[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 06:58:02 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 10
 31 
 เมื่อ: 24 เมษายน 2567 04:12:31 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
หัวจะปวด ลูกใครหลงมา หยิบของกินไม่จ่าย แอบลงไปแช่น้ำในถังร้านก๋วยเตี๋ยว
         


หัวจะปวด ลูกใครหลงมา หยิบของกินไม่จ่าย แอบลงไปแช่น้ำในถังร้านก๋วยเตี๋ยว" width="100" height="100  เด็กพลัดหลง หยิบของกินในร้านสะดวกซื้อไม่มีเงินจ่าย เดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยว ปีนลงไปแช่ในถังน้ำทั้งตัว


         

https://www.sanook.com/news/9339226/
         

 32 
 เมื่อ: 24 เมษายน 2567 01:35:16 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
พ่อ-ย่าใจสลาย ด.ช. 2 ขวบ อาจต้องถูกตัดเท้าขวา ช็อกจุดเริ่มต้นจากพาไปตลาด
         


พ่อ-ย่าใจสลาย ด.ช. 2 ขวบ อาจต้องถูกตัดเท้าขวา ช็อกจุดเริ่มต้นจากพาไปตลาด" width="100" height="100  เด็กชาย 2 ขวบ ไปตลาดกับคุณย่า กลับมาบ้านมีไข้-เท้าขวาบวม รู้ผลวินิจฉัย พ่อถึงกับใจสลาย อาจถึงขัั้นต้องตัดเท้าขวาเพื่อรักษาชีวิต
         

https://www.sanook.com/news/9339046/
         

 33 
 เมื่อ: 23 เมษายน 2567 23:00:52 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถอดป้ายชื่อ "บิ๊กโจ๊ก" ออกจากหน้าห้องทำงาน
         


สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถอดป้ายชื่อ "บิ๊กโจ๊ก" ออกจากหน้าห้องทำงาน" width="100" height="100  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถอดป้ายชื่อ "บิ๊กโจ๊ก" ออกจากหน้าห้องทำงาน ในเว็บไซต์ไม่มีชื่อในทำเนียบ รอง ผบ.ตร.
         

https://www.sanook.com/news/9338878/
         

 34 
 เมื่อ: 23 เมษายน 2567 20:29:34 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
"ช่วยตัวเอง" เวลาไหนดีกับร่างกายมากกว่า หมอเผยคนส่วนใหญ่ชอบเข้าใจผิด
         


"ช่วยตัวเอง" เวลาไหนดีกับร่างกายมากกว่า หมอเผยคนส่วนใหญ่ชอบเข้าใจผิด" width="100" height="100  แพทย์เผย "ช่วยตัวเอง" ตอนไหน ดีกับร่างกายที่สุด หลายคนยังเข้าใจผิด
         

https://www.sanook.com/news/9338718/
         

 35 
 เมื่อ: 23 เมษายน 2567 18:59:28 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
'ประชาไท' ติดตามคำตอบจาก 'ปธ.องคมนตรี' หลังไม่ปรากฏชื่อลงนามรับสนองฯ ตั้ง 'ประยุทธ์' เป็นองคมนตรี
 


<span>'ประชาไท' ติดตามคำตอบจาก 'ปธ.องคมนตรี' หลังไม่ปรากฏชื่อลงนามรับสนองฯ ตั้ง 'ประยุทธ์' เป็นองคมนตรี</span>
<span><span>user007</span></span>
<span><time datetime="2024-04-23T16:02:51+07:00" title="Tuesday, April 23, 2024 - 16:02">Tue, 2024-04-23 - 16:02</time>
</span>

