[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 12:26:04 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 9
61  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Re: รามเกียรติ์ อนิเมชั่น สนุกในแบบไทย ลองดูแล้วจะชอบ เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2554 00:28:38
 รัก

ภาพสวยมากกกกกกกกเลยค่ะ เสียงพากษ์ก็นุ่มๆ เข้ากันเป็นอย่างดีเลยล่ะ 
แต่สงสัยจะดูตอนดึกๆ  ไปหน่อยเลยพาลเคลิ้มๆ  ง่วงนอนขึ้นมาซะงั้นแหละ *_*
62  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / Re: สุขใจชวนชิม : ข้าวหมาก 100 ปี การันตีมาแต่รุ่นยายทวด อร่อยจังไอ้หลานเอ้ย ! เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2554 00:15:42
 เหนื่อยใจ

ท่าทางยากไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย  ทำไม่ไหวแน่เลยเรา
ยิ่งทำกับข้าวไม่เอาไหนอยู่ด้วย  กราบขอบพระคุณคุณแม่น้แม็กนะคะ

ไว้วันหยุดจะลองทำให้ พ่อกับแม่ทานบ้างดีกว่า แต่ไม่รู้ว่าจะทานได้มั้ยนะ *_*
63  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: 'ป๊อปอาย' ทำถูก กินผักโขมบำรุงกำลังของกล้ามเนื้อเป็นประจำ เมื่อ: 24 กุมภาพันธ์ 2554 23:58:59
 ตกหลุมรัก

เย่่ ๆ  ผักโขมอบชีส เป็นอาหารจานโปรดทีเดียวล่ะค่ะ
อร่อยดี มีประโยชน์ด้วย ดัจังเลย *_*
64  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ทานอย่างไร..ให้ช่วยเผาผลาญ เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2554 00:12:37


คุณกำลังกังวลกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นหรือไม่ รู้สึกว่าทานเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม ยิ่งทานยิ่งเหนื่อยล้าอ่อนแรง ง่วงนอนตลอดเวลาอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายว่าระบบเผาผลาญพลังงานกำลังเสื่อมสภาพ

สิ่งที่ร่างกายฟ้องว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานเริ่มจะลดลงและหมดอายุการใช้งานได้แก่ น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น และเซลลูไลท์ตามหน้าท้อง แขน ขา สะโพก ซึ่งการออกกำลังกายถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเร่งเผาผลาญพลังงานส่วนเกินเหล่านี้ แต่วิธีหนึ่งที่สามารถช่วยคุณได้อีกแรงก็คือการทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ



อันดับแรกควรลดแป้ง น้ำตาล ไขมันเพราะการทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงมากๆ จะทำให้ปริมาณอินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้การเผาผลาญไขมันในร่างกาย ลดลง นอกจากนี้การทานไขมันมากก็ยังทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานเชื่องช้าลงด้วย



ดังนั้นควรเน้นทานโปรตีนและผัก เนื่องจากการย่อยอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นกิจกรรมที่ร่างกายต้องใช้พลังงานอย่างมาก ดังนั้นการทานเนื้อปลา เนื้อหมูไม่ติดมัน เนื้อไก่ไม่ติดหนังก็จะช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าโปรตีนที่เหลือจากการใช้งานจะกลายเป็นไขมันดังนั้นอย่าทานมากจนเกินไป นอกจากนี้ควรทานผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงทุกวันเพราะวิตามินซีมีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานด้วย



นอกจากเรื่องของอาหารการกินแล้วเราควรปรับพฤติกรรมการทานอาหาร คือ ทานน้อย แต่บ่อยขึ้น เพราะการทานอาหารมื้อละน้อยๆ โดยแบ่งออกเป็นมื้อย่อยๆ หลายมื้อ เช่น เช้า สายกลางวัน บ่าย เย็น เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายมีกิจกรรมย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงานตลอดทั้งวันอย่างต่อเนื่อง



อีกครั้งควรดื่มน้ำที่ไม่เย็นจัดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้วข้อนี้สำคัญที่สุดเพราะน้ำเย็นจะไปลดประสิทธิภาพการทำงานของน้ำย่อย ร่างกายต้องใช้น้ำในกิจกรรมย่อยอาหาร การดื่มน้ำน้อยอาจทำให้การทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย รวมทั้งระบบเผาผลาญพลังงานการติดขัดได้ แต่ก็ไม่ควรดื่มน้ำไปทานอาหารไปเพราะจะยิ่งไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารที่ทานเข้าไปก็ไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้เท่าที่ควร



กว่าจะรู้ตัวว่าน้ำหนักเพิ่มก็ใช้เวลานานพอสมควรดังนั้น กว่าจะลดน้ำหนักได้ดั่งใจก็ต้องให้เวลากับการใส่ใจดูแลตัวเองบ้างความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืนแต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนานสุขภาพที่ดีเป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ



 






ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

65  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / "น้ำมันรำข้าว"คุณค่าเพื่อสุขภาพ เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2554 23:41:34


การใช้ชีวิตที่รีบเร่งของชาวเมืองใหญ่ทุกวันนี้ ทำให้คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์จากการรับประทานอาหารไม่เต็มคุณภาพ ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหาร

ข้าวกล้องเป็นธัญญาหารที่อุดมด้วยคุณค่าสารอาหาร มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งในด้านป้องกัน บำบัด และรักษา อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกาย เกิดความสมดุล โดยกลุ่มสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิดมีอยู่ในส่วนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว หรือที่เรียกว่ารำข้าว และจมูกข้าว

จากการศึกษาทางการแพทย์ พบว่า ปัจจุบันการเปลี่ยน แปลงของโลกทำให้สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากโรคภัย ไข้เจ็บเปลี่ยนไป จากเดิมที่มนุษย์เคยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อเป็นหลัก กลายเป็นว่าอัตราการเสียชีวิตของมนุษย์ 90% มีสาเหตุมาจาก "โรคเสื่อม" หรือภาวะความผิดปกติของร่างกายที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อ ซึ่งสามอันดับแรกของโรคเสื่อมที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทย ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ

น.พ.มีชัย อินวูŠด ที่ปรึกษาด้านการแพทย์ บริษัท ไบโอโกรว์ (ทีเอช) จำกัด กล่าวว่า "การวิจัยพบว่ามี สารแกมม่า-โอไรโซนอล (Gamma-Oryzanol) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากที่สุดในข้าว โดยเฉพาะในส่วนผิวที่มีสีน้ำตาลอ่อนของข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสี หรือรำข้าว ดังนั้น แกมมˆา- โอไรโซนอล จึงพบในน้ำมันรำข้าวด้วย สารดังกล่าวจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและไขมันในร่างกาย มีวิตามินอีคอมเพล็กซ์ ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์, เอนไซม์และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขจัดพิษจากตับและเซลล์อื่นๆ ทั่วร่างกาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม น้ำมันรำข้าวไม่ได้เป็นยารักษาอาการของโรค เพียงแต่สารอาหารที่อยู่ในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่างกายจึงสร้างภูมิต้านทานต่อโรค หรือบำบัดอาการของโรคเรื้อรังต่างๆ ด้วยตัวเอง การรับประทานควรคำนึงถึงจุดสมดุลของร่างกายด้วย โดยเฉพาะควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดจะดีที่สุด" น.พ.มีชัยกล่าว

ข้าวกล้องนับว่าเป็นธัญญาหารแห่งแผ่นดินที่มีความมหัศจรรย์ มีคุณค่าอยู่บนทุกอณูของเมล็ด หากมีเวลาใส่ใจในการบริโภค หรือรับประทานอาหารเสริมทดแทนได้ ชีวิตก็จะแข็งแรง สดใส ห่างไกลโรคร้ายอย่างแน่นอน



ที่มา ข่าวสด
66  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / Re: i give my first love เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2554 19:29:40
 อายจัง


ช่วงนี้หยุดดูซีรี่ย์เกาหลีมาดู สุดหล่อ ไมเคิล สกอฟีลด์ อยู่ล่ะ
อารมณ์แบบติดหนึบมากมายเลยค่ะ  พอหันกลับมาดูอารมณ์
หวาน ๆ ก็จี๊ด ๆ อยากดูขึ้นมาเหมือนกันนะเนี่ย

67  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / นอน นอน นอน..เรื่องที่ควรเข้าใจ เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2554 21:24:29



บางคนไม่ยอมหลับยอมนอน บ้างก็มีอาการตาค้างข้ามวันข้ามคืนกันเลยเชียว บางคนก็โชคดีหัวถึงหมอนปุ๊บหลับปั๊บ บ้างก็นอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กทารก หลายคนก็เกิดอาการขี้เซาจะขอนอนอยู่นั่นแหละไม่อยากตื่น เรื่องของการนอนก็แตกต่างกันไปตามแต่ละคน ทว่าเรื่องการนอนที่ดูเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่คิดอยากนอนก็นอน จะนอนท่าไหนอย่างไรก็ได้ เพราะการนอนนั้นสามารถส่งผลร้ายและดีต่อร่างกายได้


นอน...หลับตื้น-หลับลึก



"นพ.กฤษดา ศิรามพุช"ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติได้อรรถาธิบายเกี่ยวกับการนอนว่า ยามนิทรานั้น แม้จะแบ่งเป็นระยะละเอียดหลายช่วง แต่ถ้าแบ่งง่ายๆ ก็มีตอนสำคัญอยู่เพียง 2ช่วงคือ "หลับตื้น" กับ "หลับลึก" ซึ่งจะสลับกันไปตลอดช่วงการนอน ไม่ใช่ว่าเริ่มจากตื้นก่อนแล้วลึกยาวไปเลย คืนหนึ่งเราจะหลับสลับกันไปมานี้ราว 4-5รอบ และแต่ละรอบก็จะมีของแถมเป็นความฝัน (REM Sleep) ที่ปลดปล่อยออกมาจากห้วงคำนึงอยู่ด้วยเสมอ แต่เนื่องจากเราหลับๆ ตื่นๆ สลับกันไปเช่นนี้ บางทีถ้า "ตื่น" ไม่ตรงรอบก็จะจำความฝันไม่ได้



เช็ก!! คุณ 'นอน' แบบไหน



สำหรับใครที่ไม่ได้อยู่ในวงจรหลับตื่นเป็น "ตื้น" และ "ลึก" นั่นแสดงว่ามีความผิดปกติในการนอนซึ่งเป็นสัญญาณสู่โรคภัยได้ มาดูกันว่าอาการนอนที่ไม่ปกติมีแบบไหนบ้าง



นอนหลับนก เมื่อเกิดอาการ "หลับใน" (Microsleep) ขึ้นมา แก้ได้ด้วยการงีบกลางวันสักพัก อย่าเพิ่งใจร้อนขับรถหรือทำกิจกรรมที่ต้องจดจ่อ เพราะสมองที่ง่วงจะยิ่งสร้างเรื่องพลาดง่ายขึ้น



นอนกินดึก หนึ่งในอาการนอนไม่หลับที่ประหลาดคือ "กลุ่มอาการติดกินดึก" (Night Eating Syndrome) ที่มักเข้าใจผิดกันไปว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าการกินดึกจนเป็นนิสัยจะทำให้ "ไม่กินเช้า" ส่งผลผิดวงจรในการกินไปหมดใครที่มีอาการกินดึกนี้ต้องนึกถึงโรคซึมเศร้าและวิตกกังวลไว้ด้วย ส่วนวิธีแก้ อาจต้องค่อยๆ ปรับนิสัยการกิน หรือในบางรายก็ใช้วิธีหักดิบต้องเลิกกินดึกให้ได้ 21คืนติดต่อกัน ซึ่งมีงานวิจัยตรงกันว่าอาการติดกินดึกจะหายไป



นอนกินบ้านกินเมือง การที่จู่ๆ มีพฤติกรรมนอนผิดปกติไป โดยเฉพาะกลายเป็นนอนนานขึ้น ซึมลง ดูหงอยเหงาไม่เหมือนเดิม ให้ระวังโรค "หลายหัว" จะถามหา เริ่มจากหัวแรกคือ "หัวสมองเสื่อม" อัลไซเมอร์ ส่วนหัวถัดมาคือ "หัวใจ" อาจเป็นสัญญาณหัวใจขาดเลือด และหัวอื่นๆ ก็มี เช่น หัวต่อมหมวกไตที่เสื่อมลง หรือหัวฉีดสร้างพลังกายอย่าง "ต่อมไทรอยด์" ที่ทำให้กลายเป็นคนนอนมากผิดปกติไปได้ อย่างนี้ต้องปรึกษาแพทย์



