[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 16:27:13 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 6 7 [8] 9
141  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / 10 วิธีจัดการอารมณ์ไม่ดี เมื่อ: 22 ธันวาคม 2553 08:27:12


1. มองโลกในแง่ดี   เมื่อเรามีความคิดที่ทำให้ซึมเศร้า เช่น "ฉันทำวิชาเลขไม่ได้" ให้คิดใหม่ว่า "ถ้าฉันได้รับความช่วยเหลือที่ถูกต้องฉันก็จะทำได้" แล้วไปหาครู ครูพิเศษ หรือให้เพื่อนช่วยติวให้

 

         2. หาสมุดบันทึกสักเล่มไว้เขียนก่อนเข้านอนทุกวัน ในสมุดบันทึกเล่มนี้ ห้ามเขียนเรื่องไม่ดี จงเขียนแต่เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ตอนแรกอาจจะยากหน่อย แต่ให้เขียนเรื่องอย่างเช่น มีคนแปลกหน้ายิ้มให้ ถ้าได้ลองตั้งใจทำ มันจะเปลี่ยนความคิดให้เรามองหาแต่เรื่องดีๆ จากการศึกษาพบว่า คนที่คิดฆ่าตัวตายมีอาการดีขึ้นหลังจากเริ่มเขียนบันทึกเรื่องดีๆ ได้เพียงสองสัปดาห์

 

         3. ใช้เวลาอยู่กับคนที่ทำให้เธอหัวเราะได้

 

         4. ใส่ใจกับความรู้สึกของตนเองในเวลาแต่ละช่วงวัน การตระหนักรู้ถึงอารมณ์ของตัวเองจะทำให้เราจับคู่งานที่เราต้องทำกับระดับพลังงานในตัวได้อย่างเหมาะสม เช่น ถ้าเรารู้สึกดีที่สุดตอนเช้าแสดงว่าตอนเช้าคือเวลาจัดการกับงานเครียดๆ เช่น ไปเจอเพื่อนที่ทำร้ายจิตใจเรา หรือคุยกับครูที่เราคิดว่าให้เกรดเราผิด ถ้าปรกติเราหมดแรงตอนบ่าย ให้เก็บเวลาช่วงนั้นเอาไว้ทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้พลังทางอารมณ์มาก เช่น อ่านหนังสือหรืออยู่กับเพื่อน อย่าทำอะไรเครียดๆ เวลาเหนื่อยหรือเครียด

 

         5. สังเกตอารมณ์ตัวเองในเวลาช่วงต่างๆ ของเดือน ผู้หญิงบางคนพบว่า ช่วงเวลาที่ตัวเองอารมณ์ไม่ดีสัมพันธ์กับรอบเดือน

 

         6. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยให้เราแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ การออกกำลังกายอย่างน้อยแค่วันละ 20 นาที สามารถทำให้รู้สึกสงบและมีความสุขได้ การออกกำลังจะช่วยเพิ่มการผลิตเอ็นดอร์ฟีนของร่างกายด้วย เอ็นดอร์ฟีนเป็นสารเคมีในร่างกาย ที่ทำให้เกิดความรู้สึกดีและมีความสุขตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งยาเสพติด

 

         7. รู้จักไตร่ตรองแยกแยะ

 

         8. ฟังเพลง งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า จังหวะของเสียงเพลงช่วยจัดระเบียบความคิดและความรู้สึกมั่นคงภายในจิตใจ และช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

 

         9. โทรหาเพื่อน การขอความช่วยเหลือทำให้คนเรารู้สึกผูกพันกับคนอื่นและรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง และการโอบกอดช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดีออกมา ซึ่งจะช่วยให้เรารับมือกับอารมณ์ได้

 

         10. อยู่ท่ามกลางคนที่มีความสุข อารมณ์ดีเป็นโรคติดต่อที่แพร่ได้เร็วมา เราจะเลียนแบบสีหน้า การแสดงออก กล้ามเนื้อ ท่าทาง รูปแบบการพูด เพื่อให้เข้ากับคนที่เราอยู่ด้วยโดยที่เราไม่รู้ตัว

 

 



ที่มา : เย็นตาโฟว์ดอทคอม

142  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / 10 อาหารที่ไม่ควรกินบ่อย เมื่อ: 22 ธันวาคม 2553 08:11:31

อาหาร
เสี่ยงสารเคมีสะสมก่อโรค


          ถ้าใครยังไม่ได้พักผ่อนช่วงปีใหม่นี้คงได้ฤกษ์งามยามดีหยุดพักสมอง Delete ขยะที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง แล้วกลับมาเต็มที่กับงานอีกครั้ง ที่สำคัญอย่าลืมดูแลสุขภาพ ทั้งกายและใจให้สม่ำเสมอ อย่างฉบับนี้ไปเก็บเรื่องราวของ "หมอจีน" ที่บอกว่าได้นำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดยใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบเป็นอาหารที่ไม่ควรกินมากเกินหรือกินบ่อย เป็นเรื่องราวดีๆ ส่งท้ายปีที่ทำได้เพื่อคนอ่าน ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
          1. ไข่เยี่ยวม้า ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบางและอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ

         2. ปาท่องโก๋ กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไปนอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย


          3. เนื้อย่าง กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง


         4. ผักดอง ผักดองและของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกินหรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนักเกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง


          5. ตับหมู ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกินหรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น

 
         6. ผักขม ปวยเล้ง ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า...มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกินหรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียมหรือสังกะสีได้

 
         7. บะหมี่สำเร็จรูป บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหารและการสะสมสารพิษได้

 

         8. เมล็ดทานตะวัน เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงทว่า... การกินมากเกินหรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯเพิ่มขึ้น

 
         9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้ กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย... ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

 

          10. ผงชูรส คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา... การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกิน ทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูงอาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์

 
          เป็นยังไงบ้างคะ สำหรับ 10 อาหารที่ไม่ควรกินบ่อยถ้าเลี่ยงได้ก็คงจะดีนะคะ ยึดคติที่ว่าทานอาหารให้หลากหลายทานผักผลไม้คละสี ออกกำลังกาย มีจิตใจดี แค่นี้ความสุขดีๆ ที่จะมาถึงในปีกระต่ายทองก็คงอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วล่ะค่ะ ขอไปพักผ่อนในช่วงปีใหม่อีกสักครั้งนะคะ

 



ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน โดย ริต้า
143  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / พ่อต้นแบบชวนทำดีเพื่อพ่อหลวงไทย เมื่อ: 22 ธันวาคม 2553 08:02:40

          ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวามหาราช พสกนิกรไทยต่างแสดงพลังแห่งความจงรักภักดี ตลอดจนร่วมกันถวายพระพรแด่องค์พ่อหลวงของไทย ให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของชาวไทย

 
          และในเดือนธันวาคมที่เป็นเดือนของพ่อก็มีอดีตคุณพ่อนักดื่มหลายคน ที่ขอใช้โอกาสนี้ชวนคุณพ่อทั่วไทยร่วมทำความดี ด้วยการเลิกข้องแวะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถวายเป็นพระราชกุศล และรับผิดชอบครอบครัวดูแลภรรยาและลูกๆ ให้มีความสุข

 
          ผิน ภูมิชะกิจ วัย 56 ปี สมาชิกสหกรณ์สามล้อเอื้ออาทรเพื่อคนจน จำกัด อดีตคอทองแดง บอกว่า พ่อทุกคนมีชีวิตที่เลือกได้ เมื่อตนเลิกเหล้าทำให้ครอบครัวดีขึ้น มีสติในการใช้ชีวิต ในโอกาสวันพ่อปีนี้อยากชวนให้พ่อทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในประเทศไทย ช่วยกันทำให้ครอบครัวปลอดเหล้า โดยเฉพาะพ่อผู้นำของครอบครัวต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ไม่ควรนำเหล้า - เบียร์ซึ่งเป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินเข้ามาในชีวิต ชีวิตตนเคยพลาดมาก่อน สมัยนั้นเป็นผู้ใช้แรงงานแบกข้าวสาร เลิกงานมาก็เหนื่อยเลยดื่ม คิดว่าช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากงาน เริ่มเสียคนอายุ 22 ปี เมาหัวราน้ำ ช่วงอายุ 28 ปีเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ เมาหนักและขับมอเตอร์ไซค์ซิ่งไปชนกับเสาไฟฟ้าบาดเจ็บจนคางทะลุ ภาพยังติดตาจนวันนี้


          "ตัดสินใจเลิกดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาดเมื่อมีลูกชายคนสุดท้อง ไม่อยากให้ลูกเห็นตนเองในสภาพตอนที่เมาและทำตัวไม่ดี ก็เลิกทั้งเหล้าและบุหรี่เพื่อครอบครัวด้วยตัวเอง แต่เหล้าเลิกยากกว่าเพราะสังคมแวดล้อมที่ผมอยู่อาศัยนั้นมีการดื่มอยู่ตลอดเวลา และยังหักห้ามจิตใจตนเองไม่ได้ แต่ตอนนี้เกือบ 20 ปีแล้วที่ทำได้ ไม่ดื่มเพราะอยากมีเงินเก็บให้ลูกได้เรียนสูงๆ" ผิน พ่อต้นแบบเลิกเหล้า แบ่งปันเรื่องราวจากชีวิตจริง

 

          ส่วน ไสว ไพศาล สามล้อวัย 45 ปีที่เคยดื่มเหล้าอย่างหนักมาเกือบ 20 ปี และเลิกดื่มมานาน 3 ปีแล้ว เพราะว่าด้วยเสียงเตือนสติจากลูก พ่อไสวบอกว่า โชคดีของตนและครอบครัวที่วันนี้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหล้า เมื่อเลิกได้ก็ยังชวนน้องชายเลิกเหล้าได้สำเร็จ และญาติๆ ทุกคนพากันดีใจ เพราะเวลาน้องชายเมาแล้วจะมีเรื่องทะเลาะวิวาท เคยถึงขั้นจะฆ่าแม่มาแล้ว ญาติเอือมระอา พยายามหาทางแก้ไข ตนจึงตัดสินใจพาน้องชายไปเลิกที่ศูนย์อย่างเด็ดขาด ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อว่าตนจะทำได้สำเร็จ เพราะเป็นคนใจร้อนและชอบหาเรื่องเหมือนกัน แต่น้องชายเชื่อและทำตาม ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่ได้ช่วยเหลือ ก็อยากชวนให้พ่อคนอื่นๆ ใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท ลด ละ เลิกเหล้า รวมถึงเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ด้วย เพราะว่าเหล้าก็เป็นส่วนทำให้เกิดปัญหาผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงท้องแล้วทิ้ง ดื่มกันจนเมาไม่มีสติ ที่สำคัญจะได้ร่วมเทิดพระเกียรติในหลวงพ่อของแผ่นดิน

          พ่อต้นแบบผู้นี้ยืนยันว่าเลิกดื่มมาได้ 3 ปีแล้ว ภายหลังจากที่มีรถสามล้อไว้เป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพเป็นของตัวเอง แรงบันดาลใจอันสำคัญคือคนในครอบครัว ดีใจมากที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ มีงานทำ จึงบอกภรรยาว่าจะไม่กินเหล้าอีกตั้งแต่วันนั้นเลย เพราะอยากจะเก็บเงินเพื่ออนาคตของลูก ตอนนี้ภรรยายังดื่มอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ก็พยายามบอกให้ลดๆ ลงบ้าง เพื่อครอบครัว เชื่อว่าแม่จะทำได้เพื่อลูกเช่นกัน

          ปิดท้ายอดีตคุณพ่อนักดื่มอีกคน สุนีย์ ผู้ใช้แรงงานสามล้อรับจ้างคนขยัน เขาเล่าว่า ดื่มเหล้ามาตั้งแต่สมัยยังอยู่ในวัยประถม เห็นญาติๆ ดื่มฉลองกันที่บ้านเป็นประจำเลยลองแอบดื่มบ้าง เพราะอยากรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร ทำไมผู้ใหญ่ชอบดื่มทุกวัน ตนคิดว่าในขณะที่เราเมาก็ทำให้ตนเองกล้าทำทุกอย่าง ไม่เกรงกลัวใคร หากไม่เมาคงไม่กล้าทำ เรียกว่าเป็นน้ำเปลี่ยนนิสัยจริง เปลี่ยนจากคนดีกลายเป็นคนไม่ดีได้ง่ายๆ

