[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 เมษายน 2567 10:16:54 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 9
81  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / "ประโยชน์ตนสมบูรณ์แล้ว ยังประโยชน์ผู้อื่นต่อไป" หลวงตามหาบัว เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2554 10:08:27

สงเคราะห์...พระเณร กิจสูงสุดในพระพุทธศาสนา ท่านสมบูรณ์แล้วเหมือนพระในครั้งพุทธกาลที่ออกบวชมุ่งปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น หลังจากนั้นท่านก็เมตตาสงเคราะห์โลก

เนื่องจากพระเณรหมู่เพื่อนเคยได้ยินท่านพระอาจารย์มั่นปรารภถึงท่านอยู่เนือง ๆ ว่า "ท่านมหาฯฉลาดทั้งภายนอกภายใน ต่อไปจะเป็นที่พึ่งแก่หมู่คณะได้มาก" ดังนั้น หลังพิธีศพท่านพระอาจารย์มั่นเสร็จสิ้นลง พระเณรหมู่คณะหลายสิบรูป จึงต่างพากันติดตามท่าน เพื่อหวังพึ่งพิงและขอรับคำแนะนำข้ออรรถธรรม และข้อวัตรปฏิบัติจากท่าน ท่านก็ให้การเมตตาอนุเคราะห์แต่นั้นมา จนทุกวันนี้

การเทศนาพระเณร-ฆราวาส ปรากฏออกมาเป็นเทป-หนังสือจำนวนมากโดยแจกเป็นธรรมทานตลอดมา ไม่มีการซื้อขายแต่อย่างใด เฉพาะหนังสือธรรมะภาษาไทยมีจำนวนกว่า ๑๐๒ เล่ม ภาษาอังกฤษกว่า ๘ เล่ม เทปเฉพาะที่มีการบันทึกการเทศนามีหลายพันกัณฑ์

ตอบแทนพระคุณ..มารดา ท่านแนะสอนธรรมะแก่โยมมารดา และให้บวชปฏิบัติธรรม ด้วยหวังอยากให้รู้เห็นและพบความสุขจากธรรมนี้บ้าง จึงจำเป็นต้องตั้งวัดป่าบ้านตาดขึ้นมา ท่านคอยเอาใจใส่ดูแลโยมมารดาทั้งทางด้านร่างกาย พวกปัจจัย ๔ อาหาร หยูกยา ปัจจัยใช้สอยทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งให้คำแนะนำทางด้านจิตใจด้วยจิตภาวนาอย่างจริงจัง ด้วยระลึกพระคุณ แม้โยมมารดาจะสิ้นไปแล้วก็ตาม ท่านก็ไม่เคยลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ โดยทำบุญในวันคล้ายวันเสียชีวิตประจำทุกปีตลอดมา

ในวาระสุดท้ายก่อนหน้าโยมมารดาจะจากโลกไป ท่ามกลางทุกขเวทนากล้าที่พร้อมจะให้สิ้นชีวิตได้ทุกเมื่อ ท่านได้เข้าเยี่ยม และถามอาการ โยมมารดาตอบว่า "ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยก็จริง แต่ใจนั้นใสสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ตลอดเวลา" จึงเป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า โยมมารดาของท่านได้ทรงอริยธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งอย่างแน่นอน นับว่าสมเจตนารมณ์ของท่านที่ได้ทดแทนพระคุณโยมมารดาอย่างเต็มที่

โปรด...ชาวอังกฤษ ฝรั่งชาวพุทธในอังกฤษ มีความสนใจต่อการปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก กราบขออาราธนานิมนต์ให้ท่านเมตตาเดินทางไปโปรด เพื่อบรรยายสอนธรรม ท่านก็เมตตาไปในช่วง ๗-๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๗ โดยมีพระชาวอังกฤษและแคนาดา ที่จำพรรษาอยู่ ณ วัดป่าบ้านตาด ติดตามไปด้วย แม้ระยะต่อมาก็ประสงค์อยากกราบขอนิมนต์ท่านไปอีก แต่ด้วยปัญหาเรื่องสุขภาพและวัยชรา ท่านจึงงดเดินทางไปเทศนาตามสถานที่ต่าง ๆ ในต่างประเทศ

สงเคราะห์...โรงพยาบาล ด้วยเหตุที่ท่านเคยเห็นสภาพคนไข้ ที่ต่างรอความหวังจากหมอ ว่าเป็นสภาพที่น่าสงสารมาก เหมือนคนจนตรอกจนมุม เมื่อวิ่งมาหาหมอ หากไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยที่ดีพอ ก็ก้าวไม่ออกรักษาไม่ได้ และสภาพคนชนบทก็เป็นคนยากจนส่วนมาก การบำบัดรักษาถ้าพอเป็นไปได้ก็ควรให้การรักษาใกล้บ้าน จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากในการเดินทาง ตลอดสถานที่พักอาศัยการกินอยู่หลับนอน

ด้วยเหตุนี้ท่านจึงให้ความเอาใจใส่ต่อสถานพยาบาลต่าง ๆ ตลอดมาแบบเงียบๆ จนถึงขณะนี้ท่านได้สงเคราะห์ช่วยเหลือโรงพยาบาลในจังหวัดต่าง ๆ กว่า ๑๐๐ โรง โดยทั้งก่อสร้างตึกอาคารผู้ป่วย สงฆ์อาพาธ ห้องผู้ป่วย ห้องผ่าตัด ตั้งกองทุนศูนย์พิทักษ์ดวงตา กองทุนสงเคราะห์คนพิการ ซื้อที่ดิน บริจาครถยนต์พยาบาล และเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องเอกซเรย์ อุลตร้าซาวด์ เครื่องตรวจคลื่นหัวใจ เครื่องช่วยชีวิตเด็ก ช่วยหายใจเด็กทารก เครื่องคลอด เตียงทำฟัน ฯลฯ รวมแบ่งเป็นประเภท ๆ ของรายการการสงเคราะห์ รวมแล้วกว่า ๕๐๐ รายการ

สงเคราะห์...หน่วยราชการ การช่วยเหลือหน่วยราชการ ท่านก็เมตตาให้ตามเหตุผลความจำเป็น ตัวอย่างหน่วยงานที่ท่านช่วยเหลือ เช่น กองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดน ๒๔ ค่ายเสณีรณยุทธ์, ตำรวจทางหลวงจังหวัด, สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง, สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท, สถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอภูพาน, สถานีตำรวจภูธรอำเภอน้ำหนาว, ตำรวจสันติบาลจังหวัด, เรือนจำจังหวัด, สถานีรถไฟจังหวัดอุดรธานี

สงเคราะห์...โรงเรียน ท่านเมตตาช่วยด้านอาคารเรียน วัสดุอุปกรณ์ต่าง สื่อการเรียนการสอน และอื่น ๆ ตัวอย่างโรงเรียน ได้แก่ ร.ร.สตรีราชินูทิศ ร.ร.บ้านตาด ร.ร.อุดรธรรมานุสรณ์ ร.ร.หนองแสงวิทยา ร.ร.บ้านดงเมือง ร.ร.บ้านหนองตุ เป็นต้น

สงเคราะห์...ผู้ด้อยโอกาส ตัวอย่างเช่น สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา ปากเกร็ด ท่านอนุเคราะห์ให้ตั้งกองทุนโดยนำดอกเบี้ยออกมาใช้จ้างพี่เลี้ยงจำนวน ๑๒ คน จ่ายเป็นรายเดือนเริ่มแต่ปี ๒๕๓๓ สถานสงเคราะห์อื่น ๆ เช่น บุคคลปัญญาอ่อนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, เด็กหญิงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ทัณฑสถานหญิง กรมราชทัณฑ์ บางเขน ท่านอนุเคราะห์ช่วยก่อสร้างเรือนนอน ๑ หลังมูลค่า ๓ ล้านกว่าบาท ตั้งกองทุนยารักษาโรค ๑ ล้านบาท และเคยช่วยเหลือจ่ายค่าจ้างเลี้ยงดูเด็กรายเดือนอยู่หลายปี (ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ ปัจจุบันไม่ได้ให้แล้ว)

สงเคราะห์...สัตว์ ท่านอนุเคราะห์สัตว์ป่าในวัดอย่างทั่วถึงตลอดมา โดยเข้มงวดกับพระเณรให้ดูแลเรื่องอาหาร(กล้วย ข้าวสาร) น้ำ ไม่ให้ขาดตกบกพร่องแก่สัตว์ เช่น ไก่ป่า กระรอก กระจ้อน กระแต กระต่าย ท่านว่าเรามีปากมีท้องมีหิว เขาก็เช่นกันกับเรา เราต้องเมตตาสงสารเขา เขาเกิดมาตามวิบากวาระแห่งกรรม เขาก็มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา เราเองก็มีโอกาสกระทำผิดพลาดกลายเป็นสัตว์แบบเขาได้ จึงไม่ควรประมาทกัน แต่ให้เห็นใจสงสารกัน ช่วยเหลือสงเคราะห์กันไป

บ้านสัตว์พิการ ซอยพระการุณย์ ปากเกร็ด เป็นสถานที่อาศัยของสัตว์พิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนัข มีจำนวนมากหลายร้อยตัว อื่น ๆ เช่น แมว ไก่ เต่า นก ฯลฯ ท่านช่วยเหลือโดยซื้อที่ดิน ๒ งาน สร้างอาคาร ๓ ชั้นเป็นที่พัก และที่ทำการรักษาสัตว์ที่เจ็บป่วย เช่น สุนัขโดนรถชน เป็นต้น นอกจากนี้ท่านยังช่วยค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ โดยให้เป็นรายเดือน ๆ ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ เป็นต้นมา และสถานที่อีกแห่งหนึ่งคือ บ้านสงเคราะห์สุนัข ถ.พุทธมณฑลสาย ๓ มีสุนัขกว่าสองร้อยตัว ท่านช่วยเหลือขยายที่ดินเพิ่มให้ ๒ แปลง และช่วยเหลือค่าอาหาร ยา และอื่น ๆ เป็นรายเดือน ๆ ละ ๓๐,๐๐๐ บาท