นอนขากระตุก ไม่ใช่จะลุกขึ้นมาฟาดงวงฟาดงา แต่ว่าโรคนี้ถูกเรียกตามชื่อฝรั่งว่า "เรสต์เลส เลก ซินโดรม" (Restless Leg Syndrome)เป็นรูปแบบนิทราที่ถูกรบกวนให้วิปริตไปอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เจ้าตัวไม่เป็นสุข และบางท่านรู้สึกราวกับไม่ได้หลับจากอาการปวดเมื่อย หรือรำคาญตามเนื้อตัวจนต้องทำขากระตุกเป็นระยะขณะนอน อาจเป็นอาการนำมาก่อนของการขาดธาตุเหล็ก หยุดหายใจขณะหลับเบาหวาน หรือแม้แต่โรคสมองอย่างพาร์กินสันก็ได้ ใครมีอาการแบบนี้ต้องปรึกษาแพทย์



นอนละเมอ เผลอๆ ลุกเดินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้กันสนุก พวกสลีปวอล์กเกอร์ (Sleepwalker) หรือนักเดินนิทรานี้ถ้าเป็นมากๆ ต้องรักษาทางจิต เนื่องจากเป็นอาการหรือกลไกการแสดงออกของโรคที่ต่อเนื่องกัน นอนละเมอหากเป็นมากผู้ป่วยอาจจะเกิดอันตรายได้ ทว่าในกรณีที่เป็นในเด็กในวัยก่อน 7 ขวบ ส่วนมากจะหายเอง



นอนหยุดหายใจ นอนๆ ไปกรนครอกฟี้แล้วหยุด ซี้ไปเลยก็มี มักพบในคนเจ้าเนื้อชอบนอนหงายมีช่องคอเล็กอันตราย วิธีสังเกตอาการ คือนอนไม่อิ่ม เหนื่อยง่ายในช่วงกลางวัน หงุดหงิดหลับใน นอนกรนดังมาก แล้วพอกรนไปถึงจุดพีกก็มีหยุดเป็นระยะ อันนี้จัดว่าน่ากลัวมากต้องรีบไปพบแพทย์ด่วน กรณีนี้แก้ได้ด้วยการผ่าตัดยิงคลื่นวิทยุ หรือในบางรายใช้วิธีใช้เครื่องช่วยหายใจมาครอบนอนก็ได้ผลคิดผิดคิดใหม่เกี่ยวกับการนอนหลับ





การหลับให้ดีนี้อาจเกิดได้ทั้ง "นอนกลางคืน" และ "งีบกลางวัน" ซึ่งสมองที่หลับลึกได้ปกติตามวงจร จะมีการจัดระเบียบความจำไม่ให้นำเรื่องเก่ามาเข้าปะปนกับเรื่องใหม่ ข่าวใดไม่สำคัญในสมองจะต้องลืมทิ้งไปเสีย นี่คือกลไกจัดการเมลในอินบอกซ์ของสมอง มาดูกันว่าเรามีความเชื่อในการนอนที่ถูกหรือผิดถูก



ไม่ควรนอนกลางวัน ใช้ได้ผลดีสำหรับท่านที่นอนกลางคืนไม่หลับ แต่สำหรับผู้ที่หลับกลางคืนได้สบายจะคิดงีบกลางวันบ้างนั้นก็ไม่มีปัญหายิ่งดีเสียอีก เพราะช่วย "จัดเมลบอกซ์" ของสมองอีกรอบในช่วงกลางวัน ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพจำได้ดีขึ้น



นอนชดเชยได้แต่ไม่ดี จริงๆ แล้วสมองใช้การนอนแต่ละวันเป็นการ "ปะผุ" สมอง เพราะต้องถูกทำลายไปรายวันนับแสนอณู แต่ถ้าดูซีรีส์ดึกแล้วคิดว่าวันรุ่งจะมุ่งนอนอย่างเดียวมันช่วยได้น้อยมาก เพราะสมองต้องใช้เวลานอนในการจัดโฟลเดอร์ความจำด้วยผิด



วันหยุดนอนดึกตื่นสาย คิดว่าการนอนสายของอีกวันหนึ่งจะช่วย "เติม" ส่วนที่ขาดไปให้สมองได้ จริงๆ แล้วในการลบล้างความผิดดังว่านี้ไม่มีอยู่จริงๆ เพราะสมองเหมือนนาฬิกาเมื่อเวลาเดินผ่านนาทีทองของการหลั่งธาตุนิทรา (Melatonin) และธาตุหนุ่มสาว (Growth Hormone) ไปแล้วก็คือผ่านไป ถ้าอยากได้ก็ต้องรออีกวัน



อดนอนอ่านหนังสือสอบ มีงานวิจัยชี้ชัดว่าการอดนอนถ่างตาอ่านหนังสือสอบไม่ทำให้ตอบโจทย์ได้ดีเลย เพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่ขณะนอนหลับสนิทคือการ "ทบทวน" องค์ความรู้ระหว่างวันที่เคยผ่านตาเข้ามายังเนื้อสมองแล้วอาจลืมไป การได้นอนจะเป็นการตีตราประทับรับความรู้เข้าสมองให้แนบแน่นลึกซึ้งขึ้น ดังนั้นการง่วง คือสมองเตือนให้หลับก็ควรหลับแม้จะอ่านยังไม่จบ



ตื่นเช้าดีเสมอ ไม่จริงเสมอไป เพราะในเวลาเช้าจัดมาก หรือหากออกกำลังมาเหนื่อยๆ ในคืนก่อนหน้าแล้วยังต้องมาตื่นเช้าอีก จะทำให้ร่างกายหลั่ง "ธาตุเครียด" ออกมา โดยในวัยรุ่นคือราว 8โมงเช้าพอดี ทำให้มีอาการง่วงซึมไม่สดชื่น ไม่อยากตื่นมาเรียน นิทราบำบัด



ปัญหานอนเพี้ยนทำให้เปลี่ยนชีวิตได้ และโรคส่วนใหญ่สามารถหายได้ด้วยเพียงแค่การ "นอนพอ" ซึ่งเป็นของที่เน้น "คุณภาพ" ไม่ใช่ "ปริมาณ" การนอน 8 ชั่วโมง อาจสู้นอน 15 นาที แต่หลับลึกแบบคนฝึกจิตดีไม่ได้



วิธีแก้ที่ดีที่สุด คือการเป็นหมอของตัวเองลองบำบัดด้วยตัวเองก่อน ในทางเวชศาสตร์อายุรวัฒน์เน้นให้คุณเป็น "หมอนอน" สอนให้ตัวหลับสนิทด้วยวิธีง่ายๆ เรียกว่า "นิทราบำบัด"



- ฝึกตัวเองก่อนที่จะนอน ให้ตั้งใจมุ่งมั่นบอกกับตัวเองว่าฉันจะนอน ค่อยๆ บอก ค่อยๆสั่งมโนสำนึกของตัวเองอย่างช้าๆ ทว่าได้ผลโดยความนึกคิดและความจำของคนนี้จะถูกป้อนใส่เข้าในช่องสมองอย่างแนบแน่นในช่วงระหว่างหลับลึกกับฝัน ช่วงนี้เปรียบเสมือนนาทีทอง บอกหรือสั่งอะไรสมองไว้สมองจะทำตาม รวมทั้งการหลับที่มีคุณภาพ



- ห้ามออกกำลังกายหนักก่อนนอน



- ห้ามรับประทานอาหารมื้อหนักก่อนนอน ควรมีระยะห่างจากมื้อสุดท้ายถึงนอน (หัวถึงหมอน) อย่างน้อย 3ชั่วโมง



- ห้ามดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มกาเฟอีน



- ห้ามใช้ยานอนหลับ ยานอนหลับต้องใช้ตามแพทย์สั่ง



- ยกเลิกกิจกรรมที่จะทำให้การนอนยืดเยื้อออกไป เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ในช่วงแรกอาจต้องนำออกไปจากห้องนอนโดยเด็ดขาด



- อย่าคุยโทรศัพท์ก่อนนอน



- ทำสมาธิ สวดมนต์เพื่อผ่อนคลายจิตใจก่อนนอน



- เข้านอนเวลาใด ให้เข้านอนเวลานั้นทำเป็นประจำทุกคืนให้เป็นนิสัย



 



ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ โดย มัลลิกา นามสง่า


68  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: น้าแม๊คพาเที่ยว งานตรุษจีน นครสวรรค์ (ปากน้ำโพ) 2554 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2554 08:24:22
ว๊าว อ.สติ ไปเที่ยวมาด้วยหรอครับที่เยาวราช ผมก็อยากลองไปสักครั้ง
อยากไปเห็นความต่าง

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น



ไปตั้งแต่วันจ่ายเลยค่ะ  ไปซื้อของ วันงานจริง ๆ ไม่ได้ไป  แต่วันจ่ายเค้า
ก็ตกแต่งสวยงามแล้วล่ะ  คนก็เยอะมากเหมือนกัน แต่มีแต่รุ่นใหญ่
อากง อาม่า อากู๋ อาซิ่ม  อาแปะ เดินซื้อของกับลูก ๆ หลาน ๆ  พวกเรา
ก็ไปช่วยหิ้ว แล้วก็เดินกึ่งวิ่งตามไป ดูโน่นดูนี่ไป  แต่หลัง ๆ นี่เราจะเจอ
ใบสั่ง จากหม่าม๊า ให้ซื้ออะไรบ้าง เป็นรายการยาวเหยียดเลยล่ะ ต้องเดินหา
เหงื่อตกเลยเหมือนกัน พอเริ่มโตเค้าก็ใช้เราไปซื้อให้ตลอด ๆ  เลยล่ะค่ะ
เลยไม่มีเวลาไปเดินเที่ยวแล้ว  วันงานจะมีการแสดงต่างๆ เพิ่มขึ้น ช่วงบ่าย
แก่ๆ  ถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งก็จะมีอาหารขายเยอะมากตลอดทั้งถนนเลยล่ะ
(ปกติก็มีนะคะ แต่ไม่เยอะมากเท่าช่วงเทศกาล เพราะพอเทศกาลทีก็
ยกโต๊ะ เก้าอื้มาวางเรียงที่ฟุตบาต ออกมากินถนนสองเลนซ้ายขวาเลยค่ะ)

 ตลก  ดีที่เทศกาลปีใหม่จีนแบบนี้ไม่มีคนเมา  ถ้าเป็นปีใหม่สงกรานต์ล่ะก็ ......*-*  พี่ไทยเมาตลอด ๆ  เลยล่ะ   อยาก
ให้เลิกเมามากินอย่างอื่นแทนน่าจะดีกว่าแหละ...(แอบบ่นๆ )
69  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: คนที่ใช่...(แล้วยังเติมท้ายว่า.. กว่า) เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554 15:56:08
 ยิ้ม อยู่ที่จังหวะเวลาด้วยล่ะ
เคยเหมือนกัน เคยเจอคนที่คิดว่าใช่ แล้วพอคบกัน
ซักพัก  (ประมาณ ปีกว่า ๆ )  ถึงรู้ว่ามันไม่ใช่นะ
เริ่มอึดอัด  ไม่อยากเจอ  ไม่รู้จะบอกยังไง เพราะเค้า
ไม่ได้ทำอะไรผิด  เค้าก็เป็นคนดี ไม่เคยนอกใจ ไม่เคย
พูดไม่เพราะกับเรา ไม่เคยผิดนัด  ไม่เคยทำอะไรให้เรา
ไม่พอใจ .......สุดท้าย เราเองรู้สึกว่าไม่ใช่ซะงั้น
แล้วก็ออกมาจากชีวิตเค้าดื้อๆ   เพื่อจะมาคบกับคนที่เราคิดว่าใช่
แต่สุดท้าย คนที่คิดว่าใช่ของเราก็ไปเจอคนที่คิดว่าใช่ของเค้า
กลายเป็นกรรมของเราที่ต้องเสียใจสุดๆ  จนเข้าใจว่า วันนั้น
ทำไมผู้ชายคนหนึ่งร้องให้เมื่อเราบอกว่า เราไม่ต้องเจอกันอีก
แล้วนะ......มันเจ็บปวดมากมายนี่เอง

นี่แหละกฏแห่งกรรม  มีจริงๆ  นะคะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่คิดอะไร
กับใครก็อย่าไปทำให้เค้ารู้สึกพิเศษ ๆ  เป็นอันขาด ขอให้รักษา
ระยะห่างของการคบหากันให้ดีนะคะ  จะได้ไม่เจ็บปวดเสียใจภายหลัง

เอสจ๋า เอส  วันนี้ที่เค้าจากเราไปอาจจะไม่ใช่มืคนใหม่นะคะ
อาจจะแค่ถอยไปตั้งหลัก  ให้เวลาเค้าหน่อย  แล้วค่อยๆ คิด
ทบทวนดูให้ดีว่า เราคลิ๊กลงตัวหรือเปล่า เวลาจะเป็นตัวตอบ
คำถามเหล่านี้ให้เองค่ะ  ทำใจสบายๆ ให้เวลาช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นนะคะ
70  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: กำลังใจสำหรับคนเพึ่งถูกทอดทิ้ง เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554 15:30:04
หลบมารักษาแผลใจ ร้องไห้


