิ) ผู้หญิงที่มีความฝันเล็กๆ แค่อยากทำงานร้านดอกไม้ในโตเกียว แต่ชีวิตต้องมาผิดพลาดเพราะเธอไปตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนที่ทำให้หัวใจของเธอเป็นแผล
ตั้งแต่สูญเสียความเชื่อถือในความรักไป มิซูเอะก็ชอบขโมยข้าวของต่างๆ ที่เธอคิดว่า ตัวเองสมควรได้มัน

จนเมื่อเทรุเอาเสื้อที่ซักจนเก่าไปคืนมิซูเอะ ถึงเสื้อจะเก่า จะเปื่อย เพราะเทรุซักทุกวัน แต่มันก็สะอาด และไร้รอยเปื้อน ด้วยเหตุนี้ มิซูเอะ- ผู้หญิงที่มีแผลที่หัวใจ จึงตัดสินใจอยู่ร่วมกับ เทรุ- ผู้ชายที่มีแผลเป็นที่สมอง

 “เราจะทำยังไงต่อไปดี?” วันหนึ่ง มิซูเอะถาม
“เราทำได้แน่ ถ้าเราสองคน อยู่ด้วยกัน” เทรุตอบ….

ครั้งหนึ่ง เทรุกับมิซูเอะไปทำงานปล่อยนกพิราบในพิธีแต่งงาน พ่อเจ้าสาวเกิดกล้ำน้ำตาไว้ไม่อยู่ปล่อยโฮออกมากลางงาน เจ้าสาวก็พาลร้องไห้ไปด้วย  นกพิราบก็ไม่ได้ปล่อยเพราะเทรุมัวแต่ปรบมือ แต่ความผิดพลาดก็ทำให้การแต่งงานนั้นเป็นที่จดจำ

จะว่าไปแล้ว บ่อยครั้งที่ความผิดพลาดทำให้ชีวิตน่าประทับใจขึ้น คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคิดแบบนั้น แต่เทรุทำให้มิซูเอะคิด

ครั้งหนึ่ง มิซูเอะ พยายามจะกระโดดข้ามแอ่งน้ำตื้นๆ ซึ่งเธอรู้สึกว่า มันลึกเหมือนหุบเหวจนเธอกลัวจะข้ามไม่พ้น พอมีเทรุยืนดูอยู่ข้างๆ มิซูเอะก็กระโดดสุดแรงข้ามแอ่งน้ำตื้นๆ ของเธอจนพ้น   

ที่จริง เมื่อมิซูเอะกระโดดพ้นแอ่งน้ำได้ ดูๆไปแล้ว เทรุออกจะดีใจกว่าเธอเสียอีก

คืนหนึ่ง เทรุ เล่านิทานให้มิซูเอะฟัง เรื่องของชายผิวปากที่ชีวิตมีความสุขครั้งใดเป็นต้องผิวปาก แต่เทรุจำตอนจบของนิทานไม่ได้ เขาไม่รู้ว่า มันจบด้วยความสุข หรือความเศร้า เทรุรู้แค่ว่า หลังจากผ่านเรื่องพลัดพราก สูญเสียของรัก เรือแตกจมกลางทะเลมาแล้ว ชายคนนั้นยังผิวปากอยู่

เทรุคิดว่า ชายผิวปากคงดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่...

อันที่จริง เทรุกับมิซูเอะไม่รู้หรอกว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งคู่ ควรเรียกว่าอะไร? แต่ก็มีคนบอกพวกเขา ว่า

“อย่างนี้น่ะ ชาวดาวอังคารเรียกอะไรไม่รู้ แต่ชาวโลกเรียกว่า “ความรัก” ”

จะว่าไปแล้ว ทุกชีวิตล้วนมีแผล...แผลเป็นที่ไม่รู้เมื่อไรจะหาย

แต่ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันนี้ มีความจริงอยู่ว่า ไม่มีแผลเป็นไหนที่ไม่จาง ถ้าผ่านกาลเวลา ไม่มีรอยเปื้อนใดที่ซักไม่ออก ถ้าซักไปเรื่อยๆ และไม่มีความผิดพลาดใดที่ไถ่ถอนไม่ได้ ถ้าได้รับการให้อภัย 

Laundry หยิบเอาเรื่องราวความรักของผู้คนที่ชีวิตขาดพร่องมาผูกเป็นภาพยนตร์รัก โรแมนติด ถ่ายทำสวยงาม เพลงไพเราะ เนื้อเรื่องเรียบง่าย แต่วิธีการบอกเล่าประทับใจ คล้ายดูการ์ตูนชวนฝันสำหรับเด็ก แต่กลับมีเนื้อหาลึกซึ้งแบบคนที่ผ่านโลกมาแล้ว

วิธีเล่าเรื่องของ Laundry คล้ายการ์ตูนสามช่องจบ สอดแทรกทุกอารมณ์ ทั้งสนุก ซาบซึ้ง ตลกปนๆ กันไป บอกไม่ได้ว่า ฉากไหนเด่น ฉากไหนสำคัญ แต่เมื่อทุกเหตุการณ์สั้นๆ เรียงร้อยอยู่ด้วยกันจนจบก็ได้เรื่องเล่าเรียบง่ายที่มีเสน่ห์น่ารักแทรกอยู่ คล้ายเป็นการรวมกันของเรื่องราวที่ไม่สำหลักสำคัญอะไร แต่ให้ความรู้สึกอิ่มเอมเมื่อดูจบ

อาจเพราะโลกนี้มีข้าวของเยอะเกินไป มนุษย์เราจึงตกเป็นทาสของความรู้สึกขาดพร่องอยู่ตลอดเวลา โลกทั้งโลกเต็มไปด้วยเรื่องราวของความขาดแคลน เราทุกคนต่างรู้สึกขาดหาย เว้าวิ่น โลกที่เราอยู่จึงกลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยข้าวของที่เราอยากได้แต่ไม่เคยได้ แทนที่จะเป็นโลกที่เรารู้สึกสบายอก สบายใจที่ได้มี ได้อยู่ ได้ยืนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน
Laundry หนังที่บอกเล่าเรื่องราวเรียบง่าย เกี่ยวกับข้าวของๆใครก็เหมาะกับคนๆ นั้น“ของ”ที่เป็นของใครของมัน ชีวิตใครชีวิตมัน เปรียบเทียบกันไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะน้อยอกน้อยใจ ไม่มีประโยชน์ที่จะยื้อแย่งเอามาเป็นของตัว

ในโลกที่เต็มไปด้วยความขาดพร่องแบบนี้ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนแบบมิซูเอะ คนที่อยากได้อะไรก็หยิบฉวย ขโมยมาเพราะเธอคิดว่า ตัวเองสมควรได้

แต่สำหรับเทรุ ไอ้เรื่องข้าวของนี้ คุณยายเคยสอนเขาไว้ว่า“ของที่เหมาะกับคนๆ หนึ่ง อาจไม่เหมาะกับคนอีกคน”

ตอนท้ายของหนัง มิซูเอะถูกตำรวจจับเพราะขโมยของ เทรุเสียใจมาก ไม่ใช่แค่เพราะเขาจะต้องอยู่ตัวคนเดียว แต่เพราะความปรารถนาอย่างเดียวในชีวิตเขาก็คือ คอยดูไม่ให้คนขโมยของ

เช้าตรู่ วันที่มิซูเอะพ้นโทษออกมาจากคุก เธอนั่งรถเมล์ประจำทางไปอย่างเดียวดาย เธอได้เห็นชีวิตผู้คนยามเช้าเริ่มต้นชีวิตประจำวัน และได้พบเทรุ –ชายร้านซักผ้าหยอดเหรียญ ที่ยังยืนยันความจริง ข้อเดิมกับเธออีกครั้ง ว่า

รอยเปื้อนซักได้ ชีวิตก็”ซักได้”...

อย่างที่บอก ชีวิตเราจะง่ายกว่ามาก ถ้าหัวใจเรายอมรับเรื่องง่ายๆ พื้นๆ ได้ว่า
อะไรบ้าง ที่เป็นของๆ เรา และอะไรไม่ใช่...


 ……………………………………………………..