ช่วยชาติ นับแต่ท่านบำเพ็ญกิจของสมณเพศ อันเป็นกิจสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาเรียบร้อยลงแล้ว ท่านก็หันมาให้การสงเคราะห์ด้านธรรมะแก่พระเณร-ฆราวาสมาโดยตลอด ควบคู่ไปกับการบริจาคช่วยเหลือด้านวัตถุสิ่งของ ทั้งจตุปัจจัยไทยทาน แก่ประโยชน์ส่วนรวมตลอด ๔๐ กว่าปีนับแต่ตั้งวัดป่าบ้านตาดขึ้นในปี ๒๔๙๘ ท่านเคยเล่าว่าหากจะนับเป็นมูลค่าน่าจะเป็นหมื่นล้านบาทขึ้นไป เพราะมีเท่าไรไม่เคยเก็บสั่งสมไว้ หากจะนำมาใช้จ่ายในวัดก็เพียงเล็กน้อยตามจำเป็นจริง ๆ เพราะไม่มีกิจการงานก่อสร้างอื่นใด มุ่งเน้นแต่งานด้านจิตภาวนามาโดยตลอด มีการเดินจงกรมนั่งสมาธิเป็นหัวใจสำคัญ สำหรับปัจจัยไทยทานส่วนใหญ่ จึงมุ่งออกช่วยเหลือโลกตลอดมา

ในยามปกติ ท่านก็ให้ความเมตตาสงเคราะห์สังคมชาติบ้านเมือง อยู่อย่างเต็มที่จริงจัง ดังกล่าวข้างต้นโดยย่อเป็นปกติอยู่แล้ว เมื่อถึงยามนี้ เกิดปัญหาหลายด้านหลายทาง ท่านจึงปรารภขึ้นอย่างจริงจังที่จะช่วยชาติไทย โดยช่วยเหลือด้านวัตถุเงินทองอุดหนุนชาติ ให้มีความแน่นหนามั่นคง ท่านว่าแม้การเสียสละช่วยเหลือดังกล่าว จะเป็นการช่วยเหลือปลายเหตุก็ตาม แต่ก็มีความจำเป็น เพราะขณะนี้สมบัติรวมของชาติยังขาดตกบกพร่องอยู่ จึงต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน ต่างเสียสละช่วยกันอุดหนุนครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งอิ่มพอ เหมือนเรารับประทานอาหาร หากยังไม่อิ่มก็เติมเข้าเรื่อย ช้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง ตักเติมเข้าปากจนอิ่ม การเสียสละมากบ้างน้อยบ้างก็เช่นกัน ต่างมีความจำเป็นต้องช่วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า ความสามัคคีกัน ร่วมมือและเสียสละเช่นนี้ ยังเป็นคติตัวอย่างอันดีแก่เด็กและกุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ให้ได้รับเครื่องฝังใจที่ดี ให้รู้จักมีแก่จิตแก่ใจเสียสละซึ่งกันและกัน ไม่เพิกเฉยท้อถอยง่าย ๆ ต่อปัญหาใด ๆ แต่กลับให้มีใจเป็นนักต่อสู้ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เด็กเหล่านี้จะเห็นตัวอย่างนี้ จากพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายในคราวเสียสละครั้งนี้เอง

ท่านกล่าวถึงพระเณรควรแสดงน้ำใจ ออกมาช่วยชาติด้วยเหตุว่า พ่อแม่ของพระสงฆ์อยู่ตามป่าตามเขาบ้าง ในเมืองบ้าง อยู่ทั่วประเทศไทย เวลานี้กำลังตกทุกข์ได้ยากลำบาก ลูกสงฆ์คือลูกมีพ่อมีแม่ ย่อมควรมีเมตตาสงสารพ่อแม่ ด้วยการออกมาช่วยพ่อแม่ของสงฆ์ซึ่งอยู่ในชาติ เมื่อพ่อแม่กำลังตกทุกข์ได้ยากลำบากเข็ญใจ ลูกสงฆ์ทำไมถึงจะใจดำน้ำขุ่นช่วยพ่อช่วยแม่ไม่ได้ การช่วยแม้ไม่มากก็น้อย ควรรู้จักช่วยตามกำลังของตนถึงจะถูก ถึงจะสมกับเป็นลูกศิษย์พระตถาคต ที่มีพระเมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่แก่โลก ดังคำว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง

ท่านกล่าวว่าการช่วยชาติที่แท้จริง ให้ต่างหันมาแก้ไขที่ต้นเหตุ คือ การทรงมรดกธรรมของพระพุทธศาสนา เอาศีลเอาธรรม ความประพฤติดีงาม ด้วยเหตุผลหลักเกณฑ์เข้ามาอุดหนุนจิตใจ จนมีหลักประกันภายในใจ เรียกว่า มีหลักใจ โดยหันกลับมาปรับปรุงตัวเราแต่ละคน ๆ ให้มีความประหยัด ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ด้วยการอยู่การกินการใช้การสอยการไปการมา โดยให้ดูแบบของพระผู้มีหลักเกณฑ์ภายในใจ เป็นแบบอย่างของความประหยัด ของผู้มีหลักเกณฑ์เหตุผล ให้มีธรรมคอยเหนี่ยวรั้งไว้ในใจไม่ให้ถูกลากจูงด้วยกิเลสตัณหาราคะ ด้วยความโลภโมโทสัน จนเลยเขตเลยแดน เหมือนรถที่มีแต่เหยียบคันเร่ง ไม่เหยียบเบรก ย่อมเป็นภัยอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ในที่สุด หากต่างมีการหันมาอุดหนุนทั้งทางด้านหลักทรัพย์ และหลักใจควบคู่กันไป ปัญหาต่าง ๆ ของชาติย่อมทุเลาเบาบางลงเป็นลำดับ ๆ ไป



ที่มา http://www.luangta.com/
82  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ใครขี้ลืม…มาทางนี้มีทางแก้ เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2554 10:02:09



คุณเคยประสบปัญหาเช่นนี้บ้างไหม...
       
       - ลืมสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำ คือมักลืมในสิ่งที่ไม่น่าจะลืม เช่น ลืมปิดน้ำ ลืมปิดไฟ ผิดนัดสำคัญ ลืมว่าต้องไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ซึ่งกว่าจะจำได้ก็เลยกำหนดเวลาชำระเงินไปแล้ว
       
       - ลืมบุคคล คือ การจำชื่อคนไม่ได้ การจำหน้าคนที่รู้จักไม่ได้ ซึ่งอาการลืมบุคคลนี้ บางคนอาจจะจำได้แต่ชื่อ บางคนอาจจะจำได้แต่หน้าตา บางคนอาจจะอาการหนักถึงขั้นที่จำไม่ได้ทั้งชื่อและหน้าตาของคนที่รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีหรือแม้กระทั่งจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยรู้จักคนๆนี้มาก่อน
       
       - ลืมสถานที่ คือ การลืมทิศทาง ไม่สามารถจดจำสถานที่ต่างๆที่ตนเองเคยไปได้ หรือจำไม่ได้ว่ากำลังจะไปที่ไหน
       
       - ลืมบทเรียน ข้อนี้เป็นผลเสียต่อผู้ที่ยังอยู่ในวัยเรียนเป็นอย่างมาก คือ การที่ไม่สามารถจดจำบทเรียนต่างๆที่ตนเองเคยเรียน เคยอ่านหรือเคยพยายามท่องจำ เช่น สูตรคณิตศาสตร์ สูตรวิทยาศาสตร์ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ บางคนเป็นมากถึงขนาดที่พอคุณครูพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ลืมเสียแล้ว
       
       - ลืมเหตุการณ์ที่สำคัญ คือ การลืมเหตุการณ์หรือวันสำคัญต่าง ๆ ในชีวิตที่ควรจดจำ เช่น ลืมวันเกิดของตัวเองหรือของคนในครอบครัว ลืมวันครบรอบงานแต่งงาน
       
       สาเหตุการหลงลืมมีได้หลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุ เรื่องสุขภาพร่างกาย ความเครียดและความวิตกกังวลต่างๆ ปัญหาที่มีมากมายในชีวิตหรือการมีงานหลายอย่างที่ต้องจัดการ ปัญหาการหลงลืมเกิดขึ้นได้กับทุกคน ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นเหตุให้รำคาญใจทั้งกับตนเองและผู้คนรอบข้าง
       
       ผู้เขียนจึงขอนำเสนอวิธีช่วยคนขี้ลืมให้หายลืมแบบง่าย ๆ มาฝาก ดังนี้
       
       1.เขียนโน้ตติดไว้ในที่ ๆ เห็นชัดเจน เช่นที่โต๊ะทำงาน กระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เย็น ทางเดินที่ต้องผ่านบ่อยๆ ในรถ โดยใช้กระดาษโน้ตหรือจะเป็นบอร์ดเล็กๆก็ได้ เลือกขนาดและสีสันที่มองเห็นได้ง่าย วิธีนี้เป็นวิธีเตือนความจำอย่างง่าย ๆ ที่ได้ผลดีมากวิธีหนึ่งและเป็นวิธีแรกๆที่คุณหมอมักแนะนำให้ใช้ปฏิบัติ
       
       2.ฝึกสมองอยู่เสมอ โดยการกระตุ้นให้สมองได้ทำงานและได้ออกกำลังผ่านทางกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นเกมส์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยทำให้สมองได้พัฒนากระบวนการคิดและช่วยฝึกในด้านความจำเป็นอย่างดี
       
       3.เล่นโยคะ ปัจจุบันมีผู้หันมาเล่นโยคะเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากกิจกรรมโยคะจะช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายดีขึ้นแล้ว การควบคุมจังหวะการหายใจเข้าออก ยังช่วยทำให้เกิดสมาธิ ซึ่งมีผลในการช่วยเรื่องของความจำที่ดีด้วย
       
       4.ฝึกภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น การเรียนภาษาเป็นวิธีการพัฒนาความจำได้ดีมากอีกวิธีหนึ่ง เพราะในการเรียนภาษาต่าง ๆ นั้น การใช้ความจำก็มีความสำคัญมาก ทั้งการจำตัวอักษร การจำโครงสร้างไวยากรณ์ฯ ดังนั้นเมื่อเราได้ฝึกเรียนภาษาอื่นจึงทำให้เราได้ฝึกใช้ความจำ ซึ่งการฝึกภาษาต่างประเทศอาจทำโดยการฝึกด้วยตนเอง เช่น ซื้อหนังสือมาอ่าน หา DVDภาพยนตร์หรือเพลงต่างประเทศมาดูและฟัง หรือการฝึกโดยอาศัยผู้อื่น เช่น สมัครเรียนที่โรงเรียนสอนภาษา
       