 ตลก มาเอสมา  มาหลบอยู่เงียบๆ ด้วยกันที่สุขใจนี่แหละ
เราว่าสงบ ๆ ดี  มามุด ๆ อ่าน ๆ เขียน ๆ อะไรแถว ๆ นี้ก็ดีไปอย่างนะคะ
ไม่มีใครว่า  ไม่มีใครติ ไม่มีใครชม อยากทำอะไรก็ทำ  อยากเศร้า
อยากทุกข์ ก็เศร้าก็ทุกข์ให้มันสุด ๆ ไปเลย  แล้วก็จบ ลืมๆ มันไปเถอะ
สุขทุกข์อยู่กับเราไม่นานหรอกนะคะ  ทิ้งๆ ปล่อยๆ  วางๆ  ไปบ้าง
ก็เบาสบายดีออก

เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ จ้า
71  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Re: คนเหล็ก ภาคอินเดีย ตัดต่อสุดยอด เอฟเฟกต์สุดยอด ทั้งฮา ทั้งทึ่ง เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2554 15:24:58
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ยังไงก็ต้องมีท่าเต้น ต้นฉบับอยู่ด้วยเหมือนเดิมเลยเนอะ

 อายจัง อายจัง

เอฟเฟ็กเหลือร้าย  แต่การแต่งตัวยังดูเฉิ่มๆ  อยู่เลยอ่ะ *-*




































72  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: น้าแม๊คพาเที่ยว งานตรุษจีน นครสวรรค์ (ปากน้ำโพ) 2554 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2554 07:53:36
บรรยากาศสบายๆ กว่าที่เยาวราชเยอะเลยค่ะน้าแม๊ค
เยาวราชคนเยอะมาก  แถมปิดถนน ให้รถวิ่งได้แค่ 1 เลนเอง

แต่ก็สนุกค่ะอาหารการกินเพียบ   ....ชอบโคมไฟ  ปีนี้แขวนเยอะมาก
ทั้งถนน สุดลูกหูลูกตาเลยล่ะ  ยิ่งตอนกลางคืนนะ สวยมากเลยค่ะ *-*





73  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / ผู้ชายอันตราย!! เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2554 10:29:37


เมื่อแจ่มนภารู้จักกับพงศกรใหม่ๆ เธอเห็นว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี มีอนาคตไกล มีการศึกษาดีระดับปริญญา เธอรู้สึกทึ่งในตัวเขาและเมื่อเดินไปไหนด้วยกัน เธอก็จะรู้สึกภูมิใจที่เป็นคู่ควงของเขา

แม้ว่าบางครั้งเธอรู้สึกว่าเขาดูจะหลงๆ ตัวเองอยู่บ้าง เธอก็จะให้อภัยและบอกกับตัวเองว่า ก็คนเราถ้ามีอะไรพร้อมทุกอย่าง ก็น่าจะภาคภูมิใจในตัวเอง และเมื่อพงศกรขอแต่งงานกับเธอ เธอก็รู้สึกวา เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก

แต่เมื่อแต่งงานไปได้สักพักเมื่อความ "หลงในรูป" ของเขาได้จางลงไปจากใจของเธอ เธอเริ่มเห็น "ตัวตน" ที่แท้จริงของเขา เธอเพิ่งจะเห็นว่า พงศกร เป็นบุคคลที่ถูกพ่อแม่ตามใจตั้งแต่เล็ก เมื่อเขาต้องการอะไรเขาจะต้องได้ และเขาก็จะคำนึงถึงแต่ความต้องการของตัวเขาเอง มากกว่าความต้องการของเธอ เขาเป็นชายหนุ่มที่ "หลง" ในรูปของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เขาจะใช้เวลาและเงินทองเป็นจำนวนมาก เพื่อตกแต่งและซื้อข้าวของมีราคามาประดับร่างกายของเขา ของทุกชิ้นมักเป็นของที่มียี่ห้องจากต่างประเทศ

แจ่มนภาเริ่มรู้สึกอึดอัดในการมีชีวิตคู่ร่วมกับเขา ยิ่งกว่านั้นเธอพบว่า ภายใต้เครื่องตกแต่งที่หรูเริ่ดนั้น เขาช่างไม่ใคร่มีอะไรในมันสมองที่จะเทียบเคียงกับเครื่องตกแต่งภายนอกของเขาเสียเลย เธอไม่เข้าใจว่าทำไม เธอจึงไม่เห็นสิ่งนี้ก่อนแต่งงานกับเขา

ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาสำหรับเธอก็คือ เขามักชอบที่จะมีเพื่อนชายมาหน้าหลายตา มีบางคนเคยเตือนเธอว่า เขาเป็นคนที่ชอบทั้ง 2 เพศ เธอฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ขณะนี้เธอเริ่มไม่มั่นใจและรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำทั้งเป็น

เรื่องของแจ่มนภา เป็นเรื่องที่เคยเกิดแล้วกับผู้หญิงหลายคน ถ้าเราจะวิเคราะห์เรื่องของเธอ เราก็คงจะพูดได้คำเดียวว่า เธอไปหลงรักผู้ชาย "อันตราย" หนึ่งในหลายๆ ชนิดที่จะได้กล่าวถึงต่อไป

ผู้ชายอันตรายที่ผู้หญิงควรจะระวังตัวมีชนิดใดบ้าง ?
ผู้ชายอันตราย ที่คุณผู้หญิงน่าจะพิจารณาให้ดีก่อนเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย มีหลายประเภทเช่น

1. ประเภท "สามีคนอื่น"


ผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว ถือเป็นอันตรายสูงสุดประเภทที่ 1 ที่ผู้หญิงโสดอย่าเผลอตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะชั้นเชิงของเขามีมากมาย ความจัดเจนในการมีครอบครัวแล้ว จะทำให้คุณหลงคารมเขาโดยง่าย คำพูดที่มักจะติดปากพวกผู้ชายภรรยาเผลอเหล่านี้ก็คือ

"ภรรยาไม่เข้าใจเขา"
"เขาไม่มีความสุขในครอบครัว"
"คุณเป็นผู้หญิงที่เข้าใจเขาที่สุด" ฯลฯ

เมื่อคุณฟังแล้วก็จะเคลิบเคลิ้มนึกว่าจริงทำให้ผู้หญิงบางคนปล่อยใจกายและบางทีทรัพย์สมบัติ ไปให้แก่ผู้ชายเหล่านี้ และก็ได้แต่เฝ้าคอยว่า เมื่อไรเขาจะเลิกกับภรรยา (ตามที่เขาบอกคุณ) แต่ในที่สุดการรอคอยของคุณก็ล้มเหลวเพราะเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกกับภรรยาให้คุณเลย

ถ้าคุณเจอกับผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว และเขาแสดงทีท่าสนใจคุณพยายามหลีกหนีไปให้ไกล เพราะถ้าเผลอใจยุ่งเข้าไป คุณจะมีแต่ความทุกข์ เพราะไหนจะต้องมาผจญกับความอาฆาตมาดร้ายจาก "เมียหลวง" ของเขา และยังต้องมาผจญกับความรู้สึกผิดที่เกิดกับจิตใจตัวเอง เสียทั้งขึ้นทั้งล่องจริงๆ

2. ประเภท "ลูกติดแม่" ถ้าคุณไปเจอปะเภทนี้ ก็เรียกได้ว่า คุณตายทั้งเป็น เพราะคุณกำลังนำตัวเข้าไปแข่งกับแม่ของเขา (ซึ่งคุณไม่มีทางชนะเลย) ถ้าเป็นผู้หญิงอื่น นังนั่น นังนี่ ก็ยังจะพอฟัดพอเหวี่ยงกันไหว แต่เมื่อคุณอาจหาญลง ไปแข่งแรลลี่กับแม่ของเขารับรองคุณมีแต่ทางแพ้กับแพ้

ผู้ชายประเภท "ลูกติดแม่" ไม่เพียงแต่ถูกแม่ตามใจจนเสียเด็กเท่านั้น ในสายตาของแม่เขานั้น ยังมองไม่เห็นว่า จะมีผู้หญิงคนใดเลยที่ดีพอสำหรับลูกชายสุดที่รักของเธอ เธออาจจะทำตัวหวานเย็นกับคุณในระยะแรก แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็จะแสดงความเกลียดชังในเหล่าหญิงสาวทั้งหลาย ที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทำให้คุณเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ว่าเธอจะพูดถึงคุณกับคนอื่นๆ ว่าอย่างไร และเมื่อเขาอยู่กับแม่ของเขา เขาก็จะกลายเป็นลูกแหง่ที่แม่จะต้องคอยประคบประหงม และแม่เขาก็จะพูดกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่มีใครรักและสามารถปรนนิบัติเขาได้อย่างที่เธอทำให้เขา

เมื่อคุณรู้จักเขาเป็นครั้งแรก คุณแทบจะไม่มีวันรู้เลยว่า เขาเป็นประเภทลูกติดแม่ เพราะท่าทางเขาดูดี มีความรับผิดชอบสูง มีความอ่อนโยน และรู้จักหน้าที่ของพ่อบ้านเป็นอย่างดี แต่แท้ที่จริง ชีวิตเขาจะวนเวียนอยู่กับแม่ของเขาเสมอ เขาจะเป็นลูกชายที่แสนดีพาแม่ไปตากอากาศ ไปซื้อของ ไปทานอาหารและไปหาเธอแทบจะทุกวัน และหากคุณไปแต่งงานกับเขาและเผอิญอยู่ต่างบ้านกัน คุณก็จะได้รับโทรศัพท์จากแม่เขาพูดกับลูกชายอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเผอิญอยู่บ้านเดียวกัน เขาก็จะขลุกกับแม่ของเขามากกว่าคุณ และหากคุณบ่นถึงเรื่องนี้เขาก็จะบอกคุณว่า เขามีแม่เพียงคนเดียว ขอให้คุณเข้าใจเขา แล้วคุณจะทนได้หรือ ?


3. ประเภท "ขุนแผน"


กลุ่มนี้คือ ผู้ชายเจ้าชู้ทุกประเภท เป็นผู้ชายที่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกัน เขาอาจจะมีครอบครัวแล้วหรือยังโสดอยู่ก็ได้ เขาจะไม่สนว่าคุณจะมีสามีหรือไม่ เขาสามารถหาเหตุผล ที่จะเข้ามายุ่งกับคุณได้ตลอดเวลา และเขาก็ไม่สนว่าภรรยาและลูกของเขาจะเจ็บปวด เพราะการกระทำของเขาเพียงใด

พวกขุนแผนนี้ มักจะมีบาดแผลทางจิตใจสมัยเด็ก เขามักจะมาจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่นนัก ความต้องการทางจิตใจมักจะไม่เคยได้รับการตอบสนองจากพ่อแม่ของเขา การ "ได้" ผู้หญิงคนแล้วคนเล่าของเขาจึงเปรียบเสมือนการแสวงหาสิ่งทดแทนการขาดความรักในช่วงวัยเด็ก แต่เนื่องจากเขาไม่สามารถกลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้งหนึ่ง การแสวงหาสิ่งทดแทน จึงไม่สามารถทำให้จิตใจ ที่หิวโหยนี้เต็มอิ่มขึ้นมาได้จริงๆ

ถ้าคุณไม่อยากอกหักช้ำใจทั้งชาติ ก็หลีกผู้ชายชนิดนี้ไปให้ไกลๆ แต่คุณต้องระวังว่า ผู้ชายเจ้าชู้มักปากหวาน เอาใจเก่ง คุณไม่ควรไปหลงคารมของเขา ให้จำไว้ว่าหวานเป็นลมขมเป็นยาก็แล้วกัน แต่ถ้าคุณพลาดใจไปแต่งกับเขาเข้าแล้ว คุณก็ต้องทำใจว่า เขาไม่ใช่สมบัติของเรา แต่เป็นของแผ่นดินที่คุณต้อง "แบ่งกันกินกันใช้กับสาวอื่นก็แล้วกัน"

4. ประเภท "ยูงลำพอง"

พวกนี้จะเป็นผู้ชายแบบพงศกร ที่มักจะหล่อเหลา ท่าทางดูดีไปหมด ความหล่อของเขา ทำให้ดูจะหลงตัวเองมากไปหน่อย มองอะไรก็จะตื้นๆ แค่รูปลักษณ์ภายนอก ผู้ชายกลุ่มนี้มักจะแสวงหา ผู้หญิงสวยหรือรูปร่างหน้าตาเข้าทีมาควงคู่หรือแต่งงานด้วย เขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลร่างกายให้หล่อเหลา และ "เนี๊ยบ" อยู่ตลอดเวลา