Laundry : กำกับฯ และเขียนบทภาพยนตร์ : จุนอิจิ โมริ / กำกับภาพ :โคโซ  ชิบาซากิ / ลำดับภาพ : ฮิโรชิ  มัทซูโอะ / กำกับศิลป์ : ฮิซาชิ  ซาซากิ/ดนตรีประกอบ : เซนทาโร่ วาตานาเบะ / แอนนิเมชั่น : มายา แม็กซ์ / นำแสดง : โยสุเกะ คูโบซูกะ, โคยูกิ , ทาคาชิ นาอิโตะ ฯลฯ

 
 ที่มา  ความรักดอทคอม
 
128  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / ชีวิตเป็นของเรา... เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 08:44:54






เราสามารถวาดฝันและลิขิตให้เป็นไปได้...
เช่นเดียวกับวิศวกร....
แต่แตกต่างกันที่วิศวกรออกแบบถนน..
โดยพยายามเลี่ยงอุปสรรค...
ส่วนมนุษย์ออกแบบชีวิต..
โดยการเผชิญกับอุปสรรคที่ขวางกั้น...


ถ้าจะเปรียบกับนักเดินทาง...
การตัดสินใจ...
และการกระทำที่ถูกต้อง...
ก็เหมือนกับการวางแผน..
เลือกเส้นทางที่ถูก..
ทำให้ไม่อ้อมค้อม..หรือพลัดหลงทาง...

คนเป็นจำนวนมาก...ดำเนินชีวิตไปตามยถากรรม...ไปวัน ๆ...
โดยไม่มีการวางแผนชีวิต..
เพื่อเป็นแปลนไปสู่ความสำเร็จ...
และที่แย่ไปกว่านั้น...
ก็คือ...ยอมให้คนอื่นมาบงการชีวิต..
หรือไม่ก็ลอกเลียนแบบเอาอย่างคนอื่น..
เพื่อหลอกลวงว่า...
ตนเอง...มีความสุข...

การประเมินหรือกำหนดคุณค่า...ของตนเอง..
ขึ้นอยู่กับ... “ระดับการนับถือตนเอง”....
และ... “ความเชื่อมั่นในตนเอง”....
ถ้าราปล่อยให้ความเชื่อมั่น...
ความนับถือ...ตนเอง...ของเรา...
แบบขึ้น ๆ ลง ๆ ...
ตามความคิดของคนอื่น...
นั่นเพราะ...
เราไม่สามารถประเมินค่าตนเองได้ถูกต้อง...

ทิศทางของเส้นทางชีวิตของเรา...
ถูกกำหนดโดยคนอื่น...
เราจึงไม่สามารถ..ยืนหยัด..อยู่ได้ด้วยตนเอง...

การรู้จักคุณค่า..
และความสามารถของตนเอง..
จะทำให้เรา...สามารถสร้างหนทาง...
สู่จุดหมายที่เราใฝ่ฝันได้....


ดังนั้น...คุณสมบัติของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ..
จะต้องประกอบด้วย..

>>>…ความตั้งใจแน่วแน่
>>>…ความมั่นใจ...ความต้องการที่จะพัฒนาตนเอง...
>>>…และเปิดกว้าง..พร้อมที่จะศึกษาและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ...


และขอให้เราพึงระลึกอยู่เสมอว่า...
เราสามารถทำได้...
ตราบใดที่เรา...ยังมีลมหายใจอยู่...


บทความ..โดย..ชายน้อย..
ที่มา ทำดีดอทเน็ต
129  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / 20 อาหาร เพื่อสมองสดใส เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 08:32:55


เมื่อเร็ว ๆ นี้เห็นมีข่าวเด็กไทย IQ ต่ำ เพราะว่าขาดไอโอดีน แต่รู้มั้ยว่านอกจากนั้นแล้ว สมองของเรายังต้องการสารอาหารอีกมากมาย เพื่อให้เฉียบแหลมอยู่เสมอ

1.บลูเบอร์รี่

ลูกเบอร์รี่ต่าง ๆ คือหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เรา และบลูเบอร์รี่ก็ดีต่อสมองมาก ๆ เนื่องจากมีใยอาหารสูงแต่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หมายความว่า ผู้ป่วยเบาหวานก็กินได้โดยที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเฉียบพลัน เคยมีการศึกษามากมายที่ชี้ว่า มันจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลี่ยงบลูเบอร์รี่เชื่อม หรืออบแห่งเท่านั้นล่ะค่ะ

2.แซลมอนธรรมชาติ

กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า-3 เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสมองมาก ไขมันที่มีประโยชน์นี้มีความเกี่ยวพันกับสติปัญญา ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ชะลอความเสื่อมถอยของระบบประสาทส่วนกลาง พัฒนาความจำ ทำให้อารมณ์ดี และลดโอกาสเกิดโรคซึมเศร้า หรือโรคสมาธิสั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็ให้เลือกแซลมอนตามธรรมชาติดีกว่าแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยงนะคะ

3.ทับทิม

คนรักทับทิมควรจะกินจากผลสด ๆ มากกว่าดื่มน้ำคั้น เพราะจะได้ใยอาหารด้วย ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่ ซึ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับสุขภาพของสมอง เพราะสมองคืออวัยวะแรก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากความเครียด ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ช่วยระงับความเครียดได้จะดีต่อสมองเช่นกันนะคะ


4.กาแฟ

เมล็ดกาแฟคล้ายกับเมล็ดโกโก้ตรงที่มันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะผงกาแฟจากเมล็ดที่บดใหม่ ๆ จะมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและร่างกายมาก ส่วนกาเฟอีนก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อสมองเช่นกัน การดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยชะลอไม่ให้สมองเสื่อมถอย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือโรคหลงลืมได้จริง แม้กระนั้นก็ยังมีคำถามว่า ตกลงแล้วกาแฟมีประโยชน์หรือเปล่า ปัญหาอยู่ที่เรามักจะผสมกาแฟกับของที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น ครีม น้ำตาล ช็อกโกแลต หรือวิปครีม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มทั้งสารเคมีและไขมันให้แก่กาแฟ ความจริงแล้วเมล็ดกาแฟเป็นของปลอดภัย ยิ่งถ้าเป็นเอสเพรสโซ่เพียว ๆ ยิ่งดีต่อทั้งหัวใจและสมองเลยล่ะ

5.ถั่ว

ถั่วมีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยู่ในถั่วจะทำให้เราแจ่มใสได้ ในขณะที่โปรตีนและไขมันจะช่วยให้พลังงานคงระดับตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง แต่อย่างไรก็ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลือบน้ำตาล หรือปรุงรส ส่วนทางเลือกที่ดีก็มีตั้งแต่เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัต และอัลมอนต์ ส่วนแมคคาเดเมียนั้นมีปริมาณไขมันมากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ

6.ทูน่า
นอกจากจะเป็นแหล่งของโอเมก้า-3 แล้ว ปลาทูน่า โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลือง ซึ่งมีระดับวิตามินบี 6 สูงกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ วิตามินบี 6 นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความจำและสติปัญญา รวมถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาวของสมอง โดยรวมแล้ววิตามินบีคือ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการรักษาอารมณ์ให้คงที่ แต่วิตามินบี 6 จะส่งผลต่อการรับสารโดพามีนที่เป็นหนึ่งในฮอร์โมนความสุขเหมือนกับเซโรโทนิน


7.ข้าวกล้อง

ด้วยความที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ข้าวกล้องจึงดีมาก ๆ สำหรับคนที่แพ้กลูเธนเพื่อให้สุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแข็งแรงขึ้น ยิ่งระบบไหลเวียนโลหิตของเราดีเท่าไหร่ สมองก็ยิ่งเฉียบแหลมมากเท่านั้น

8.ชาเขียว

ชาเขียวนี้คือ มัตชะ ชาเขียวจากใบชาอ่อน ๆ ที่ผ่านกรรมวิธีบดด้วย หินตามแบบฉบับญี่ปุ่น เมื่อเราดื่มชาเขียวเหล่านี้เข้าไป ก็เหมือนกับเราดื่มใบชาเข้าไปทั้งใบ ผงชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลด์จึงทำให้มีสีเขียวสด เมื่อผสมเข้ากับน้ำร้อน (แต่ไม่เดือด) จะมีรสชาติฝาดนิด ๆ และเพียงแก้วเดียวก็ทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งได้ ว่ากันว่า มัตชะคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้พระสงฆ์ญี่ปุ่นสามารถนั่งสมาธินาน ๆ ได้ แต่ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์แล้วมัตชะมีสารที่ชื่อว่า Catechin วิตามินเอและซี ฟลูออไรด์ และสาร L-Theanine ซึ่งช่วยในเรื่องสมาธิ แค่เฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเดียวก็มีมากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 33 เท่า