          แม้สุนีย์จะไม่ใช่เซียนเหล้าเมาแล้วมีเรื่องทะเลาะวิวาท หรือเคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรง แต่อดีตนักดื่มยอมรับว่า เมื่อดื่มเหล้าเมื่อไหร่ก็จะทะเลาะกันในครอบครัวทุกครั้ง นานเข้าเริ่มเห็นปัญหามากขึ้นจึงตัดสินใจเลิก ไม่คิดหันหลังกลับไปดื่มอีก เพราะคิดได้ว่าดื่มไปก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เงินที่ใช้จ่ายไปไม่ก็มีประโยชน์เลย กว่าจะหาเงินมาได้ก็แทบจะไม่เหลือ น่าจะเก็บไว้เป็นทุนให้ลูกเรียนดีกว่า ช่วงนั้นได้มีโอกาสไปอบรมในงานของสหกรณ์ที่จัดรณรงค์งดเหล้า ได้เห็นการรณรงค์ต่างๆ ที่เครือข่ายจัดขึ้นมากมาย ได้เห็นเพื่อนที่ขับสามล้อด้วยกันเลิกเหล้าได้แล้วมีความสุข ถือเป็นตัวช่วยจุดประกายและเริ่มคิดได้ว่าจะต้องเลิกดื่มให้ได้เสียที ทุกวันนี้เลิกเหล้าได้แล้ว และมักจะชวนเพื่อนที่ยังคงดื่มกันอยู่ให้เลิกเหล้าด้วย แม้ยังเลิกไม่ได้แต่ก็ขอร้องให้ลดลงบ้าง อยากให้ทุกคนคิดว่า เลิกเหล้าเพื่อคนที่เรารัก แล้วจะมีอะไรดีๆ ตามมา ซึ่งตนพิสูจน์มาแล้ว ทำให้พ่อคนนี้รับผิดชอบครอบครัวได้มากขึ้น

ใครที่เป็นขี้เมาหรือเซียนเหล้า ในโอกาสวันพ่อปีนี้ห้ามใจตัวเองและทำตัวเสียใหม่ เลิกเหล้าเพื่อเป็นพ่อที่ดีของครอบครัวและลูก

 



ที่มา : www.thaihealth.or.th
144  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: คนเราเกิดมาทั้งที ต้องทำดี 3 กรรม เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553 08:18:50

 โทดค๊าบ

วัดม่วง ตำบล หัวตะพาน จังหวัดอ่างทองค่ะน้าแม็ก
เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อพระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ วัดม่วง (หลวงพ่อใหญ่)

 มีระยะเวลาการก่อสร้างรวมประมาณ 16 ปี และวัดหน้าตักองค์พระได้ 63.05 เมตร ความสูงจากฐานองค์พระ ถึงยอดเกศา วัดได้ 95 เมตร ใช้เงินประมาณ 104,261,089.65 บาท

สถานที่ตั้ง

วัดม่วง
บ้านหัวตะพาน หมู่ที่ 6 ตำบลหัวตะพาน
อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง

 

โทร. 035-631556, 035-631974
E-mail :
Website :www.watmuang.com


**ใครสนใจแวะไปเยี่ยมชมกันได้นะคะ

***เครดิตเจ้าของภาพค่ะ ....ชื่อภาพ: "แสงแห่งธรรม"
แนวความคิด : อยากถ่ายภาพของวัดม่วงตอนพระอาทิตย์ขึ้นโดยให้แสงอาทิตย์ตกกระทบบนผืนหญ้า ซึ่งทำให้สีและแสงของภาพดูมีมิติ
Process :ถ่าย raw:Level+Curve+Saturation+USM
name : นายสมชาย จงมีสุข
login : somchaij
Email : sc_jongmeesuk@yahoo.com
โทร : 089-444-0101








สาธุ อนุโมทนาครับ

รูปนี้นี่วัดอะไรอ่ะครับมีใครพอจะบอกได้บ้าง

ผมจำชื่อวัดไม่ได้

ไม่แน่ใจว่าใช่ที่อยู่แถวสิงห์บุรีไม๊

ใครพอจะมีข้อมูลรบกวนด้วยครับ
145  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / ใส่ใจ แปลว่า ใส่ใจ เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553 10:12:58


ชาล็อต โจโก เบค : เขียน, มากูเกียว : แปล
จาก “Attention Mean Attention” ตีพิมพ์ใน Tricycle : The Buddhist Review, Vol 3 No.1 Fall 1993

 ********
ชาร์ลอตต์ โจโก เบค เป็นนักบวชหญิงและอาจารย์ธรรมะ
ในนิกายเซน ท่านมีเชื้อสายอเมริกัน วัย ๘๕
ปัจจุบันสอนประจำอยู่ที่ศูนย์เซนในซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา

          มีเรื่องเก่าแก่ของเซนเรื่องหนึ่ง เล่าว่า ศิษย์คนหนึ่ง กล่าวกับท่านอาจารย์อิคคิวว่า “กรุณาเขียนอะไรบางอย่างที่แสดงถึงปัญญาอันเลิศล้ำให้ข้าพเจ้าด้วย” ท่านอิคคิวหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียน คำว่า “ใส่ใจ” ศิษย์คนนั้นก็ถามว่า “เท่านี้เองหรือ?” ท่านอาจารย์จึงเขียนเพิ่มว่า “ใส่ใจ ใส่ใจ” ศิษย์เริ่มหงุดหงิด “ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าเป็นสิ่งเลิศล้ำหรือฉลาดเฉลียวแต่อย่างใด?” ท่านอิคคิวตอบด้วยการเขียนเพิ่มขึ้นอีก “ใส่ใจ ใส่ใจ ใส่ใจ” ศิษย์ไม่พอใจอย่างมาก “อะไรนี่! ใส่ใจมันหมายความว่าอะไรกัน?” ท่านอิคคิวตอบว่า “ใส่ใจ แปลว่า ใส่ใจ”

          เราอาจแทนคำว่าใส่ใจด้วยคำว่าตระหนักรู้ การใส่ใจหรือการตระหนักรู้นี้เป็นเคล็ดลับของชีวิตและเป็นหัวใจของการปฏิบัติ เราอาจจะเหมือนศิษย์ในเรื่องที่ผิดหวังกับคำสอนแบบนี้ ดูมันพื้น ๆ ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย เรามักจะอยากให้การปฏิบัติดูน่าตื่นเต้น เพียงแค่ความใส่ใจช่างน่าเบื่อเสียนี่กระไร เราอาจสงสัยว่า “การปฏิบัติมีเพียงเท่านี้เองล่ะหรือ?”

          เมื่อมีศิษย์มาพบฉัน ฉันฟังพวกเขาบ่นแล้วบ่นอีกเรื่องตารางเวลา เรื่องการภาวนา เรื่องอาหาร เรื่องพิธีกรรม เรื่องฉัน เรื่องนั้น เรื่องนี้ แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้สำคัญไปกว่าเรื่อง “เล็ก ๆ” เรื่องอื่น เช่นว่า เราเดินไปเตะอะไรเข้า เราปูเบาะนั่งสมาธิอย่างไร เราแปรงฟันอย่างไร เรากวาดพื้นหรือหั่นแครอทอย่างไร เรามาที่นี่ เพื่อคิดว่าจะจัดการกับเรื่องที่ “สำคัญกว่านี้” เช่นปัญหาชีวิตคู่ เรื่องงาน เรื่องสุขภาพ ฯลฯ เราไม่อยากยุ่งกับเรื่อง “เล็ก ๆ” เช่นว่า เราจะจับตะเกียบอย่างไร หรือวางช้อนอย่างไร แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของชีวิตเราในทุก ๆ ขณะ ไม่สำคัญว่ามันจะสำคัญหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับการใส่ใจ การตระหนักรู้ ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่า ทุกขณะของชีวิตมนุษย์สมบูรณ์อยู่ในตัวมันเอง ชีวิตมีทั้งหมดเท่านี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าปัจจุบันขณะ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีอะไรนอกจากนี้ ดังนั้น ถ้าเราไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ แต่ละเรื่อง เราจะพลาดไปทั้งหมด เรื่องเหล่านี้ อาจจะเป็นอะไรก็ได้ อาจจะเป็นการปูเบาะนั่งสมาธิ หั่นหัวหอม ไปหาใครบางคนที่เราไม่อยากเจอ มันไม่สำคัญว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องอะไร แต่ละขณะนั้นมีความสมบูรณ์อยู่ในตัว มีเพียงเท่านี้เอง และจะมีเพียงเท่านี้ตลอดไป ถ้าเราสามารถใส่ใจอย่างเต็มที่ เราจะไม่มีวันเสียใจ ถ้าเราเสียใจ แสดงว่าเราไม่ได้ใส่ใจ ถ้าเราไม่ได้พลาดแค่ขณะเดียว แต่พลาดแล้วพลาดอีก เราจะพบกับปัญหามากมาย

          สมมติว่า ฉันถูกตัดสินลงโทษด้วยการถูกตัดศีรษะโดยเครื่องกิโยติน เอาล่ะ ตอนนี้ฉันกำลังเดินไปบนแท่นประหาร ฉันจะสามารถใส่ใจในทุก ๆ ขณะได้หรือไม่ ฉันจะตระหนักรู้ทุก ๆ ย่างก้าวได้หรือไม่ ฉันจะวางศีรษะบนเครื่องประหารให้เพชฌฆาตได้เป็นอย่างดีหรือไม่ ถ้าฉันสามารถใช้ชีวิตและตายได้เช่นนี้ จะไม่มีปัญหาใด ๆ ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเราเห็นว่าปัจจุบันขณะมีค่าด้อยกว่าสิ่งอื่น ๆ ถ้าหมกมุ่นกับตัวเอง เราจะไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน แต่จะคิดว่า “ฉันต้องการอะไร?” วันทั้งวันเรานำเรื่องความต้องการของตัวเองมาแทนที่ปัจจุบันขณะ นี่เองเป็นสาเหตุแห่งปัญหา

          เมื่อเราใส่ใจต่อปัจจุบันขณะ เราจะตกอยู่ในภาวะของความคิดที่ว่า “ฉันต้องการให้มันเป็นไปตามที่ฉันต้องการ” ช่องว่างในการตระหนักรู้ถึงความจริงตามที่มันเป็นจริง ๆ นั้นได้เกิดขึ้นแล้ว ความวุ่นวายทั้งหลายในชีวิตก็จะเกิดขึ้นในช่องว่างนั้น เราสร้างช่องว่างนี้ขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดวัน การปฏิบัติเป็นไปก็เพื่อปิดช่องว่างเหล่านี้ เพื่อลดเวลาที่เราเสียไปกับการหลงลืม แล้วมัวติดยึดกับความฝันอันมุ่งถึงแต่ตนเอง

          อย่างไรก็ตาม ถ้าเราคิดว่า “ฉันกำลังใส่ใจ” “ฉันกำลังกวาดพื้น” “ฉันกำลังหั่นหัวหอม” “ฉันกำลังขับรถ” นั่นก็ยังเป็นความผิดพลาดอยู่ดี การคิดเช่นนี้อาจจะใช้ได้ในระยะแรกเริ่มของการฝึกปฏิบัติ แต่ก็ยังยึดติดอัตตาตัวตนอยู่นั่นเอง ยังมีคำว่า “ฉัน” แทนประสบการณ์ในปัจจุบันขณะ สิ่งที่ดีกว่านั้นคือการตระหนักรู้อย่างง่าย ๆ เพียงการรับรู้ รับรู้ และรับรู้เท่านั้น การตระหนักรู้ล้วน ๆ จะไม่มีช่องว่าง ไม่มีพื้นที่ให้ความคิดของอัตตาเกิดขึ้น เมื่อใดที่เกิดความคิดเช่นนั้น แสดงว่าช่องว่างได้เกิดขึ้นแล้ว ช่องว่างเป็นแหล่งกำเนิดของปัญหาและความเสียใจทั้งมวลที่รุมเร้าเรา

          ทุกครั้งที่บ่นว่าชีวิต เราได้ตกอยู่ในช่องว่างนั้นแล้ว ในการปฏิบัติ เราสังเกตความคิดและความเขม็งตึงของร่างกาย เปิดรับมันทั้งหมด แล้วกลับคืนสู่ปัจจุบันขณะ นี่เป็นการปฏิบัติที่ยากที่สุด เราอยากจะหนีมันไปให้พ้น หรือไม่ก็จมดิ่งอยู่ในความเสียใจอันน้อยนิด ความเสียใจนี้จะทำให้เราเห็นหรือคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ความคิดที่ยึดติดเป็นอัตตาเป็นศูนย์กลางนี้ เป็นแรงดึงที่เปรียบได้กับการก้าวเดินบนน้ำเชื่อมข้น ๆ เหนียว ๆ ซึ่งเรายกเท้าขึ้นมาได้อย่างลำบากยากเย็น แต่แล้วก็กลับไปติดแน่นในน้ำเชื่อมนั้นอีก เรา “สามารถ” ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ถ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องง่าย ๆ นั่นก็แสดงว่า เรากำลังหลอกตัวเองแล้ว

          เวลาเสียใจ เรากำลังตกอยู่ในช่องว่างของอัตตาและสิ่งต่าง ๆ ซึ่งครอบงำเราด้วยความเรียกร้องต้องการจากชิวิต อย่างไรก็ดี ความรู้สึกในขณะนั้นก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าการจัดเก้าอี้ หรือการปูเบาะนั่งสมาธิแต่อย่างใด