            <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><ul><li><div class="summary-box"><ul><li>ตัวแทนกองบรรณาธิการข่าวประชาไทยื่นหนังสือทวงถามคำตอบจาก 'ปธ.องคมนตรี' หลังยื่นถามไปเมื่อ 4 เดือนก่อน กรณีไม่ปรากฏชื่อลงนามรับสนองฯ ตั้ง 'ประยุทธ์' เป็นองคมนตรี รวมทั้งก่อนหน้านี้อีก 2 คน</li><li>ขณะที่รัฐธรรมนูญมาตรา 11 วรรค 3 ระบุไว้ชัดเจนว่า 'ประธานองคมนตรี เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ' และเมื่อย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 พ.ค.63 ในประกาศแต่งตั้งนุรักษ์ มาประณีต เป็น องคมนตรี ยังปรากฏชื่อ พลเอก สุรยุทธ์ เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ อยู่</li></ul></div></li></ul><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53672128337_4cca0f54ff_b.jpg" width="771" height="1024" loading="lazy"></p><p class="picture-with-caption">หนังสือที่ประชาไทติดความคำตอบจาก ประธานองคมนตรี</p><p>
23 เม.ย.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 เม.ย.67) เวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบองคมนตรี สำนักงานองคมนตรี เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ตัวแทนกองบรรณาธิการข่าวประชาไท เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ผ่านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามความคืบหน้าและคำตอบที่เคยยื่นหนังสือสอบถามไปเมื่อ 4 เดือนก่อน (22 ธ.ค.66) ถึงเหตุผลที่ไม่ปรากฏชื่อประธานองคมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น องคมนตรี &nbsp;รวมทั้งก่อนหน้านี้อีก 2 คนคือ พลเอก บัณฑิตย์ มลายอริศูนย์ และเกษม จันทร์แก้ว</p><p>สำหรับประกาศแต่งตั้งทั้ง 3 องคมนตรีดังกล่าว ระบุด้วยว่าอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญ 2560 แต่เมื่อพิจารณาตามมาตรา 11 วรรค 3 นั้นกลับระบุไว้ชัดเจนว่าประธานองคมนตรี เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ และเมื่อย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2563 ในประกาศแต่งตั้งนุรักษ์ มาประณีต เป็น องคมนตรี ยังปรากฏชื่อ พลเอก สุรยุทธ์ เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ อยู่</p><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53026356616_42bfb17055_o.jpg" width="815" height="230" loading="lazy"></p><p class="picture-with-caption">รัฐธรรมนูญ มาตรา 11 วรรค 3&nbsp;</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นองคมนตรี โดยไม่ปรากฏชื่อผู้รับสนองพระบรมราชโองการ https://prachatai.com/journal/2023/11/107029
‘ประชาไท’ ส่งจม.ถาม ‘สุรยุทธ์’ ปมไม่ปรากฏชื่อลงนามรับสนองฯ ตั้ง ‘ประยุทธ์’ เป็นองคมนตรี และ 2 คนก่อน https://prachatai.com/journal/2023/12/107336
เลขาฯ ครม.แจง 'ประชาไท' ปมประกาศพระราชทานเครื่องราชฯให้ชาวต่างปท.ไม่ปรากฎชื่อผู้รับสนองฯ ถูกต้องแล้ว https://prachatai.com/journal/2024/04/108659</li></ul></div><p>&nbsp;</p><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53026528439_eb29324158_o.jpg" width="654" height="821" loading="lazy"></p><p class="picture-with-caption">เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2563 ในประกาศแต่งตั้งนุรักษ์ มาประณีต เป็น องคมนตรี ยังปรากฏชื่อ พลเอก สุรยุทธ์ เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ อยู่</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53364092268_decbe24493_o.jpg" width="736" height="791" loading="lazy"><p class="picture-with-caption">ประกาศแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่ปรากฏชื่อ พลเอก สุรยุทธ์ เป็นผู้ลงนามรับสนองฯ</p><p>นอกจากสอบถามประธานองคมนตรีกรณีนี้แล้ว เมื่อ 4 เดือนก่อนตัวแทนกองบรรณาธิการข่าวประชาไทยังสอบถามเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกาศพระราชทานเครื่องราชฯให้แก่ชาวต่างประเทศ ไม่ปรากฎชื่อผู้รับสนองพระบรมราชโองการเหมือนก่อนหน้านั้น โดยเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา สารบรรรณกลาง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่งหนังสือ &nbsp;เลขที่ นร0508/ท1747 ผ่านอีเมล saraban@soc.go.th มายังบรรณาธิการบริหารประชาไท ยืนยันว่า ประกาศพระราชทานเครื่องราชฯที่ไม่ปรากฎชื่อผู้รับสนองพระบรมราชโองการดังกล่าว ถูกต้องแล้ว พร้อมยืนยันว่าเป็นพระราชอํานาจ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 9</p><p>ทั้งที่ก่อนหน้านั้นจะออกเป็นประกาศสำนักนายกฯ โดยมีนายกฯ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการนาม เปลี่ยนมาเป็นพระบรมราชโองการ 3 ฉบับล่าสุด ที่ไม่ปรากฎชื่อผู้รับสนองพระบรมราชโองการ &nbsp;
&nbsp;</p></div>
      <div class="node-taxonomy-container">
    <ul class="taxonomy-terms">
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" hreflang="th">ข่าhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87" hreflang="th">การเมือhttp://prachatai.com/category/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87" hreflang="th">ไม่มีผู้ลงนามรับสนอhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C" hreflang="th">สถาบันกษัตริยhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%88" hreflang="th">พระราชอำนาhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3" hreflang="th">ลงนามรับสนองพระบรมราชโองกาhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%8C-%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C" hreflang="th">สุรยุทธ์ จุลานนทhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" hreflang="th">องคมนตรhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%8C-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B2" hreflang="th">ประยุทธ์ จันทร์โอชhttps://prachataistore.net</div>
     