9.เมล็ดพืช

ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดฟักทอง หรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ก็ล้วนมีโปรตีน ไขมัน วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุซึ่งช่วยเสริมสร้างสมองอย่างแมกนีเซียม

10.ข้าวโอ๊ต

ถ้ามันดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็แปลว่ามันดีต่อสมองของเราด้วย ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีนอยู่พอสมควร หรือแม้แต่โอเมก้า-3 ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง การกินข้าวโอ๊ตตอนเช้าจะช่วยให้เราแจ่มใส และไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่ายด้วย

11.หอยนางรม

ไม่ใช่หอยทุกชนิดจะเป็นอาหารสมองได้ แต่หอยนางรมน่ะใช่แน่ ๆ เพราะมีทั้งซีลีเนียม แมกนีเซียม โปรตีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสมอง ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองพบว่า คนที่กินหอยนางรมมีความจำและอารมณ์ดีขึ้นด้วย


12.ผักใบเขียว

ผักโขม คะน้า ปวยเล้ง บร็อกโคลี่ กวางตุ้ง ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะชอบผักใบเขียวชนิดไหน ควรพยายามกินทุกวัน ผักใบเขียว อุดมด้วยธาตุเหล็ก ถ้าขาดธาตุเหล็ก ก็อาจมีโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น กลุ่มอาการขาอยู่ไม่เป็นสุข (Restless Legs Syndrome) อาการเหนื่อยล้า อารมณ์เสีย สมองตื้อตัน และปัญหาสภาพจิตอื่น ๆ

13.มะเขือเทศ

แม้ใคร ๆ จะรู้กันว่ากินมะเขือเทศแล้วผิวสวย แต่มะเขือเทศเองก็จัดว่าเป็นอาหารสมองชั้นดีเหมือนกัน เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่าไลโซปีน จึงช่วยป้องกันโรคหลงลืมได้ เพียงแต่ต้องผ่านความร้อนก่อนเพื่อให้เรารับไลโคปีนได้เต็มที่ อย่างนี้ก็หมายความว่าซอสมะเขือเทศ ก็มีประโยชน์น่ะสิ? จริง แต่ว่าซอสมะเขือเทศก็มากับน้ำตาล เช่นกัน หากเป็นไปได้ก็ทำอาหารเองจะดีกว่านะ

14.น้ำมันมะกอก

อย่าลืมว่าร้อยละ 60 ของสมองคือไขมัน ดังนั้น เราไม่สามารถมองข้ามไขมันไปได้ การศึกษาจำนวนมากชี้ว่า ถ้าไม่มีไขมันแล้วเราจะคิดอ่านไม่ชัดเจน อารมณ์แปรปรวน และอาจเป็นโรคนอนไม่หลับ การกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันนั้นจำเป็นมาก ๆ ต่อสมองที่ปลอดโปร่ง ความจำที่ดี และอารมณ์ที่สมดุล ทั้งนี้ อาหารสำเร็จรูปขนมกรุบกรอบ หรือแม้แต่น้ำราดสลัดส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันอื่น ๆ ที่มีไขมันโอเมก้า-6 ตรงนี้ต้องคอยสังเกตไว้ ถึงจะชื่อว่าโอเมก้า-6 แต่ก็ไม่ใช่ไขมันที่ดี

15.น้ำสะอาด

เพื่อสมองที่แจ่มใส จะขาดน้ำเปล่าไปไม่ได้ อย่าลืมหาโอกาสจิบน้ำเปล่าตลอดทั้งวัน (และสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย) การดื่มน้ำเปล่ากับสูดอากาศจะช่วยเพิ่มพลัง และทดแทนออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ ทำให้สมองของคุณไม่รู้สึกเหนื่อยล้ามากเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม ต้องหลีกเลี่ยงน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ของพวกนี้มีทั้งน้ำตาล และกาเฟอีนอยู่ในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเสพติดได้เลยทีเดียว

16.ผงกะหรี่

เครื่องปรุงนี้เป็นหนทางที่ดีในการเพิ่มรสชาติ ให้แก่สมอง ส่วนประกอบหลักในผงกะหรี่ คือขมิ้น และขมิ้นก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย มันจะช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสมองและร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย เพียงแค่เดือนละครั้งที่กินกะหรี่ก็มีผลดีต่อสมองแล้วล่ะ


17.ไข่

มีทั้งโปรตีนและไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้

18.โยเกิร์ต

เป็นอาหารว่างที่ง่ายและมีประโยชน์ด้วยโปรตีนและแคลเซียม โปรตีนสำคัญมาก ต่อสารสื่อประสาทที่จะช่วยให้สมองแจ่มใส ส่วนแคลเซียมก็ช่วยในเรื่องของความจำ แต่ก็ต้องดูว่าโยเกิร์ตนั้น ไม่มีน้ำตาลมากเกินไป ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็ลองกินคู่กับธัญพืชต่าง ๆ เพื่อเป็นของว่างเมื่อไหร่ก็ได้ที่หิว

19.ช็อกโกแลต

ไม่ว่ารสชาติหรือประโยชน์ช็อกโกแลตก็ดีตรงที่มีสารช่วยกระตุ้นสมอง มีปริมาณกาเฟอีนในระดับที่พอเหมาะ เพิ่มสารเซโรโทรนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ ดาร์กช็อกโกแลตยังมีใยอาหารจำนวนมาก (ยังจำกันได้มั้ย ใยอาหาร = หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง = สมองแข็งแรง)


20.กระเทียม
ถ้าไม่สงสารคนนอนข้าง ๆ ก็กินกระเทียมสด ๆ เลย เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ กระเทียมเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่เพียงแต่มันจะมีชื่อเสียงในเรื่องการลดระดับคอเลสเตอรอล "เลว" และทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง กระเทียมยังช่วยส่งสารต้านอนุมูลอิสระไปที่สมองด้วย



Did You Know?

แม้ว่าสมองจะหนักแค่ 2% ของน้ำหนักตัว แต่ก็ใช้สารอาหารและออกซิเจนถึง 20% ของทั้งหมดในร่างกาย

การมองอนาคตในแง่ดีก็จะช่วยสมองได้ เนื่องจากเป็นการขับไล่ความเครียดและความวิตกกังวลในแง่หนึ่ง

สมองเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกาย การออกกำลังจึงช่วยทำให้สมองแข็งแรงได้ด้วยเช่นกัน



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร LISA
130  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / 4 ตัวช่วย ในวันที่คุณ… หมดกำลังใจ เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 08:14:08


1. นึกถึงตัวเราเอง อย่างคนนอกมองเข้ามา เป็นคำตอบที่ได้มาเยอะมากที่สุดในการหาข้อมูล การนึกถึงตัวเราเองในที่นี้คิดได้ในหลายแง่ เช่น มองสภาพที่เห็น ให้เป็นไปตามสิ่งที่มันเป็น อย่าเข้าข้างตัวเองเกินไป ทำตัวเป็นคนนอก แล้วดูว่าถ้าเราเป็นคนนอก เราจะคิดอย่างไร และที่สำคัญที่สุด เวลามีปัญหาสิ่งที่ควรจะมีเป็นสิ่งแรกคือสติ ดั่งคำกล่าวที่ว่า สติมาปัญญาเกิด

  2. อยู่กับคนที่เรารัก เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง ผู้มีพระคุณ เพื่อนฝูงหรือคนที่เรารัก ทุกบุคคลที่ยกตัวอย่างมา ในชีวิตของคนเราคงต้องมีซักคนที่กล่าวมาแล้วเกี่ยวข้องในชีวิตของเรา และ อย่างน้อยน่าจะมีซักคนที่เราคิดถึงหรือนึกถึงในช่วงเวลาที่เรารู้สึกแย่ๆกับ ปัญหา บางครั้งในขณะที่เราจมอยู่กับปัญหา คำตอบที่เราไม่สามารถหาได้ ทางออกดีๆหรือคำตอบของปัญหาต่างๆอาจจะมาจากคนรอบๆข้างเราก็ได้ เพียงแต่เปิดใจให้กว้างและรับฟังความคิดของคนอื่น การคุยกับเพื่อนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด เป็นสิ่งที่ดีในยามที่เรามีปัญหา อย่างน้อยที่สุดการได้ระบายความรู้สึกออกมาก็พอจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายว่ามีคนรับฟังเรา จะได้ไม่รู้สึกว่าโลกนี้มีแต่เราเพียงคนเดียว