       5. อย่าทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถ้ารู้ว่าตนเองเป็นคนที่ขี้หลงขี้ลืมและไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไรก็ไม่ควรทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น ท่องหนังสือและดูทีวีไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะทำให้การท่องจำบทเรียนไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร พูดโทรศัพท์ในขณะขับรถ นอกจากอาจจะทำให้หลงทางเสียเวลาแล้ว อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุเพราะขาดสมาธิและไม่สามารถใช้ความระมัดระวังได้อย่างเต็มที่
       
       6.มีสมุดบันทึก คนขี้ลืมทุกคนควรมีสมุดจดบันทึกพกติดตัวไว้เสมอ โดยสามารถจดสิ่งต่าง ๆ ที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นไว้ในสมุดนี้ เช่นงานที่ต้องทำ การนัดหมายในแต่ละวัน ข้อมูลต่าง ๆ ของคนในครอบครัว เพื่อน ลูกค้า เช่น วันเกิด เบอร์โทรศัพท์ หากจำอะไรไม่ได้ก็จะสามารถเปิดดูข้อมูลต่าง ๆ ได้จากในสมุดบันทึกนี้
       
       7.ท่องเที่ยวเพิ่มความจำ การเดินทางท่องเที่ยวเป็นการช่วยกระตุ้นความจำได้ดี เพราะการไปยังสถานที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ การได้พบเจอหรือสัมผัสกับผู้คน อากาศ สถานที่ ๆ เราไม่คุ้นเคยจะทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น สนุกสนาน ช่วยให้สมองเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นวิธีเสริมความจำดีอีกวิธีหนึ่ง เพราะเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ความจำและกระตุ้นให้สมองของเราจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
       
       วิธีแก้ลืมทั้ง 7 ข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโน้ตติดไว้ในที่ ๆ เห็นชัดเจน การฝึกสมองผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เล่นเกมส์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ การเล่นโยคะ การฝึกภาษาต่างประเทศ การระวังที่จะไม่ทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน การมีสมุดบันทึกและการใช้เวลาว่างในการท่องเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และเพิ่มความจำให้กับสมอง เป็นวิธีการง่าย ๆ ที่คุณทุกคนสามารถนำไปใช้ได้อย่างเป็นประโยชน์และเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาการขี้ลืมให้แก่ทุกท่านได้อย่างเป็นผลดีไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน



ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
83  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / นอนหลับกับสมอง เมื่อ: 02 กุมภาพันธ์ 2554 09:47:05




ในความหมายทางกายภาพการนอนหลับ หมายถึง

การที่บุคคลหนึ่งอยู่ในสภาวะที่ไม่รู้สึกตัว แต่สามารถถูกปลุกให้ตื่นได้ด้วยการกระตุ้นประสาทสัมผัส เพราะฉะนั้น ถ้าคุณยังรู้สึกตัวอยู่ หรือคุณไม่รู้สึกตัว และไม่สามารถถูกปลุกให้ตื่นได้ (เช่น ตอนเมา-kate) ก็หมายความว่า คุณไม่ได้นอนหลับ

ระดับของการนอน

การนอนแบ่งได้เป็นสองระดับแตกต่างกัน

ระดับแรก


เรียกว่าการหลับลึก การหลับในระดับคลื่นช้า หรือ การหลับแบบ non-REM การนอนหลับในระดับนี้เป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อน กิจกรรมของสมองส่วนกลางลดน้อยลง อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด ระดับการหายใจ และการใช้พลังงานของร่างกายลดลงจากเวลาปกติประมาณ 30%

ระดับที่สอง เรียกว่า

การหลับแบบ REM (Rapid Eyes Movement- การเคลื่อนไหวของดวงตาขณะหลับ ซึ่งสมองสร้างกระแสไฟฟ้าโวลท์ต่ำ แต่มี activity สูง และสั่งการออกมาให้ดวงตาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว-kate) ซึ่งการนอนหลับในระดับนี้จะมีช่วงของการฝัน และมีการเปลี่ยนแปลงของความดันเลือดและการหายใจ

ผลการศึกษา EEG

(Electroencephalograph-การใช้ electrodes ติดกับหนังศรีษะของผู้นอนเพื่อวัดกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของสมอง-kate) พบว่า ในการนอนหลับระดับนี้ สมองมีกิจกรรมคล้ายกับเมื่อตื่น และการนอนหลับในระดับนี้ ผู้นอนจะรับรู้การกระตุ้นจากภายนอกได้น้อยกว่า (คือ ปลุกให้ตื่นได้ยากกว่านั่นเอง-kate)

การเปลี่ยนระดับการนอนหลับ

ในการนอนหลับ จะมีการเปลี่ยนระดับการหลับทั้งสองระดับไปมาตลอดระยะเวลาของการนอน ในช่วงชั่วโมงแรกของการนอนหลับ จะเป็นการหลับในระดับแรก คือการหลับลึก และต่อมาจะเปลี่ยนเข้าสู่การหลับระดับ REM ซึ่งมีช่วงเวลาสั้นกว่า (ตั้งแต่ประมาณ 5 นาทีขึ้นไป) และเปลี่ยนกลับมาสู่การหลับลึก วนเช่นนี้ตลอดคืน การนอนหลับ 8 ชั่วโมง จะเป็นการหลับในระดับ REM ประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละคน


ที่มา : ที่นี่ดอทคอม
 
84  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / เมตตาบารมี เมื่อ: 28 มกราคม 2554 13:05:05

http://i454.photobucket.com/albums/qq263/hellboyjaa/monk/normal_1.jpg

การทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี หากบำเพ็ญสมาธิจิตจนได้ญาณบารมี และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้ ให้สักแต่ว่าให้เขา ท่านก็ย่อมได้กุศลเรียกว่าไม่มาก และทัศนคติของอาตมาว่าการบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนาบารมีนั้นได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน

แผ่เมตตาจิต
ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม หรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า

อานิสงส์การแผ่เมตตา
ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้


คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )
http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/ 007646.htm

 ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
85  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: ‘ภาวะหัวใจสลาย’ภัยสุขภาพของจริง! เมื่อ: 28 มกราคม 2554 10:08:04
 อกหัก

เป็นโรคน่ากลัวอีกโรคหนึ่งเลยนะคะน้าแม๊ก
พออ่านเจอปุ๊บ รู้สึกกลัวขึ้นมาทันทีเลยล่ะ
เพราะตัวเองค่อนข้างเป็นคนเข้มแข็ง
และจะจัดการกับภาวะเครียดหรืออ่อนแอของจิตใจ
ได้ค่อนข้างดีทีเดียวแหละ (รู้สึกอย่างนั้นนะคะ)

แต่ถ้าเจออะไรที่ทำให้เสียใจ เช่นอกหัก ผิดหวังกับความรัก
หรือเรื่องราวที่คาดหวังมากๆ  จะรู้สึกตัวเองเลยว่าเหมือนโลกทั้งใบ
กำลังทับเราอยู่ >> แบบอาการหนักเวอร์เลยล่ะ  ซึ่งตลอดช่วงชีวิต
ที่ผ่านมาจะเคยเจอแค่ครั้งเดียว แต่ก็หนักหนาสาหัสเอาการ

ชีวิตต่อไปก็ต้องตั้งสติให้มั่น   เรียบเรียงความคิดให้ดีดี
ค่อย ๆ  ก้าวเดินไปอย่างมั่นคงแหละนะคะ 

สิ่งสำคัญคือการ รู้จักปล่อยวาง  การไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป  เป็นเรื่องธรรมดา  ฝึกจิตใจให้มั่นคงไม่
หวั่นไหวกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตเรา และ สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว
ตั้งสติให้ดีดีสิ่งต่างๆ ก็น่าจะดีขึ้นค่ะ

ในความรู้สึกส่วนตัวยังรู้สึกเสมอว่า  ธรรมะ คำสั่งสอนต่างๆ ขององค์
สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถแก้โรคได้ทุกโรคมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
แต่เราต้องนำมาปรับใช้ให้ถูกที่ถูกเวลาค่ะ  *-*
86  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / วัคซีนกตัญญู เมื่อ: 25 มกราคม 2554 19:22:08



แต่ก่อนตอนยังเป็นเด็ก บุพการีพาลูกพาหลานไปรับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ หวังให้เติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ต้องชะงักด้วยความเจ็บป่วย ซึ่งใครต่อใครก็โตมาเป็นคนหนุ่ม-สาวที่แข็งแรงพอควร ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป ความแก่ชรามาเยือนบุพการี ผู้มีพระคุณ แล้วลูกหลานจะมองเมินไม่ดูแลสุขภาพเป็นการตอบแทนได้อย่างไร

'มุมสุขภาพ' เห็นว่า การพาผู้สูงอายุไปรับวัคซีนไอพีดี น่าจะเป็นการดูแลสุขภาพเพื่อตอบแทนบุญคุณได้อย่างดี อย่างที่ชมรมกตัญญูผู้สูงอายุ เปรียบให้เป็น วัคซีนกตัญญู เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ สามารถป้องกันโรคไอพีดี หรือ Invasive Pneumococcal Disease (IPD) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อชนิดรุนแรงจากแบคทีเรีย นิวโมคอคคัส ติดต่อได้จากระบบทางเดินหายใจ การสัมผัส และละอองเสมหะ

โรคไอพีดีมักทำให้เกิดอาการไขขึ้นสูง ปอดติดเชื้อจะมีอาการไอ มีเสมหะ เหนื่อย หายใจลำบาก เมื่อเชื้อเข้ากระแสเลือดทำให้เลือดเป็นพิษ หนาวสั่น และหมดสติ หากรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในสมองจะเสี่ยงเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือฝีในสมอง ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้สูงอายุมีโอกาสเป็นโรคไอพีดีพอๆ กัน แต่ในด้านของผู้สูงอายุจำเป็นเพราะสุขภาพเข้าสู่ช่วงเปราะบาง ควรได้รับการดูแลไม่ต่างไปจากเด็กเล็กๆ ยิ่งถ้ามีโรคหัวใจ ปอด เบาหวาน ไต ยิ่งมีความเสี่ยงสูง

สำหรับการรับวัคซีนไอพีดีในผู้สูงอายุ ควรได้รับเมื่ออายุ 65 ปี จะทำให้ได้รับสารก่อภูมิต้านทาน 23 ชนิด ลดความเสี่ยงติดเชื้อนิวโมคอคคัสได้ 23 สายพันธุ์ รวมทั้งป้องกันโรคปอดบวม ไข้หวัดใหญ่ หรือสามารถป้องกันโรคได้ในระยะ 3-5 ปี.

ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์

87  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ‘ภาวะหัวใจสลาย’ภัยสุขภาพของจริง! เมื่อ: 25 มกราคม 2554 19:15:11

หลายคนชอบบอกว่า หัวใจสลาย เป็นอาการไม่พึงประสงค์ของคนอกหัก ผิดหวังในความรัก ทางการแพทย์ก็ถือว่ามีส่วนถูก เพราะโรคหรือภาวะหัวใจสลาย Broken Heart Syndrome เป็นภัยสุขภาพที่มีอยู่จริง มักเกิดขึ้นกับผู้ที่ผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจสุดๆ เช่น อกหัก ญาติเสีย รวมถึงผ่านเหตุที่ทำให้ตกใจเอาเสียมากๆ ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากผู้หญิงอ่อนแอ อ่อนไหวง่าย และเกิดกับผู้ที่แข็งแรงมากกว่าอ่อนแอ นอกจากนี้ ผู้ที่หัวใจสลายยังมักไม่เคยมีความเครียดมาก่อน

ผู้ที่หัวใจสลาย จะเริ่มมีอาการเจ็บหน้าอก เสมือนเป็นสัญญาณเตือนจากสุขภาพ กรณีที่ไม่นำความผิดปกติไปพบแพทย์ เสี่ยงจะเกิดเจ็บหน้าอกที่รุนแรงขึ้นราวกับถูกบางอย่างกดทับอย่างแรง ร่วมกับหายใจไม่ออก และหมดสติ

อาการดังกล่าวเกิดจากหัวใจด้านซ้ายไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากสมองมีการหลั่งสาร ‘แคทติโคอามีน’ เมื่อเกิดความเครียดมากๆ ทำให้หลอดเลือดหัวใจเกร็งและแข็งตัวทันที เลือดจึงไม่สามารถผ่านไปเลี้ยงหัวใจได้ นานเข้าหัวใจก็ไม่อาจสูบฉีดเลือดได้ตามปกติ นำมาซึ่งหัวใจล้มเหลว

โรคหัวใจสลายจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งที่มีเรื่องสะเทือนใจมากๆ ดังนั้น ผู้ที่เพิ่งรู้ข่าวร้ายจนเกิดช็อกหมดสติ คนใกล้ชิดควรนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที และควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยกดหน้าอก ปั๊มหัวใจ ร่วมกับเป่าลมเข้าปาก แม้ความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากโรคหัวใจสลายจะมีเพียงแค่ 1% แต่ก็ไม่ควรประมาท.



ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์
88  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Re: กรณีการฝึกสมองส่วนกลางของ PMC ปิดตาอ่านหนังสือ เรื่องจริง หรือ กลโกง ? เมื่อ: 22 มกราคม 2554 09:06:51
ติดตามอ่านเรื่องราวต่างๆ ได้เพิ่มเติมที่นี่เลยค่ะ

http://www.2jfk.com/powermind_deal.htm

เห็นมีคนโพสไว้ว่า

ล่าสุดเมื่อกลางเดือน มค.54 หลังจากสื่อ ทีวีหลัก ช่องสามรายการคุณสรยุทธิ์ และ ช่องเก้า รายการบอกเล่าเก้าสิบ คุณกรรชัย กับมดดำนำเสนอ

และหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์และไทยรัฐติดตามเรื่อง­นี้ มานำเสนอ รมต.ศึกษาได้สั่งระงับการสอน และ ให้ ทาง DSI เข้าไปสอบสวนเพิ่มเติมครับ

โดยคุณ  drjfk007
89  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Re: กรณีการฝึกสมองส่วนกลางของ PMC ปิดตาอ่านหนังสือ เรื่องจริง หรือ กลโกง ? เมื่อ: 22 มกราคม 2554 08:50:20
 เหงื่อตก

เป็นนวัตกรรมใหม่ของการสร้างความแปลก
การหาแรงจูงใจที่จะให้คนจ่ายเงินค่าโง่ให้

 ตีหัว คนทำน่าจะถูกเปิดโปงแบบนี้แหละนะ
สมควรแล้วจริงๆ   เวรกรรมมีจริงนะคะพี่น้อง

90  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / เหลือเชื่อ! เลิกกินน้ำตาลกับแป้ง ผอมเลย เมื่อ: 21 มกราคม 2554 10:48:57
 

การลดน้ำหนักให้ได้ 4 - 9 ปอน์ดต่อาทิตย์โดยไม่ต้องมานั่งนับปริมาณแคลลอรี่ที่กินเข้าไป หรือไม่ต้องออกกำลังกายมากมาย อาจดูเกินความเป็นจริง แม้ว่าเราจะเป็นคนที่หมกมุ่นกับการลดความอ้วน และพยายามลดพุงมากแค่ไหน การลดน้ำหนักโดยไม่ต้องทำอะไรดูจะเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ คุณอาจเริ่มต้นมองไปที่ดาราต่าง ๆ ซึ่งมักจะมี trainer ส่วนตัว และดาราหลาย ๆ คนก็ออกหนักสือลดความอ้วนมาให้เราด้วยอ่านกันตาม ที่น่าแปลกก็คือคุณไม่สามารถทำตามดาราเหล่านั้นเพื่อให้มีหุ่นที่ดีดังดาราคนนั้นได้

           หนังสื่อชื่อ The Belly Fat Cure ของ Cruise แนะนำว่าคุณสามารถกินอาหารที่คุณอยากกิน รวมทั้งอาหารขยะอย่างไอซ์ครีม มันฝรั่งทอด ฟิซซ่า หรือแม้แต่ชีสเบอเกอร์ ถ้าคุณควบคุมปริมาณน้ำตาล และคาโบไฮเดรต เพื่อควบคุมระดับอินซูลินของคุณ ข้อมูลนี้อาจฟังดูตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณเคยเรียนรู้มา หนังสือเล่มนี้ยังบอกอีกว่าการลดน้ำหนักนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการนับจำนวนแคลอรี่ที่ได้รับเข้าไป, การกินให้น้อยลง หรือการออกกำลังกายให้เพิ่มมากขึ้น

The Belly Fat Cure อะไรที่คุณกินได้?

            หนังสือเล่มนี้มีตัวอย่างการวางแผนการกิน ซิ่งยังคงเป็นสิ่งสำคัญอยู่ แต่ด้วยทฤษฏใหม่นี้อาจทำให้การกินของคุณสามารถยืดหยุ่นได้มากกว่าเิดิม และคุณสามารถเลือกกินของที่ชอบได้มากขึ้น ตามแผนการกินคุณควรวางแผนกินโปรตีน, ไขมัน และผักต่าง ๆ ที่มีปริมาณน้ำตาล และคาโบไฮเดรตต่ำ อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งเพื่อให้มีความหวาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลธรรมดา หรือน้ำตาลเทียม คุณจะต้องหลีกเลี่ยง ส่วนไวน์, เบียร์, แชมเปจ และ ดาร์ค ชอล์กอแลต ถือว่าโอเค แต่คุณจะต้องไม่กินคอล์กเทล และขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ

                  ตัวอย่างการวางแผนรับประทานอาหาร

                  - อาหารเช้า ไข่ 3 ฟอง, ขนมปังปิ้งเนย 2 แผ่น
                  - ของว่าง ถั่ววอลนัท
                  - อาหารกลางวัน สลัดทูนา และขนมปัง 1 แผ่น
                  - อาหารเย็น ไก่ย่าง กับเสต็ก สลัดผัก


          หนังสือเล่มนี้แนะนำการควบคุมน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำวันละ 8 - 10 แก้วต่อวัน และรับประทานผลไม้สดเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต้องดื่มนมไขมันต่ำ และ น้ำผลไม้ 100% ย ซึ่งการได้รับอาหารแบบนี้จะทำให้พุงของคุณหายไปได้

         โดยทั่วไปแล้วผลไม้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ เพราะประกอบไปด้วยไฟเบอร์ และสารอาหารที่มีประโยชน์ คุณสามารถได้รับสารอาหารจากผัก และผลไม้ เหมือนกับที่ได้จากเนื้อสัตว์ ซึ่งผัก และผลไม้จะมีน้ำตาล และไขมันที่ต่ำกว่า

         หนังสื่อ The Belly Fat Cure มีแนวคิดที่คล้ายกับ Atkins ซึ่งเป็นการเปลี่ยนการได้รับคาร์โบไฮเดรตของร่างกาย ในแต่ละวันผู้ลดน้ำหนักจะต้องได้รับน้ำตาลไม่เกิน 15 กรัมเท่านั้น และจะต้องได้รับไฟเบอร์เข้าไปในร่างกายในปริมาณที่มากพอ นอกจากนี้ปริมาณคาร์โบไฮเดรตไม่ควรจะเกิน 20 กรัมต่อวันเท่านั้น หากคุณสามารถควบคุมระดับน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับคุณก็สามารถที่จะกินอาหารได้หลายอย่างที่คุณต้องการ

         ตามทฤษฎีของ Cruise เขาจะใช้ carb swap หรือการเปลี่ยนระบบคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับ เพื่อให้ระดับอินซูลินถูกควบคุม ซึ่งถ้าคุณมีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย ก็จะทำใ้ห้ระดับอินซูลินในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นไขมัน และไปสะสมอยู่ที่พุงของคุณนั่นเอง นอกจากจะลงพุงแล้วยังทำให้คุณมีริ้วรอย แก่ก่อนวัย ร่างกายอ่อนแออ มีพลังงานต่ำ และ

         ตามทฤษฎีของ Cruise เขากล่าวว่า เพราะว่าไขมัน และโปรตีนไม่ทำให้ระดับอินซูลินเพิ่มขึ้น ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องจำกัดการบริโภคสิ่งเหล่านี้ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่เป็นที่ชอบใจนักสำหรับนักโภชนาการที่พยายามให้ผู้คนหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน เพื่อลดน้ำหนัก และเสริมสร้างสุขภาพ