เมื่อพลังงานของเขาทุ่มอยู่กับการตกแต่งภายนอก ทำให้เขาลืมการ "ตกแต่งภายใน" ผู้ชายเหล่านี้ เมื่อมองผ่านเสื้อผ้าราคาแพงเข้าไป จึงมองไม่เห็นความน่าสนใจในตัวเขาเลย และเมื่อคุณพูดกับเขาสักพัก คุณก็จะรู้สึกเบื่อเพราะดูเหมือนมันสมองของเขามิได้รับการพัฒนาให้เจริญไปพร้อมๆ กับร่างกายเท่าใดนัก

นอกจากนี้เขาก็ยังมีการ "หลง" ในความหล่อของตนเองคล้ายดอกนาซิสซัสที่หลงเงาตัวเอง อย่างไรก็อย่างนั้น ผู้ชายประเภทนี้เหมาะจะเอาไปควงโชว์ในรายการ "โดมอนแมน" มากกว่าจะนำมาเป็นคู่ชีวิต

5. ประเภท "เจ้าเหนือหัว"

พวกนี้ชอบสำคัญตนผิด คิดว่าตนคือผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ ชอบบังคับให้ผู้อื่นมาอยู่ใต้อำนาจของเขา ถ้าคุณไปรักคนประเภทนี้ คุณก็ต้องรับคำสั่งเขาอย่างเดียว เขาอาจจะเข้ามาวุ่นวายกับการคบเพื่อนของคุณ การใช้ชีวิตของคุณ ถ้าไปไหนด้วยกันเขาก็จะเล่นบทผู้ปกครองของคุณและออกคำสั่งกับคุณตลอดเวลา คุณต้องหันซ้ายขวาตามที่เขาต้องการ ถ้าอยู่ห่างจากกัน เขาก็จะต้องพยายามให้รู้ได้ว่า คุณกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหนกับใคร แต่คุณจะต้องไม่หลงผิดคิดว่ามันคือ ความรัก ความห่วงใย เพราะแท้ที่จริงก็คือ เขาเป็นคนที่ชอบครอบงำผู้อื่น และต้องการใช้อำนาจของเขาบังคับให้คุณเป็นไปตามความต้องการของเขาเท่านั้น

ในตอนแรกๆ คุณอาจจะคิดดีใจว่า นี่เป็นลักษณะของผู้นำที่คุณแสวงหามานาน แต่จริงๆ แล้ว เขาแสดงลักษณะเผด็จการออกมาต่างหาก หาใช่การเป็นผู้นำไม่ ผู้ชายที่เป็นผู้นำมักจะให้เกียรติแก่ผู้หญิง ของเขาเสมอ แต่ผู้ชายชนิดนี้ไม่เคยให้เกียรติแก่ใครเลย

บุคคลประเภทนี้มักจะมาจากครอบครัวที่ไม่ใคร่ให้ความสำคัญกับเขามากนัก ทำให้เขาต้องมาแสดงอีโก้ หรือแสนยานุภาพนอกบ้านเอากับคุณ แล้วคุณทนได้หรือ ? รับรองว่าถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่มีความเคารพ ในตัวเองคุณย่อมทนไม่ได้แน่นอน

6. ประเภท "นักกายกรรม"

ประเภทนี้ได้แก่ผู้ชายที่ชอบลงมือลงไม้กับผู้หญิง เห็นผู้หญิงเป็นสมบัติส่วนตัวที่อยู่ในปกครอง คิดจะบีบก็จะตายคลายก็รอด บางทีก็จะเอาภรรยาหรือลูกเป็นแพะรับบาป เมื่อเขาเครียดจากที่ใดก็ตาม เช่น มีเรื่องกับหัวหน้างาน หาทางออกไม่ได้ก็จะนำความหงุดหงิดมาลงกับบุคคลที่เป็น "เหยื่อใกล้มือ" เพราะภรรยาและลูกโต้ตอบไม่ได้

บุคคลชนิดนี้ มักมีจิตวิญญาณคล้ายเด็กที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง แม้ว่าร่างกายเขา จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ตาม แต่ภายในก็คือเด็กที่ขาดความอบอุ่น มีชีวิตในวัยเด็กที่ไม่รู้จักการได้รับ ความรักจากผู้ใด และไม่รู้จักวิธีที่จะเรียนรู้ที่จะถ่ายทอดความรักความอบอุ่นให้แก่ผู้อื่นโดยไม่ใช้ความรุนแรง เขามักจะมีพ่อแม่ที่ทุบตีกันให้เห็นอยู่เป็นประจำ ทำให้เติบโตมาด้วยภาพเงาของความรุนแรงในครอบครัว

เท่าที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นผู้ชายอันตรายหลายๆ ประเภทที่ผู้หญิงควรจะออกให้ห่าง อาจจะยังมีอีกหลายๆ ประเภทที่ไม่ได้นำมากล่าวทั้งหมด เช่น พวกนักเลงการพนัน พวกดื่มจัด หรือพวกรักร่วมเพศ เป็นต้น ที่กล่าวมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ที่ผู้หญิงทั้งหลายควรจะต้องระวังให้ดี ถ้าจะมีความสัมพันธ์กับผู้ชายเหล่านี้ ถ้าคุณยังไม่ได้รักก็ควรพิจารณาให้รอบคอบ เพราะคนเราคิดจะมีแฟนทั้งที สมควรที่จะได้คนรักที่ดีและให้ความสุขแก่เราใช่ไหมคะ ?

โดยนวลศิริ เปาโรหิตย์
74  สุขใจในธรรม / เสียงบทสวดมนต์ / บทสวดพาหุงมหาการุณิโก เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2554 11:56:49


บทถวายพรพระ

..........อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ-
สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา
เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ
..........สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก
เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ฯ
..........สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน
ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะ-
ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง
ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ


 พาหุง

..........พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ค รีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ
..........มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ
..........นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ
..........อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ
..........กัตวานะ กิฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ
..........สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ
..........นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ
..........ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ
..........เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา
โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ ฯ
 


 
มะหาการุณิโก

..........มะหาการุณิโก นาโถ
ปูเรตวา ปาระมี สัพพา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
..........ชะยันโต โพธิยา มูเล
เอวัง ตวัง วิชะโย โหหิ
อะปะราชิตะปัลลังเก
อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง
สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุขะโณ สุมุหุตโต จะ
ปะทักขิณัง กายะกัมมัง
ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง
ปะทักขิณานิ กัตวานะ
..........ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง..........
สัพพะพุทธานุภาเวนะ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง
สัพพะธัมมานุภาเวนะ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง
สัพพะสังฆานุภาเวนะ  หิตายะ สัพพะปาณินัง
ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ
สักยานัง นันทิวัฑฒะโน
ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
สีเส ปะฐะวิโปกขะเร
อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ ฯ
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง
สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ
วาจากัมมัง ปะทักขิณัง
ปะณิธี เต ปะทักขิณา
ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ
รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ




<a href="http://www.kanlayanatam.com/Myimage-index/freeCD/may09/mp3_5/3_1.wma" target="_blank">http://www.kanlayanatam.com/Myimage-index/freeCD/may09/mp3_5/3_1.wma</a>
75  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / "พูดเยอะ" ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2554 11:45:55


เมื่อเริ่มแก่ตัวลง คนเรามักนึกชื่อคนรู้จักไม่ออกหรือจำหน้าคนไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เพียงแต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วพูดคุยกับใครๆ ก็ช่วยฝึกสมองได้แล้ว


ทุกวันนี้ บางคนต้องไปเข้าคอร์สฝึกสมอง เสียเงินเสียทองมากมาย แต่นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การพูดคุยในชีวิตประจำวันก็สามารถฝึกฝนความสามารถในการจดจำได้เช่นกัน


นักวิจัยของมหาวิทยาลัยซูริกได้ศึกษาเปรียบเทียบผลวิจัยเกี่ยวกับการฝึกจำ 36 ชิ้น ซึ่งได้ทำวิจัยระหว่างปี 2513 จนถึงปี 2550


ผลการวิจัยเหล่านั้นพบว่า ทั้งคนสูงวัยที่มีสุขภาพดี และคนที่มีอาการความจำเสื่อมเล็กน้อย สามารถจดจำถ้อยคำต่างๆ ได้ดีขึ้น หลังจากผ่านการฝึกจำ นักวิทยาศาสตร์ได้ลงมือศึกษาเรื่องการฝึกจำในครั้งนี้หลังจากผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ประชาชนกว่าล้านคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มักจับเจ่าอยู่กับบ้านอย่างเดียวดาย การอยู่คนเดียวโดยไม่ได้พูดจากับใครกำลังระบาดไปทั่ว


ดร.ไมค์ มาร์ติน ผู้เขียนงานวิจัยชิ้นนี้ บอกว่า คนส่วนใหญ่จะมีความสามารถทางสมองลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น เช่น จำอะไรไม่ได้ ไม่สามารถคิดอ่านวางแผน และขาดสมาธิ ประชาชนบางรายจะสูญเสียความจำในอัตราเร่ง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมในบั้นปลายชีวิต


ดร.มาร์ตินบอกว่า รายงานซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร The Cochrane Library บอกว่า ควรมีการนำผลการศึกษาต่างๆ มาประมวลเพื่อหาวิธีป้องกันความเสื่อมถอยของสมองในผู้สูงวัย



 



ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

76  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ๗ วิธีตายอย่างสบายใจ เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2554 10:41:23

๗ วิธีตายอย่างสบายใจ


๗ วิธีต่อไปนี้ ใช้ได้กับคนที่เหลือเวลาในชีวิตไม่ต่ำกว่า ๑ วันกับ ๑ คืนขึ้นไป
หากเหลือเวลาน้อยกว่านั้นคงอ่านไม่ทัน หรือทำความเข้าใจไม่ถูก หรือมีแก่ใจซักซ้อมไม่ได้

๗ วิธีต่อไปนี้ ไม่ได้มีไว้ให้คนที่รู้ตัวว่ากำลังจะตายเท่านั้น
แต่ยังเหมาะสำหรับคนที่ไม่คิดว่ากำลังจะตายเร็วๆนี้ด้วย


๗ วิธีต่อไปนี้ เหมาะแม้สำหรับคนที่กำลังคิดจะฆ่าตัวตาย
และอยากเตรียมใจพร้อมรับความตายโดยปราศจากความกระวนกระวาย
เพราะทุกวิธีไม่มีคำขอร้องให้ใครอยู่ต่อ
มีแต่การนำเสนอข้อเท็จจริงสำหรับเตรียมใจก่อนตายสถานเดียว


๗ วิธีต่อไปนี้ จะยืนพื้นอยู่บนความสามารถทำได้จริง
ไม่ว่าคุณจะเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายอย่างไร
เราจะหยุดกันแค่ที่การได้ตายอย่างสบายใจ
อันควรเป็นยอดปรารถนาสุดท้ายของชีวิต
ส่วนความจริงที่ปรากฏหลังตายจะตรงหรือไม่
ตรงกับความเชื่อของใคร ค่อยปล่อยให้รู้เฉพาะตน


๗ วิธีต่อไปนี้ เพียงข้อใดข้อหนึ่งที่คุณทำได้
ก็พอเชื่อว่า คุณจะสบายใจในขณะเผชิญหน้ากับความตาย
และหากทำได้มากกว่าหนึ่งข้อ
ก็เป็นประกันได้ว่าไม่ใช่แค่สบายใจอย่างเดียว
ความตายของคุณจะฝากรอยยิ้มไว้ให้โลกดูด้วยความประทับใจไปอีกนานทีเดียว



๑) ตระหนักว่าความสบายใจเกิดขึ้นได้อย่างไร

แม้มีเวลามากมายเหลือเฟือในชีวิตที่มนุษย์จะฝึกทำความสบายใจ
ก็ยากนักที่เราจะเห็นคนเก่งบรรลุการฝึก
ยากนักที่เราจะเห็นใครสามารถทำใจให้สบายได้ตามต้องการ
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ขณะจวนอยู่จวนไปใกล้ตายเต็มทน
เวลาเพียงน้อยนิดย่อมไม่พอสำหรับการทำใจให้สบายได้ทันการณ์เป็นแน่


ความสบายใจเกิดจากการไม่มีเรื่องให้ห่วง
แต่ปัญหาคือชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยเรื่องน่าห่วง
โดยเฉพาะในยามใกล้ตาย
ไหนจะสมบัติข้างหลัง ไหนจะหวังให้ชีวิตยืดยาวต่อไปข้างหน้า



เมื่อเป็นเช่นนั้น วิธีง่ายๆที่จะหายห่วงก็คือ
แยกให้ออกว่า ‘เรื่องน่าห่วง’ กับ ‘อาการเป็นห่วง’
มิใช่สิ่งเดียวกัน เป็นต่างหากจากกัน
แม้ยังมีเรื่องน่าห่วงก็ไม่จำเป็นต้องไปห่วงมัน
โดยเฉพาะขณะกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องการความสบายใจเป็นที่หนึ่ง