 

http://prachatai.com/journal/2024/04/108944
 

 36 
 เมื่อ: 23 เมษายน 2567 17:58:56 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
"เบลล่า" แฟนใหม่? หนุ่มตี๋โปรไฟล์ไม่ธรรมดา ทายาทหมื่นล้านเครือระดับประเทศ
         


&quot;เบลล่า&quot; แฟนใหม่? หนุ่มตี๋โปรไฟล์ไม่ธรรมดา ทายาทหมื่นล้านเครือระดับประเทศ" width="100" height="100&nbsp;&nbsp;จับตาความสัมพันธ์ เบลล่า กับนักธุรกิจหล่อหน้าตี๋ บอกเลยโปรไฟล์ไม่ธรรมดาจริงๆ
         

https://www.sanook.com/news/9338614/
         

 37 
 เมื่อ: 23 เมษายน 2567 16:11:41 
เริ่มโดย ใบบุญ - กระทู้ล่าสุด โดย ใบบุญ


ภาพถ่ายทางอากาศแทบไม่สื่อถึงขนาดที่แท้จริงของซีบันเชในคาบสมุทรยูกาตานของเม็กซิโก ไลดาร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์
ที่ลบเรือนยอดไม้ออกด้วยเทคนิคดิจิทัล แสดงภาพเมืองมายาแห่งนี้ที่แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่ถึง 20 ตารางกิโลเมตร


กระถางที่ใช้เผายางไม้ในพิธีกรรมต่างๆ ทำเป็นภาพเทพเจ้าแห่งยมโลกของชาวมายา พบที่โฮลมุล เมืองโบราณมายา ในกัวเตมาลา

อาณาจักร ” มายาโบราณ ” ที่ซ่อนในป่าหลายร้อยปี ด้วยเทคฯ สุดล้ำ!

โลกที่ชาวมายาโบราณ สร้างขึ้นซุกซ่อนอยู่กลางผืนป่ามาหลายร้อยปี ตอนนี้เทคโนโลยีปฏิวัติวงการกำลังเผยความยิ่งใหญ่ และความซับซ้อนอันน่าตื่นตะลึง

สองนักโบราณคดี ซึ่งเป็นนักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิกทั้งคู่ ใช้เวลารวมกันหลายสิบปีทำงานในผืนป่าของอเมริกากลาง ความร้อนและความชื้นสาหัสสากรรจ์ รวมถึงการเผชิญสัตว์ป่าอันตรายและโจรติดอาวุธ คือส่วนที่แยกไม่ออกจากการค้นพบขุมทรัพย์ของโลก มายาโบราณ อารยธรรมที่รุ่งเรืองอยู่หลายพันปีก่อนจะอันตรธานไปอย่างเป็นปริศนา ใต้ผืนป่าอันรกชัฎ

ด้วยเหตุนี้ จึงดูเหมือนเป็นเรื่องย้อนแย้งที่การค้นพบครั้งใหญ่ที่สุดของพวกเขาจะเกิดขึ้นตอนนั่งล้อมวงหน้าคอมพิวเตอร์ที่สำนักงานติดแอร์ในนิวออร์ลีนส์ ขณะที่เพื่อนร่วมงานของเขา ฟรันซิสโก เอสตราดา-เบลลี มองอยู่ มาร์เชลโล กานูโต จากมหาวิทยาลัยทูเลน เปิดภาพถ่ายทางอากาศของป่าผืนหนึ่งทางเหนือของกัวเตมาลา ตอนแรกหน้าจอไม่แสดงภาพอะไรนอกจากยอดไม้ แต่ภาพนี้ถ่ายด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ (LIDAR ย่อมาจาก Light Detection And Ranging) โดยอุปกรณ์ไลดาร์ที่ติดตั้งบนเครื่องบินจะยิงเลเซอร์ลงมานับพันๆ ล้านครั้ง จากนั้นจึงวัดส่วนที่สะท้อนกลับมา เลเซอร์พัลส์เพียงน้อยนิดที่ทะลุทะลวงหมู่ไม้ลงไปให้ข้อมูลมากพอจะประกอบรวมเป็นภาพของพื้นป่าเบื้องล่างได้