  3. ธรรมะ คน หลายๆคนจะนึกถึงธรรมะเมื่อมีปัญหาคงจะไม่ใช่สิ่งผิดที่จะคิดอย่างนั้น เพราะธรรมะเป็นเรื่องของการฝึกจิตใจให้ยอมรับความเป็นไปของโลกนี้ การฝึกนั่งสมาธิไม่ใช่เรื่องยากและยังเป็นที่นิยมในคนยุคใหม่ ถ้าคุณผู้อ่านยังไม่มีโอกาสได้ไปลองหาเวลาไปดูนะครับ อาจจะทำให้ใจที่มันร้อนอยู่ตอนนี้เย็นลงได้ แต่คงจะเป็นการดีกว่าที่เราจะเรียนรู้เรื่องของธรรมะ ตั้งแต่ตอนที่เราไม่มีปัญหาเพื่อจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราเวลาเราต้องเผชิญ กับสิ่งร้ายๆที่เข้ามาในชีวิต

   4. ปลง คำๆ เดียวง่ายๆ แต่มีความหมาย ยากที่จะทำได้ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะทำ ปลงในที่นี้คือการทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ตัวเราคงจะไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือการทำจิตใจของเราให้ยอมรับสิ่งที่มัน เป็นไป ปลงในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต แต่เป็นการปลงเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่และก้าวต่อไป เพื่อเจอกับสิ่งที่ดีกว่าที่จะเข้ามาในชีวิต

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://sakid.com/2010/12/11/27292/
131  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / เพื่อนชวนกินขนมตลอด ทำไงดีนะ? เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 08:57:28



Q: เพื่อนที่ทำงานชอบซื้อขนมหวานมากินกันอยู่เรื่อย และฉันก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้สักที ฉันจะสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ได้ยังไงโดยน้ำหนักไม่ขึ้น

          A : คุณไม่จำเป็นต้องบอกผ่านของชอบไปซะทั้งหมดก็ได้ ตราบเท่าที่คุณวางแผนล่วงหน้า เพื่อลดความเสียหายไว้ก่อน อย่างเช่น

             หัวเราะลั่น  ให้ตัวเองอิ่มไว้ก่อน ถ้าคุณกินอาหารเช้าและอาหารกลางวันที่อิ่มพอดี คุณก็จะไม่หิวโซ และสามารถกินของอร่อยได้เล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่กินมากเกินไป

               ;Dเลือกของกิน ให้ มีปริมาณสัก 200 แคลอรี อย่างคัพเค้กครึ่งชิ้น หรือโดนัทครึ่งอัน แล้วให้เอาของที่เหลืออยู่ไปไว้ไกล ๆ เลยนะ จะได้ไม่อยากหยิบมากินต่อ

               ;Dหาอะไรทำ ถ้ามีงานยุ่งตลอดเวลาก็คงไม่มีเวลามาอยากกินอะไรหรอก

               ;Dดื่มแทนกิน หาเครื่องดื่มที่แคลอรีต่ำอย่างชา กาแฟไม่ใส่ครีมหรือน้ำตาล แล้วก็โกโก้แคลอรีต่ำมาจิบแทน

               ;Dหาเพื่อนใหม่ ถ้าเพื่อนคนนี้ชวนกินแต่ของอ้วน ๆ ก็ลองเปลี่ยนไปคบเพื่อนที่เน้นกินของที่ดีต่อสุขภาพบ้าง อิอิ


ขอขอบคุณที่มา  kapook.com

132  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / ของขวัญปริศนา เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 08:22:30
ถ้าคุณได้ของขวัญชิ้นโต คุณอยากเปิดออกมาเป็นอะไร ห้ามดูเฉลยก่อนนะคะ เดี๋ยวไม่สนุกค่ะ

         ตลก เค้กช็อกโกแลตขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง

          (:Y:)กุหลาบสีชมพูช่อใหญ่กับเทียนหอม จุดไว้ตรงมุมห้อง

          (:Y:)ทุกคนใส่ชุดฮาวายคล้องพวงมาลัย เตรียมฉีดฟองแชมเปญใส่คุณ

         ตลก เช็คของขวัญ 5,000 บาท

         ตลก สายรุ้งสารพัดสี ที่เพื่อนซี้โยนใส่คุณ ฮูเร่!

        (:Y:)หนุ่มหล่อ หุ่นเท่ที่เพื่อนขนมาให้คุณเลือก

         ตลก เพลงแดนซ์หลุดโลก และเบียร์อีก 10 ลัง!




      มาดูเฉลยจากข้อที่คุณเลือกกันคะ

              รัก เค้กช็อกโกแลต

        คุณยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก งอแง แสนซน ดื้อดึงและเอาแต่ใจ คุณยังไม่พร้อมที่จะผูกพันรักใครกับใครจริงจัง

               รัก กุหลาบสีชมพู

        คุณเป็นคนโรแมนติก ชอบสวีทหวานแหววพร้อมที่จะรักใครซักคน และคุณจะเป็นคนรักที่น่าทนุถนอมที่สุดแม้จะขี้หึงอยู่ไม่น้อยก็เหอะ

                    รักชุดฮาวาย - แชมเปญ

        คุณเป็นคนกล้ารักกล้าเจ็บ บางทีคุณก็จีบคนที่คุณปิ๊งก่อนสนใจแต่ความสุขและความพึงพอใจ ไม่ต้องการให้กฎเกณฑ์ใด ๆ มาจำกัดอิสระของใจ แต่คุณก็เป็นคนช่างเพ้อฝันในเรื่องรักมากเหมือนกัน

             รัก   เช็คของขวัญ

        คุณเป็นคนที่สนใจความมั่นคงในชีวิต มากกว่าที่คิดจะมองหาความรักคุณมักจะ ตั้งใจเรียนหรือทำงานแล้ว ค่อยรอให้พระเจ้าถีบส่งใครคนนั้นมาหาหรือว่าอาจจะจับฉลากได้ อิอิ คุณไม่เคยแอบมองใครเลย และถ้ามีรักเมื่อไหร่มันก็จะจบลงได้ง่ายมาก ... เศร้า

               รัก สายรุ้งสารพัดสี

        คุณเป็นคนน่ารัก มักจะชอบตามใจเพื่อน ไม่คิดอะไรมากมายถ้าหากปิ๊งใครซักคน คุณก็จะรอให้เค้าเข้ามาจีบและก็ออกเดทกันซักพัก ถึงจะสรุปได้ว่าจะรักเขารึเปล่า

              รัก  หนุ่มหล่อ

        คุณเป็นคนที่สนใจในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ คุณ

               รัก แดนซ์หลุดโลก

        คุณเป็นคนรักอิสระ รักสนุก ปัญหาใด ๆ ไม่เคยทำให้คุณเครียดได้นาน คุณอาจจะส่งยิ้มหวานให้ใครต่อใครได้เสมอ แต่จะเก็บรักไว้ในใจ ไม่กล้าบอกคน ๆ นั้นเสียที อะแฮ่ม!




ขอขอบคุณบทความดีดีจาก  mcot.net
133  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ^ความลับ^ ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืนที่สุดในโลก เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 08:09:49


หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า "ประเทศญี่ปุ่น" เป็นชาติที่มีอายุขัยยืนยาวมากที่สุดในโลก ซึ่งนี่ถือเป็นการครองแชมป์มากกว่า 20 ปี แล้ว โดยมีอายุเฉลี่ยเกิน 100 ปี มากกว่า 20,000 คน เลยทีเดียว และเมื่อแยกย่อยลงไปในรายละเอียดต่างๆ จะพบว่าสุขภาพร่างกายของคนญี่ปุ่นมีคอเลสเตอรอลต่ำ ไม่ค่อยเป็นโรคอ้วนกับโรคหัวใจ

          นี่เองที่ทำให้ใครต่อใครต่างอยากรู้เคล็ดลับว่าทำไม "คนญี่ปุ่นถึงมีสุขภาพที่ดีได้ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารญี่ปุ่นชาวอังกฤษคนหนึ่ง ได้มีการทำสำรวจเกี่ยวกับอายุขัยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเทียบวิเคราะห์ถึงเหตุผลและปัจจัยอันเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวของคน ญี่ปุ่นว่า"

          รัก เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึงมีคอเลสเตอรอลต่ำ?