          อารมณ์ส่วนมาก ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ในปัจจุบัน (อย่างเช่นเวลาที่เราเห็นเด็กถูกรถชน) แต่มักเกิดจากความต้องการของอัตตาที่เรียกร้องให้ชีวิตเป็นไปตามที่มันต้องการ แม้ว่าการมีอารมณ์ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่เราจะเรียนรู้จากการปฏิบัติได้ว่า มันก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเช่นกัน การวางดินสอบนโต๊ะมีความสำคัญเท่า ๆ กับความรู้สึกสูญเสียหรือเหงา ถ้าเราตระหนักรู้ถึงความรู้สึกเหงา และเห็นความคิดที่มากับความเหงานั้น เราจะสามารถถอยออกมาจากช่องว่างที่เกิดขึ้นได้ การปฏิบัติก็คือการเคลื่อนออกมาเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเรามีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อหกเดือนก่อน และเป็นความทรงจำที่ทำให้เราเสียใจ เราควรเฝ้าดูความรู้สึกนั้นด้วยความสนใจ และหยุดเพียงเท่านี้ อาจดูเหมือนเย็นชา แต่นี่เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้เราเป็นคนโอบอ้อมอารีและมีความกรุณาอย่างแท้จริง ถ้ามองเห็นว่าเราให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ ก็ควรเฝ้าสังเกตความคิดนั้น การกวาดพื้นทางเดินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้น เป็นเหมือนตาข่ายที่เราถักทอไว้ดักตัวเอง ดูช่างเป็นวิธีการอันน่าอัศจรรย์ แต่ที่สุดแล้ว มันจะทำให้ชีวิตเรายุ่งเหยิง

          เมื่อฉันเห็นความคิดของตัวเอง สัมผัสถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในร่างกาย รับรู้ว่ามีแรงต้านภายในที่ไม่อยากนำความรู้สึกมาเป็นอารมณ์ในการปฏิบัติ ฉันจึงหันกลับมาเขียนจดหมายที่เขียนค้างอยู่ให้เสร็จ นี่แหละคือการถอยออกจากช่องว่างมาสู่การตระหนักรู้ หากหมั่นเพียรปฏิบัติวันแล้ววันเล่า เราจะค่อย ๆ สามารถหาทางออกจากความยุ่งเหยิงในชีวิตได้ หัวใจของการปฏิบัติก็คือ ใส่ใจ ใส่ใจ ใส่ใจ

          การเขียนเช็คสำคัญเท่า ๆ กับความเจ็บปวดที่ไม่ได้พบคนที่เรารัก ถ้าเราไม่ปิดช่องว่างที่เกิดจากความไม่ใส่ใจนั้น ทุก ๆ คนจะได้รับผลกระทบไปด้วย
          การปฏิบัติสำคัญสำหรับฉันเช่นกัน สมมติฉันหวังว่าลูกสาวจะมาเยี่ยมฉันในวันคริสต์มาสนี้ แต่เธอกลับโทรมาบอกว่าเธอไม่มา การปฏิบัติจะช่วยให้ฉันคงความรักที่มีต่อเธอไว้ได้ แทนที่จะเสียใจเพราะเธอไม่ทำตามที่ฉันต้องการ ด้วยการปฏิบัติ ฉันจะสามารถรักเธอได้อย่างเต็มเปี่ยม หากปราศจากการปฏิบัติ ฉันก็จะกลายเป็นเพียงคนแก่ขี้เหงาขี้หงุดหงิด ในความหมายนี้ ความรักก็คือการใส่ใจและการตระหนักรู้นั่นเอง เมื่อฉันคงการตระหนักรู้ไว้ได้ ฉันก็จะสามารถสอนได้เป็นอย่างดี นี่คือรูปแบบหนึ่งของความรัก ฉันจะคาดหวังคนอื่นน้อยลง และทำเพื่อผู้อื่นได้มากขึ้น เมื่อฉันพบลูกสาวอีกครั้ง ฉันก็ไม่จำเป็นต้องแบกความขุ่นเคืองใจเก่า ๆ มาพบเธอด้วย ฉันจะสามารถมองเห็นเธอได้อย่างแท้จริง

          ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการอยู่ที่นี่ในเวลานี้ แท้จริงแล้วมีเพียงสิ่งเดียวที่สำคัญ นั่นคือการใส่ใจกับปัจจุบันขณะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

          ใส่ใจ แปลว่า ใส่ใจ.
146  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / คนเราเกิดมาทั้งที ต้องทำดี 3 กรรม เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553 10:01:02



ทุกท่านที่เกิดมาเป็นคนนั้นจะทำอะไรถึงจะดี

ก็จะขอสรุปว่า การที่เราเกิดมาเป็นคนนั้นไม่ใช่ดีเฉพาะโลกเดียว
ดีมันต้องดี 2 โลก โลกที่แล้วไม่ต้องไปพูดถึง แต่ว่าโลกนี้และโลกหน้า
"สุขในโลกนี้ และดีในโลกหน้า" จะทำอย่างไร เรื่องนิพพานก็ยังไม่อยากพูดถึง


"สุขในโลกนี้ และดีในโลกหน้า" ขอสรุปว่า "เกิดมาทั้งทีทำดี 3 กรรม
เป็นทุนหนุนนำตายแล้วไปสวรรค์" นี่คือ "สุขในโลกนี้ และดีในโลกหน้า"


"ดี 3 กรรม" คืออะไร 1. กรรมกิจ 2. กรรมบถ 3 . กรรมฐาน


"กรรมกิจ"

ได้แก่ หน้าที่การงานต้องดี ต้องมีความรู้ รู้แล้วเป็น
คือ ไม่ใช่รู้แล้วไม่เป็น ประเภทความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
เมื่อเราทำกรรมกิจในฐานะที่เราเป็นกรรมกร
คือ ทำหน้าที่การงาน ก็ต้องทำให้ประสบความสำเร็จ
คนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานนั้น
ก็มีเงินมีทองใช้จ่ายใช้สอยเป็นทุน
อย่างนี้ "อยู่ก็ไม่ร้อน นอนก็ไม่ทุกข์"
ลูกเมียก็สบาย ลูกผัวก็สบาย
ดังนั้นเรื่องกรรมกิจนี้ก็หมายถึงว่า
" ทำแล้วมีเงินทองอย่างสมบูรณ์ " ก็มีความสุข


"กรรมบถ"

ข้อนี้เป็นข้อที่พัฒนาตนเองไปสู่ความเคารพนับถือ ได้แก่ มีศีล
กรรมบถไม่ต้องไปพูดถึงอะไรมาก คือพูดถึง "ศีล" อย่างเดียว
อย่างไรก็ตามไม้มีดอกผล คนต้องมีศีล เราจึงเห็นว่าศีลนั้นสำคัญ

1. ศีลส่งทำให้สูง

2. ศีลปรุงทำให้สวย

3. ศีลนำทำให้รวย

4. ศีลช่วยทำให้รอด

นี่ก็คือการเกิดมาเป็นคนต้องมีศีล เพราะศีลเป็นบันไดทองของชีวิต
ทำให้เราได้รับความเคารพนับถือ คนไม่มีศีลนั้นใครจะไหว้
การจัดลำดับของคนนั้นเขาเรียกจัดลำดับตามศีล
ไม่มีศีล เขาก็เรียก "ไอ้" เรียก "อี"
แต่มีศีลเขาก็เรียก "พ่อ" เรียก "แม่" เรียก "คุณ"
ดังนั้น กรรมบถเรื่อง "ศีล" เป็นเรื่องสำคัญ เป็นขั้นที่ 2


และสุดท้ายอีกกรรมคือ

"กรรมฐาน"

กรรมฐานคือ "สมถกรรมฐาน" ใจต้องนิ่ง ใจต้องแน่ ใจจะได้ไม่เน่า
และเรื่องของวิปัสสนากรรมฐาน ต้องสว่างไม่ใช่มืดบอด
เมื่อเรารู้เรื่องกรรมฐาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ไตรลักษณ์" ให้เห็นว่า
"อนิจจัง….ไม่เที่ยง"
"ทุกขัง….คงสภาพอยู่ไม่ได้"
"อนัตตา….ไม่ใช่ของเรา ต้องแตกสลายหายไปทุกคน"

ถ้า " 3 กรรม" นี้แล้ว "กรรมกิจ กรรมบถ กรรมฐาน"
ถือว่าเป็น "กรรมที่สมบูรณ์แบบ" อยู่ก็สบาย ตายก็ไปสู่สุคติ
พระพุทธเจ้าสรรเสริญสำหรับบุคคลที่ทำ 3 กรรมนี้
จึงขอฝากให้ท่านทั้งหลายเอาไว้เป็นข้อคิด ข้อปฏิบัติ


โดย : พระพิพิธธรรมสุนทร วัดสุทัศนเทพวราราม - ธรรมะไทย
147  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / สันโดษ เคล็ดลับของความสุข เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553 08:09:14

สันโดษ เคล็ดลับของความสุข
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

เคล็ดลับของความสุขที่คนเรามักจะมองข้ามไป คือ “ความสันโดษ” ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ซ่อนอยู่ในตัวเราที่นี่ เดี๋ยวนี้ อวิชชา ความไม่รู้ และตัณหาความทะยานอยาก เป็นสิ่งที่ปิดบังทำให้เรามองไม่เห็นวิถีแห่งความสุขอันเกิดจากความสันโดษ

ความสันโดษ

 เป็นมงคลข้อที่ 24 ในมงคล 38 ประการ มงคลเป็นเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนนำไปปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า
คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ

ความสุขอันเกิดจากความสันโดษนั้นเราไม่ต้องแสวงหาอะไรนอกตัวเราไม่ต้องทำอะไรพิเศษไปกว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ทุกวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิม เราเพียงแต่เปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริงตามกฎธรรมชาติด้วยจิตใจที่เป็นธรรม แล้วยินดีพอใจในสิ่งที่มี ที่เป็น ที่หามาได้ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รู้จักคิดดี คิดถูก เท่านั้นแหละ ความสันโดษ อันเป็นบ่อเกิดของความพอใจสุขใจมันก็ผุดขึ้นมาเอง โดยอัตโนมัติ ที่นี่ เดี๋ยวนี้

นัสรูดิน กับ มุตตาฟา

นัสรูดินมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ มุสตาฟา มุตาฟาเป็นคนที่ไม่ฉลาด..นัสรูดินเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ชอบทำเป็นคนโง่ และชอบล้อเลียนเพื่อนบ้าน วันหนึ่ง มุตาฟาตื่นแต่เช้ามืด ด้วยความท้อแท้ก็ไปหานัสรูดินบอกว่า เพื่อนเอ๋ย...บ้านที่ผมอยู่มันแคบ กลิ่นอับ ไม่คล่องตัวเลย ผมไม่มีความสุข กลัดกลุ้มมาหลายปีแล้ว ช่วยผมหน่อยได้ไหม เงินที่ขยายห้องก็ไม่มี

นัสรูดินบอกว่า เอาล่ะแกต้องเชื่อข้านะ เชื่อทุกอย่างนะ แล้วจะช่วยให้สบายขึ้น มุสตาฟาบอกว่าผมจะเชื่อทุกอย่างที่นายบอก นัสรูดินได้ทีก็บอกว่า คืนนี้นะเอาแพะเข้าไปล่ามในห้องนอนของแก มุตาฟางงแต่ก็เชื่อฟังนัสรูดิน รุ่งเช้าตื่นมาตาแดง มาหานัสรูดิน ผมนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ เจ้าแพะวายร้ายมันร้องทั้งคืน ไหนว่าจะช่วยผมให้มีความสุข

นัสรูดินบอกว่า เอาน่าเชื่อฉัน คืนนี้เอาลาเข้าไปอีกตัวหนึ่งไปล่ามด้วยกัน มุสตาฟาคนโง่ก็ทำตาม เอาลาเข้าไปล่าม รุ่งเช้าก็โผเผมาบอกว่า เจ้าแพะกับลามันทะเลาะกันทั้งคืน ร้องและเตะกันและถ่ายมูลออกมา ห้องผมเล็กอยู่แล้ว เหม็นคลุ้งไปหมดไหนว่าจะช่วยผมให้สบายขึ้นไงล่ะ นัสรูดินบอกว่าเอาน่า คืนนี้ได้เรื่อง เอาม้าเข้าไปอีกตัวหนึ่ง

พอรุ่งเช้ามุสตาฟาไม่มีแรง เพราะไม่ได้นอนทั้งคืน บอกนัสรูดินช่วยผมด้วย ช่วยผมให้มีความสุขหน่อย นัสรูดินบอกว่า เอาละได้ที่แล้ว คืนนี้เอาแพะออกจากห้องไป พอรุ่งเช้ามุสตาฟามาหา นัสรูดินก็ถามว่าเป็นไงบ้าง มุสตาฟาจึงบอกว่าค่อยยังชั่วนิดหนึ่งแล้ว