ด้วยการคลิกเมาส์ไม่กี่ครั้ง กานูโตก็ลอกพืชพรรณออกด้วยวิธีดิจิทัลเพื่อเผยให้เห็นภาพสามมิติของพื้นดิน ภูมิภาคห่างไกลจากศูนย์กลางประชากรใดๆ ที่พวกเขามองอยู่นั้นเคยเชื่อกันว่าไม่มีผู้อาศัยเป็นส่วนใหญ่ ต่อให้เป็นช่วงที่อารยธรรมมายาเจริญถึงขีดสูงสุดเมื่อกว่า 1,100 ปีก่อนก็ตาม

แต่ทันใดนั้น สิ่งที่เคยดูเหมือนเชิงเขาทั่วไปกลับเต็มไปด้วยร่องรอยทั้งที่เกิดจากอ่างเก็บน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น พื้นที่เพาะปลูกแบบขั้นบันได และคลองชลประทาน สิ่งที่เคยปรากฏเป็นภูเขาลูกเล็กๆ ที่จริงคือพีระมิดขนาดใหญ่ ด้านบนเป็นอาคารประกอบพิธีกรรม ชุมชนหลายแห่งที่นักโบราณคดีหลายรุ่นสันนิษฐานว่าเป็นเมืองหลวงของภูมิภาคกลับเป็นแค่ย่านชานเมืองของมหานครยุคก่อนโคลัมบัสที่ใหญ่โตกว่ากันมากและไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่ เชื่อมถึงกันด้วยทางหลวงเรียบยกระดับ

ทอมัส แกร์ริสัน หุ้นส่วนโครงการผู้เห็นข้อมูลนี้ในช่วงเวลาเดียวกัน ตั้งข้อสังเกตว่า “ผมคิดว่าเรากำลังรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนที่นักบินอวกาศมองผ่านกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลครั้งแรก และได้เห็นว่า ห้วงอวกาศว่างเปล่าทั้งหมดเหล่านั้นจู่ๆ ก็เต็มไปด้วยดวงดาวและดาราจักรครับ นี่คือผืนป่ากว้างใหญ่ที่ทุกคนคิดว่าเกือบจะว่างเปล่า แต่แล้ว พอลอกต้นไม้ออกไปก็เห็นร่องรอยของมนุษย์อยู่ทุกหนแห่ง”

การใช้ไลดาร์กำลังปฏิวัติงานโบราณคดีมายา ไม่เพียงนำนักวิจัยไปสู่ตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นไปได้ แต่ยังเอื้อให้พวกเขาเห็นภาพใหญ่ของภูมิทัศน์โบราณ การสำรวจด้วยไลดาร์หลายสิบครั้ง รวมถึงโครงการสำคัญเมื่อปี 2018 ที่เปิดตัวในนิวออร์ลีนส์โดยได้ทุนจากมูลนิธิเพื่อวัฒนธรรมและมรดกธรรมชาติของกัวเตมาลา หรือปากูนัม (Pacunam) พลิกภาพจำที่ยึดถือกันมายาวนานของอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในภูมิภาคที่น่าอยู่น้อยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไปแล้ว




สมาชิกทีมขุดสำรวจ คลารา อะเล็กซานเดอร์ ตรวจสอบหลุมศพใกล้โฮลมุลที่ถูกโจรขุดสมบัติพังเข้าไป
ขณะที่ไลดาร์เปิดเผยให้เห็นวิหาร หลุมฝังศพ และสิ่งปลูกสร้างยุคมายาอื่นๆ ที่ไม่รู้จักก่อนหน้านี้หลายพันแห่ง
 เช่นเดียวกับที่พบหลักฐานการลักลอบขุดค้นอย่างกว้างขวางด้วย

“แทบไม่มีทางพูดเกินความจริงถึงขอบเขตที่ไลดาร์สร้างความตื่นตัวให้วงการโบราณคดีมายาได้เลยครับ” นักโบราณคดีชาวกัวเตมาลา เอ็ดวิน โรมัน-รามิเรซ บอกและเสริมว่า “เราจะต้องออกไปขุดค้นเพื่อทำความเข้าใจผู้สร้างอาคารเหล่านี้เสมอครับ แต่เทคโนโลยีนี้กำลังเผยให้เราเห็นชัดลงไปว่า ต้องขุดที่ไหนและอย่างไร”