คุณต้องตระหนักในโทษของอาการห่วงให้ดี
ว่ามันทำเอาเราไม่สบายใจไปเปล่าๆ
ความตระหนักจะทำให้เกิดความฉลาดเลือก
และแน่นอนว่าจิตที่ฉลาดย่อมเลือกความสบายใจมากกว่าอาการห่วงกังวล
มันฟังง่ายเหมือนเอากำปั้นทุบดิน แต่ก็ได้ผลจริง คือ ดินยุบลงไปจริงๆ


ที่ผ่านมาจิตของคุณมัวแต่จดจ่อกับบุคคลหรือวัตถุนอกตัว
อันเป็นที่ตั้งของความกังวล ซึ่งก็เท่ากับเลือกรักษาอาการกังวลเอาไว้
ทีนี้ถ้าหันกลับเข้ามาข้างใน
เห็นความกังวลเป็นของแปลกปลอมที่เข้ามารบกวนความสบายใจ
เห็นบ่อยเข้าใจ คุณก็ถอนตัวออกมาจากอาการกังวลได้เอง


ลองดูแล้วจะรู้ กล่าวโดยสรุปย่นย่อคือ มองให้เห็นตัวความกังวลในใจ
เห็นเป็นของแปลกปลอมรบกวนจิต
เห็นโทษของมัน แล้วมันจะหายไปเอง เมื่อใดความกังวลหายไป
เมื่อนั้นความสบายใจก็ปรากฏว่ามีอยู่แล้วโดยเดิมตามธรรมชาติ



๒) ระลึกถึงความดีที่ทำมา

ขอบอกไว้ล่วงหน้าเลย ว่าสิ่งที่คุณจะเห็นขณะจิตยกขึ้นสู่วิถีแห่งมรณะ
คือ นิมิตการกระทำที่ผ่านมา อย่างใดอย่างหนึ่งหรือมากหลาย
ทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ใกล้หมดสติ
และพบว่าเรื่องราวตั้งนมนานผ่านแวบเข้ามาในหัวได้อีก
ทั้งที่ปกติหลงลืมไปอย่างสนิทแล้ว
แม้เหตุการณ์ช่วงเพิ่งลืมตาดูโลกไม่นานก็เอาหมด



ฉะนั้นแทนการให้จิตซึ่งใกล้หมดสติสุ่มเลือกการกระทำขึ้นมาแสดง
ซึ่งอาจมีทั้งดีทั้งร้ายคละกัน
คุณก็ชิงนึกถึงแต่ตอนที่คุณตัดสินใจดีๆไว้ก่อน
เอาเฉพาะที่คุณเคยเลือกปฏิเสธเครื่องยั่วใจให้ผิดศีลผิดธรรม
หรือที่คุณเลือกอภัยแทนที่จะแก้แค้น
หรือที่คุณเลือกช่วยเหลือผู้คนแทนที่จะทอดทิ้งพวกเขา
การหมั่นระลึกถึงกรรมดีในอดีต จะช่วยให้เกิดความเคยชิน
พอถึงเวลาใกล้จิตดับ อำนาจความเคยชินนั้น
จะดึงเอาความทรงจำด้านดีออกมาจากคลังกรรมมากมาย
เรียงรายเป็นคิวยาวเหยียด


ทุกคนเคยทำชั่ว อย่าไปเสียเวลานึกถึงมัน
ถ้าอดนึกไม่ได้ก็ขอให้เป็นการสำนึกผิดครั้งสุดท้าย
แล้วหันเหไปกลบทับเสีย
ด้วยการระลึกถึงคุณงามความดีที่เป็นคู่ตรงข้าม
แล้วถามตัวเองอีกด้วย ว่าในความดีหนึ่งๆซึ่งเคยทำไว้
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คุณจะดีกว่าที่เคยได้อย่างไร
ยิ่งจินตนาการได้ชัด
ใจคุณจะยิ่งดำดิ่งลงไปในน้ำทิพย์แห่งความดีชนิดนั้นๆ
บังเกิดความปีติยินดีทวีขึ้นกว่าที่เคย


หากนึกไม่ออก หรือลำบากมากนัก
ก็อาจใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในปัจจุบันนั้นเอง
พูดให้ใครก็ได้รู้สึกดี หรือทำอะไรก็ได้ให้ใครสักคน
รับประโยชน์จากชีวิตอันเหลือน้อยของคุณ
คราวนี้คุณจะได้ไม่ต้องเค้นระลึกถึงอดีตฝังลืมต่างๆอีกต่อไป
เอากรรมดีที่เกิดขึ้นสดๆนั่นแหละเป็นใบเบิกทางสู่ธงชัยแห่งความสว่าง


ด้วยข้อวิธีนี้ คุณจะพบกับความจริงด้วยความเต็มตื้น
ว่าเพียงด้วยการระลึกถึงความดีให้ออกบ่อยๆ
ยิ่งบ่อยเท่าไร ความสบายใจก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น
เพราะค่าของคนอยู่ที่ผลของการทำดีไว้กับโลกนั่นเอง



๓) ยอมรับความจริง

ความจริงเป็นสิ่งที่น่ายอมรับที่สุด
เพราะอย่างไรมันก็ต้องเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
แต่สิ่งที่น่ายอมรับที่สุดนั่นแหละ
ที่มนุษย์มักปฏิเสธยิ่งกว่าอะไรอื่น
ราวกับจิตใจห่อหุ้มไปด้วยเมฆหมอกแห่งการหลอกตัวเองหนาทึบ



เคยได้ยินไหมว่าคนใกล้ตายไม่โกหก? รู้ไหมเพราะอะไร?
เพราะจิตของคนใกล้ตายเห็นสัจธรรมบางอย่าง
นั่นคือ ชีวิตทั้งหมดเป็นการโกหกอยู่แล้ว
พวกเราถูกหลอกว่ามี พวกเราถูกหลอกว่าเป็น
ทั้งที่ไม่เคยมีและไม่เคยเป็นอะไรสักอย่าง
วันแห่งความตายคือ วันแห่งการเปิดเผยความจริง
ทุกสิ่งจะหลุดจากกำมือของเราไป
ประโยชน์อะไรกับการพยายามพูดโกหก
ปั้นเรื่องเท็จซ้อนเข้าไปในเรื่องเท็จอีก


จะเริ่มฝึกยอมรับอะไรก็ได้
ตั้งต้นจากคนที่เข้ามาหาคุณในช่วงท้ายๆ
ลองเริ่มคิดถึงสิ่งที่คุณหลอกเขาไว้
หรือสิ่งที่คุณยังกำเป็นความลับที่ทำให้เขาเสียประโยชน์
แล้วพูดความจริงให้เขาฟัง คำจริงที่หลุดจากปากคุณแต่ละครั้ง
คือ การสลายม่านหมอกแห่งความลวงออกทีละน้อย
ทั้งจากใจเขาและจากใจคุณเอง


ยิ่งยอมรับผิดมากขึ้นเท่าไร
ใจคุณจะยิ่งเห็นความจริงปรากฏชัดขึ้นเท่านั้น
และความจริงอันสำคัญที่ควรรู้ ก็คือ ทุกสิ่งต้องปรวนแปรไป
ความจริงที่ว่ามนุษย์ทุกคนต้องตาย
หากคุณไม่เคยยอมรับความจริงเหล่านั้นได้
ก็จะพบว่าง่ายขึ้นหลังจากทยอยพูดความจริงออกไปเรื่อยๆ
กระทั่งเกิดพลังสัจจะ ย้อนกลับมาช่วยเป็นแสงสว่างให้คุณเห็นทุกสิ่งกระจ่างขึ้น


การยอมรับความจริงย่อมทำให้ใจคุณสบายกว่าตอนไม่ยอมรับความจริง
ไม่เคยน่าหวาดกลัวสำหรับนักยอมรับ
ความจริงเป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ไม่ว่าก่อนคุณเกิดหรือหลังคุณตาย
ระหว่างมีชีวิตคุณเคยทำให้ความจริงบิดเบี้ยวไปเพียงใด
ก็ขอให้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายดัดมันให้กลับตรงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เถิด
ผลจะเกิดเป็นจิตที่สบายของคุณเอง



๔) เผื่อใจให้กับการมีอยู่ของปรโลก

การอยู่กับฉากต้นๆและฉากกลางๆของละครชีวิต
จะไม่ช่วยให้คุณนึกถึงละครเรื่องใหม่
ต่อเมื่อคุณอยู่กับฉากท้ายๆใกล้จบ
นั่นแหละความรู้สึกเกี่ยวกับการเล่นและการชมละครเรื่องใหม่
จึงค่อยๆผุดชัดในใจคุณ แม้ยังไม่อาจคาดเดาว่าเรื่องใหม่จะเป็นอะไร
แต่อย่างน้อยคุณก็เลิกสำคัญเสียที
ว่าโรงละครโรงใหญ่แห่งนี้มีแต่เรื่องเดิมได้แค่เรื่องเดียว


ขณะใกล้ตายเป็นช่วงแห่งสังหรณ์
โดยเฉพาะสังหรณ์เกี่ยวกับภพข้างหน้า
คุณจะมองเห็นรากของอนาคตที่ปรากฏอยู่ในความรู้สึกอันเป็นปัจจุบัน
ใจที่สงบจะชวนให้คุณนึกถึงแสงสว่างและสภาพแวดล้อมน่ารื่นรมย์
ใจที่กระสับกระส่ายจะชวนให้คุณนึกถึงม่านมืด
และสภาพแวดล้อมชวนขนหัวลุก
ส่วนใจที่ครึ่งๆกลางๆเดี๋ยวสงบเดี๋ยวกระสับกระส่าย
จะไม่ชวนให้คุณมั่นใจนัก ว่ากำลังจะต้องเผชิญกับอะไรกันแน่


ขณะยังมีชีวิตช่วงต้นและช่วงกลาง
ถ้าไม่รู้ก็ถือว่าไม่ผิด ถ้าไม่คิดถึงโลกหน้า
ก็อ้างได้ว่าต้องเอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่น
แต่สำหรับช่วงท้ายๆ การไม่คิดถือว่าประมาท
เวลาที่เหลือเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้มากกว่าทบทวน
หรือเตรียมตัวเผชิญอนาคต เสียให้ดี
หากไม่รู้อะไรเสียเลย ก็อาจถือได้ว่าเป็นความผิดใหญ่หลวง


เว้นไว้แต่พวกมิจฉาทิฏฐิ ที่วันๆเอาแต่ตะล่อมบอกให้ใครต่อใคร
เชื่อว่าเกิดหนเดียวตายหนเดียว
ยามใกล้ตายคนทั่วไปไม่มีใครกล้าอวดดื้อถือดี
สั่งให้ตนเองเชื่อว่าตายแล้วตายเลย
ทุกคนจะหมดความทะนงหลงมั่นใจในความเชื่อของตัวเอง
ไปพร้อมกับเรี่ยวแรงที่ถดถอย
ในเมื่อร่างกายที่เคยบัญชาให้เคลื่อนไหวตามใจนึกได้
ก็กลายเป็นบัญชาไม่ได้อีกต่อไป
สำหาอะไรกับจิตวิญญาณกับกรรมเก่าที่เหมือนเงาตามกันอยู่
ใครเล่าจะควบคุมให้มันหยุดตามกันได้?


ความเชื่อเรื่องตายแล้วสูญ นับเป็นศรัทธามืดอันเกิดจากความไม่รู้จริง
ไม่เคยตายจริง ผู้มีศรัทธามืดได้ชื่อว่า เป็นผู้ปิดใจ
การปิดใจจะทำให้รู้สึกคับแคบ ไม่อาจสบาย
และไม่อาจหายสงสัยว่าเรื่องจริงหลังความตาย
คือ การยุติ หรือว่าคือ การเริ่มละครเรื่องใหม่กันแน่


การเผื่อใจนับเป็นการลดแรงต้านลงได้มาก
การลดแรงต้านลงก็คือ การไม่ต้องออกกำลังต่อสู้กับความไม่รู้
มันช่วยผ่อนคลายจิตใจให้สบายขึ้นได้จริง
อย่างน้อยก็เลิกเถียงกับตัวเองเกี่ยวกับการมีหรือไม่มีชีวิตหลังความตาย
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดให้คุณเห็นในไม่ช้า
ความเชื่อที่ขัดกับความจริงจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
โดยไม่มีใครนำไปใช้ต่อสู้ กับสัจธรรมได้เลย



๕) อภัยโลก

โลกนี้โกลาหลด้วยการกระทบกระทั่ง
และในเมื่อทุกคนอาศัยอยู่ในโลก
จึงต้องถูกโลกกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
แล้วโลกก็เต็มไปด้วยไอร้อนของควันไฟอันเกิดจากใจแค้นเคือง
ไม่ค่อยมีที่ไหนฉ่ำเย็นด้วยกระแสน้ำแห่งการให้อภัยเท่าใดนัก


ปกติคนใกล้ตายจะไม่นึกอยากเอาเรื่องเอาราวกับใครอีก
เพราะในไม่ช้าก็จะต้องอยู่คนละโลกกันแล้ว
เหมือนเอื้อมมาแตะต้องกันไม่ได้อีกแล้ว
การตายของคนๆหนึ่งคือ การปิดเกมแห่งการเบียดเบียน
เหมือนนักมวยที่แขวนนวม เลิกใช้ชื่อเดิมขึ้นเวทีอย่างเด็ดขาดแล้ว


อย่างไรก็ตาม ความพยาบาทอาฆาตอาจทำให้เรื่องปกติผิดปกติไป
หลายคนยังผูกใจเจ็บ ยังนึกไปในทางเคียดแค้นอยากเอาคืน
เสียดายไม่อยากตายตอนนี้ ยังไม่ทันได้เอาคืน
หรือกระทั่งคิดเลยเถิดถึงขั้นประกาศศักดาชัดว่า
คอยดู เดี๋ยวกูเป็นผีก็จะมาเอามึงคืนอยู่ดี!