          หนังสือ The Belly Fat Cure ของ Cruise แนะนำว่าการออกกำลังกายหลัก ๆ นั้นไม่จำเป็นสำหรับการลดความอ้วน! สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำก็แค่ sit up เพื่อให้หน้าท้องของคุณมีกล้ามเนื้อที่ชัดเจนขึ้นมา แต่ไม่ทำน้ำหนักก็จะลดลงอยู่ดี เพียงแต่คุณจะมีหน้าท้องที่ไม่สวยงาม หากคุณต้องการมีหน้าท้องที่สวยงาม ซึ่งมีข้อแนะนำในหนังสือเล่มนี้คุณจะต้องออกกำลังกายหน้าท้องเป็นประจำ 8 นาทีต่อวัน และหากต้องการมีร่างกายที่แข็งแรงคุณควรจะเดินเพื่อออกกำลังกายเป็นเวลา 20 นาทีต่อวัน ซึ่งแนะนอนว่า Cruise กล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ในการลดน้ำหนัก

สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวกับหนังสือเล่มนี้

          ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การลดน้ำหนักแบบนี้เป็นเพียงการล้อเล่น เกินจริงเท่านั้นเอง กล่าวโย Zied ผู้เขียนหนังสือ Nutrition at Your Fingertips ซึ่งหนังสือของ Zied อ้างอิงการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากมาย แต่ก็มีผลวิจัยหลายอย่างก็ไม่ตรงความจริงในปัจจุบันนัก

         แน่นอนว่าข้อมูลของ Cruise ไม่ได้รับการรับรองจากองค์กรวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะระมัดระวังเกี่ยวกับการกินเนื้อ, ไขมัน, และโซเดี่ยม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อหัวใจของคุณ และโรคหัวใจยังเป็นสาเหตุหลักอีกอย่างหนึ่งต่อการเสียชีวิตของคุณที่สหรัฐอเมริกา

        มากไปกว่านี้ระดับอินซูลินในร่างกายยังไม่สามารถควบคุมได้ง่าย Zied มีความเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่กินอาหารมากเกินไป รวมทั้งน้ำตาลด้วย และทุก ๆ คนควรระมัดระวังการกินสิ่งต่าง ๆ ในแต่ละวันรวมทั้งน้ำตาลด้วย

คุณคิดอย่างไร ?

        แม้หนังสือ The Belly Fat Cure ของ Cruise จะสวนกระแสนักวิทยาศาสตร์ และนักวิจารณ์จำนวนมาก โดยกล่าวว่าคุณสามารถกินเนื้อ และไขมันได้ ตราบเท่าที่คุณระวังระดับน้ำตาล และคาร์๋โบไฮเดรต เพื่อควบคุมระดับอินซูลิน การออกกำลังกายไม่จำเป็นซะทีเดียวสำหรับการลดน้ำหนัก ยกเว้นว่าคุณต้องการจะมีหุ่นล้ำดูดีเหมือนนายแบบ หรือนักกีฬา

         ถึงกระนั้นก็ตามมีหลายคนที่กล่าวว่าหนังสือเล่มนี้มันได้ผล ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก internet เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ดูครับ ส่วนจะทำตามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจส่วนตัวของคุณเท่านั้น ที่จะลองหรือไม่ อย่าลืมว่าวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ตามข้อมูลใหม่ทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเวิร์คสำหรับคุณ แต่ก็เป็นไม่ได้เช่นกันว่า มันเป็นเพียงแค่ขยะหนึ่งเล่มเท่านั้นเอง




ที่มา ... www.sp-cosmeticsurgery.com
91  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / ทำไมมุสลิมให้มีภรรยาได้ 4 คน เมื่อ: 21 มกราคม 2554 10:36:41


  เหตุใดศาลนาอิสลามอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่ง ไม่ทราบเป็นการกดขี่ผู้หญิงหรือเปล่า

       คนทั่วไปมักจะรู้จักมุสลิมเพียงสองประการ คือ มุสลิมไม่กินหมู และมุสลิมมีภรรยาได้หลายคน

       ว่าที่จริงการมีภรรยาหลายคนเป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ


      บทบัญญัติของศาสนาส่วนใหญ่ในโลกก็ไม่ได้ห้ามการมีภรรยาหลายคน ศาสนาอิสลามนั้นอนุญาตให้ชายมีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน ภายใต้ข้อแม้ว่าจะต้องสามารถให้ความยุติแก่ผู้หญิงทั้งสี่ได้ ความยุติธรรมในที่นี้ได้แก่ความเท่าเทียมกันในด้านการจ่ายค่าครองชีพ (ค่าอาหาร เครื่องแต่งกาย และที่อยู่อาศัย) ไม่ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนแก่จิตใจของภรรยาคนใดคนหนึ่งต่อหน้าภรรยาคนอื่น ๆ และสามีต้องค้างคืนกับภรรยาแต่ละคนให้เท่า ๆ กัน

        เหตุที่ศาสนาอิสลามอนุญาตไว้เช่นนี้ เพราะอิสลามส่งเสริมให้มีลูกมาก ๆ เพื่อจำนวนมุสลิมจะได้มีมากขึ้น อิสลามคำนึงถึงความจำเป็นของชายที่ปรารถนาจะสืบต่อวงศ์ตระกูล แต่ภรรยาไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้เพราะเป็นหมันหรือป่วย อีกทั้งชายบางคนก็มีความต้องการทางเพศสูง การอนุญาตให้เขามีภรรยาเพิ่มขึ้น (โดยที่เขาต้องเลี้ยงดูผู้หญิงใหม่ได้อย่างยุติธรรมดังกล่าวมาแล้ว) จึงย่อมดีกว่าปล่อยให้เขาไปหาทางออกทางอื่นที่เป็นบาป และอิสลามคำนึงว่าในโลกนี้มีพลโลกหญิงมากกว่าชาย ทำให้หญิงจำนวนมากต้องครองตัวเป็นโสด หากอนุมัติให้เธอแต่งงานกับชายที่มีภรรยาแล้ว ซึ่งสามารถให้ความสุขและความยุติธรรมแก่เธอได้ ย่อมเป็นการดีกว่า

       อย่างไรก็ตาม การอนุญาตให้มีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน เป็นข้อยกเว้นที่เปิดโอกาสให้กระทำได้ แต่มิได้หมายความว่าศาสนาอิสลามจะส่งเสริมให้ชายทุกคนมีภรรยาหลายคน และในหมู่ชาวมุสลิม ชายที่มีภรรยาหลายคนเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็นับว่าน้อยมาก ในอียิปต์กฎหมายอนุญาตให้มีภรรยาได้ไม่เกินสี่คน แต่ปรากฏว่าผู้ที่มีภรรยามากกว่าหนึ่งคนมีเพียง ๒.๗๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

92  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / มหัศจรรย์ร่างกาย ที่คุณอาจไม่เคยรู้ เมื่อ: 21 มกราคม 2554 10:17:41



  เชื่อไหมว่า มีสิ่งมหัศจรรย์ซุกซ่อนอยู่ในตัวเรา! อย่าเพิ่งทำตาโตไป เพราะมันคือเรื่องจริงของร่างกายมนุษย์นี่แหละที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

         ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยสงสัยเกี่ยวกับกลไก และระบบต่าง ๆ ที่ก่อร่างสร้างร่างกายให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ หากแต่ไม่เคยไขข้อข้องใจ วันนี้เรานำคำตอบเกี่ยวกับปริศนาลึกลับที่แฝงเร้นอยู่ในทุกอณูของเรือนกายมาเปิดเผยให้ทราบ อย่างเช่น ทำไมถึงมีรูจมูก 2 ข้าง?


     ยิ่งมีลูกมาก โอกาสที่ลูกจะเป็นผู้ชายยิ่งน้อยลง

      พิสูจน์กันหลายครั้งหลายหนแล้วว่า แม่จะพูดกับทารกหญิงมากกว่าทารกชาย

      มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่ปวดศีรษะ

      หลังจากที่ถูกตัดคอ คุณจะมีสติอยู่ได้อีกราว 1-2 วินาที เพียงพอที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

      นักวิทยาศาสตร์บางท่านนั่งยัน นอนยันว่า อาการหน้าแดงมีแนวโน้มมาจากกรรมพันธุ์

      รู้ไหมว่า เวลาที่เขินหรืออึดอัด ซึ่งทำให้ใครบางคนหน้าแดงนั้น อาจทำให้คนอื่น ๆ หน้าซีดเผือดได้

      การพิสูจน์ความรักจากรูม่านตาที่เบิกกว้าง ใช้ไม่ได้ผล เพราะเวลาที่มองใครด้วยความเกลียดชัง รูม่านตาก็เบิกกว้างเช่นกัน

      ร้องไห้เยอะ ๆ นั่นแหละดี เพราะจะช่วยป้องกันอาการปวดศีรษะ เป็นลมพิษ และอาจรวมไปถึงหัวใจวายด้วย

      ยิ่งคุณหมกมุ่น คุณจะยิ่งกระพริบตาถี่ขึ้น

  ที่เรามีรูจมูก 2 ข้าง เพราะปอดแต่ละข้างของเราใช้งานรูจมูกแยกกัน

      25% ของผู้สูญเสียประสาทรับกลิ่น จะสูญเสียแรงขับทางเพศไปด้วย

     ไซนัสเป็นตัวการที่ทำให้เสียงของคุณ กับเสียงของคนอื่น ๆ ไม่เหมือนกัน

      คุณไม่สามารถหาว ระหว่างที่หลับสนิทได้

      ไม่มีคุณผู้หญิงคนไหนหุบปาก เวลาปัดคาสมาร่า

      มีหลากวิธีที่ทำให้หายสะอึก หนึ่งในนั้นคือ การนำของที่เย็นจัดอย่างก้อนน้ำแข็ง กระป๋อง หรือขวดน้ำอัดลมแช่เย็นจัด ประคบลำคอข้างลูกกระเดือก ความเย็นจะกระตุ้นให้กระบังลมหดเกร็ง

      แพทย์ผิวหนังบางท่านลงความเห็นว่า การนอนหลับด้วยท่าคว่ำหน้า จะทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น

      มนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียว ที่ไม่มีสีที่ฝ่ามือ

      อย่าต่อว่า หากได้กลิ่นเท้าของลูก ๆ เพราะอาการ "เท้าเหม็น" มาจากกรรมพันธุ์

      มีข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ไม่ใช่ผู้ชายเท่านั้นที่ชอบผู้หญิงผมทอง ยุงก็ชอบคนผมทองเช่นกัน

      การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน ทำให้ขนหน้าอกผู้ชายหลุดร่วง