          รัก เพราะอะไรคนญี่ปุ่นถึง มีอัตราการตายจากโรคหัวใจต่ำ?

          รัก และเพราะอะไรสุขภาพของ คนญี่ปุ่นถึงเป็นแบบนี้ได้?

          กระทั่งพบ "ความ ลับ" ว่า "อาหารญี่ปุ่น" คือตัวช่วยเสริมสุขภาพคนญี่ปุ่นให้ไม่มีปัญหาจากโรคภัยที่กล่าวมาได้ทั้งหมด อาหารที่ว่า เช่น ปลาดิบ - ซุปมิโซะ – เต้าหู้ – สาหร่ายคอมบุ (จากน้ำอุ่น) สาหร่ายโนริ (จากน้ำเย็น) เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่มีคอเลสเตอรอลต่ำ ปราศจากไขมันอิ่มตัว มีไอโอดีนและแร่ธาตุสูงมาก อีกทั้งยังมีอนุมูลเล็กๆ ที่ช่วยเสริมสุขภาพให้ดี ช่วยให้อาหารอร่อยยิ่งขึ้นด้วย

          และเมื่อเจาะจงข้อมูลลงไปในพื้นที่ประเทศญี่ปุ่น ยังมีสิ่งที่น่าสนใจนั่นคือ พบว่า คนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะโอกินาวา อัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ น้อยกว่า ส่วนอื่นในพื้นที่ของประเทศญี่ป่นและประเทศอื่นๆ ทั้วโลก

          นั่น เพราะ ชาวโอกานาวา มีการบริโภคน้ำตาล 25% เกลือ 20% และรับประทานผักเป็น 3 เท่า รับประทานปลามากกว่าเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีโอเมก้า 3 ที่สำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง เสริมสร้างระบบประสาท ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และ ไตรเอซิลกลีเซอรอลในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหน้าองค์ประกอบของเกล็ดเลือด ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือด และโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกัน โรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ ที่ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย

          "อาหารทะเล" จึงเป็นเสมือนยาอายุวัฒนะ หรืออาหารวัคซีน ที่ช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ซึ่งทำให้ชาวโอกานาวา มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก www.mcot.net
134  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / นับถอยหลังสู่วันปีใหม่มีอะไรต้องทำอีกบ้างนะ เมื่อ: 23 ธันวาคม 2553 09:32:48


ใกล้ปีใหม่แล้วหลายคนรอเวลาเปลี่ยนแปลง ลองดูนะคะ  ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำบ้าง
ลองทำดูหน่อยดีมั้ย *-*



๑. อย่าเปรียบเทียบ ชีวิตของตัว เองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขา มีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒. อย่าคิดทางลบ เกี่ยวกับ เรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลก ในแง่ร้าย , ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิด ทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓. อย่าทำอะไร เกินกว่าที่ตัวเองทำได้ ...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔.. อย่าเอา จริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขา ไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕. อย่า เสียเวลา และพลังงานอันมีค่าของคุณ กับ เรื่องหยุมหยิม หรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณ ผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

๖. จงฝันตอนตื่น มากกว่าตอนหลับ

๗. ความ รู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า...คิดให้ดีก็จะรู้ว่า คุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่อง ขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามี หรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร... จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐.ประกาศ สงบศึกกับอดีตให้สิ้น , จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒.จงเข้าใจเสียว่า ชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียน รู้ และ ปัญหาเป็น เพียง ส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หาย ไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอด ชีวิต

๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

๑๔. คุณ ไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกเถียงกับคนอื่น หรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกัน ได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้ว เราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้าง เราล่ะ ?

๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่ เรื่องของคุณสัก หน่อย !!! ช๊อบชอบข้อนี้อ่ะ
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหา สุขภาพ ดังนั้น , อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็น อันขาด


"บอกบทความนี้ส่งต่อไปให้คน ที่คุณรักและห่วงหาอาทรด้วยนนะคะ... "

จาก fwd mail.
135  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / หากกลัวนรก วิธีที่ดีที่สุดคือ เตรียมใจ ลงนรก เมื่อ: 23 ธันวาคม 2553 09:06:22
http://img99.imageshack.us/img99/5248/pee1.gif


ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่เชื่อเรื่องนรก แต่เคยพลาดก่อบาปหนักไปแล้ว พอได้ยินใครพูดถึงนรกทีไร คงหนาวๆร้อนๆ หรือเย็นวาบที่สันหลังเหมือนมีชนักปักอยู่ทุกที และนั่นอาจเป็นเหตุหนึ่งให้ไม่อยากเชื่อ ไม่อยากฟังเรื่องนรกสวรรค์เอาเลย


ก่อนอื่นถ้าไม่มีอภิญญา ไม่เคยเห็นนรกด้วยจิต ก็ขอให้ปลอบตัวเองว่าคุณแค่กลัวความคิดมากของตน ไม่ใช่กำลังกลัวนรกของจริง


มองไปรอบๆตัวดีกว่า ถ้านรกมีจริง เผลอๆตอนนี้อาจโหรงเหรง เพราะวิญญาณที่ควรอยู่แถวๆนั้นมาอยู่แถวๆนี้กันหมด!


หากกลัวนรก วิธีที่ดีที่สุดคือ ให้เตรียมใจ ลงนรก

คนที่เตรียมพร้อมจะลงนรก มักไม่ต้องลงนรกกัน ส่วนคนที่มั่นใจว่าฉันขึ้นสวรรค์แน่ นั่นแหละมักพลาดลงนรกมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว


นั่นเพราะอะไร? เพราะเมื่อทะนงว่าฉันทำบุญมาก ต้องได้ขึ้นสวรรค์แน่ ก็มักประมาท เลิกสำรวจตัวเอง และไม่ยับยั้งชั่งใจในการคิดฟุ้งซ่าน ในการพูดทิ่มแทงใจคนอื่น หรือกระทั่งในการลงมือทำร้ายใครๆ


แต่เมื่อระลึกอยู่ว่าฉันทำบาปไว้ไม่น้อย มีสิทธิ์ลงนรกถ้าขาดใจตายเดี๋ยวนี้ ก็มักสังวรระวัง จะคิด จะพูด หรือจะทำอะไรร้ายกาจ ก็มักยั้งๆ เหมือนคนรู้ว่าถ่านร้อน เมื่อนึกสนุกอยากสัมผัสก็ย่อมยั้งมือ ไม่จับเต็มกำ


สรุปเบื้องต้นคือ ความประมาทมักอยู่กับคนเชื่อมั่นเกินเหตุว่า ข้าคือเทวดา มีที่หมายเป็นสวรรค์ ส่วนความสังวรระวังมักอยู่กับคนที่รู้ตัวว่าก่อบาปก่อกรรมมาไม่น้อย อยากกลับตัวกลับใจหนีนรกกัน


เพื่อสำรวจให้รู้ว่าคุณเป็นพวกมีสิทธิ์ลงหรือไม่ต้องลงนรก มีวิธีง่ายๆ คือถามตัวเองว่าในเวลาส่วนใหญ่ คุณสบายใจหรือไม่สบายใจ สภาพทางใจนั่นแหละ กำลังฟ้องอยู่อย่างโจ่งแจ้งว่าสภาพที่เหมาะสมกับใจควรเป็นอย่างไร โดยเฉพาะหลังจากไร้กายหยาบนี้ให้อาศัยอีกต่อไป


ความสบายใจ คือ อะไร?


คือเย็น คือโล่ง คือเบา...

ส่วนความไม่สบายใจ คือ อะไร?

คือร้อน คือทึบ คือหนัก...