ก่อนกายนี้สิ้นลม เรารู้ว่าวิญญาณอาฆาตมีจริง
ด้วยความคิดฝังใจไม่อภัยศัตรู สิ่งที่ไม่รู้ก็คือ หลังกายนี้สิ้นลม
วิญญาณอาฆาตนั้นยังมีจริงต่อไปไหม
นี่แหละ! คนเราทนทุกข์ทนร้อนด้วยไฟโกรธขณะมีชีวิตไม่พอ
แม้ธรรมชาติให้โอกาสจบทุกข์จบร้อนด้วยความตาย
ก็ยังอุตส่าห์อยากเติมเชื้อไฟต่อเข้าไปอีก


สิ่งเดียวที่ประกันความรู้ได้แน่นอน ก็คือ ระหว่างยังไม่ตายนี้
คุณสามารถดับวิญญาณอาฆาตลงได้ด้วยความคิดให้อภัย
และเมื่อเชื้อแห่งทุกข์ร้อนดับลงแล้ว
หลังตายก็ไม่น่าหลงเหลือวิญญาณอาฆาตอยู่ ณ ที่ใดอีก


ค่อยๆนึกถึงใครก็ได้ที่คุณผูกใจเจ็บอยู่
และที่ผ่านมาไม่เคยนึกอยากให้อภัย
แม้ว่าเขาหรือเธอจะเป็นอดีตที่ฝังลืมไปแล้ว
ปัจจุบันคุณไม่นึกถึงอีกแล้ว ก็ขอให้ขุดเขาและเธอขึ้นมาระลึกถึง
นึกให้ออกทีละคน หากโทร.ได้ทันก็โทร.ไปขออภัย ขออโหสิต่อกันยิ่งดี


คุณจะพบว่าทุกคนประกอบขึ้นเป็นโลกในใจคุณ
ยิ่งคิดอโหสิได้มากคนขึ้นเท่าไร
คุณจะยิ่งทิ้งร่างนี้ไปด้วยใจอภัยโลกเต็มดวงขึ้นเท่านั้น
และสิ่งที่คุณจะรับรู้ก่อนตาย ก็คือ ใจที่สบายหายห่วง
แต่ละครั้งที่คุณพูดกับปาก หรือเพียงนึกด้วยใจบริสุทธิ์แท้จริง
ว่าเลิกแล้วต่อกันนะ ไม่มีภัยเวร
ไม่มีเส้นสายมืดดำโยงใยระหว่างใจกันอีกแล้วนะ
คุณจะชื่นมื่น เห็นความเป็นโมฆะแห่งภัยเวรมากขึ้นเรื่อยๆ
จนสว่างจ้าออกมาจากกลางใจชัดเจนทีเดียว



๖) ฝึกสติก่อนหลับ

หากหมอบอกว่าคุณเหลือเวลาอีกไม่มาก
นั่นก็คือ คุณไม่มีทางพยากรณ์ ว่าการหลับครั้งใดจะเป็นการหลับครั้งสุดท้าย
ไม่มีสิ่งใดเป็นหลักประกันว่าหลับลงครั้งต่อไปคุณจะได้ตื่นขึ้นมาอีกหรือเปล่า


แม้สำหรับคนที่บอกตัวเองว่ายังอยู่ได้อีกนาน
เขาก็ยังหลับทั้งคิดว่าจะต้องตื่น
แต่ลงเอยตอนเช้าก็ทิ้งร่างที่ปราศจากวิญญาณ
เป็นภาระให้คนข้างหลังช่วยกันแบกลงจากเตียงไปเข้าโลง
แต่ละวันมีการตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวทั่วโลกเป็นจำนวนมาก
ใช่ว่าแค่สิบคน ใช่ว่าแค่ร้อยคน ใช่ว่าแค่พันคน แต่นับได้เป็นแสน!


ฉะนั้นการฝึกสติเสียในขณะที่ยังมีสติให้ฝึก
จึงเป็นนโยบายที่ดีที่สุด นับว่ารอบคอบสูงสุด


การหมดสติเพื่อหลับ กับการหมดสติเพื่อตาย
มีความเหมือนกันคือ ‘หมดสติ’
ฉะนั้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งการใกล้หมดสติ
หากพยายามตั้งสติไปจนถึงเสี้ยววินาทีสุดท้าย ย่อมเป็นกำไร
ย่อมเป็นการกลั่นค่าของชีวิตมาใช้จนถึงที่สุด


สติที่ยอดเยี่ยมทางพุทธ คือ สติระลึกรู้ความไม่เที่ยง
ความมีอันต้องดับไป เมื่อกำลังรู้สึกถึงสิ่งใด
ก็ควรรู้ให้ชัดว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของความตาย
ไม่ใช่สมบัติของตัวตน
และก่อนสติใกล้ดับ ไม่ว่าดับเป็นหรือดับตาย
สิ่งที่เหลือให้ระลึกได้ชัดไม่มีอะไรเกินไปกว่าลมหายใจอีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงให้ระลึกถึงลมหายใจบ่อยๆ
เป็นการสร้างความคุ้นชินไว้กับสิ่งที่จะเป็นสรณะได้ทั้งยามอยู่และยามไป


หากระลึกนึกถึงลมหายใจ ว่าเฮือกนี้อาจเป็นเฮือกสุดท้ายที่คุณจะรู้
กับทั้งระลึกว่าคุณอาจไม่รู้สึกถึงลมหายใจไหนๆอีก
นั่นเท่ากับเป็นการซักซ้อมเตรียมตายได้ใกล้เคียงของจริง
ขอให้สังเกตดูเถิด หากมีสติรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกได้อย่างสบาย
แม้ก้าวลงสู่ความหลับในบัดนั้น
ก็เหมือนครึ่งหนึ่งของสติยังไม่ขาดสายหายไปไหน
แม้ต้องเกิดนิมิตฝัน ก็เป็นนิมิตฝันอันสวยงาม
แต่หากจะไม่เกิดนิมิตฝัน
ก็เหลือแต่ความว่างอันแสนสบายของจิตอันสว่างรุ่งโรจน์อยู่



ถ้ายังมีโอกาสหลายคืนก่อนตาย
แล้วคุณใช้ทุกคืนให้เป็นประโยชน์โดยไม่ทิ้งขว้าง
คุณจะทราบว่าในนาทีเข้าด้ายเข้าเข็ม
จวนเจียนสิ้นเลือดสิ้นเนื้ออยู่นั่นเอง
ไม่มีอะไรในโลกเป็นที่พึ่งให้กับคุณได้ดีกว่ากำลังสติ
ผู้มีสติก้าวลงสู่ความตาย คือผู้สบายใจว่าตนมีที่พึ่งให้ตัวเองแน่



๗) ปล่อยวางทุกสิ่ง

สภาพที่เหมือนยังอยู่ได้อีกนาน จะชวนให้หลงนึกว่าทุกสิ่งเป็นจริงไปหมด
อะไรๆเป็นของคุณไปหมด คุณจะไม่มีสักแวบที่เอะใจคิด
ว่าเวลาในชีวิตเหลือน้อยลงทุกวินาที ทีละคืบทีละคลาน


กระทั่งเวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ นับได้เป็นวัน หรือนับได้เป็นชั่วโมง
เมื่อนั้นสภาพใกล้ตายจะฟ้องชัดว่า
กายใจในชาตินี้หาใช่สมบัติที่แท้จริงของ คุณไม่
แม้ชีวิตยังไม่ใช่ของคุณ แล้วอะไรในชีวิตที่ควรอ้างว่าเป็นของคุณเล่า?


ความเกิดและความตายแห่งสรรพสิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้
จักรวาลนี้เกิดมาได้อย่างไร และจะตายไปด้วยท่าไหน
ก็ยังเป็นที่ถกเถียงในระหว่างนักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จบ
คิดไปคิดมาคุณอาจได้คำตอบว่า
‘ความไม่รู้’ นั่นแหละที่ก่อให้มีการเกิดการตาย


ถ้ารู้ว่าจะแก้ไขไม่ให้ต้องตายได้คุณคงรีบทำ
แต่คิดไปคิดมาคุณจะเห็นทางเดียวที่ไม่ต้องตาย ก็คือ ต้องไม่เกิด
เพราะเกิดขึ้นแล้วอย่างไรก็หลีกหนีความตายไปไม่พ้น
ต่อให้อาศัยเทคโนโลยีแช่แข็ง ต่อให้อาศัยเทคโนโลยีปลูกถ่ายอวัยวะ
หรือต่อให้อาศัยเทคโนโลยีชะลอความแก่ใดๆ
คุณก็ต้องพบกับการคัดค้านจากก้นบึ้งของจิตใจ
ไม่มีใครอยากทนจำเจอยู่กับความเป็นอมตะอย่างไร้จุดหมายอยู่ดี


ธรรมชาติคือ ธรรมชาติ เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยประกอบประชุมกัน
แล้วไม่ช้าก็เร็วต้องดับลงเป็นธรรมดา
ธรรมชาติแห่งความมีชีวิตก็เช่นกัน หาใช่ดำรงอยู่เพื่อเป็นอมตะไม่
ชีวิตดำรงอยู่ด้วยพลังของเหตุผล
เมื่อหมดเหตุผลที่จะดำรงอยู่ ก็ต้องเสื่อมสลายไปสู่ความเป็นอื่นในที่สุด



บางคนทำใจได้กับการตายจากไปของตัวเอง
แต่กลับทำใจไม่ได้กับการมีชีวิตอยู่ของคนข้างหลัง
นั่นเป็นเครื่องชี้ว่า การทำใจควรครอบคลุมให้ทั่วหมด
ไม่ใช่ทำใจได้เฉพาะส่วนของตัวเอง
แต่ต้องทำใจให้หายห่วงได้กับการสิ้นไปของคนอื่นด้วย


แค่เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง คุณก็คิดต่อได้แล้ว ว่าตัวเราเป็นอย่างไร
คนอื่นก็อย่างนั้น ในเมื่อคุณต้องตาย
นึกหรือว่าคนอื่นจะอยู่รอดปลอดภัย พ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราชไปได้?
อย่างไรวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องตายตามคุณ
หายไปจากโลกนี้ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลือใครไว้ห่วงใครเลยสักคน


แม้ความมีความเป็นในอนาคตหลังความตายก็เช่นกัน
ถ้ายังมีเกิดอีก ก็แปลว่า ยังต้องมีตายอีก
จึงควรรู้ให้ได้ก่อนสิ้นลมว่า ที่ต้องเกิดก็เพราะไม่รู้
หลงนึกว่ามีเราเคยเกิดมา และมีเรากำลังจะตายไป
แถมสำคัญว่ามีเราไปเกิดใหม่อีก


เมื่อกลับความเห็นเสียได้ทัน เปลี่ยนจากความไม่รู้มาเป็นความรู้
ว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีตัวคุณเกิด มีแต่กายใจชุดหนึ่งประชุมกันเกิด
และที่กำลังจะต้องเผชิญก็หาใช่ความตายของคุณ
มีแต่กายใจชุดหนึ่งแยกตัวกันสู่ความดับ
เมื่อนั้นจิตย่อมเป็นอิสระที่จะดับลง
โดยไม่ต้องสืบสายความเข้าใจผิดด้วยการอุบัติของจิตดวงใหม่
เข้าไปประชุมกับรูปกายใหม่ เพื่อชดใช้ความไม่รู้และความสำคัญผิดสืบๆไป