นัสรูดินบอกว่า งั้นคืนนี้เอาลาออกไป รุ่งเช้ามุสตาฟาบอกว่า ผมรู้สึกว่าห้องผมกว้างขึ้น นัสรูดินบอกว่า เอ้าคืนนี้แกเอาม้าออกไปจากห้อง รุ่งเช้ามุสตาฟาเดินยิ้มเผล่บอกว่า แหม ผมรู้สึกเป็นสุขเหลือเกิน ห้องผมรู้สึกมันกว้างขวางดี

คงมีหลายคนที่เป็นแบบมุสตาฟานี่แหละ ไม่รู้จักพอใจตนเอง เที่ยวคิดฟุ้งซ่านไป ครั้นสูญเสียไปทีละน้อยพอได้คืนมาจึงเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนมีอยู่ ถ้ารู้จักคิดดี คิดถูกเสียตั้งแต่ต้น ก็จะสุขใจ สบายใจ ไม่ต้องกระวนกระวายใจให้เป็นทุกข์

สันโดษ
มาจากภาษาบาลีว่า สันโตสะ สัน แปลว่า ตน โตสะ แปลว่า ยินดี สันโดษจึงแปลว่า ยินดี พอใจ อิ่มใจ สุขใจ กับของของตน กล่าวโดยย่อคือ ให้รู้จักพอ ให้รู้จักประมาณตน ลักษณะของสันโดษ 3 ประการ คือ
ยินดีตามมี
ยินดีตามได้
ยินดีตามควร

เมื่อเราเข้าใจกฎแห่งกรรม ยอมรับกฎแห่งกรรมด้วยปัญญาชอบ แล้วก็จะพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ตามฐานะของตนในปัจจุบัน ยอมรับว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน สมบูรณ์แล้วด้วยเหตุผล

อดีต............เป็น............เหตุ
ปัจจุบัน.......เป็น............ผล.........มันเป็นกรรมเก่า


พระพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร่างกายจิตใจของเรา รวมทั้งสิ่งที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยของกาย เช่น พ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา ลูก ๆ บุคคลต่าง ๆ ตลอดจนทรัพย์สมบัติ สถานที่ บ้าน สังคม ประเทศชาติ ที่เราต้องไปเกี่ยวข้อง ล้วนเป็นกรรมเก่า

อิทธิบาท 4 คู่กับสันโดษ

คนจำนวนมากเข้าใจความหมายของสันโดษผิดไป คิดว่าสันโดษคือการพอใจอยู่คนเดียว หรือการไม่ทำอะไร หากนำหลักของสันโดษไปใช้แล้วจะทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ ประชาชนจะไม่รู้จักพัฒนาตน เพราะพอใจในสภาพตามมีตามเกิดตามธรรมชาติ เป็นอยู่อย่างไรก็พอใจแค่นั้น มีน้อยแค่ไหน ก็ไม่ต้องขวนขวายไปหามาเพิ่ม

ความจริงแล้ว.... การพอใจอยู่คนเดียว ภาษาบาลีเรียกว่า ปวิวิตตะ ไม่เรียกสันโดษ ส่วนการไม่ทำอะไรนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า โกสัชชะ คือความเกียจคร้าน

 คำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องสันโดษ ไม่ได้สอนให้คนเกียจคร้านท้อถอย ไม่ขยันหมั่นเพียรในการทำหน้าที่การงานซึ่งเป็นอุปสรรคขวางกั้นความเจริญอย่างที่มีการเข้าใจผิดกัน

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องสันโดษ เพื่อให้เรารู้จักพอใจกับสิ่งที่ตนมีอยู่ สิ่งที่ตนได้มา และสิ่งที่สมควรแก่ฐานะของตน เมื่อเรามีความสันโดษเป็นคุณธรรมประจำใจแล้วก็จะขจัดเสียซึ่งความโลภ ไม่มีการเบียดเบียน แก่งแย่งชิงดี อิจฉาริษยา ทุจริตฉ้อโกง มุ่งร้ายลำลายกัน

พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตว่าด้วยหลักอิทธิบาท 4 ซึ่งหมายถึง ทางแห่งความสำเร็จในกิจอันเป็นกุศล ไม่ว่าจะเป็นทางโลก หรือทางธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จตามที่ตั้งใจถ้าเราปฏิบัติตามหลักอิทธิบาท 4 ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ

ฉันทะ มีความพอใจในสิ่งที่ทำ โดยเราควรตั้งเป้าหมายไว้ตามความเหมาะสมกับฐานะ และกำลังความสามารถของเรา
วิริยะ ความเพียรพยายามและตั้งใจทำสิ่งนั้น
จิตตะ ความเอาใจใส่ จิตใจจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่
วิมังสา ปัญญาที่พิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อเราอยากมี อยากได้ อยากเป็นอะไรก็ตาม ก่อนอื่นให้เข้าใจตัวเอง รู้จักฐานะ ความรู้ ความสามารถของตน แล้วตั้งเป้าหมายไว้ ลงมือทำตามเป้าหมายนั้นด้วยความพอใจ เพียรพยายามเต็มกำลังความสามารถ เอาใจใส่เพื่อให้สำเร็จตามที่ตั้งใจ เมื่อได้ผลออกมาอย่างไร ก็ให้ยินดีพอใจตามที่ได้ ตามที่เป็น
ถึงแม้ว่าไม่บรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ตาม ก็ให้สันโดษ

อิทธิบาท 4 เป็นการสร้างเหตุที่ดีของการกระทำ เพื่อให้ประสบความสำเร็จ สันโดษ เป็นความยินดีพอใจในผลที่ได้รับ

เมื่อเราดำเนินชีวิตด้วยคุณธรรม ตามหลักอิทธิบาท 4 และสันโดษแล้ว ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรมากมาย สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ตกงาน ผิดหวังในความรัก ไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ก็ให้เข้าใจว่าเมื่อเราตั้งใจทำดีด้วยใจที่สงบ เราได้ทำเหตุที่ดีแล้ว ก็ต้องยอมรับผลด้วยใจที่สงบเหมือนกันจึงจะเรียกว่าทำงานด้วยความปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น รักษาหัวใจของนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย

ความพ่ายแพ้ไม่ได้ทำให้ท้อถอย แต่ให้มีความหวังในอนาคต ตั้งใจทำความดีในปัจจุบันด้วยสุขภาพใจดี ตั้งใจทำความดี ด้วยหลักอิทธิบาท 4 ยอมรับผลด้วยความสันโดษ

อาจารย์เดินทางออกจากญี่ปุ่นมาอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 20 ปี กลับไปเยี่ยมบ้านครั้งแรกหลังจากที่มาประมาณ 15 ปี ประเทศญี่ปุ่นเปลี่ยนไปมาก สถานีรถไฟใหญ่ที่สุดในกรุงโตเกียวสมัยก่อนที่เป็นอาคารชั้นเดียวเปลี่ยนเป็นชานชาลาที่ขุดลงไปใต้ดิน 3 ชั้นบนตึกสูง เมื่อก่อนเคยเดินทางด้วยรถไฟใช้เวลา 9 ชั่วโมง
เดี๋ยวนี้เหลือ 3 ชั่วโมงถึงที่หมาย อาหารการกินสมบูรณ์ อาหารบางอย่างที่เคยเป็นเมนูพิเศษเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นอาหารธรรมดา ๆ

 แต่พี่สาวอาจารย์บอกว่ายังคิดถึงสมัยเด็ก ๆ อยู่เสมอ ในฤดูร้อน เอาแตงกวามาแช่ในน้ำพุธรรมชาติที่เย็นจัดซึ่งอยู่ใกล้บ้านแล้วเอาจิ้มกินกับมิโสะ มันก็อร่อยดี มีความสุขกันแล้ว ทุกวันนี้ถึงจะกินอาหารอุดมสมบูรณ์มากกว่าแต่เมื่อนึกถึงความสุขในการกินทีไรก็นึกถึงสมัยเด็ก ๆ ทุกครั้ง

 สมัยที่อาจารย์ยังเด็ก แม่พูดอยู่เสมอว่า ชีวิตในชนบทดีที่สุด มีข้าวปลาอาหารพออยู่พอกินไม่ต้องเครียดอะไร แม่ไม่เคยบอกให้อาจารย์ต้องเรียนหนังสือสูง ๆ ต้องรวย ต้องมียศ มีตำแหน่งสูงถึงจะมีความสุข

อาจารย์รู้สึกว่าน่าจะจริงตามที่แม่พูด คำพูดของแม่ทำให้รู้จักสันโดษ พอใจกับชีวิตแบบเรียบง่าย พออยู่พอกิน รักกันสามัคคีกันในครอบครัวก็มีความสุขแล้ว

ต้นทางแห่งความสุขที่แท้

“คำสอนตามหลักพระพุทธศาสนากล่าวว่า ยิ่งสันโดษต่อสามิสสุขมากเท่าไร ก็ยิ่งได้นิราสิสสุขมากขึ้นเท่านั้น”

สามิสสุข หมายถึง ความสุขที่ต้องอาศัยวัตถุภายนอกมาตอบสนองความต้องการทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดอยากต่าง ๆ ถือเป็นความสุขชั้นหยาบที่มีทุกข์เจือปนมาตลอดเวลา เพราะต้องแสวงหาดิ้นรนกระวนกระวายเป็นอาการนำหน้า เมื่อได้มาก็ต้องระวัง รักษา ยึดติด หวงแหน ผูกพัน กลัวสูญหาย ถ้าไม่ได้มา ถูกขัดขวางก็ขัดเคือง
ไม่พอใจ

นิรามิสสุข เป็น ความสุขภายในที่ไม่ต้องอาศัยวัตถุภายนอกมาสนองความอยาก เป็นความสุขที่เกิดจากใจที่สงบ สะอาด ไม่ดิ้นรนกระวนกระวายไปตามกิเลส

นิรามิสสุขจึงเป็นความสุขที่แท้จริง เป็นภาวะสุขที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ ตามมาและยังช่วยขจัดปัญหาต่าง ๆ ด้วย ผู้ที่จะมีนิรามิสสุขได้จะต้องมีสภาพใจที่สงบไม่ดิ้นรน คือมีความสันโดษเสียก่อน แล้วก็หมั่นฝึกหัดพัฒนาจิตใจด้วยการเจริญอานาปานสติและเมตตาภาวนาเป็นประจำสม่ำเสมอ
เพื่อเข้าถึงความสุขที่แท้หรืออย่างน้อยก็เพื่อความสุขภาพใจดี มีความสบายใจ สุขใจ


ขอขอบคุณข้อมูลจากห้องสมุดบ้านจอมยุทธ์ค่ะ
148  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / คู่มือ การป้องกันการฆ่าตัวตาย เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553 07:59:31
http://img254.imageshack.us/img254/5396/friend1.jpg

ในความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ก็ย่อมมีช่วงเวลาของความอ่อนแอ อ่อนล้าในชีวิตอยู่บ้าง เพราะไม่มีใครที่อยู่อย่างปราศจากปัญหา ซึ่งในช่วงนี้เอง เป็นช่วงที่คนเราต้องการใครสักคน มาช่วยประคับประคอง และให้กำลังใจเพื่อเอาชนะอุปสรรค และสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างงดงาม

             กำลังใจ คำปลอบใจ คือสายใยต่อชีวิต คนเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการคนเข้าใจ เห็นใจ ให้กำลังใจแก่เขาได้ ความเมตตาของท่าน จะช่วยต่อชีวิตของเขาได้
 


ปัญหาการฆ่าตาย ผ่อนคลาย และป้องกันได้

                    การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ กับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งปรากฎอยู่ในสังคมและชุมชนต่างๆอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถป้องกันได้ หากว่าประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน ช่วยเหลือ โดยประชาชนมีเจตคติที่ดี มีความเห็นอกเห็นใจ รวมทั้งความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุของการฆ่าตัวตาย วิธีการสังเกตสัญญาณเตือนที่จะนำไปสู่การฆ่าตัวตายเสียแต่เนิ่นๆ และรู้แหล่งหรือบุคคลที่จะให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่จำเป็น ย่อมจะทำให้ปัญหาการฆ่าตัวตาย และพยายามฆ่าตัวตายของคนในชุมชนต่างๆ ลดลงไปมาก และนำความสงบสุขมาสู่ชุมชนนั้น

คุณรู้ไหมว่าทำไม คนเราถึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย

มองไปทางไหนก็เห็นแต่ปัญหา ไม่เห็นทางออก เจอแต่ทางตัน
ซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก หดหู่ ท้อแท้
ป่วยเป็นโรคจิต หลงผิดคิดว่ามีคนสั่งให้ไปตาย หรือระแวงว่าจะมีคนมาฆ่า ก็เลยอยากตายไปให้พ้น
ติดเหล้า ติดยา ไม่ได้เสพก็ทรมาน พอเสพจนเมาก็ขาดสติ ไม่มีใครอยากเหลียวแล
มีความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทางกาย จนไม่สามารถทนได้ จึงฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นทุกข์
    