โลกนี้เหมือนป่าที่ไฟกำลังลามไล่สัตว์ทั้งหลาย เมื่อไม่ฝึกหนีไฟ ไฟย่อมถึงตัวและคลอกคุณมอดไหม้ได้ทั้งหมด


ถึงแม้จะเห็นตนเองเป็นคนดี ทำบุญไว้มาก และไม่คิดเบียดเบียนใครก่อน แต่ถ้าไม่ฝึกหนีไฟแล้ว ไฟโกรธจะเป็นบทลงโทษขั้นต้น ไฟแค้นจะเป็นบทลงโทษขั้นกลาง ไฟนรกจะเป็นบทลงโทษขั้นสุดท้าย และสิ่งที่ถูกเผาผลาญก็ไม่ใช่อะไรอื่น คือจิตวิญญาณของคุณเอง!


เมื่อจิตวิญญาณถูกไฟโทสะเผาผลาญอยู่ คำว่า "ไม่สบายใจ" คงนับว่าน้อยไป


       หนักกว่านั้น ถ้าเลือกจะยืนอยู่ข้างคนเลว ก่อบาปทั้งรู้ ระราน มุ่งประทุษร้ายหมายขวัญใครต่อใคร จนจิตใจด้านชา ปราศจากความละอาย ก็เปรียบได้กับนักสะสมของเหม็น เพราะความชั่วเปรียบเหมือนของเหม็น และ กลิ่นเหม็นแห่งบาปนั้น ก็น่าขยะแขยงกว่ากลิ่นเหม็นจากรักแร้ที่สะสมแบคทีเรียไว้เป็นไหนๆ เนื่องจาก กลิ่นเหม็นแห่งบาปจะเป็นชนวนให้เกิดความไม่ยอมรับตนเอง รังเกียจตนเอง ตลอดจนเกลียดกลัวตนเองได้ตลอดเวลา ล้างด้วยสบู่ไหนๆก็ไม่ออก


เมื่อทราบว่าประตูนรกใหญ่ๆมีอยู่สองบาน บานหนึ่งคือประตูแห่งความร้อนใจที่ให้อภัยใครต่อใครไม่ได้ กับอีกบานคือประตูแห่งความเหม็นที่ต้องเป็นนักทำร้ายชาวโลก แค่นี้ก็เท่ากับคุณเห็นทางหนีนรกได้ไกลๆแล้ว


หลังจากเย็นใจที่อภัยได้ และโล่งใจไม่ต้องทำร้ายใคร นานเข้าคุณจะสบายใจ ไม่นึกกลัวนรก แม้บาปเก่ายังคอยหลอกหลอนอยู่ ก็ทำให้ทรมานใจได้เพียงเล็กน้อย เปรียบความรู้สึกเหมือนเตรียมพร้อมจะลงไปใช้กรรมครู่เดียวในนรกขุมตื้นๆ เดี๋ยวก็ได้ขึ้นมา ในเมื่อสะสมความเย็น ความโล่งไว้มากกว่า


และเมื่อได้ความสบายใจเป็นเกณฑ์วัดความห่างนรก คุณก็จะเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงจิต ว่าการบำเพ็ญตบะให้มาก ตั้งมั่นในทาน ตั้งมั่นในศีล และตั้งมั่นในศรัทธาบนทางนิพพานนั่นเอง คือของจริงที่จะช่วยให้ไม่ต้องกลัวนรกอย่างถาวรครับ เพราะความตั้งมั่นในกรรมอันสว่างขาวเหล่านั้นเอง คือตัวบันดาลให้เกิดความสบายใจหายห่วงไปจนชั่วชีวิต


ดังตฤณ

จากบทความ "ทำยังไงดี?"
นิตยสาร Miracle of Life 

136  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / "อายุรวัฒน์" ชะลอความแก่ จากภายใน เมื่อ: 23 ธันวาคม 2553 08:55:13

เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (Anti-aging Medicine) ศาสตร์แห่งการป้องกันโรคและทำให้อายุขัยยืนยาวขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีการแพทย์ กำลังเป็นที่นิยมจากคำนิยาม "หมอที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง"


นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรวัฒน์ เป็นผู้นำศาสตร์ด้านนี้เข้ามาเผยแพร่จนได้รับความนิยม อธิบายถึงคำว่าอายุรวัฒน์ในการเสวนาเรื่อง"ไม่เครียด ไม่แก่ แก้ยังไง" งานมติชน เฮลท์แคร์...ดูแลสุขภาพ ครั้งที่ 2 ว่า เป็นศาสตร์ที่ช่วยต้านความชราและไม่มีโรค เป็นการดูแลจากภายใน แตกต่างกับศัลยกรรมที่เป็นการเสริมความงามภายนอก โดยมองว่าคนเรามีอายุ 2 แบบ อายุจริงตามวันเดือนปีเกิด กับอายุภายใน เป็นตัวเลขทางชีวภาพ ศาสตร์ชนิดนี้จะเป็นการชะลออายุภายใน สามารถหยุดนาฬิกาหรือย้อนวัยได้ โดยเราต้องรู้ก่อนว่า คนเราเริ่มแก่ตั้งแต่อายุ 20 ปี ตามหลักอายุรวัตร สังเกตได้จากว่า พออายุเกิน 20 ปี เรามักจะนอนนานแต่ไม่อิ่ม ไม่สดชื่น "ที่ถามว่า การยิ้มหรือหัวเราะจะทำให้ตีนกาเยอะขึ้นไหม นั่นเป็นเรื่องจริง แต่การทำหน้าบึ้งจะใช้กล้ามเนื้อหน้า 300 กว่ามัด ซึ่งยิ้มจะใช้เพียง 200 กว่ามัด ทำให้เวลาเราหน้าบึ้งริ้วรอยจะยิ่งลึกและเยอะกว่า"


นายแพทย์กฤษดา ยังแนะนำวิธีทดสอบความแก่


1.จับใต้ท้องแขน หากหนาเกิน 1 เซ็นติเมตร แสดงว่ามีมวลไขมันเยอะเป็นสัญญาณบอกความชรา

2.ลองหยิกที่หลังมือ หากมีรอยเป็นจีบๆ แปลว่าเหี่ยวแล้ว และ


3.กระพือแขน ถ้าโบกไปคนละทางกับมือแสดงว่าเริ่มมีปีกแก่ (Chicken Arm)

ส่วนสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้แก่ก่อนวัย คือ

การนอนดึก เพราะทำให้ Growth hormone ไม่หลั่ง ขอแนะนำให้ฝึก นอนหลับตอน 4 ทุ่มและตื่น 6 โมงเช้า ทำเป็นกิจวัตรจะช่วยให้สดชื่น สมองสดใส

หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา เราต้องรู้จักตัวเอง ความเครียดจะยิ่งทำให้แก่บางคนคิ้วผูกโบ มีตีนกา

ยิ่งแต่ละคำที่พูดเป็นเรื่องลบ นินทาก็จะยิ่งแย่ หรือโกรธแต่ละครั้งเหมือนกับการดื่มยาพิษ เราต้องพูดบวกเพื่อดีต่อตัวเราเอง

สำหรับคนที่ชอบเอาเรื่องต่างๆ ไปคิดตอนนอน ร่างกายก็จะหลับยากหลับไม่ลึก

ขอให้ตั้งใจคิดแค่ว่า เราทำอะไร ณ ขณะนั้น ยืน เดิน นั่ง นอน ทำสมองให้เป็นลิ้นชักปิดให้หมด

ปัจจุบันนี้คนชอบทำอะไรพร้อมๆ กัน หลายๆ อย่าง เป็นการประหยัดเวลา แต่มันส่งผลระยะยาวให้เป็นคนความจำสั้น ลืมง่าย เราควรเปิดทีละลิ้นชักทำทีละเรื่อง

นอกจากนี้ คนที่ชอบทำงานแล้วไม่ได้ทำ หรือคนที่เกษียณอายุแล้ว มักจะเป็นโรคเซ็งเรื้อรัง เนื่องจากเวลาเราทำงานจะมีธาตุหนุ่มสาวความสุขจะหลั่งออกมา แต่ถ้าหยุดทำงานจะกลายเป็นคนซึมเศร้า


"วิธีต้านแก่ คือ

1.เราต้องเก็บภาพที่สวยงาม เพราะสมองเหมือนเครื่องเล่นดีวีดี คนที่ใกล้จะตาย ตาจะเริ่มดับและหูจะเริ่มดับ สมองจะเล่นเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต 3 วินาทีสุดท้าย ในจิตสุดท้ายดับไปตอนมีความสุขก็จะไปในที่ดีๆ แค่เพียงเราคิดบวก