ที่ผ่านมา เรื่องสำคัญที่เราค้นพบจากเทคโนโลยีนี้ คือการพลิกแนวคิดที่ว่าพื้นที่ต่ำในดินแดนมายาเป็นภูมิทัศน์ที่มีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง และมีนครรัฐปกครองตัวเองกระจายอยู่ไม่กี่แห่ง การสำรวจด้วยไลดาร์แต่ละครั้งทำให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่า มายาคืออารยธรรมที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันในขอบเขตและความซับซ้อนน่าตื่นตะลึง เป็นมหานครที่ประชากรหลายล้านเป็นเกษตรกร นักรบ และนักสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่พิเศษเกินกว่าที่ใครเคยนึกภาพไว้

สำหรับกัวเตมาลา ซึ่งยากจนทางเศรษฐกิจ แต่มั่งคั่งทางวัฒนธรรมและขุมทรัพย์เชิงนิเวศ การค้นพบเหล่านี้นำมาซึ่งความเป็นไปได้ที่น่าตื่นเต้น แหล่งโบราณคดีใหม่ๆ หลายแห่งอาจกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม เอื้อให้ประเทศกรุยทางทางที่ยั่งยืนออกจากความยากจนได้ แต่สำหรับเอสตราดา-เบลลี และโรมัน-รามิเรซ ตลอดจนนักโบราณคดีและนักอนุรักษ์ชาวกัวเตมาลาอื่นๆ ภาพจากเทคโนโลยีล้ำยุคนี้ยังตีแผ่การพัฒนาที่น่ากังวลมากกว่าด้วย นั่นคือร่องรอยที่เห็นได้ชัดของโจรปล้นสมบัติ คนตัดไม้เถื่อน พวกกว้านซื้อจับจองที่ดิน และพวกลักลอบขนยาเสพติดที่ยึดครองป่าฝนใหญ่อันดับสองที่เหลืออยู่ในทวีปอเมริกา ชาวกัวเตมาลาจำนวนไม่น้อยกลัวว่าพวกเขาอาจแพ้เดิมพันในการเร่งปกป้องภูมิทัศน์และขุมทรัพย์ความเสี่ยงสูงต่างๆ เหล่านั้น









ขุมสมบัติมายาจากหลุมศพที่รอดพ้นเงื้อมมือโจรมาได้สองแห่งมีข้าวของอาทิ ชามระบายสี หน้ากากโมเสกทำจากหยก
หัวลูกศรออบซีเดียนที่นำมาทำใหม่ให้เป็นของประกอบพิธีกรรม


มรดกวัฒนธรรมสำคัญที่สุดส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในเขตสงวนชีวมณฑลมายา (Maya Biosphere Reserve) ซึ่งผนวกรวมทั้งอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่สัมปทานป่าไม้ที่อนุญาตให้ชาวบ้านตัดไม้และเก็บผลิตผลจากป่าอื่นๆได้ เขตสงวนชีวมณฑลซึ่งประกอบด้วยพื้นที่ราวหนึ่งในห้าของกัวเตมาลาเป็นที่อยู่ของเสือจากัวร์และนกมาคอว์แดง รวมถึงนก ผีเสื้อ สัตว์เลี้อยคลาน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ อีกหลายร้อยชนิด

ป่าดิบชื้นในอเมริกากลางแทบไม่เคยเผยความลับที่ฝังอยู่ออกมาง่ายๆ ในช่วงกลางศตวรรษที่สิบเก้า นักเขียนชาวอเมริกัน จอห์น ลอยด์ สตีเวนส์ กับเฟรเดอริก แคเทอร์วูด เพื่อนศิลปินชาวอังกฤษ ออกสำรวจเมืองมายาที่ถูกทิ้งร้างบางส่วนในคาบสมุทรยูกาตานของเม็กซิโก คำบรรยายและภาพวาดพีระมิดและพระราชวังในดงไม้รกเรื้อของทั้งคู่ ดึงดูดนักวิจัยอื่นๆ ให้ตามเข้าไป แต่หลังจากขุดสำรวจอยู่หลายสิบปี นักโบราณคดีก็เจาะหน้าต่างบานเล็กๆ เข้าสู่โลกของมายาได้ไม่กี่บานเท่านั้น