 
คนที่ฆ่าตัวตายต้องการสิ่งเหล่านี้

ความเข้าใจ
เพื่อนที่จริงใจ
การระบายความทุกข์
ความใส่ใจ
        
 
ลักษณะบุคคลที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย

หากพบว่าใครมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อต่อไปนี้ ให้ระวังว่าอาจจะมีความเสียงต่อการฆ่าตัวตาย
    
 
พูดถึงความตายหรือการฆ่าตัวตาย หรือบ่นว่าอยากตาย ไม่อยากเป็นภาระใคร รู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร
พูดหรือเขียนสั่งเสีย

เคยพยายามฆ่าตัวตาย

นิสัยเปลี่ยนเป็นหงอยเหงา เศร้าซึม แยกตัวเอง หมดอาลัยตายอยาก ร้องไห้บ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ มีความรู้สึกผิด และดูถูกตนเอง
ป่วยเป็นโรคจิต เช่น มีอาการหูแว่วว่ามีคนมาสั่งให้ไปตาย หลงผิดคิดว่าจะมีคนมาฆ่าจึงอยากตายให้พ้นๆ มีความคิดแปลกๆ ว่าถ้าตายแล้วจะช่วยไม่ให้โลกแตก เป็นต้น

ติดสุราหรือยาเสพติด จนเลิกไม่ได้ ครอบครัวและชุมชนไม่ยอมรับ
 
มีความทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัวร้ายแรง โรคเรื้อรัง และรักษาไม่หาย เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง เป็นต้น
มีความพิการจากการสูญเสียอวัยวะสำคัญ จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือเสียความสวยงาม
สูญเสียบุคคลหรือของรักที่มีความสำคัญต่อชีวิต การตายจาก หรือแยกจากในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
ถูกเร่งรัดหนี้สินจนหาทางออกไม่ได้ สินเนื้อประดาตัว หมดทางทำมาหากิน

เกิดการโต้เถียง ทะเลาะวิวาทรุนแรงบ่อยๆ ระหว่างคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูง

                         ถ้ามีลักษณะดังข้อ 1-6 แนะนำหรือชักชวนให้ขอคำปรึกษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลชุมชนโดยด่วน เพราะมีความเจ็บป่วยทางจิตใจซึ่งรักษาได้ โรคบางอย่างจำเป็นต้องรักษาด้วยยา

                         ถ้าพบข้อใดข้อหนึ่ง ให้ดูแลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะข้อ 1-6 เพียงข้อใดข้อหนึ่ง รีบให้ความช่วยเหลือโยเร่งด่วน โดยขอให้ดำเนินการช่วยเหลือตามวิธีที่ได้แนะนำไว้ในหน้านี้

เราจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าตัวตายได้อย่างไร
 
สังเกตว่ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้วทั้ง 11 ข้อ หรือไม่ ถ้ามีให้เฝ้าระวังว่ามีโอกาสกระทำได้จริง ควรเข้าไปพูดคุยซักถามด้วนความเอาใจใส่ พร้อจะช่วยเหลือ

ลองถามไถ่ว่ามีการเตรียมวิธีที่จะทำร้ายตัวเองหรือไม่อย่างไร ถ้าผู้ช่วยเหลืออยู่ในฐานะเพื่อนบ้านหรือมิใช่คนในครอบครัว ให้บอกญาติหรือคนในครอบครัวให้คอยระวังอย่างใกล้ชิด ให้อยู่ในสายตาและให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ ที่เขาเตรียมไว้เพื่อทำร้ายตัวเอง

พูดคุยให้คำปรึกษา ปลอบใจ ให้เขามีสติ ค่อยๆคิดหาทางแก้ไขปัญหา อาจจะแนะนำให้เขาปรึกษาคนที่เขาไว้วางใจ และนับถือ เช่น ญาติ พระ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ

กระตุ้นให้ญาติให้กำลังใจ ไม่ตำหนิ หรือลดการทะเลาะเบาะแว้งลง

ติดต่อหาแหล่งช่วยเหลือในพื้นที่ เท่าที่จะทำได้ เช่น แหล่งฝึกอาชีพ แหล่งฟื้นฟูสมรรถภาพ แหล่งช่วยเหลือเรื่องการเงิน เช่น กรมประชาสงเคราะห์ เป็นต้น
กระตุ้นให้คนในชุมชนตระหนักถึงปัญหา และให้ความสนใจดูแล และเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน ไม่ปล่อยปละละเลย

ให้ความรู้เรื่องผลระยะยาวของสุขภาพที่เกิดจากการใช้ยา หรืออุปกรณ์ในการฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ เช่น สมองเสื่อมจากการผูกคอตาย หรือเกิดความพิการทางกายอื่นๆ

เทคนิคการปลอบใจ

เมื่อใครมีแนวโน้มที่จะคิดทำร้ายตนเอง ควรพูดปลอบใจ และให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เป็นมิตร ดังนี้
    
 
พูดให้ความหวัง ตัวอย่างเช่น " ทำใจดีๆไว้ พรุ่งนี้อาจะดีขึ้นก็ได้ เพราะไม่มีอะไรที่คงที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันจะหมดไปสักวัน และพ้นผ่านไปเองในที่สุด "

ยังมีหนทางแก้ไขปัญหาได้ ตัวอย่างเช่น " ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข บางปัญหาต้องใช้เวลา เราลองมาช่วยกันคิดหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหากันดีกว่า "
ให้ความมั่นใจว่า ยังมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ ตัวอย่างเช่น " ลองปรึกษาหารือกับเพื่อน (หรือญาติพี่น้อง สามี หรือภรรยา ลูกที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) ดู " แต่ถ้าไม่มีใครจริงๆ ยังมีหน่วยงานอีกหลายแห่งที่ยังคอยให้ความช่วยเหลืออยู่

พูดให้ห่วงคนข้างหลัง ตัวอย่างเช่น " ถ้าขาดคุณเสียคน ลูกๆจะทำอย่างไร " หรือ "ถ้าขาดคุณแล้ว พ่อแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะช่วยดูแลท่าน ท่านแก่มากแล้ว "

พูดให้เห็นข้อดีของการมีชีวิต ตัวอย่างเช่น " คุณยังมีอะไรดีๆอยู่อีกมาก เช่น มีลุก มีสามี หรือภรรยาที่ดี ที่คอยหว่งใยให้กำลังใจ " หรือ " คุณยังมีงานทำมีทรัพย์สินเงินทอง " หรือ " การมีชีวิตอยู่ยังได้ทำบุญ ทำประโยชน์ให้ครอบครัวให้สังคมได้ "

ในกรณีที่เวลาผ่านไประบะหนึ่ง ผู้คิดทำร้ายตนเอง สามารถมีสติรับฟังเหตุผลได้ ให้พูดถึงบาปบุญคุณโทษ ตัวอย่างเช่น " คิดทำร้ายตัวเองไม่ดีหรอกบาปกรรมเปล่าๆ กว่าจะเกิดมาเป็นคนนั้นแสนยาก "
 

--------------------------------------------------------------------------------
 
อย่าพูดซ้ำเติมคนคิดฆ่าตัวตาย
เพราะจะกายเป็นการผลักดันให้ลงมือทำซ้ำอีก
การปลอบใจและให้กำลังใจที่ดีที่สุด
คือการรับฟังอย่างเข้าใจ และใส่ใจความรู้สึกของผู้ประสบปัญหา
และเห็นอกเห็นใจด้วยความจริงใจ
 

--------------------------------------------------------------------------------
 
เมื่อมีการฆ่าตัวตายจะทำอย่างไร
      
รีบช่วยปฐมพยาบาล และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
ปลอบโยนญาติให้มีสติ
ทำความเข้าใจกับชุมชนให้เข้าใจว่า เขาทำไปเพราะทุกข์ใจ ไม่ใช่เป็นการกาเรื่องใส่ตัว ไม่ควรรังเกียจ ควรเห็นใจผู้ฆ่าตัวตาย และญาติ ให้ความช่วยเหลือ
และช่วยกัยดูแลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก

สิ่งที่ญาติหรือผู้ใกล้ชิด ไม่ควรพูดกับผู้ที่คิดฆ่าตัวตาย
  
 
ตายเสียได้ก็ดี
ไม่น่ารอดมาเลย
อย่าไปสนใจมากเดี๋ยวก็ทำอีก ไม่ตายจริงหรอก
เก่งจริงคราวหน้าก็ให้ตายจริงซิ
อยู่ไปก็ไม่เห็นทำประโยชน์อะไร
ไม่ต้องฆ่าตัวตายหรอก ยังไงก็ตายอยู่ดี
อยู่ไปนานก็ยิ่งจะสร้างภาระให้คนอื่น
    
 
แหล่งให้ความช่วยเหลือที่ติดต่อได้

สถานีอนามัย

โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจิตเวช

บุคคลในชุมชนที่เคารพนับถือ ไว้วางใจ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เช่น พระครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. และเพื่อนบ้าน

แรงงานจังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือด้านจัดหางาน เพื่อให้มีอาชีพ เลี้ยงตัวเองและครอบครัว

ประชาสงเคราะห์จังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องการเงิน ที่พักอาศัย และปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค
 
 

--------------------------------------------------------------------------------
 
ที่มา แผ่นพับจากกรมสุขภาพจิต
149  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / เสียงกรนสัญญาณที่ไม่อาจเพิกเฉย เมื่อ: 17 ธันวาคม 2553 13:22:47

จากปัญหาของคนทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับ "เสียงกรน" ไม่เพียงก่อให้เกิดความรำคาญยังส่งผลต่อสุขภาพกาย สภาพจิตใจ ชีวิตสมรสและสถานภาพทางสังคมของผู้กรน ที่สำคัญเสียงกรนอาจเป็นสาเหตุร่วมของการเกิดโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมา อาทิ โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ และนอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยหยุดหายใจขณะหลับและมีปริมาณออกซิเจนลดลงเกินครึ่ง ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ เสี่ยงเกิดอันตรายขณะทำงานหรือขับรถในตอนกลางวัน ซึ่งอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

ด้วยผลของโรคนอนกรนที่ตามมาจนไม่อาจนิ่งนอนใจได้ทั้งต่อผู้กรนและคนใกล้ชิด มูลนิธิโรคนอนกรนและการนอนหลับผิดปกติ นำโดย ศ.นพ.ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ ประธานมูลนิธิฯ ผนึกกำลังจัดงาน “วันโรคนอนกรน” ณ ห้องประชุมชั้น 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา เพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้นสู่การป้องกันและรักษาอาการกรน โดยได้รับเกียรติจาก พลโทธวัชชัย ศศิประภา ผอ. ศูนย์แพทย์พระมงกุฎเกล้า เป็นประธานเปิดงาน ภายในงานจัดให้มีการบรรยายในหัวข้อ “โรคนอนกรนรักษาได้” จาก พ.อ.นพ.ดร.โยธิน ชินวลัญช์ และ พญ.วิสาข์สิริ ตันตระกูล

 ศ.นพ. ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ กล่าวว่า ร้อยละ 90 ของคนนอนกรนจะไม่รู้ว่าตัวเองกรน และมักปฏิเสธว่าตัวเองไม่กรน บางครอบครัวภรรยาทนไม่ได้ต้องรีบพาสามีมารักษา เพราะนอนไม่หลับกันทั้งบ้าน หรือเมื่อต้องไปค้างคืนที่ต่างจังหวัดไม่สามารถนอนร่วมห้องกับผู้อื่นได้ ทำให้เกิดความอับอาย เกิดปัญหาต่อการเข้าสังคมได้ บางรายเป็นหนักถึงขั้นหงุดหงิด ทะเลาะวิวาท เกิดปัญหาครอบครัวตามมา นอกจากนี้ข้อเท็จจริงที่อันตรายที่สุดของโรคนอนกรน คือ ปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้กรนและคนรอบข้าง แม้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน แต่ไม่ควรเพิกเฉย ส่วนอาการที่บ่งชี้ว่าต้องรับการรักษา คือ เมื่อคนรอบข้างบอกว่า เมื่อเริ่มมีอาการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ เกิดอาการง่วงนอนตอนกลางวันมากผิดปกติ และควรสังเกตตัวเองด้วยว่า เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการหายใจไม่ออกและสำลักน้ำลายร่วมด้วยหรือไม่ ถ้ามีอาการควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว

 “อาการกรนพบได้ในทุกวัย โดยเฉพาะวัยทำงาน ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง สำหรับสาเหตุของการกรนก็ได้แก่ โรคอ้วน,  ดื่มสุรา,  สูบบุหรี่, ลักษณะทางพันธุกรรม, โรคภูมิแพ้, การทำงานและการออกกำลังกายหักโหมจนเกินไป ส่วนสาเหตุการกรนในเด็กนอกจากจะมีปัจจัยคล้ายๆ ผู้ใหญ่แล้ว โรคต่อมทอนซิล (ต่อมน้ำเหลืองหลังคอ)อักเสบ และ ต่อมอะดีนอยส์ (ต่อมน้ำเหลืองหลังโพรงจมูก) อักเสบ ซึ่งจะทำให้เด็กหายใจยาก ก็เป็นสาเหตุของการกรนได้ง่ายขึ้นด้วย”