      ถ้าอยากรู้ความกว้างของมือ ก็ให้วัดจากความยาวของนิ้วกลาง

    หน่วย ฟุต ที่เท่ากับ 12 นิ้วนั้น มาจากการวัดความยาวพระบาทของพระเจ้าชาร์เลอมาญ

    มีผู้รู้บอกไว้ว่า อาการเคล็ดขัดยอกจะหายเร็วขึ้น หากคุณไม่บริโภคเกลือ ฯลฯ



          เชื่อได้เลยว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของเรื่องราวที่เรานำมาฝากกันในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่คุณยังไม่เคยรู้ และทึ่งที่ได้รู้






ที่มา ... 247 city magazine
93  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ดูดวง ทำนายทายทัก / 12 ราศีกับอารมณ์ในตัวคุณ เมื่อ: 21 มกราคม 2554 10:01:17
    
   

ลองสังเกตุตัวคุณ หรือคนข้างๆกายของคุณดูกัน ว่าเค้าเกิดในราศีใด แล้วนิสัยใจคอจะเป็นอย่างไร คุณจะได้รู้จักตัวตนของคนข้างกายคุณมากขึ้นด้วย

    ราศีมังกร
         เป็นคนธาตุดินกลาง เปรียบได้กับ ดินในถ้ำหิน จึงทำให้ชาวราศีนี้ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมามากนัก เพราะคุณจะไม่สามารถดูออกได้เลยว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน และถึงแม้เขาจะโมโหปานใดก็ตาม เขาจะไม่ระบายออกกับใครทั้งสิ้นอย่างมากก็บ่นนิดๆหน่อยๆ แล้วก็จะเก็บไว้เองคนเดียว

    ราศีกุมภ์
         เป็นคนธาตุลมเล็ก เปรียบได้กับ ลมที่พัดธรรมดา จึงทำให้ชาวราศีนี้อารมณ์ไม่ค่อยแปรปรวนเท่าไร จึงไม่ค่อยมีปัญหาสำหรับอารมณ์ของชาวราศีนี้ แต่ถ้าเขาโมโหเมื่อไร เขาจะไม่พูดกับคุณเลย และทำหน้าบึ้งใส่คุณอีกต่างหาก

    ราศีมีน         เป็นคนธาตุน้ำใหญ่ เปรียบได้กับคลื่นน้ำในมหาสมุทร จึงทำให้ชาวราศีนี้ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนัก เหมือนราศีมังกร แต่รุนแรงกว่า ซึ่งถ้าจะระบาย ชาวราศีนี้จะระบายเพียงแค่คนรู้จักเท่านั้น แต่เขาจะไม่โกรธแค้นหรือเกลียดคุณแม้ว่าคุณจะทำให้เขาโมโหขนาดไหนก็ตาม

    ราศีเมษ
        เป็นคนธาตุไฟใหญ่ หรือไฟต้นธาตุ เปรียบได้กับไฟของดวงอาทิตที่ร้อนแรง จึงทำให้เขาเป็นคนที่ใจร้อน (โคตร) ซึ่งถ้าเขาโมโหเมื่อไร เป็นได้พังกันไปข้าง

    ราศีพฤษภ
        เป็นคนธาตุดินใหญ่ เปรียบได้กับ ดินของภูเขา จึงทำให้ชาวราศีนี้เป็นคนที่อารมณ์นิ่งมาก ไม่หวั่นไหวง่าย จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอารมณ์เท่าไรนักกับชาวราศีนี้


    ราศีเมถุน

        เป็นคนธาตุลมกลาง เปรียบได้กับ ลมมรสุม จึงทำให้ชาวราศีนี้เป็นคน2อารมณ์ และแปรปรวนค่อนข้างง่าย ซึ่งถ้าชาวราศีนี้กำลังอารมณ์ไม่หรือ อยู่ในช่วงอารมณ์แปรปรวน กรุณาอย่าเข้าใกล้ เพราะเขาจะพาลคุณไปด้วย เหมือนลมมรสุม ที่พัดพาสิ่งของให้ปลิวว่อนแล้ว และบังเกิดฝนตามมา

    ราศีกรกฏ
        เป็นคนธาตุน้ำเล็กเปรียบ ได้กับ น้ำที่อยู่ในบึงทะเลสาบ จึงทำให้ชาวราศีนี้เป็นคนมีอารมณ์ที่บอกได้ชัดเลยว่า จะมาแนวไหน เช่นถ้าเขาโมโห คุณจะสามารถรู้ได้ทันทีว่า เขากำลังโมโหอยู่ จึงไม่ค่อยเป็นปัญหากับคนรอบข้างเท่าไรนัก เพราะคนรอบข้างจะปล่อยให้เขาหายโมโหก่อน แล้วค่อยเข้าไปคุยด้วยได้

    ราศีสิงห์
        เป็นคนธาตุไฟกลางเปรียบ ได้กับไฟในกองเพลิง จึงทำให้ชาวราศีนี้ เป็นคนใจร้อนปานกลางถึงขั้นมาก แต่ไม่ถึงกับโมโหรุนแรงมากเท่ากับราศีเมษ แต่อย่าไปพยายามเติมอารมณ์ของเขาให้โมโหมากขึ้นกว่าล่ะ เพราะเหมือนเป็นการเติมเชื้อไฟเข้าไป อาจทำให้ลุกลามใหญ่โตได้

    ราศีกันย์
        เป็นคนธาตุดินเล็กเปรียบ ได้กับ ดินธรณีธรรมดา จึงทำให้ชาวราศีนี้อารมณ์คงที่ แต่ไม่มากนัก แต่อย่าทำให้เธอโกรธละกัน เพราะเธอจะไม่แยแสคุณว่าคุณจะง้อด้วยวิธีไหนจนกว่าเธอจะคลายความโกรธลงไปได้

    ราศีตุลย์
        เป็นคนธาตุลมใหญ่เปรียบ ได้กับลมพายุ จึงทำให้ชาวราศีนี้เป็นคนที่ แปรปรวนที่สุด ในบรรดา12จักรราศีทั้งหมด เพราะเมื่อใดก็ตามที่ เขาโมโห เขาจะเดินหายไปจากคุณเลยในวันนั้น แต่วันต่อมาเขาจะกลับมาดีกับคุณเหมือนว่าไม่เคยโกรธกันมาก่อนเลยในชาตินี้

    ราศีพิจิก
        เป็นคนธาตุน้ำกลาง เปรีย บได้กับน้ำจากลำธารหรือน้ำตก จึงทำให้ชาวราศีนี้อารมณ์รุนแรงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ประสบอยู่ในตอนนั้น เช่นถ้าคุณทำผิดเล็กๆน้อย ก็อาจจะโกรธไม่มาก แต่ถ้าผิดอย่างใหญ่หลวง ก็ดูฤทธิ์เดชของชาวราศีนี้เอาเองละกัน เพราะราศีนี้อะไรอยู่ใกล้มือไม่ได้ เป็นขว้างใส่หมด ขึ้นชื่อมากในเรื่องกรทำลายเมื่อเธออยู่ในอารมณ์ที่บ้าคลั่ง

    ราศีธนู
        เป็นคนธาตุไฟเล็ก เปรียบได้กับ ไฟจากคบเพลิง จึงทำให้ชาวราศีนี้ อารมณ์ไม่ค่อยรุนแรงเท่าใดนัก แต่เมื่อเขาโมโห อารมณ์เขาก็ออกน่ากลัวหน่อยนึง ไม่ถึงกับขนาดฆ่ากันตาย แต่เขาอาจจะไประบายออกกับ สิ่งอื่นๆมากกว่า เช่นการต่อยกระสอบทรายอะไรพวกนี้แทน





ที่มา ... funny2cu.com

94  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / เครื่องดื่มสำหรับ ประจำเดือนมาไม่ปกติ เมื่อ: 21 มกราคม 2554 09:46:21

เครื่องดื่มแก้วนี้ มีส่วนผสมของ องุ่น ผลไม้ที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้แก่กระบวนการเผาผลาญอาหาร ดีต่อเลือดลม ช่วยขับปัสสาวะ และอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก (หรือสารต่อต้านริ้วรอย พบมากใน องุ่น บลูเบอร์รี แครนเบอร์รี) และกรดทาร์ทาริก ตัวช่วยชะล้างของเสียที่สะสมอยู่ในร่างกาย


บีทรูต มีสรรพคุณในการทำความสะอาดตับและลำไส้ตอนล่าง ดีต่อตับและไต ช่วยบำรุงรักษาเซลล์เม็ดเลือดแดง และเสริมความสามารถในการรับออกซิเจนให้แก่เม็ดเลือดแดงถึง 400 เปอร์เซ็นต์ จึงช่วยทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 บี2 บี6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และสังกะสี



ส่วนลูกพลัม หรือ ลูกพรุน หรือ ลูกไหน ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้ จริง ๆ แล้วเป็นผลไม้ชนิดเดียวกัน เพียงแต่ลูกพรุนคือผลจากการนำลูกพลัมมาตากแห้ง ส่วนลูกไหน ก็เป็นชื่อที่คนจีนเรียกขานลูกพลัมนั่นเอง ในลูกพรุน มีคุณค่าอาหารสูงมาก อุดมไปด้วยไฟเบอร์ (เส้นใย) แมกนีเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี สำหรับสาว ๆ ที่อยากลดน้ำหนักกินลูกพรุนเยอะ ๆ จะดีมาก เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย และยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้ดีชะงัด



ส่วนผสม



-  บีทรูต 1 ถ้วย



-  องุ่นม่วง 1 ถ้วย



-  ลูกพลัม 1 ถ้วย



-  น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย



วิธีทำ



-  นำองุ่นม่วงผ่าครึ่ง ไม่ต้องเอาเมล็ดออก หั่นบีทรูตเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า หั่นลูกพลัมเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ (เป็นเครื่องมือที่ทำงานโดยการขูดผักและผลไม้ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ อย่างรวดเร็ว แล้วทำการหมุนด้วยความเร็วสูง เพื่อแยกส่วนที่เป็นน้ำออกจาก “กาก” โดยส่วนที่เป็นน้ำจะถูกแยกออกไปทางช่องที่ไหลไปสู่แก้วรองรับ ในขณะที่ส่วนของกากจะถูกเก็บไว้ในช่องสำหรับรอการกำจัดทิ้งในภายหลัง) แล้วเสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งป่นคล้ายเกร็ดหิมะ เพื่อเพิ่มความเย็นสดชื่นให้มากยิ่งขึ้น



ฝากไว้!   สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว หากไม่มั่นใจว่าเมนูนี้จะเหมาะสมหรือไม่ หรือมีข้อจำกัดทางด้านร่างกายที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพื่อการมีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง



 



 



ที่มา : ผู้หญิงนะคะ

95  นั่งเล่นหลังสวน / เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว / เคล็ดลับชงกาแฟให้อร่อย เมื่อ: 20 มกราคม 2554 09:08:24



ใครๆ ก็ชงกาแฟได้ แต่กาแฟที่อร่อย ไม่ใช่ใครก็ชงได้ เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยทำให้กาแฟของคุณกลมกล่อมรสดีขึ้น

หากเป็นกาแฟสำเร็จรูปให้นำไปต้มด้วยไฟอ่อนๆ 2 นาที แทนการชงด้วยน้ำร้อน ส่วนแก้วที่จะใช้ดื่ม ก่อนเติมกาแฟลงไปให้นำน้ำร้อนใส่แก้วเอาไว้ก่อนเพื่อให้แก้วร้อน ช่วยรักษาอุณหภูมิของกาแฟไม่ให้เปลี่ยนรสชาติ เมื่อจะเติมกาแฟที่ต้มแล้ว ก็ให้เทน้ำร้อนในแก้วทิ้งไป

เวลารินกาแฟให้รินสูงๆ เพื่อให้อากาศเข้าไปในน้ำกาแฟ จะทำให้รสชาติดีขึ้น ที่สำคัญควรดื่มกาแฟร้อนให้หมดภายใน 20 นาทีหลังชงเสร็จ เพราะถ้าใช้เวลามากกว่านี้กาแฟจะเริ่มไม่อร่อย.