2.พยายามมองคนให้เหมือนเด็ก บางคนไม่เคยรู้จักกันแต่ไม่ชอบกันเป็นเรื่องแปลก เท่าที่ผมพบคือคนเรามักจะไม่ชอบกลิ่นบางอย่าง กลิ่นที่ไม่ปกติทำให้ใจเราร้อนรุ่มและรู้สึกอึดอัดเวลาที่อยู่กับคนนั้น เราจึงควรมองทุกคนให้เหมือนเด็กใจจะเย็นลง แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จเขาเองก็มีความเป็นเด็ก พยายามหาแง่ดี ทุกคนมีข้อดี ธรรมชาติไม่เคยสร้างให้ใครเกิดมาแย่บริสุทธิ์"


ส่วนเรื่องการรับประทานอาหารแนะนำให้ทานมะเขือเทศ ยิ่งนำไปประกอบอาหารสารที่สำคัญอย่างไลโคปีนจะหลั่งออกมาเยอะ เช่น น้ำมะเขือเทศ ขนมจีนน้ำเงี้ยว หรือน้ำพริกอ่อง ช่วยรักษาและต่อต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี

ถ้าเป็นสูตรอาหารควรจะทานปลาทูวันละ 2 ตัว คะน้า 5 กำ หรือรับประทานผักชนิดอื่นให้ถึง 5 ขีดต่อวัน ต้องทานให้ครบ ผักก็เหมือนยาหากทานไม่ครบก็ไม่สามารถให้ประโยชน์สูงสุด สำหรับคนที่อยากให้ผิวพรรณขาวใสให้เลือกกะหล่ำดอกวันละ 5 กำมือ ผิวขาวช่วยได้ แต่ถ้าถามว่าต้องทานให้ครบทุกสีหรือไม่ แนะนำให้เลือกผักสีเขียว เพราะสีนี้เป็นสีที่กลบสีอื่นเอาไว้ สังเกตได้จากผักคะน้าทิ้งไว้นานๆ จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง


สำหรับการออกกำลังกายที่ถูกวิธีไม่ควรออกหนักๆ ติดกันเกิน 2 ชั่วโมง เพราะจะยิ่งหลั่งสารแก่ทำให้โทรมเร็ว โดยสามารถเลือกวิธีออกกำลังกายได้ 2 อย่าง


1.สลับชนิด เช่น ซิทอัพ 15 ที และวิ่ง 15 นาที ทำสลับกัน


2.สลับช่วง เช่น วิ่ง 2 นาที ผ่อน 2 นาที ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนครบครึ่งชั่วโมง ซึ่งไม่ว่าจะทำอะไรควรวอร์มร่างกายก่อนเสมอ ที่สำคัญห้ามออกกำลังกายตอนท้องว่าง ถ้าต้องการวิ่งควรเป็นช่วงบ่ายหรือเย็น ช่วงเช้าแค่เดินก็พอ นอกจากนั้น ผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ควรรับประทานชีส (เพราะเป็นโปรตีนไม่เหมือนกับเนย) โยเกิร์ต เนื้อขาวทั้งปลาและไก่ ไข่ขาว อาหารพวกนี้ช่วยทำให้กล้ามขึ้นได้

ข้อมูลจาก

www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277290586&grpid=&catid=02
137  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ทำให้ความทุกข์กลัวเรา เมื่อ: 23 ธันวาคม 2553 08:39:08
 

หนูดี-วนิษาถ่ายทอดความคิดที่ตกผลึก ถึงการใช้ประโยชน์และควบคุมอำนาจ หลังจากเข้าร่วมงานภาวนา "ศิลปะของอำนาจ" นำโดยหลวงปู่ติช นัท ฮันห์

หนูดีมาอยู่ที่ภูเขางาม รีสอร์ท จังหวัดนครนายก เพื่อร่วมงานภาวนา "ศิลปะของอำนาจ" นำโดยท่านเจ้าอาวาสวัดพลัม ประเทศฝรั่งเศส หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ชาวเวียดนามวัยกว่า 80 ปี

 งานภาวนาครั้งนี้ เน้นผู้เข้าร่วมที่เป็นนักธุรกิจหรือผู้บริหารเท่านั้น เพราะเรื่องราวที่พูดเกี่ยวข้องกับการดูแล "อำนาจ" แต่เมื่อมองไปที่รายละเอียดอย่างลึกซึ้งแล้ว หนูดีพบว่า นี่เป็นเรื่องราวที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ แม้ว่าจะไม่ใช่นักธุรกิจก็ตาม

 "อำนาจ" ในความหมายของหลวงปู่และความหมายของศาสนาพุทธ ก็คือ เรื่องของ "พละ 5" หรือ กำลังทั้งห้า ที่ประกอบด้วย อำนาจแห่งศรัทธา อำนาจแห่งความเพียร อำนาจแห่งสติ อำนาจแห่งสมาธิและอำนาจแห่งความเห็นแจ้ง เมื่อเรามีสิ่งเหล่านี้ครบ ก็เท่ากับว่าเรามีพลังและอำนาจ อำนาจเหล่านี้จะไม่ทำให้ใครทุกข์ ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เรามีความสุขได้อย่างมากและอย่างลึกซึ้ง

 เช้าวันแรก เราพูดคุยกันถึงอำนาจที่เป็นพื้นฐานของความสุข คือ "มหาปัญญา" ฟังดูแล้วยิ่งใหญ่มาก แต่หลวงปู่บอกว่า มหาปัญญาก็แปลได้ง่ายๆ ว่า "ความเข้าใจ" แต่เราจะเข้าใจเรื่องอะไรกันดี ในเมื่อโลกนี้มีเรื่องให้ทำความเข้าใจมากมาย ท่านบอกว่า เรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจนั้น ก็คือ ความทุกข์ของเราเอง เมื่อทำความเข้าใจถึงก้นบึ้งของความทุกข์ได้ นั่นก็คือ การเกิดขึ้นแล้วของมหาปัญญา

 เมื่อหันกลับมามอง มาเข้าใจความทุกข์ว่ามีธรรมชาติอย่างไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งมหัศจรรย์สองสิ่งจะเกิดขึ้น สิ่งแรกก็คือ เราจะมีความสุขมากขึ้น เพราะความทุกข์หายไป และสิ่งที่สองก็คือ สามารถอยู่ตรงนั้นได้เพื่อช่วยให้คนอีกคนหนึ่งหายทุกข์ ในสายตาหนูดีแล้ว นี่คือสาระสำคัญของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ คือ การได้ทำให้ทุกข์ของเราเบาบางจนจางหาย กับการช่วยคนอื่นๆให้ทุกข์น้อยลง ถ้าเกิดมาแล้วไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ได้ทำแค่สิ่งนี้ หนูดีก็ถือว่าเกิดมาคุ้มแล้ว

 แต่ความทุกข์มีอยู่ทุกที่ แม้แต่คนที่มีชีวิตสมบูรณ์ที่สุดแล้ว หนูดีคิดว่าความทุกข์มันเป็นของ Built-in หรือ สร้างมาคู่กับความเป็นมนุษย์ เช่น อย่างน้อยเราก็ต้องหิว ง่วง เหนื่อย ปวดเมื่อย ขี้เกียจ เจ็บป่วย คือ ต่อให้เรามีชีวิตสุดยอดเพียงไหน แต่ความทุกข์ก็เหมือนจะรอเราอยู่ที่มุมตึกข้างหน้าเสมอ ในเมื่อหนีไม่ได้ ก็ป่วยการจะหนีค่ะ สู้กันแบบแมนๆ เลยดีกว่า

 หนูดีพบสิ่งหนึ่งที่แปลกประหลาดมากหลังจากปฏิบัติธรรมก็คือ พอเราตั้งใจดูความทุกข์แบบเอาจริงเอาจัง ไม่เลี่ยงไม่หลบอีกต่อไป กลับพบว่า ความทุกข์เกิดขึ้นยากมาก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน อะไรนิดอะไรหน่อยก็ทำให้รำคาญไปจนถึงขั้นทุกข์ได้