ความสบายใจที่เกิดจากการปล่อยวางได้ทุกสิ่ง
ด้วยการกำจัดอวิชชา ด้วยการเปลี่ยนความไม่รู้เป็นความรู้แจ้ง
นับเป็นความสบายใจขั้นสูงสุด
เหมือนคุณได้ลิ้มอีกรสหนึ่งที่ประหลาดและแตกต่างไปกว่าเคย
ขอเพียงรู้จักรสนั้นครั้งเดียว ก็แปลว่า คุ้มทั้งชีวิตคุณแน่แท้แล้ว
คุณจะไม่เสียดายแม้ต้องตายไปเดี๋ยวนี้



ความสบายใจ

เป็นสิ่งแรกที่ ‘ควรมี’

ระหว่างชีวิตยังไม่สิ้น

และเป็นสิ่งสุดท้ายที่ ‘ต้องมี’

ขณะกำลังสิ้นชีวิตลง



ที่มา...คิดจากความว่าง 3 จากคอลัมน์ในเนชั่นสุดสัปดาห์
โดย ดังตฤณ
http://dungtrin.com/empty3/24.htm
77  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / กรรม ชำระล้างได้อย่างไร ? เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2554 10:16:53


พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)"


๓) กรรม ชำระล้างได้อย่างไร ? หน้า ๑๔๓-๑๔๖


มีพุทธพจน์ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า “บุรุษนี้ทำกรรมไว้อย่างไร ๆ เขาย่อมได้เสวยกรรมนั้นอย่างนั้น ๆ”
เมื่อเป็นอย่างที่กล่าวนี้ การครองชีวิตประเสริฐ(พรหมจรรย์) ก็มีไม่ได้ (คือไม่มีประโยชน์อะไร) เป็นอันมองไม่เห็นช่องทางที่จะทำความสิ้นทุกข์ให้สำเร็จได้เลย”

“แต่ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า “บุรุษนี้ทำกรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งเวทนาอย่างไร ๆ เขาย่อมได้เสวยวิบากของกรรมนั้นอย่างนั้น ๆ” เมื่อเป็นอย่างที่กล่าวนี้ การครองชีวิตประเสริฐ(พรหมจรรย์) จึงมีได้ (คือสำเร็จประโยชน์) เป็นอันเห็นช่องทางที่จะทำความสิ้นทุกข์ให้สำเร็จได้

“ภิกษุทั้งหลาย สำหรับบางคน กรรมชั่วที่ทำไว้เพียงเล็กน้อย ก็นำเขาไปนรกได้
แต่สำหรับบางคนกรรมชั่วที่ทำไว้เล็กน้อยอย่างเดียวนั่นแหละ ให้ผลแค่ในปัจจุบัน ทั้งส่วนที่เล็กน้อยก็ไม่ปรากฏด้วย ปรากฏแต่ที่มาก ๆ เท่านั้น”

“คนประเภทไหน กรรมชั่วที่ทำไว้เพียงเล็กน้อย ก็นำเขาไปนรกได้? คือ คนบางคนเป็นผู้ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต ไม่ได้อบรมปัญญา มีคุณน้อย มีอัตภาพเล็ก มีปรกติอยู่เป็นทุกข์เพราะวิบากเล็ก ๆ น้อย ๆ บุคคลประเภทนี้ กรรมชั่วที่ทำไว้เพียงเล็กน้อย ก็นำเขาไปนรกได้ (เหมือนใส่ก้อนเกลือในขันน้ำน้อย)”

“คนประเภทไหน กรรมชั่วที่ทำไว้เล็กน้อยอย่างเดียวกันนั่นแหละ ให้ผลแค่ในปัจจุบัน ทั้งส่วนที่เล็กน้อยก็ไม่ปรากฏด้วย ปรากฏแค่ที่มาก ๆ เท่านั้น? คือ คนบางคนเป็นผู้ได้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญามีคุณไม่น้อย เป็นมหาตมะ มีธรรมเครื่องอยู่หาประมาณมิได้สำหรับบุคคลประเภทนี้ กรรมชั่วที่ทำไว้เล็กน้อยเช่นเดียวกันนั้นแหละ ให้ผลแค่ในปัจจุบัน ทั้งส่วนที่เล็กน้อยก็ไม่ปราฏด้วย ปรากฏแต่ที่มาก ๆ เท่านั้น (เหมือนใส่ก้อนเกลือในแม่น้ำ)

“ดูกรนายคามณี ศาสดาบางท่าน มีวาทะ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า.....
ผู้ที่ฆ่าสัตว์ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด
ผู้ที่ลักทรัพย์ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด
ผู้ประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด
ผู้ที่พูดเท็จต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมดสาวกที่เสื่อมใสในศาสดานั้น คิดว่า “ศาสดาของเรามีวาทะ มีทิฏฐิว่า ผู้ที่ฆ่าสัตว์ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด” เขาจึงได้ทิฏฐิขึ้นมาว่า “สัตว์ที่เราฆ่าไปแล้วก็มี เราก็ต้องไปอบาย ตกนรกด้วย เขาไม่ละวาจานั้นไม่สละทิฏฐินั้นเสีย ก็ย่อมอยู่ในนรกเหมือนถูกจับมาใส่ไว้...”

“ส่วนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติในโลก….พระองค์ทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต...อทินนาทาน...กาเมสุมิจฉาจาร...มุสาวาท โดยเอนกปริยาย และตรัสว่า

“ท่านทั้งหลายจงงดเว้นเสียเถิดจากปาณาติบาต... อทินนาทาน...กาเมสุมิจฉาจาร...มุสาวาท” สาวกมีความเสื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า “พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต ฯลฯ โดยอเนกปริยายและตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงงดเว้นเสียเถิดจากปาณาติบาต ฯลฯ “ก็สัตว์ที่เราฆ่าเสียแล้วมีมากถึงขนาดนั้น ๆ การที่เราฆ่าสัตว์ไปเสียมาก ๆ ถึงขนาดนั้น ๆ ไม่ดี ไม่งามเลย เราจะกลายเป็นผู้เดือนร้อนใจเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัยแท้และเราก็จักไม่ชื่อว่าไม่ได้กระทำกรรมชั่ว” เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว จึงละปาณาติบาตนั้นเสีย และเป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วยเป็นอันว่า เขาละกรรมชั่วนั้นได้ด้วยการกระทำอย่างนี้.......”

“เขาละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ ละมุสาวาท...ปิสุณาวาจา... ผรุสวาจา.... สัมผัปปลาปะ...อภิชฌา....พยาบาท....มิจฉาทิฏฐิ แล้วเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิเขาผู้เป็นอริยสาวก มีใจปราศจากอภิชฌา(ความละโมบ) ปราศจากพยาบาท(ความคิดเบียดเบียน) ไม่ลุ่มหลง มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น อยู่ด้วยใจที่ประกอบด้วยเมตตาปกแผ่ไปทิศ ๑... ทิศ ๒... ทิศ ๓....ทิศ ๔ ครบถ้วน ทั้งสูง ต่ำ กว้างขวาง ทั่วทั้งโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตา อันไพบูลย์ ยิ่งใหญ่ ไม่มีประมาณไร้เวร ไร้พยาบาท ฯลฯ เมื่อเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ ทำให้มากอย่างนี้ กรรมใดที่ทำไว้พอประมาณ กรรมนั้นจักไม่เหลือ จะไม่คงอยู่ในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น.....

พุทธพจน์ในข้อ ๓ นี้ นำมาแสดงไว้เพื่อประกอบการพิจารณาในเรื่องการให้ผลของกรรม ให้มีการศึกษาโดยละเอียด เป็นการป้องกันไม่ให้ลงความเห็นตัดสินความหมายและเนื้อหาของหลักกรรมง่ายเกินไป แต่ก็ยังเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถนำมารวมไว้ได้ทั้งหมด เพราะจะกินเนื้อที่มากเกินไป


**************************************************************************************
 
 
ที่มา : หนังสือเรื่องกรรมตามนัยแห่งพุทธธรรม เว็ป http://www.watnyanaves.net/ธรรมนิพนธ์ 
78  สุขใจในธรรม / ห้อง วีดีโอ / ธรรมะคาใจ - ตอน ผีมีจริงไหม? เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2554 19:54:52
ธรรมะคาใจ - ตอน ผีมีจริงไหม?
79  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / แก้ไขโชคชะตา เริ่มด้วยการกตัญญูต่อพ่อแม่ 改命从孝顺父母开始的 เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2554 19:40:20


我打小就比一般人敏感,天生就会那么一点望气(也只会这么一点),那时我最爱往一家人家里跑,我什么也不干,我就去那呆着。

为什么呢?这家人的家里祥瑞气旋绕,只呆在里面,就非常舒服,就像蒸气浴,瑞气包裹着自己实在太舒服,
虽然还不大通光,但是从无晦暗之感。

我当时诧异的想:我看这家人,丝毫特殊的地方都没有,两个退休老人(干净,脾气好),工资微薄,两个子女没读多少书,早早辍学在家,还没找到工作,那么这些祥瑞气到底是什么缘故——



ตอนที่ฉันยังเด็กมีจิตใจอ่อนแอ เวลานั้นฉันชอบแวะไปบ้านหลังหนึ่ง

ไม่รู้ทำไม ชอบหยุดอยู่ตรงนั้น

ทำไมหนอ บ้านนี้อยู่ในที่ๆมีบรรยากาศดี เพียงหยุดอยู่หน้าบ้าน

ก็รู้สึกน่าสบายมาก เหมือนอยู่ในห้องอบไอน้ำ

บรรยากาศที่ห้อมล้อมให้ความสะดวกสบาย ถีงแม้จะไม่สว่างมาก แต่ก็รู้สึกไม่มืดมัว

ฉันคิดไปอย่างแปลกๆว่า ดูคนในบ้านแล้ว ก็ไม่แปลกประหลาดแม้เล็กน้อย

ผู้เฒ่าที่เกษียณแล้ว 2 คน (สะอาด ดูเป็นผู้ดี) ขาดแคลนเงินเดือนอย่างมาก

ลูกชายหญิง 2 คนเล่าเรียนหนังสือไม่มาก ทุกเช้าเรียนเองที่บ้าน แต่ยังหางานทำไม่ได้

ทำไมที่ซึ่งเป็นมงคลอย่างนี้จึงตกต่ำได้เพราะเหตุใด





过了三年,这两个子女成家了,配偶虽然普通,各方面都非常一般,但是生下两个孩子,我一看,两颗明珠,一个如日光,一个如月光,光华灿烂。原来那瑞气旋绕三年不绝,是为这两个孩子。我感叹的是:原来一个人有福报要来,三年前就有预兆了!
子女的配偶因为非常孝顺父母师长,我娘说这人非常孝顺父母师长,绝不会久居人下,本来没有读大学,但是婚后几年就成为地方大官长,从此这家人是富贵得很。我娘告诉我,一个人如果从小不曾抵触顶撞父母师长,他是必定做大官的,因为打小孝顺父母,每天积的福德别人根本比不上,他不做官谁做官,所以你见到这样的人,要好好对待,不能轻视,因为就算没读过书,还没找到工作,后面上天也会推他上去的。我家里好几个做大官的,无一不是如此。但一个人日常生活若好抵触顶撞父母,是绝对不能做大官的,连基本的日常工作都不会顺利,一生挫折连连,重要时刻无不败北。



ผ่านไป 3 ปี ลูกชายหญิงทั้งสองก็มีครอบครัว แต่งงานกับคนธรรมดาสามัญมากๆ

เพียงแต่คลอดหลานออกมา 2 คน ฉันดูๆแล้ว ท่าทางฉลาดเฉียบแหลม

คนหนึ่งเหมือนแสงอาทิตย์ อีกคนหนึ่งดังแสงจันทร์ เปล่งประกายสง่างาม

ที่แท้ความเป็นมงคลที่มีมาก่อน 3 ปี ก็คือการต้อนรับ หลานสองคนนี้

ฉันถึงกับอุทานว่า ที่แท้คนเราจะได้รับผลบุญตอบสนอง จะมีลางบอกปรากฏล่วงหน้ามาก่อน 3 ปี

ลูกชายลูกสาวที่ดูธรรมดาๆ ทำไมถึงมีความกตัญญูต่อพ่อแม่มากนัก

แม่ฉันบอกว่าคนที่มีความกตัญญู จะไม่ตกต่ำนาน เดิมทีไม่ได้เรียนมหาลัย

แต่เมื่อแต่งงามแล้วไม่กี่ปีก็กลายเป็นข้าราชการใหญ่ของท้องที่ จากนั้นคนในบ้านนี้ก็มั่งคั่งขึ้นอย่างมาก

แม่ฉันบอกว่า คนที่เมื่อตอนเด็กไม่ขัดแย้งโต้เถียงพ่อแม่ เขาจะต้องได้เป็นขุนนางใหญ่