ที่มา จากเดลินิวส์ ออนไลน์
96  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / 18 มกราคม 'วันกองทัพไทย'น้อมรำลึก พระนเรศวรมหาราช ผู้กอบกู้เอกราช เมื่อ: 18 มกราคม 2554 11:45:20


วันที่ 18 มกราคมของทุกปีเป็นวัน “กองทัพไทย” ซึ่งเป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นจอมทัพนำทหารเข้าทำการต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศให้รอดพ้นภัยคุกคามจากภายนอก โดยทรงกระทำยุทธหัตถีอย่างกล้าหาญและได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ปรากฏพระเกียรติยศแผ่ไพศาล เกียรติภูมิของกองทัพไทยเลื่องลือไกล

นอกจากจะเป็น “วันกองทัพไทย” แล้ว ในวันที่ 18 มกราคมของทุกปียังเป็น “วันกองทัพบก” ด้วย เดิมกองทัพบก ได้กำหนดให้วันที่ 25 มกราคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นจอมทัพนำทหารหาญเข้าทำการต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศให้รอดพ้นภัยคุกคามจากภายนอก โดยทรงกระทำยุทธหัตถีด้วยความกล้าหาญและได้รับชัยชนะ กองทัพบกจึงถือเอาเหตุการณ์ดังกล่าวกำหนดเป็น  “วันกองทัพบก” ตั้งแต่ปี 2494

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเปลี่ยนแปลงวันยุทธหัตถีจากเดิมวันที่ 25 มกราคม เป็นวันที่ 18 มกราคมของทุกปี ตามที่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลทางประวัติศาสตร์ใหม่ โดยราชบัณฑิตยสถานและคณะกรรมการเอก ลักษณ์ของชาติ รวมทั้งเป็นไปตามมติสภากลาโหม ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งตำนานและความถูกต้องของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ กองทัพบกจึงถือวันที่ 18 มกราคมเป็น “วันกองทัพบก” ตั้งแต่ปี 2550 เป็น ต้นมา

ทั้งนี้ วันกองทัพบก มีความหมาย อย่างยิ่งต่อกำลังพลของกองทัพบกทุกคนที่จะได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบและหน้าที่รวมถึงความเสียสละที่มีต่อสังคมโดยรวม ที่สำคัญยังเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ ในการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ทรงกอบกู้เกียรติภูมิและอิสรภาพของชาติร่วมกับเหล่าบรรพชน ทำให้ประเทศไทยมีความเจริญมั่นคงตราบจนทุกวันนี้

จะเห็นได้ว่า จากอดีตจนถึงปัจจุบัน กองทัพไทยได้ปรับปรุงโครงสร้างและระบบงานมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไป กองทัพบก กองทัพเรือ และ กองทัพอากาศ จะทำหน้าที่ในการเตรียมกำลังและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อการพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อการพัฒนาประเทศ

หน้าที่ในการป้องกันประเทศ กองทัพไทย ได้จัดกำลังและวางกำลัง เพื่อการปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติตั้งแต่ในยามปกติ โดยมีความพร้อมที่จะปรับระดับการปฏิบัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในทุกรูปแบบ โดยได้มีการตั้งศูนย์บัญชาการทางทหารขึ้นในทุกระดับ เพื่อควบคุมและอำนวย การ การปฏิบัติในการใช้กำลังป้องกันประเทศ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วนการรักษาความมั่นคงของรัฐ กองทัพไทย ได้รับมอบหมายให้มีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ จึงได้สนธิขีดความสามารถที่มีอยู่จากทุกเหล่าทัพ รวมทั้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐ เพื่อเสริมสร้างความสงบสุขและความปลอดภัยของประชาชนในชาติ  อาทิ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวลัก ลอบเข้าทำงานโดยผิดกฎหมาย ส่วนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองทัพไทยได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์สนับสนุนการปฏิบัติให้กับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

จากกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้สภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงเปลี่ยนแปลงไป ภัยคุกคามได้เปลี่ยนรูปแบบและขยายขอบเขตกว้างขวางมากขึ้น ทำให้กองทัพมีความจำเป็นต้องปรับตนเองเพื่อให้สามารถที่จะ เผชิญกับภัยคุกคามดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยกองทัพไทยได้กำหนดทิศทางในภาพรวมของกองทัพในอนาคตไว้ดังนี้

- การปรับปรุงโครงสร้าง การจัดหน่วยและระบบงานให้กะทัดรัด ทันสมัย  มีความคล่องตัว และอ่อนตัว เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติภารกิจได้อย่างหลากหลายโดยสอดคล้องกับสถานการณ์ภัยคุกคามในทุกรูปแบบ ทั้งในปัจจุบันและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

- การพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพลในทุกระดับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยในการปฏิบัติภารกิจทางทหารในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งส่งเสริมคุณภาพชีวิต ขวัญและกำลังใจของกำลังพลและครอบครัวให้สามารถปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้น

- การพัฒนาระบบอาวุธยุทโธป กรณ์และเทคโนโลยีและระบบการบังคับบัญชา การควบคุมและการสั่งการให้มีความทันสมัย สามารถควบคุมบังคับบัญชาและอำนวยการปฏิบัติต่อเหล่าทัพตั้งแต่ยามปกติ เพื่อให้การบริหารงานในสถานการณ์วิกฤติ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

- การพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการเสริมสร้างความไว้วางใจ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ผสมผสานขีดความสามารถ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ในลักษณะบูรณาการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานร่วมกัน

ดังนั้น จึงเป็นที่มั่นใจได้ว่าไม่ว่าในยามสงบ หรือ ยามที่ประเทศชาติประสบกับวิกฤติการณ์และภัยคุกคามในรูปแบบ ต่าง ๆ กองทัพไทย จะยังคงดำเนินงานตามภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบ เป็นกองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นกองทัพของปวงชนชาวไทย และเป็นกองทัพที่มีเกียรติ และศักดิ์ศรีในประชาคมโลก ที่จะยึดมั่นในการดำเนินงาน เพื่อสนองตอบต่อพระบรมราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อปกป้องเอกราช อธิปไตย และความสงบร่มเย็นให้กับประชาชนชาวไทย และผดุงไว้ซึ่งสันติภาพในภูมิภาคและสังคมโลกไว้ตราบนิจนิรันดร์.

..............

สำหรับวันกองทัพบกประจำปี 2554 นี้ กองทัพบกได้จัดกิจกรรมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของอดีตวีรมหากษัตริย์ บรรพบุรุษผู้กล้าหาญ และเหล่าทหารที่ได้เสียสละชีวิต เลือดเนื้อ เพื่อปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยให้ดำรงความเป็นชาติที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นมรดกตกทอดมาถึงทุกวันนี้ รวมทั้งเป็นการย้ำเตือนให้ทหารทุกคนได้สำนึกถึงหน้าที่รับผิดชอบในการพิทักษ์อธิปไตยของชาติ และการสร้างความผาสุกให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนตลอดไป

โดยจะมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น พิธีทางศาสนา ณ กองบัญชาการกองทัพบก พิธีถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 พิธีวางพานประดับพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี พิธีสวนสนามและกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลของหน่วยทหารทั่วประเทศ สำหรับหน่วยทหารในเขตกรุงเทพมหานคร ประกอบพิธี ณ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นประธาน กองทัพบกจึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นเกียรติและรับชมการสวนสนามได้ ณ หน่วยทหารทั่วประเทศ หรือติดตามทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 และสถานีวิทยุในเครือกองทัพบก ซึ่งจะถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 15.00 น.

ส่วนวันที่ 20 มกราคม 2554 เวลา 18.00 น. กองทัพบกกำหนดจัดงานเลี้ยงเนื่องในวันกองทัพบก ณ สโมสรทหารบก (วิภาวดี) โดยเรียนเชิญบุคคลสำคัญร่วมเป็นเกียรติในงาน อาทิ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นายกรัฐมนตรี ประธานองค์กรด้านนิติบัญญัติและตุลาการ อดีตผู้บังคับบัญชาของกองทัพบก คณะรัฐมนตรี และ ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย.




ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์
97  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ หนังสือแนะนำ / Format จิต Delete กรรม ถึงเวลาล้างใจแก้ไขกรรม เมื่อ: 18 มกราคม 2554 11:37:40


Format จิต Delete กรรม ถึงเวลาล้างใจแก้ไขกรรม เล่มนี้ ปิยโสภณ หรือพระศรีญาณโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม9ฯ ผู้เขียน เปรียบไว้ว่าเหมือนตู้เซฟรักษาใจของเราไม่ให้ถูกขโมยไปได้ง่าย เพราะโลกดิจิตอลเป็นยุคที่คนพยายามขโมยหัวใจกันง่ายที่สุด เป็นยุคที่มวลมนุษยชาติกำลังเดินเข้าสู่วงจรโคจรแห่งความเครียด ความโกลาหลวุ่นวาย เช่น ความเครียดที่ถูกอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา พยาบาท ชิงชัง แก้แค้น ห่อหุ้มจนกระทั่งจิตหมดสภาพ ทำให้ดวงจิตของมนุษย์ไม่สามารถทอแสงทะลุออกมาได้

ความหมายทางธรรมถูกสื่อออกมาด้วยภาษาอ่านง่าย สนุก เหมาะกับยุคสมัย เพราะได้เปรียบร่างกายหรือสมองของมนุษย์ให้ทำงานเหมือน Hardware ของคอมพิวเตอร์ จิตใจเหมือน Software ทั้งสองส่วนต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกันจึงจะทำงานได้ Software สำคัญมากเพราะมีหน้าที่ป้องกันข้อมูล เก็บข้อมูล และชำระข้อมูล หรือเรียกง่าย ๆ ภาษาทางคอมพิวเตอร์ว่า Antivirus program เท่ากับศีล คือ ระบบป้องกันไม่ให้คนทำผิด อันมีผลกระทบใจ

Memory เท่ากับ สมาธิ คือระบบเก็บรักษาความคิดและอารมณ์ Format/Delete เท่ากับ ปัญญา การปรับระบบความคิดและอารมณ์ให้หมดไป โดยพิจารณาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือให้รู้เท่าทันต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตว่าทุกชีวิตต้องเป็นเช่นนี้ เวลาพลัดพราก ผิดหวังเป็นธรรมดา ท้อแท้ในคนหรือสิ่งใด จะได้ไม่ต้องทุกข์มาก จนทำร้ายตนเองหรือคนอื่น

ท้ายเล่มมีซีดีเสียงสวดมนต์ บทสวดโพชฌังคปริตร (บทสวดเจริญอายุ รักษาโรคภัยทุกชนิด) บทชุมนุมเทวดา, บทสวดบารมี 30 ทัศ และบทสวดแผ่เมตตา จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ มิลินท


ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์
98  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / 5 ความขี้เกียจที่ผู้หญิงไม่ควรทำ เมื่อ: 17 มกราคม 2554 13:34:00



1. ไม่ล้างเครื่องสำอาง ปัญหาใหญ่ของผู้หญิงหลายคน ที่ชอบอ้างว่าง่วงนอน จึงไม่พิถีพิถันในการล้างใบหน้าให้สะอาด จนกลายเป็นสิวในที่สุด

 

2. ไม่ชอบถอดคอนแทคเลนส์เวลานอน พฤติกรรมนี้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และอาจถึงขั้นตาบอดได้

 

3. ไม่ยอมเคี้ยวอาหารให้ละเอียด พฤติกรรมนี้เป็นการทำร้ายกระเพาะอาหารและลำไส้อย่างแรง

 

4. ไม่เช็ดฝารองชักโครก หลายคนอาจละเลย แต่จงรู้ไว้ว่าฝารองชักโครกเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี ฉะนั้นก่อนใช้ควรเช็ดฝารองชักโกรกทุกครั้ง

 

5. ขี้เกียจถือโทรศัพท์ ชอบเอามาแนบระหว่างลำคอกับบ่า ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวเกิดอาการเกร็ง ผู้ใช้จะรู้สึกปวดคอเรื้อรัง แล้วกลายเป็นเส้นประสาทกล้ามเนื้ออักเสบในที่สุด

 

ดูแลสุขภาพตัวเอง ด้วยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังกล่าว สุขภาพจะได้แข็งแรงนะคะ

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
99  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / คาถารัก เมื่อ: 15 มกราคม 2554 11:32:27

คาถา ในที่นี้ มิใช่มนต์ที่จะเสกเป่าให้คนมารัก มาชอบ แต่เป็นเหมือนแนวทางให้คู่รัก หรือแม้แต่คู่สามีภริยาได้นำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความสุข ความสดชื่นในชีวิตคู่ต่อไป

อ.แรก คือ เอาใจใส่ ธรรมชาติของคนเราไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนพอใจให้มีคนมาเอาใจใส่ต่อตัวเราทั้งสิ้น ยิ่งเป็นแฟนหรือคนใกล้ชิดทำให้ก็ยิ่งทวีความสุขใจ การเอาใจใส่ในที่นี้ นับตั้งแต่การให้ความสนใจไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน ให้ความห่วงหาอาทรอย่างสม่ำเสมอ เอาใจเขามาใส่ใจเรา คอยเอาใจ ช่วยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่เอาแต่ใจตัวหรือเอาแต่ได้ ที่สำคัญคือ ไม่เอาใจออกห่างจนเกิดปัญหาตามมา

อ.ที่สอง คือเอื้อนเอ่ยวาจาดี โดยปกติ คนเรามักจะพูดจากับผู้ที่เราไม่รู้จักด้วยถ้อยคำที่ไพเราะสุภาพ แต่เมื่อสนิทชิดเชื้อกันแล้ว ปรากฏว่าหลายค นมักจะขาดความเกรงใจต่อกัน และบ่อยครั้งก็พูดจากันด้วยคำไม่เหมาะสม ก้าวร้าว ซึ่งจริงๆแล้วไม่ว่าจะสนิทกันเพียงไหน ถ้อยคำที่ไพเราะ อ่อนหวาน สุภาพก็ยังเป็นสิ่งฟังแล้วรื่นหู ให้ความสบายใจ ยิ่งเป็นคำชื่นชมด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือคู่ครอง ย่อมฟังแล้วเกิดความชื่นใจ มีกำลังใจเพิ่มขึ้น ดังนั้น เราจึงควรพูดดีต่อกัน แม้แต่การตำหนิก็ไม่ควรใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หรือดุด่าให้คนฟังเสียน้ำใจ

อ.ที่สาม คือ อดทน การที่คนสองคนจะมาเป็นแฟนหรือกลายมาเป็นสามีภริยากันในอนาคตได้นั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ ความอดทนซึ่งกันและกัน เพราะการที่มาจากคนละครอบครัวอันมีความต่างกันไม่มากก็น้อย ย่อมต้องใช้เวลาศึกษาและปรับตัวเข้าหากัน หากไม่มีความอดทนเพียงพอ ก็อาจจะต้องเลิกรากันไปก่อน ที่จะรู้จักกันดีเสียอีก และเมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว ก็ยิ่งต้องมีความอดทนมากขึ้น เพราะการดำรงชีวิตคู่ยังต้องช่วยกันทำมาหากิน และช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคข้างหน้าอีกมากมาย

อ.ที่สี่ คือ อภัยแก่กันและกัน ในชีวิตของคนเรานั้น ย่อมมีผิดพลาดกันเป็นธรรมดา ดังนั้น การรู้จักให้อภัยทั้งแก่ตัวเอง และคนที่เรารักจึงเป็นสิ่งจ ำเป็น มิฉะนั้นแล้ว เราจะอยู่กันด้วยความกินแหนงแคลงใจต่อกัน หรือโกรธกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีความสุขทั้งคู่ เพราะจิตใจเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ไม่สบายใจ เจ็บใจไม่หาย หรือบางคนก็หาทางแก้แค้น กลายเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันไม่รู้จบสิ้น การให้อภัยจึงเป็นการสร้างความสงบสุข ร่มเย็นให้แก่จิตใจและชีวิตคู่ของเรา

ทั้ง ๔ อ. นี้ เป็นเพียงแนวทางกว้างๆ ที่เชื่อว่าใครปฏิบัติแล้วจะช่วยให้ชีวิตคู่รัก และคู่ครองมีความมั่นคง ยืนยาวยิ่งขึ้น และนอกเหนือไปจาก ๔ อ.ข้างต้นแล้ว สำหรับวัยรุ่น หรือเด็กๆที่ยังอยู่ในวัยเรียน ควรเพิ่ม อ.อดใจ เข้าไปด้วย คือจะรักจะชอบใคร ก็ควรยับยั้งชั่งใจให้ดี เพราะวัยนี้ก็ยังรับผิดชอบตัวเองไม่ค่อยได้ อย่าไปมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เพราะนอกจากจะสร้างปัญหาให้ตัวเอง และครอบครัวแล้ว ยังจะก่อให้เกิดปัญหาสังคมอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคงไม่มีใครปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น แน่นอน
 
  
                  
อมรรัตน์ เทพกำปนาทกลุ่มประชาสัมพันธ์

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
 
 
100  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / เชื่อมั้ยว่า ผู้ชายอ่อนไหวต่อความรักมากกว่าผู้หญิง เมื่อ: 15 มกราคม 2554 10:55:54

ความรักไม่สดใสทำร้ายผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
โรบิน ไซมอน ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยา มหาวิทยาลัย เวก ฟอเรส และ แอน บาร์เรทท์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยา มหาทวิทยาลัยฟอร์ริดา กล่าวว่า จากการศึกษากลุ่มคนวัยหนุ่มสาวจำนวน 1,000 คน อายุ 18-23 ปีที่ยังไม่ได้แต่งงาน พบว่า ในระยะยาวผู้ชายจะเจ็บปวดกับความรักที่เปลี่ยนไปมากกว่าผู้หญิง

จากการศึกษาพบว่า สำหรับหนุ่ม ๆ แล้วคู่รักของเขาคือคนที่สนิทสนมมากที่สุด ในขณะที่ผู้หญิงมักจะมีความสนิทสนมกับครอบครัวหรือเพื่อนมากกว่า นอกจากนั้นผู้ชายจะได้รับประโยชน์จากความรักที่ราบรื่นมากกว่าผู้หญิง

“ภาวะตึงเครียดในความรักอาจมีความเกี่ยวข้องกับสภาวะอารมณ์เปลี่ยนไปในผู้ชาย เนื่องจากมันส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตนเองและการเห็นคุณค่าในตนเอง” นักวิจัยกล่าว

ที่น่าแปลกใจคือ เราพบว่าผู้ชายจะมีปฏิกิริยาต่อลักษณะสัมพันธ์ที่ดำเนินไปมากกว่าผู้หญิง สภาวะตึงเครียดในความสัมพันธ์จะเกี่ยวข้องอย่างมากกับสุขภาพของชายมากกว่าสุขภาพของผู้หญิง

“ผู้ชายและผู้หญิงจะแสดงออกต่อความเศร้าโศกที่แตกต่างกัน ในขณะที่ผู้หญิงแสดงความเศร้าโศกเสียใจออกมาก แต่ในผู้ชายแล้วมันส่งผลกระทบไปเสถียรภาพด้านอื่น ๆ แทน” นักวิจัยกล่าว




ที่มา UPI.com

หน้า:  1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 9
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.613 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มกราคม 2567 12:22:04