 หนูดีเลยมีทฤษฎีเล็กๆ ส่วนตัวว่า "เมื่อเราไม่กลัวความทุกข์ ความทุกข์ก็เลยกลัวเราเสียเอง" เพราะเมื่อก่อนเราวิ่งหาความสุข เรียนให้ดีก็เพราะอยากมีความสุข แต่พอสอบได้คะแนนต่ำ คราวนี้ทุกข์แบบเต็มๆ หนูดีมาสังเกตตัวเองเมื่อก่อน เหมือนเป็นลูกโป่ง คือ เวลามีความสุขก็เหมือนเป่าลมเข้าไปเต็มที่ ลอยล่องอยู่บนฟ้า เหมือนอยู่เหนือความทุกข์ทั้งหมด แต่พลิกแค่นาทีเดียว เอาวัตถุแห่งความสุขของหนูดีออกไป ก็พร้อมจะพลิกกลับไปอยู่อีกขั้ว คือ ทุกข์มหาศาลได้ทันที

 หนูดีนับว่าโชคดีที่เกิดมาเป็นคนพุทธ และเมื่อได้ลองปฏิบัติแบบตั้งใจจริงไม่กี่ปีเท่านั้นเอง โดยเอา "หัวใจ" ของตัวเองเป็นเครื่องมือทำการทดลอง เฝ้าตามดูความทุกข์และความสุข แล้วก็บอกตัวเองว่า พอเสียทีกับอาการสุขมากทุกข์มาก เพราะตามไม่ทัน เดี๋ยวจะหัวใจวายตายไปเสียก่อน

 เมื่อเริ่มมาพิจารณาความทุกข์ของตัวเอง พบว่า จริงๆ แล้วความสุขแอบอยู่ข้างๆ ความทุกข์นั่นเอง ขณะเดียวกัน ความทุกข์ก็แอบอยู่ข้างๆ ความสุขนั่นเอง มันเป็นสองด้านของเหรียญ

 เมื่อเรามีความทุกข์ เช่น ความโกรธ พระพุทธเจ้าไม่แนะนำให้เก็บกดอารมณ์นั้นไว้ และไม่แนะนำให้ระเบิดอารมณ์นั้นออกไป  ท่านแนะนำให้เราหันไปมองอารมณ์นั้นโดยปราศจากความกลัว ซึ่งหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ แนะนำให้เรา "โอบกอดความโกรธ" นั้นไว้ เป็นคำที่เห็นภาพและน่าทำตามที่สุด คือ สมมติว่า ความโกรธเป็นลูกตัวเล็กๆ ที่กำลังร้องไห้จ้า และเราเป็นแม่ที่เต็มไปด้วยความรัก ให้เอาพลังความรักเข้าไปโอบกอดจนความโกรธนั้นหยุด ซึ่งเท่าที่หนูดีลองทำ ได้ผลทุกครั้ง 100%

อีกอำนาจที่พูดถึงคือ "อำนาจแห่งความรัก" เพราะว่าความรักจะทำให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง เมื่อมองความโกรธของตัวเองด้วยความรัก ความเมตตา ความโกรธจะจางหาย แต่เมื่อมองคนอื่นที่ทำให้เราโกรธด้วยรักเมตตา ความโกรธที่เรามีต่อเขาก็จะเริ่มจาง

 คนเราถ้าไม่ทุกข์ ก็ทำให้คนอื่นทุกข์ไม่ได้ หลวงปู่บอกว่า ใครทำให้เราทุกข์ ให้แค้นใจ แปลว่าคนนั้นเขาทุกข์อยู่ เขาเป็นเหยื่อความทุกข์ของเขา และเราก็เป็นเหยื่อความทุกข์ของเขาเช่นกัน แต่ถ้าเปลี่ยนตัวเองจาก "ผู้ถูกกระทำ" มาเป็น "ผู้เยียวยา"  เราก็จะพ้นทุกข์ และช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้ด้วยในขณะเดียวกัน

 นี่ละค่ะ "อำนาจที่แท้จริง" ในความหมายของศาสนาพุทธ


ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
138  สุขใจในธรรม / เอกสารธรรม / มหัศจรรย์แห่งจิต เมื่อ: 22 ธันวาคม 2553 08:53:49

จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ เมื่อฝึกจิตให้นิ่งจะมีระดับของจิตเป็นขั้นๆ จนถึงฌานต่างๆ
เมื่อจิตตั้งมั่นจนมีพลังแล้วจะพบความรู้สูงสุดทางโลกคือ โลกิยอภิญญา ๕ ซึ่งถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์
เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ ฯลฯ

และเมื่อฝึกจิตจนถึงขั้นที่เหนือกว่านั้นคือการมีสัมมาทิฏฐิขั้นโลกุตตระ
จิตจะเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง นั่นคือที่สุดของความมหัศจรรย์แห่งจิต


http://www.kanlayanatam.com/Mybookneanam/book_40.pdf


ขอขอบคุณที่มา kanlayanatam.com
139  สุขใจในธรรม / เอกสารธรรม / ฟัง/ดาวน์โหลด เสียงอ่านหนังสือ "เชิญตะวัน" ท่าน ว.วชิรเมธี เมื่อ: 22 ธันวาคม 2553 08:49:09


  โทดค๊าบ  ฟัง/ดาวน์โหลดเสียงอ่านหนังสือ "เชิญตะวัน" ว.วชิรเมธี http://bit.ly/brF2ct


คำนำ หนังสือ เชิญตะวัน ว.วชิรเมธี

ภาค 1 ทฤษฎี 1 ดั่งดวงตะวัน

ภาค 1 ทฤษฎี 2 กัลยาณมิตรธรรม ภาวะผู้นำของกัลยาณมิตร

ภาค 2 กรณีศึกษา 1 พระเจ้าอโศกมหาราช

ภาค 2 กรณีศึกษา 2 องคุลีมาล

ภาค 2 กรณีศึกษา 3 กีสาโคตมี

ภาค 2 กรณีศึกษา 4 หลุยส์ เบรลล์

ภาค 2 กรณีศึกษา 5 อัลเฟรตโนเบล

ภาค 3 วิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคลสำคัญ


ขอขอบคุณที่มา จาก ลานธรรมจักร
140  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / เด็กน้อยเฝ้าศาลา เมื่อ: 22 ธันวาคม 2553 08:41:48

ในสมัยพุทธกาล ในช่วงแรกคณะสงฆ์มีแต่พระอริยบุคคล
และมีจำนวนไม่มาก เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนของพระสงฆ์เพิ่มขึ้น
พระที่ไม่ใช่อริยบุคคลก็มีมากขึ้น พระเริ่มกระจายออกไปกว้างขึ้น
พระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติพระวินัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิด
ความจำเป็นต้องอาศัยอนุปสัมบันในบางเรื่อง เช่น การประเคนของ
พระพุทธเจ้าจึงทรงยินยอมให้มีการบวช สามเณรน้อย ได้

เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาเด็กที่จะบวชเป็นสามเณรได้คือถ้าเด็ก
มีสติปัญญาสามารถเฝ้าศาลา ไม่ให้ไก่ขึ้นศาลาได้ พระพุทธเจ้า
ก็ยอมให้เด็กนั้นบวชเป็นสามเณร ซึ่งปกติอายุก็ประมาณ 7 ขวบ
เด็กน้อยมีสติปัญญาเพียงแค่นี้ก็สามารถปฏิบัติภาวนาได้ และ
หลายองค์ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะการปฏิบัติก็ไม่มีอะไรมาก
เพียงแต่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก รู้ว่าความคิดไม่ดี ความคิดชั่วเกิดขึ้น
ก็ไล่ออกไปเสีย เหมือนสามเณรน้อยไล่ไก่จากศาลา ทำได้เพียง
เท่านี้ก็อาจจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้

ศาลา คือ จิต
ไก่ คือ ความคิดผิด
เด็กน้อย คือ สติปัญญา

เราก็เหมือนเด็กน้อยมีหน้าที่เพียงไล่กิเลส คือไก่ ออกจากศาลา
คือจิตเท่านั้น ปฏิบัติเพียงเท่านี้ก็เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานได้



ที่มา คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ
อานาปานสติ : วิถีแห่งความสุข ๓
โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม

บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
หน้า:  1 ... 5 6 [7] 8 9
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.493 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 05 กันยายน 2566 20:33:06