  นอกจากนี้ประธานมูลนิธิ ยังกล่าวว่า ผู้ป่วยโรคนอนกรนสามารถใช้หมอนช่วยลดอาการกรนได้ เนื่องจากการหนุนหมอนที่มีระดับความสูงพอเหมาะ จะช่วยให้ทางเดินหายใจไม่พับงอจนเกินไป  แต่ในรายที่มีอาการกรนมากควรเริ่มรักษาด้วยการดูแลตัวเอง ลดน้ำหนัก เลิกสุรา งดบุหรี่ ไม่ทำงานหรือออกกำลังกายจนหักโหมเกินไป ควรเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้ง่วงนอน เพราะจะทำให้กรนมากขึ้น  นอกจากนี้ยังบริหารช่องคอให้กล้ามเนื้อตึงตัวด้วยการเป่าท่อที่มีความยาว 1.5 เมตร โดยเป่าจนสุดแรงวันละ 20 นาที สำหรับผู้ประสบปัญหานอนกรนเล็กน้อยถึงปานกลาง ลองกำมือหนึ่งข้างให้หลวมพอสำหรับลมผ่านได้ นำมือจ่อที่ริมฝีปาก ก่อนออกแรงเป่าลมค้างไว้ครั้งละ 5-10 วินาที โดยส่งแรงลมให้ผ่านออกทางด้านล่างของมือ ทำติดต่อกันวันละ 20 นาที จะช่วยทำให้ช่องลมกว้างขึ้น

 “ถ้าในบางรายอาการหนัก การรักษาก็ต้องอาศัยเครื่องมือและการผ่าตัดร่วมด้วย ซึ่งปัจจุบันการรักษาอาการนอนกรนทำได้ง่ายกว่าที่คิด อย่ามัวรอให้เกิดผลเสียต่อร่างกายจนเกิดโรคอื่นๆ ตามมาแล้วถึงคิดตัดสินใจมาพบแพทย์ อยากให้ทุกคนร่วมกันตระหนักถึงความสำคัญ ว่ายังมีทางออกสำหรับโรคนอนนกรน โดยที่ไม่ต้องทนอีกต่อไป” ศ.นพ. ชัยรัตน์ กล่าว


ที่มา คมชัดลึก
150  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: กินอะไรให้ความจำดี เมื่อ: 17 ธันวาคม 2553 10:02:58
 ตลก

ขอแนะนำให้ต้มจับฉ่ายค่ะ

ที่บ้านต้มเป็นประจำ  เด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ หลาน ๆ ทานได้ทุกคน
แต่ถ้าผักเป็นชิ้นๆ  เค้าจะไม่เอา แต่ต้มจับฉ่ายแค่น้ำที่ต้มก็มีวิตามิน
จากผักเยอะมากมายเลยล่ะค่ะ

อีกอย่างคือ  เทมปุระ  (หรือผักชุบแป้งทอดนั่นเอง)
อันนี้ยิ่งง่ายใหญ่เลย  นำผักเขียว ๆ แดง ๆ ม่วง ๆ  เหลือง ๆ
ทั้งหลายมาชุบแป้งทอด  อร่อยมากเลยค่ะ ขอบอก   *-*
151  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: พิษของไขมัน .. ไม่รู้ไม่ได้แล้ว ! เมื่อ: 17 ธันวาคม 2553 09:57:01
 หัวเราะลั่น

เห็นแค่พิษของมันก็น่าตกใจแล้วล่ะค่ะน้าแม็ค

เพราะฉะนั้น  ต้องระวังเรื่องการทานอาหารให้มาก
ไม่งั้นโรคภัยจะถามหาไม่ใช่น้อยนะคะ

ทานผัก ผลไม้(ปลอดสารพิษ) ให้เยอะ ๆ เข้าไว้ดีที่สุดเลยค่ะ
ตามใจปากไม่ได้เลยเชียว  ต้องระวังไว้ให้มาก ๆ ด้วยจ้า  *-*
152  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / คำตอบแห่งคำถาม "เราเกิดมาทำไม?" เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553 09:50:27


การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยาก ต้องมีบุญมาก ... อุปมา เหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ในทะเล ทุกๆ 100 ปี เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง ... เหนือผิวน้ำมีห่วงเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าเล็กน้อยลอยอยู่ 1 ห่วง ... โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วสวมหัวเข้ากับห่วงพอดีนั้น .. ยากเพียงไร โอกาสนั้นก็ยังมีมากกว่าการที่เหล่าสรรพสัตว์จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์

มนุษย์ เราไม่ว่าเกิดมาเป็นใครก็ตาม ต่างก็มีทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ... ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์ ... การประสบกับสิ่งที่ไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ไม่ได้สิ่งที่หวังเป็นทุกข์ ความโศกเศร้า ไม่สบายกาย ไม่สบายใจก็เป็นทุกข์


แต่ไม่ ว่าจะมีความทุกข์มากเพียงใด เคยทำบาปกรรมไว้มากแค่ไหนก็ตาม หากหยุดทำชั่วได้ ตั้งมั่นอยู่ในศีล 5 ปฏิบัติภาวนาจนเกิดวิปัสสนาญาณแล้ว ก็มีโอกาสไปที่สูงขึ้น การเจริญวิปัสสนาจึงเปรียบเสมือนระเบิดนิวเคลียร์ล้างบาปได้ทั้งหมด

มนุษย์ ทุกคนย่อมอยากเกิดมาสบาย สุขภาพสมบูรณ์ สติปัญญาดี ฐานะดี ครอบครัวอบอุ่น ... แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน ... บางครั้งเมื่อเราประสบปัญหา มีทุกข์ เรามักน้อยใจ ท้อใจ ... บางคนสรุปเอาว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ซึ่งข้อสรุปแบบนี้เป็นการเข้าใจกฎแห่งกรรมในแง่ลบ ... หากเราพิจารณากฎแห่งกรรมด้วยปัญญาแล้ว จะเข้าใจว่า

อดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล
ปัจจุบันเป็นเหตุ อนาคตเป็นผล
ปัจจุบันเป็นเวลาที่สำคัญที่สุด
เราต้องยอมรับความจริงว่า อดีตผ่านไปแล้ว เราไม่อาจแก้ไขอะไรได้ ไม่ต้องไปคิดถึง ...
อนาคตก็ยังมาไม่ถึง การวิตกกังวลถึงอนาคตจึงไม่มีประโยชน์อะไรเลย ...
ปัจจุบันจึงเป็นเวลาที่สำคัญที่สุด เริ่ม ต้นทำสิ่งที่ดี รักษาใจเป็นปกติ ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจเป็นศีล ไม่เบียดเบียน ตั้งเจตนาถูกต้อง มีเมตตากรุณาต่อตนเองและผู้อื่น
แก้ปัญหาชีวิตด้วยทาน ศีล ภาวนา
การแก้ปัญหาทุกอย่าง ต้องเริ่มที่ "ตัวเราเอง" ก่อน ...


นักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทยคนหนึ่ง หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็ทำงานสร้างฐานะจนมั่งคั่งแล้ว ก็ชอบเที่ยวเหมือนผู้ชายทั่วไป กินเหล้าเมายา มีเพื่อนผู้หญิง เที่ยวกลางคืน ใช้ชีวิตแบบหนุ่มเจ้าสำราญ แต่แล้ววันหนึ่งธุรกิจเกิดปัญหา มีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นทุกข์ จนได้รับคำแนะนำวิธีแก้ปัญหา 3 ข้อ

1. ให้ทาน เขากำลังมีปัญหาเรื่องหนี้สินอยู่หลายล้าน แต่ก็ได้รับคำแนะนำให้ทำบุญให้ทาน เป็นข้อแรก
2. รักษาศีล ต้องหยุดเที่ยวกลางคืน เลิกอบายมุข หยุดกินเหล้าเมายา ตั้งใจรักษาศีล 5
3. เจิรญเมตตาภาวนา ให้ฝึกทำสมาธิเพื่อให้ใจสงบ มีความสุขใจ


ปราฏว่าไม่นานชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป แก้ปัญหาได้ ภาระหนี้สินค่อยๆ หมดไป จนในที่สุดก็สามารถจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยด้วยดี
การให้ทาน ไม่จำกัดอยู่เฉพาะการทำบุญกับวัดเท่านั้น ... ไม่ว่าจะให้แก่พ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อน ให้แก้ผู้ที่ขาดแคลนหรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็เรียกว่าให้ทานทั้งสิ้น จะให้มากน้อยก็แล้วแต่กำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ของผู้ให้


กล่าวได้ว่า มนุษย์ เราเกิดมาเพื่อพัฒนาชีวิต จิตใจและสติปัญญา ... อันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเพื่อความดับแห่งทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนสามารถบรรลุได้นั่นเอง


==============================================

จากหนังสือ "เราเกิดมาทำไม"
โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
153  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / นิทานเซน : อาจารย์เซนทำนายฝัน เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553 09:14:54
 

ยังมีบัณฑิตผู้หนึ่ง เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อหวังเข้าร่วมการสอบจองหงวน ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว โดยในระหว่างที่รอเวลาสอบ ได้ขออาศัยอยู่ที่วัดเซนแห่งหนึ่ง
       
       ทว่าในคืนก่อนสอบ เมื่อบัณฑิตล้มตัวลงนอนหลับไป เขาได้ฝันถึงเหตุการณ์สามเหตุการณ์ดังนี้ ความฝันที่หนึ่งคือ เขาปีนขึ้นไปปลูกผักกาดขาวอยู่บนกำแพง ความฝันที่สองคือในฝันฝนตก ส่วนเขาก็สวมงอบทั้งยังกางร่มอีกหนึ่งคัน ความฝันสุดท้ายเขานอนอยู่คู่กับหญิงสาวที่แอบรัก ทั้งสองเปลือยเปล่าแต่กลับนอนหันหลังชนกัน
       

       เมื่อตื่นขึ้นมา ความฝันทั้งสามเรื่องรบกวนจิตใจ จนบัณฑิตหนุ่มต้องรีบไปหาหมอดูเพื่อให้ช่วยทำนายความฝัน ไขปริศนาให้กระจ่าง เมื่อหมอดูได้ทราบเรื่องราวความฝันทั้งหมดก็กล่าวอย่างมั่นใจว่า "พ่อหนุ่มจงเดินทางกลับบ้านไปเถิด การสอบครั้งนี้คงไม่ราบรื่น เจ้าลองคิดดูว่าการปลูกผักบนกำแพงย่อมไม่เห็นผล มิใช่เสียแรงเปล่าดอกหรือ? ส่วนการใส่งอบแล้วยังกางร่มก็เป็นการทำสิ่งที่เกินความจำเป็น และการได้นอนคู่กับหญิงสาวที่รักแต่กลับหันหลังให้กันนั่นก็หมายถึงอยากกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่กลับไร้ซึ่งความหวังนั่นเอง"
      
       เมื่อฟังคำทำนายจบ บัณฑิตหนุ่มหมดอาลัยตายอยาก คือว่าความฝันทั้งสามเรื่องคงเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้าถึงผลการสอบจองหงวนของตน สุดท้ายจึงเดินทางกลับวัดเซน เพื่อเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน
      
       เมื่อมาถึงวัด บัณฑิตหนุ่มบังเอิญได้พบกับอาจารย์เซน จึงถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ทั้งยังกราบลาอาจารย์เซน ทว่าอาจารย์เซนกลับกล่าวตอบอย่างแย้มยิ้มว่า "ข้าเองก็สามารถทำนายฝันได้เช่นกัน แต่กลับเห็นว่าความฝันของเจ้าต้องตีความดังนี้ ความฝันแรก การได้ปีนขึ้นไปปลูกผักบนกำแพงสูง ย่อมหมายถึงเจ้าจะสอบติดในตำแหน่งสูง(คำว่า 种 ที่แปลว่า "ปลูก" พ้องเสียงกับคำว่า 中 ที่แปลว่า "ได้สำเร็จ") ความฝันต่อมาการสวมงอบกางร่มก็หมายถึง การสอบครั้งนี้เจ้าได้เตรียมตัวมาอย่างดีไม่มีทางพลาด และความฝันสุดท้าย การนอนเปลื้องผ้าหันหลังชนกับหญิงที่แอบรัก มิใช่แปลว่า เพียงแค่พลิกตัวความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อมหรอกหรือ?"
      