เพราะว่าตอนเด็กกตัญญูต่อพ่อแม่ทุกๆวันก็สะสมบุญกุศลมากขึ้นจนมากกว่าคนอื่นๆ

แล้วอย่างเขาไม่ได้เป็นขุนนางแล้วใครจะได้เป็นเล่า


ดังนั้น เธอพบคนอย่างนี้ ต้องปฏิบัติต่อเขาให้ดี อย่าได้ดูถูกเพราะเหตุว่าไม่ได้เรียนสูงๆ หรือยังไม่มีงานทำ

เพราะเขาจะมีสวรรค์คอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง



บ้านเรามีใครเป็นขุนนางบ้าง---ไม่มีเลย คนที่คอยโต้เถียงพ่อแม่เป็นประจำ ไม่มีทางได้เป็นขุนนางแน่นอน---แล้วยังจะมีผลให้การงานไม่ราบรื่น ชีวิตล้มเหลวซ้ำๆซากๆ ที่สำคัญคือได้รับความทุกข์ยากลำบาก





原因很简单,抵触顶撞父母,就是把父母抵顶到对面去了,父母为生我,助我,没有父母生助,无法强大,就凭一己之力,当然压不住厄运,并且周匝鬼神会代你父母教训你,这个就是书上说的:不孝父母,天怒鬼神怨。如果要比喻,父母好比两大福德山,孝顺父母能镇一切恶(不顺),父母又是两大福德海,孝顺父母能济一切渴(匮乏)。



เหตุผลง่ายๆ การโต้เถียงพ่อแม่ ก็คือทำให้พ่อแม่อยู่ฝ่ายตรงข้าม

พ่อแม่ให้กำเนิดเรา ดูแลเรา หากเราไม่มีพ่อแม่ดูแล เราไม่มีทางเติบใหญ่ขึ้นมาได้

ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับเรี่ยวแรงตัวเอง เพื่อที่จะหยุดยั้งเคราะห์กรรม

พ่อแม่ได้ว่ากล่าวตักเตือน นี่เป็นการให้บทเรียนด้วยการพูด

การไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ เบื้องบนเทพยดาย่อมขุ่นเคือง เบื้องล่างผีสางนางไม้ย่อมติเตียน

หากอุปมา พ่อแม่เปรียบดังภูเขาแห่งโชคลาภ การกตัญญูต่อพ่อแม่สามารถลดทอนเคราะห์กรรม (ความไม่ราบรื่น)

หากเปรียบพ่อแม่เป็นดังทะเลแห่งโชค การกตัญญูต่อพ่อแม่สามารถข้ามความหิวกระหายได้ทั้งปวง (ความอัตคัดขัดสน)




然后这家人搬走了,换一家人搬进来,我特意跑去看。

摆设还是照旧,但是气象完全不同了,那是寒得很,暗得很,我一会就走了,再也不去,我一眼就看出气流对穿(后来知道这叫无情,破格)——但是从前前一家人也是这个样子摆设的,从前我并不觉得。

之后我才领悟到:这风水是福人居福地,你要是个福人,你住的地方就一定是福地。如果你住的地方不是福地,你也能住成福地,大家知道风水养人,却不知道是人也要养风水,人一住进去,周身气流就会逐渐充斥整个住地,把地养得福德兼备,就跟自己一模一样的,住地就是你的形,这就是俗话说的“物是主人形”。你要住福地,先要好好积德,你积下福德,自己很自然的就能养风水。


ภายหลัง คนในบ้านนี้ย้ายไปอยู่ที่อื่น ครอบครัวใหม่ย้ายเข้ามาแทน ฉันยังคงผ่านไปดู

การตกแต่งประดับบ้านก็คงเหมือนเก่า แต่ว่าบรรยากาศกลับไม่เหมือนก่อน

นั่นคือมีความเยือกเย็น มืดมัวมาก ฉันอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็ต้องรีบไป

ถ้ายังไม่รีบไป ฉันจะเห็นลมที่พัดผ่านตัดกัน (ภายหลังจึงรู้ว่าลมแบบนี้เรียก ลมไร้ปราณี) - - - -

ครอบครัวก่อนก็ประดับตกแต่งแบบนี้ แต่ฉันกลับไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้


ภายหลังฉันจึงตระหนักรู้ว่า ฮวงจุ้ยนี้จะดีขึ้นอยู่กับบุญกุศลของผู้ที่อยู่อาศัย

หากคุณมีบุญ ที่ๆคุณอยู่ย่อมคือที่ๆดี หากที่นั้นเป็นที่ไม่ดี คุณไปอยู่ก็จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดี

ทุกๆคนเข้าใจคำว่า ฮวงจุ้ยดูแลคน แต่กลับไม่มีใครเข้าใจคำว่า คนก็ดูแลฮวงจุ้ยด้วย

คนมีบุญเข้ามาอยู่คนเดียว ก็พาให้คนอื่นๆตามมาอยู่เต็มไปหมด เหมือนฝักถั่วที่ขยายออกไป

ดังภาษิตว่า “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าบ้าน” คุณ อยากอยู่ที่ดีๆ ก็ต้องสั่งสมบุญกุศลไว้ก่อน

คุณสั่งสมบุญกุศลจนเป็นอุปนิสัยของตน ก็สามารถจะดูแลฮวงจุ้ยได้เอง


**********************************


ละการทำชั่ว

กระทำความดี




ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลจาก ที่นี่ดอทคอม
80  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / แนะเส้นทาง ไหว้ 8 ศาลเจ้าเอาฤกษ์ตรุษจีน เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2554 10:47:28



เหตุผลที่ต้องไหว้เจ้า 8 แห่ง เพราะว่าเลข 8 หรือที่อ่านตามภาษาจีนว่า "ฝาด" นั้น หมายถึงความร่ำรวย มั่งคั่ง แบบเดียวกับที่คนไทยชอบเลข 9 เป็นพิเศษเพราะออกเสียงตรงกับคำว่า ก้าวหน้า


เริ่มต้นกันที่ "วัดมังกรกมลาวาส" หรือชื่อจีนว่า "วัดเล่งเน่ยยี่" วัดจีนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเยาวราช ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง ตรงกันข้ามกับตลาดเยาวราช วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2414 โดยพระอาจารย์จีนวังสมาธิวัตร (สกเห็ง) ภายในวัดนี้มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปสีทองแบบจีน มีวิหารอยู่ด้านหน้า ประดิษฐานรูปท้าวจตุโลกบาลเป็นรูปหล่อเขียนสี แต่งกายแบบนักรบจีน และยังมีรูปปั้นของเทพเจ้าตามความเชื่อในลัทธิเต๋าและเทพเจ้าพื้นเมืองอื่นๆ ของจีน นอกจากนั้นยังมีวิหารอีก 3 หลัง คือวิหารอวโลกิเตศวร ประดิษฐานรูปเจ้าแม่กวนอิม วิหารปฐมบูรพาจารย์ ประดิษฐานรูปเหมือนของพระอาจารย์จีนวังสมาธิวัตร และวิหารสังฆปรินายก ประดิษฐานเซียนหลักโจ้ว ซึ่งเป็นหมู่เทพซึ่งเชื่อกันว่าจะให้ความคุ้มครอง ช่วยในเรื่องสุขภาพ การค้า และความรักได้ด้วย

จากวัดมังกรฯ เดินไปในตลาดเยาวราชเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังตรอกเล็กๆ ที่ชื่อว่าตรอกอิสรานุภาพ เพื่อไปยังศาลเจ้าเล่งบ้วยเอี้ย ศาลเจ้าที่เก่าแก่อีกแห่งหนึ่งในเยาวราช ตามประวัติศาลเจ้านี้สร้างขึ้นก่อน พ.ศ.2201 หรือตรงกับสมัยอยุธยาตอนกลาง ที่ศาลเจ้าแห่งนี้มีเทพเจ้าเล่งบ้วยเอี้ย เป็นที่เคารพสักการะของชาวจีนทั้งหลาย ที่นี่คน นำผ้าแดงเขียนชื่อ-นามสกุล หรือสิ่งที่ต้องการขอ แล้วจึงนำไปผูกไว้ขาโต๊ะบูชา เพื่อเป็นการฝากตัวเองหรือญาติมิตรไว้ให้เทพเจ้าเล่งบ้วยเอี้ยคุ้มครองดูแล

จูดต่อไปคือตลาดเก่าเยาวราชเพื่อไปไหว้ศาลเจ้าพ่อกวนอูและเทพเจ้าม้า เทพเจ้ากวนอูนั้นเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรม ปัญญา และสัจจะ ส่วนเทพเจ้าม้านั้นก็มีคนนิยมมาไหว้เพื่อขอให้ท่านช่วยในเรื่องของหน้าที่การงาน เชื่อว่าจะได้เป็นเจ้าคนนายคนและมีลูกน้องบริวารที่ดี คนที่มาไหว้เทพเจ้าม้านี้ก็จะไหว้ผักสด เช่นผักกาดหรือผักบุ้ง

ต่อด้วยศาลเจ้าแห่งที่สี่ ที่วัดบำเพ็ญจีนพรต (ย่ง ฮก ยี่) ซึ่งเป็นวัดที่เล็กที่สุดที่อยู่ในเยาวราช อยู่ในตรอกเต๊า มีพื้นที่เท่าๆ กับตึกแถวเพียงห้องเดียวเท่านั้น วัดแห่งนี้เคยเป็นศาลเจ้าร้างมาก่อน ต่อมาได้มีพระจากเวียดนามมาบูรณะจนกลายเป็นวัดบำเพ็ญจีนพรต และได้รับป้ายนามพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 ที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่พระพุทธรูป และพระอรหันต์สิบแปดองค์ที่ทำจากกระดาษ หรือที่เรียกว่า เปเปอร์มาเช่ แต่ดูสวยงามไม่แพ้พระพุทธรูปหล่อ หรือปูนปั้นเลย

ต่อกันที่มูลนิธิเทียนฟ้า ไม่ไกลจากซุ้มเฉลิมพระเกียรติ มูลนิธิแห่งนี้เป็นมูลนิธิแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงมอบทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ พร้อมตู้เก็บพระไตรปิฎก บทสวดมนต์ 2 ตู้ให้กับมูลนิธิแห่งนี้ และปัจจุบันตู้ก็ยังคงตั้งอยู่ 2 ข้างขององค์เจ้าแม่กวนอิมปางประทานพร แกะสลักจากไม้เนื้อหอมแล้วลงรักปิดทอง รูปร่างกำยำล่ำสัน ซึ่งมีประวัติเล่าว่า จริงๆ แล้วท่านเป็นผู้ชาย แต่ไม่สามารถช่วยเหลือสตรีได้ จึงเนรมิตกายเป็นผู้หญิง ผู้ที่มาไหว้มักขอพรให้มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน

ต่อไปยังถนนทรงวาด มีศาลเจ้าเล่าปุนเถ่ากง ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีนแต้จิ๋วอายุ 200 กว่าปี ที่เมื่อมีงานเทศกาลหรืองานสารท ก็จะมีผู้คนจากทั่วสารทิศมากราบไหว้ท่าน เชื่อว่าหากได้สักการะแล้วจะเหมือนมีผู้คอยดูแลทุกข์สุขให้ โดยในอดีตนั้นเรือสำเภาที่มาจากเมืองจีนก่อนจะมาขึ้นที่ท่าเรือตรงนี้จะต้องจุดประทัดบูชาเทพเจ้าเสียก่อน

จากนั้นไปไหว้ศาลเจ้าโจวซือกง ย่านตลาดน้อย เทพเจ้าองค์สำคัญของชาวจีนฮกเกี้ยน และเป็นเทพแห่งหมอยาด้วย รูปปั้นของเทพเจ้าองค์นี้มีลักษณะที่ผิดแปลกจากรูปปั้นอื่น เพราะมีลักษณะสีดำทั้งองค์ ผู้คนนิยมมาไหว้ท่านเพราะมีความเชื่อกันว่าถ้าได้มาไหว้เทพองค์นี้แล้วจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน

และศาลเจ้าแห่งที่แปด ที่สุดท้ายที่ควรไปไหว้กันคือ "ศาลเจ้าไต้ฮงกง" ที่อยู่ตรงกันข้ามกับสถานีตำรวจพลับพลาชัย ศาลเจ้าไต้ฮงกงหรือที่รู้จักกันดีในนามของ มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง เป็นอีกที่ที่มีผู้คนมาทำบุญสะเดาะเคราะห์และต่อดวงชะตาด้วยการบริจาคซื้อโลงศพกันมาก แต่ก่อนที่จะไปทำบุญก็ต้องมากราบไหว้เจ้าไต้ฮงกงกันก่อน ซึ่งตามประวัติท่านเป็นนักบวชที่กลายเป็นเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก




ที่มา ครอบครัวข่าว 3
หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 9
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.886 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 21 สิงหาคม 2566 01:17:51