       บัณฑิตหนุ่มได้ฟังก็เห็นว่าการทำนายฝันของอาจารย์เซนก็มีเหตุผล สุดท้ายจึงตัดสินใจรั้งอยู่เพื่อเข้าร่วมการสอบ และผลออกมาปรากฏว่าเขาทำสำเร็จ สอบติดในตำแหน่ง "ท่านฮวา"(ชื่อตำแหน่ง ของผู้ที่สอบเข้ารับราชการติดในลำดับที่ 3 ของประเทศ)
      
       ปัญญาเซน : ความฝันเดียวกันแต่ตีความได้ผิดแผก สาเหตุเกิดจากสภาวะจิตใจที่แตกต่าง ความกระตือรือล้นและการมองโลกในแง่งามจะเป็นตัวผลักดันพฤติกรรม ให้เลือกกระทำในสิ่งซึ่งนำความสำเร็จมาสู่ตน
      
       ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
154  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / กินอะไรให้ความจำดี เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553 08:37:14


คุณเคยรู้สึกไหมว่า เราได้ใช้งานสมองอย่างหนักในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือ เรียนหนังสือ จนบางครั้งรู้สึกว่าสมองล้าคิดอะไรไม่ค่อยออกและขี้หลงขี้ลืมในบางที

         ปกติแล้วการทำงานของสมองจะเกี่ยวข้องกับสารสื่อประสาท โดยเฉพาะ “อะซีทิลโคลีน (acetylcholine)” ซึ่งเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพความจำ และก็มีอาหารหลายชนิดที่มีส่วนช่วยให้สมองเราทำงานดีขึ้นในด้านความจำ …ถึงเวลาหรือยังที่เราจะมาบำรุงสมองด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยให้ความจำดีขึ้นกัน เราจะนำอาหารช่วยบำรุงความจำมาแนะนำกันค่ะ

   พืชผักจำพวกหอมหัวใหญ่ พริก ขิง มีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มเซลล์สมอง และกระตุ้นการหลั่งสารอะซีทิลโคลีน จึงช่วยให้ความจำดีขึ้น

    ใบบัวบก มีสารที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของสมอง ทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดี สมาธิดี และความจำดีขึ้น

    เนื้อสัตว์ มีสารทอรีน ที่พบเฉพาะในโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้น ช่วยบำรุงสมอง

    ปลาทะเล มีโอเมก้า 3 ช่วยให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดการเกิดพลัค (plaque) ในสมองและป้องกันอัลไซเมอร์ได้

    ธัญพืช มีกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าวซ้อมมือ อาหารเหล่านี้จะช่วยในเรื่องความจำได้เป็นอย่างดี

    มะเขือเทศ มีไลโคพีน สารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระ ซึ่งพบในอาการของโรควิกลจริตและอัลไซเมอร์

    บร็อกโคลี เป็นแหล่งรวมของวิตามินเค ที่ช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

    ถั่ว ผักใบเขียว ไข่ ข้าวซ้อมมือ มีวิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม

    เมล็ดฟักทอง มีสังกะสีที่มีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความทรงจำ ถ้ารับประทานเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

     นอกจากอาหารที่แนะนำมาแล้วนั้น ยังมีผลการศึกษาวิจัยใหม่ๆ จากนักประสาทวิทยา สหรัฐฯ พบว่า สารเคมีในช็อกโกแลต ชา องุ่น และผลบลูเบอรี ช่วยบำรุงความจำได้ โดยช่วยให้เลือดลมในสมองเดินดีขึ้น และหากออกกำลังเพิ่มด้วยแล้วก็จะยิ่งช่วยให้สมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น

         หาก ต้องการให้สมองของเราดี มีความจำที่เป็นเลิศ ก็อย่าละเลยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์บำรุงความจำ และถ้าจะให้ผลดีก็ต้องรับประทานเป็นประจำด้วย สมองก็จะดีแบบเสมอต้นเสมอปลายค่ะ


ที่มา ... Nestle
155  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / พิษของไขมัน .. ไม่รู้ไม่ได้แล้ว ! เมื่อ: 15 ธันวาคม 2553 08:32:00


สาวๆ ที่ถือคติว่าความสวยที่แท้จริงอยู่ที่จิตใจ จากนั้นก็เลยหยิบทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าปากแบบไม่กลัวพะโล้ ควรจะหันมาสนใจกับปริมาณไขมันกันได้แล้ว เพราะโทษของไขมันนั้นร้ายกว่าที่คุณคิด

     หลังจากที่เข้าสู่ร่างกาย ไขมันจะไปเกาะอยู่ตามผนังลำไล้ กระเพาะอาหาร ตับ ม้าม ทำให้อวัยวะทั้งหมดนี้ทำงานได้ไม่ดี จากนั้นอาการต่อไปนี้จะตามมา

    1. ถ้าเกาะที่ถุงน้ำดี จะทำให้คุณกลายเป็นแม่สาวนกฮูกนอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว เกิดนิ่วในไต สายตาเสื่อม และปวดเมื่อยตามร่างกาย

    2. ถ้าเกาะที่ม้าม จะทำให้ม้ามโต จากนั้นสาวๆ จะเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียตลอดเวลา จะออกไปเฮ้ามันส์ฮาที่ไหนก็ไม่ไหวแล้วล่ะ

    3. ถ้าเกาะไต ทำให้ไตเสื่อม ความจำไม่ดี ขี้ลืม เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไม่ได้และเป็นคนขี้หนาว

    4. ถ้าเกาะที่ลำไส้เล็ก ลำไส้เล็กจะดูดซึมวิตามินไม่ได้เต็มที่ ทำให้คุณเป็นหวัดง่าย ภูมิแพ้จะตามมา ที่สำคัญมันจะทำให้สาวสวยอย่างเรากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ .. ความสวยไม่ช่วยอะไรจริงๆ !!

    5. ถ้าเกาะที่ม้าม ม้ามมีหน้าที่แปรสภาพอาหารเป็นสิ่งต่างๆ ตามแต่ร่างกายจะต้องการ แต่ถ้าม้ามทำงานได้ไม่ดี มันจะเปลี่ยนสารอาหารเกือบทั้งหมดให้เป็นไขมัน ความอ้วนก็จะมาเองโดยที่คุณไม่ต้องเชิญ

    6. ถ้าเกาะที่หลอดเลือด ไขมันจะไปอุดตันทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ไม่เต็มที่ ทำให้มึนงง สมองเสื่อม อาจจะเป็นอัลไซเมอร์ ผมหงอก เป็นลมง่าย



          ร้ายขนาดนี้ เห็นทีสาวๆ คงต้องรีดไขมันทิ้งเสียแล้วมั้งเนี่ย


ที่มา ... spicy
156  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / ถึงคุณแม่ และคุณพ่อ ทุกท่าน……….เพื่อโปรดพิจารณา เมื่อ: 14 ธันวาคม 2553 11:23:03


ในระหว่างทานข้าวกลางวัน วนิดาซึ่งเป็นซีอีโอ ถามกิตติผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งที่รายงานตรงต่อเธอว่า
        "กิตติ พี่สังเกตว่าคุณไม่เคย ปิดมือถือเลย แม้กระทั่งเวลาประชุม
        แล้วพี่ก็เห็นคุณขอตัวออกไปจากที่ประชุมกลาง คันเพื่อรับโทรศัพท์
        พี่อยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครหรือ ทำไมมันสำคัญขนาดรอจนจบประชุมไม่ได้นะ พี่เห็นเป็นประจำเลยคะ"
      
        กิตติมีท่าทีอึดอัด เขาตอบว่า " ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องส่วนตัวนะครับ ผมขอโทษ "
        วนิดายิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี เธอเงียบไปสักครู่จึงพูดต่อ "กิตติ เราสองคนทำงานด้วยกันมาพอสมควร
        คิดว่าพี่เป็นพี่สาวของคุณก็ละกัน เพราะพี่อายุ มากกว่าคุณสองสามปี มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังซิคะ
         เผื่อว่าพี่อาจจะ แนะนำอะไรให้ได้ บ้าง" วนิดาเลือกใช้แนวทางพี่น้อง แทนที่เธอจะตำหนิเขาโดนตรงในเรื่องพฤติกรรม

        ที่ไม่เหมาะสมในที่ประชุม แบบเจ้านายกับลูกน้องวิธีนี้ได้ผล
      
        กิตติสารภาพออกมาแบบกระอักกระอ่วน " ก็…คือ ว่า…พี่อย่าโกรธผมนะครับ
        มันเป็นโทรศัพท์มาจากลูกสาวผมเอง เธอเพิ่งไปเรียน ไฮสคูลที่ออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือน
        โรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนนี้ค่อนข้างจะ เข้มงวด แถมมีการบ้านจมเลย
        ตอนลูกสาวผมเรียนที่นี่ผมช่วยติวและทำการบ้านร่วมกับ เธอ บ่อยๆ
        ลูกคนเดียว เธอคือดวงใจของผมเลยครับผมบอกเธอว่าไปอยู่นั่นติดขัดเรื่องการบ้านละก็
        โทรมาหาผมได้ ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ผมจะคอยช่วยเหลือเธอ
        ผมไม่ต้องการเห็นเธอล้มเหลว ตอนค่ำเมื่อกลับบ้าน ผมก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน
        แต่จะไปช่วยเธอทำการบ้านแล้วก็ แฟ๊กซ์ส่งไป เรื่องคณิตศาสตร์บ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง
        ผมอยากให้เธอประสบความสำเร็จผมต้องขอโทษที่บริหารเวลาไม่ค่อยได้เรื่อง"
        กิตติจบเรื่องลง ด้วยท่าทีละอายใจ
      
        วนิดาแสดงความเห็นใจ "เรื่องของคุณมันฟังแล้วคุ้นๆมากเลย
        พี่พอจะจินตนาการออกถึงตวามลำบากใจของเธอ พี่เองก็มีลูกสาวเรียนปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา
        พี่ เคยทำแบบคุณเหมือนกัน เพราะลูกสาวพี่จบตรี แล้วไปต่อโทเลย
        จึงไม่มี ประสบการณ์ในการทำงาน ดังนั้นพอทำกรณีศึกษาก็มักจะไม่ทันเพื่อนเขา

        หรือไม่เข้าใจแถมยังไม่กล้าถามอาจารย์อีก พี่เลยต้องช่วยทำเคส แล้วก็อีเมล์ไปให้เธอ
        แต่ว่าตอนนี้ พี่หยุดช่วยเธอแบบนั้นแล้ว ละคะ "
      
        กิตติถามด้วยความประหลาดใจ "ทำไมละครับ พี่ไม่รักเธอแล้วหรือ
        หรือว่าพี่เห็นว่างานมีความสำคัญกว่าครอบครัวละครับ "
        วนิดาตอบ พร้อมกับยิ้มอย่า งอารมณ์ดีว่า
        " พี่ยังรักลูก และเห็นคุณค่าของครอบครัวและงานเหมือนเดิม
        พี่ โชคดีที่มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นวิธีที่พี่ช่วยลูกสาว
        แล้ววันหนึ่งเขาก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Power of Failure โดย Charles C. Manz
        และมีการแปลเป็นไทยในชื่อ วิกฤติคือโอกาส โดยพสุมดี กุลมา เรียบเรียงโดย นราทิป นัยนา
        เพื่อนอเมริกัน เขาคั่นเรื่องๆ หนึ่งให้พี่อ่านโดยเฉพาะเลย
        พี่จะเล่าให้เธอฟัง…
      
        มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม
        เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพักจนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ
        ชายคนนั้นมอง ด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป
        ที่จริงผีเสื้อมันพักเ พื่อที่จะดิ้นรนต่อไป
      
        แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหมไม่สามารถจะออกมา ได้ด้วยตนเอง
        ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น
        เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา
        แต่เขาสังเกตุว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น
        แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็ มีลักษณะบวมผิดปกติ

    
        กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกายเพื่อพยายามจะดันตัวมันออกจากรังไหมนั้น
        เป็นกระบวนการธรรมชาติ ที่จะกระตุ้นให้ ของเหลวชนิดหนึ่งที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อ
        เคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็ง แรงเพียงพอจะบินได้
      
        ด้วยความปรารถนาดีของชายคนนั้น
        ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงเหี่ยวย่นไม่แข็งแรงเพียงพอจะบินได้ แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ
        เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีกดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว
        เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย
        แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน
      
        อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคน
        ก็คล้ายๆกันกับสิ่งที่เจ้า ผีเสื้อเผชิญไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้
        ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น
        ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ
      
        แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี
        เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้
        เมื่อเราเผชิญอุปสรรคแล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน
        เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างย ิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน
      
        กิตติฟังด้วยความสนใจ " โอ้โฮ เรื่องนี้จุดประกายน่าดูครับ แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเกลียดผมนะซีครับ"

        วนิดาเสริมต่อ "มีคำพูดที่ว่า ‘No pain No gain’ ไม่เจ็บไม่ได้เรียนรู้
        ที่จริงพวกเรานะผิดเองที่ป้อนลูกๆ เรามากไป
        สำหรับกรณีของพี่ พี่อธิบายให้ลูกเขาเข้าใจด้วยการเล่าเรื่องนี้แหละ
        หลังจากนั้นพี่ก็ขอโทษสำหรับการให้ ความช่วยเหลือลูกแบบผิดๆ ในอดีต ลูกๆของเรา
        เขาฉลาดพอจะเข้าใจเรื่องราว เหล่านี้นะ
      
        กิตติคุณลองมองไปรอบๆตัวเราซิ เรามีพนักงานที่มีความรู้
        มาจากครอบครัวที่มีฐานะ หลายคนที่เหยียบ ขี้ไก่ไม่ฝ่อ
        พวกเขาไม่อดทนต่อปัญหาและ อุปสรรค
        คนที่ควรถูกตำหนิคือ พ่อแม่ของเขา
      
        คุณอยากถูกคนอื่นเขาต่อว่าแบบนี้ในอนาคตไหมละ
        แถมลูกๆของเรายังอ่อนแอไม่สามารถจะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้
      
        "คุณมีสิทธิ์เลือกนะ"

157  นั่งเล่นหลังสวน / เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว / วิธีต้มน้ำซุปให้อร่อย เมื่อ: 14 ธันวาคม 2553 10:55:59



การต้มน้ำซุปให้อร่อยดูเหมือนจะง่าย แต่ถ้าจะต้มให้น้ำซุปดูใส น่าทานและอร่อยนั้นต้องมีเทคนิค วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์จึงนำเทคนิคนั้นมาบอกกัน…

น้ำซุปไก่

เริ่มจากล้างซี่โครงไก่ ลอกเอาหนังและไขมันออก สับเป็นชิ้นใหญ่ ๆ ต้มน้ำให้เดือดจัด นำโครงไก่ลวกประมาณ 5-6 วินาที แล้วจึงนำมาใส่หม้อ ใส่น้ำพอให้ท่วมโครงไก่เล็กน้อย ใส่หัวไชเท้าประมาณครึ่งหัว ยกขึ้นตั้งไฟ โดยใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน เมื่อน้ำเดือด จึงเปลี่ยนเป็นไฟอ่อน ใส่คึ่นฉ่าย 2 ต้น หมั่นคอยช้อนฟองทิ้ง เคี่ยวจนน้ำเหลือประมาณ 2 ใน 3 ปิดไฟ แล้วยกลงกรอง

น้ำซุปหมู

ทำเช่นเดียวกับน้ำซุปไก่ คือ ล้างกระดูกหมู และสับกระดูกหมูตรงข้อต่อให้แตก นำไปลวกในน้ำร้อนจัด แล้วต้มในหม้อที่ใส่น้ำพอท่วมกระดูกหมู ยกขึ้นตั้งไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ใส่หัวไชเท้า พอน้ำเดือด เปลี่ยนเป็นไฟอ่อน ใส่คึ่นฉ่าย เคี่ยวจนน้ำเหลือ 2 ใน 3 ปิดไฟ แล้วยกลงกรอง

น้ำซุปผัก

โดยใช้ฟักเขียว 1 ลูก หัวไชเท้า 2 หัว เห็ดหอม 5 ดอก เริ่มจากปอกฟักเขียว หั่นเป็นชิ้นพอประมาณ หัวไชเท้าปอกเปลือก และหั่นเป็นแว่นหนาประมาณ 1 ซ.ม. ใส่ผักทั้งหมดลงในหม้อ ใส่น้ำพอประมาณ ต้มด้วยไฟปานกลาง จนความหวานจากฟัก และหัวไชเท้าออก ใส่เกลือ พริกไทยเม็ดบุบ เคี่ยวจนน้ำเหลือประมาณ 2 ใน 3 ปิดไฟ แล้วยกลงกรอง

ส่วนเคล็ดลับความอร่อย คือ การจะเลือกน้ำซุปชนิดไหน ควรพิจารณาจากเนื้อสัตว์ที่จะใส่ในอาหารชนิดนั้น ๆ เช่น ถ้าแกงจืดหมูสับ ก็ควรใช้น้ำซุปหมู แต่ถ้าแกงจืดไก่สับ ก็ควรใช้น้ำซุปไก่ เป็นต้น

การเก็บซุป คือ ถ้าทำอาหารทุกวัน อาจทำน้ำซุปครั้งละมาก ๆ แล้วเก็บใส่ขวดที่มีฝาปิด เพื่อไม่ให้สัมผัสอากาศ เพราะจะทำให้เสียเร็ว แต่หากต้องการเก็บไว้นาน ๆ อาจตักใส่ถุงพลาสติก ขนาดพอใช้ 1 ครั้ง แล้วแช่ช่องแช่แข็ง เมื่อจะใช้ก็นำออกมาใช้ครั้งละ 1 ถุง

ทำน้ำซุปคราวหน้าก็อย่าลืมนำเทคนิคที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้ จะได้มีน้ำซุปที่อร่อย ๆ ทานกัน.




ที่มา http://www.dailynews.co.th
158  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / การชะลอความชรา เมื่อ: 14 ธันวาคม 2553 10:30:10

ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ได้ประทานโอวาทแก่พระเจ้า ปเสนทิโกศล ในเรื่องธรรมะที่ทำให้อายุยืนว่า
“คนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา รู้จักประมาณในการบริโภค ย่อมมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า ครองอายุอยู่ได้นาน”

พระเจ้าปเสนทิโกศลฟัง แล้วไม่รอช้า มีรับสั่งให้มหาดเล็กท่องจำพุทธโอวาทนี้ได้ และคอยกล่าวขึ้นมาขณะที่พระองค์เสวยทุกมื้อ ไม่ช้าไม่นานผลดีก็บังเกิดแก่พระองค์ ทำให้ร่างกายแข็งแรงจนหาผู้ใดเทียบได้ยาก

นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้เคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ด้วยว่า

“อานนท์ ผู้อบรมอิทธิบาท ๔ มาอย่างดีและทำจนแคล่วคล่องแล้วอย่างเรานี้ หากปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง ๑ กัลป์ (คือ ๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้”

หนังสือ สูตรลับ Anti-aging จากพระไตรปิฎก ของนายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์อายุรวัฒน์ สรุปไว้ว่า อิทธิบาท 4 น่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องอายุยืนโดยตรงเลยทีเดียว เพราะเมื่อพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้ง ฉันทะ วิริยะ จิตตะและวิมังสา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเป็นสุขดังนี้

ฉันทะ ทำให้มีความพึงพอใจในการกระทำต่างๆ คนเราถ้าชอบใจ พอใจสิ่งใดแล้ว ก็ย่อมจะรู้สึกว่าการนั้นไม่เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด ทำงานไปก็เหมือนได้พักผ่อนสบายใจ
วิริยะ คือ ความเพียร ความสม่ำเสมอในการปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามแนวทางที่ถูกที่ควร
จิตตะ คือ ความจดจ่อใส่ใจ ซึ่งจะทำให้เกิดสมาธิและความสงบขึ้น ชีวิตจึงไม่ร้อนรน ว้าวุ่นไปตามกระแสของโลก
วิมังสา คือ การใคร่ครวญ ให้เหตุผลและสติปัญญานำทางชีวิต

จะเห็นได้ ว่าธรรมทั้งสี่ประการนี้ นอกจากจะทำให้อายุยืนแล้วยังเป็นหลักที่จะนำความสำเร็จมาสู่ชีวิตด้วย

๑. สัปปายการี ให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่สบายและเกี้อกูลแก่สุขภาพ เช่น ทำงานในที่อากาศปลอดโปร่ง ไม่เครียดกับงาน
๒. สัปปาเย มัตตัญญู ต้องรู้จักพอดีในสิ่งที่สบายนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าสบายมากจนกลายเป็นนอนหงายขี้เกียจอยู่ทั้งวัน
๓. ปริณตโภชี รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา ไข่ขาว ผักผลไม้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ย่อยยาก เช่น เนื้อแดง
๔. กาลจารี ใช้ชีวิตให้เหมาะสมในเรื่องเวลา ไม่เคร่งเครียดบังคับตัวเองมากเกินไป รู้จักจัดเวลาให้พอดี ไม่หักโหมเกินกำลัง
๕.พรหมจารี ถือพรหมจรรย์ตามความเหมาะสม รู้จักปล่อยวางบ้าง อย่าเคร่งเครียดเบียดตัวเองจนตกขอบ ปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ ถือศีลกินเจตามสมควร และหมั่นขัดเกลาจิตใจให้กิเลสเบาบางลง

เมื่อพระ ให้ศีลให้พรมักจะลงท้ายด้วย “อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง” เพราะพรสี่ประการนี้เป็นสมบัติอันประเสริฐ เลิศยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ นายแพทย์กฤษดากล่าวว่า ในเรื่อง อายุ พระ ท่านไม่ได้หวังให้เรามีอายุยืนนานแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ท่านมุ่งหวังให้เรามีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้อายุที่ยืนยาวนี้มีส่วนสร้างปัญญาหาทางพ้นทุกข์ให้แก่ตัว ไม่มัวเมากับสิ่งเร้าภายนอกทั้งหลาย

ส่วน วัณโณ หรือ ผิวพรรณนั้น มีรากฐานสำคัญมาจากการเป็นผู้มีศีล ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หากมีศีลเป็นวัตรประจำใจ ผิวพรรณย่อมดีอยู่เสมอ เพราะเมื่อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทุกข์ร้อนจะไม่มากล้ำกราย เลือดลมจึงเดินสะดวก ทำให้ผิวพรรณผ่องใส

สำหรับสุ ขัง การที่บุคคลจะมีสุขได้นั้น จำต้องมีองค์ประกอบหลักๆคือ มีปัจจัยสี่พร้อม รวมทั้งมีสติและปัญญา รู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา ไม่ปรุงจิตให้ขึ้นลงตามสิ่งที่มากระทบ และหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ในทางที่ถูกที่ควร
ส่วน ท้ายสุด พะลัง(พลัง) มีอยู่สองอย่าง คือ กำลังกายและกำลังใจ ที่ต้องหมั่นฝึกฝนเตรียมพร้อมไว้รับมือกับความเปลี่ยนแปลง ด้วยการหมั่นออกกำลังกายและหมั่นฝึกจิตให้เข้มแข็งอยู่เสมอ

แม้ เราจะ พยายามต้านทานความชราไว้เพียงใด แต่สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน การใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท หมั่นดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอทั้งกายและใจ จะช่วยให้เราเป็นผู้มีอายุยืนอย่างมีความสุข และสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างยาวนานที่สุด

เคล็ดลับ ชะลอวัยของนายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช

เลี่ยง อาหารที่อร่อยลิ้นจนเกินไป

เลี่ยงของทอดของมัน น้ำตาลและแป้งขาว

อย่ากินอาหารแบบเดิมซ้ำๆ จะนำโรคมาให้

อย่า เสียดายจนตายด้วยปาก

อย่า อยากเหล้ายาและกาแฟจะแก่เร็ว

กินให้น้อย พลอยสดใส ไม่มึนหัว




ขอขอบคุณ  บทความจากนิตยสารซีเคร็ตค่ะ
159  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / ประโยชน์ของการสวดมนต์ (ทางการแพทย์) เมื่อ: 14 ธันวาคม 2553 10:20:10



เชื่อหรือไม่ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย
 แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ???
เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง
 และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้

 
การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจากสวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต

ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ???

คลื่นแห่งการเยียวยา

การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียง บทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย

เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์

รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้

“สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วย คลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้นซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน

นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อ ประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการ ทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น”

ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า

“หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ”

และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์

สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ

อาจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า

“เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตาม วิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น”

และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า

“เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น”

นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจาก เสียงต่างๆ เช่น

โอม …… กระตุ้นหน้าผาก ฮัม ……. กระตุ้นคอ

ยัม ……. กระตุ้นหัวใจ ราม …….กระตุ้นลิ่นปี่

วัม ……. กระตุ้นสะดือ ลัม ……. กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น

แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด

รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ

1. การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ

2. ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร สรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้

1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3. เบาหวาน 4. มะเร็ง

5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า 7. ไมเกรน 8. ออทิสติก

9. ย้ำคิดย้ำทำ 10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12.พาร์กินสัน

สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค
 สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ

1. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง

เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ

● ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน

● หาสถานที่ที่สงบเงียบ

● สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา

● ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน

2. การฟังผู้อื่นสวดมนต์

เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา (healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้

3. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น

ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้

คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ

บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก

การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป

เลือกสวดมนต์อย่างไรดี

แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า

“น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น”

พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย

“ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด”

อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ

Credit : นิตรสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551               
160  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ดูดวง ทำนายทายทัก / Re: ทายนิสัย จากปลอกหมอนใบโปรด เมื่อ: 13 ธันวาคม 2553 20:27:27
 (:SY:)ชอบสีพื้นๆ  ล่ะ  ขาวก็ชอบ แต่หนักไปทางสีชมพูอ่อนๆ  สีครีม  สีเขียวใบไม้อ่อนๆ  มากกว่า  ไม่ค่อยมีแบบลายๆ เลยจ้า
หน้า:  1 ... 6 7 [8] 9
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.508 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 03 มีนาคม 2567 02:20:29