เมื่อปี 2009 นักโบราณคดีสองสามีภรรยา ไดแอนและอาร์เลน เชส ซึ่งปัจจุบันทำงานที่มหาวิทยาลัยฮิวสตัน พยายามลองทำสิ่งใหม่ที่การากอล เมืองโบราณในเบลีซที่พวกเขาขุดสำรวจกันมาตั้งแต่ปี 1985 เครื่องสแกนไลดาร์ที่เดิมใช้ในงานอุตุนิยมวิทยาและติดตามเทห์ฟ้า ได้รับการติดตั้งบนอากาศยานเพื่อช่วยทำแผนที่และสำรวจมากขึ้นเรื่อยๆ









ถ้วยสูงใส่ช็อกโกแลต รูปสลักเทพเจ้าข้าวโพดทำจากหยก และกระดูกต้นขามนุษย์ที่จารึกภาพวาดกษัตริย์มายา
ถูกฝังในหลุมหนึ่ง (ศิลปวัตถุทั้งหมดถ่ายภาพที่ห้องปฏิบัติการโครงการโบราณคดีโฮลมุล, แอนตีกัว, กัวเตมาลา)

“ตอนเริ่มโครงการ เราคิดว่าการากอลเป็นแค่กลุ่มพีระมิดกับวิหารไม่กี่หลังเท่านั้น” อาร์เลน เชส บอกและเสริมว่า “แต่พอใช้ไลดาร์สำรวจพื้นที่รอบนอก เราพบว่าที่จริงแล้วนี่คือเมืองขนาดใหญ่ที่มีการวางผังอย่างละเอียดซับซ้อนครับ”

ข้อค้นพบของทั้งคู่ทำให้นักโบราณคดีคนอื่นๆ ตื่นตัวกับศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ เมื่อปี 2021 การขุดสำรวจที่อิงข้อมูลของปากูนัมให้ผลน่าทึ่งแม้กระทั่งในตีกัล (Tikal) แหล่งโบราณคดีใหญ่ที่สุดของกัวเตมาลา เมืองนี้ใหญ่กว่าที่เคยคิดกันก่อนหน้าอย่างน้อยสี่เท่า และบางส่วนก็ล้อมรอบด้วยคูขนาดใหญ่และกำแพงป้องกันที่ทอดยาวหลายกิโลเมตร สิ่งที่เผยให้เห็นยังมีพีระมิดขนาดใหญ่และกลุ่มสิ่งปลูกสร้างที่เห็นได้ชัดว่าเป็นที่ตั้งของชุมชนจาก เตโอตีอัวกัน มหาอำนาจโบราณที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกกว่า 1,250 กิโลเมตร

“การพบโบราณสถานสำคัญใหม่ๆ ใจกลางตีกัล ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีการศึกษาอย่างกว้างขวางครอบคลมที่สุดแห่งหนึ่งในพื้นที่มายา ตอกย้ำว่าไลดาร์กำลังเปิดประตูบานใหม่ๆ” โรมัน-รามิเรซ ผู้อำนวยการโครงการโบราณคดีตีกัลใต้ บอกและเสริมว่า “เรากำลังค้นพบหลายสิ่งที่เราไม่มีทางนึกภาพออก แม้กระทั่งตอนที่เราเดินอยู่บนนั้นก็ตาม”

เรื่อง ทอม ไคลน์ส
ภาพถ่าย รูเบน ซัลกาโด เอสกูเดโร
แปล ศรรวริศา เมฆไพบูลย์

NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับภาษาไทย

 38 
 เมื่อ: 23 เมษายน 2567 15:26:11 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
สองหล่อ "น้องนพ - น้องออก้า" ลูกชายแม่นาเดีย-แม่จูน เพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก
         


สองหล่อ &quot;น้องนพ - น้องออก้า&quot; ลูกชายแม่นาเดีย-แม่จูน เพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก" width="100" height="100&nbsp;&nbsp;น้องนพ-น้องออก้า สองหนุ่มเพื่อนซี้ ลูกชายแม่นาเดีย-แม่จูน ภาพน่าเอ็นดู แต่วีรกรรมทำแม่ๆ กุมขมับเลย
         

https://www.sanook.com/news/9338162/
         

 39 
 เมื่อ: 23 เมษายน 2567 14:23:12 
เริ่มโดย Kimleng - กระทู้ล่าสุด โดย Kimleng
               
คำให้การขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง

๏ ครั้นต่อมาพระขวัญราชโอรสพระราเมศวรมีพระชนม์ได้ ๑๔ ปี คิดร้ายต่อพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ตั้งซ่องสุมผู้คนไว้เปนอันมาก กิติศัพท์ทราบไปถึงพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ๆ จึงรับสั่งให้เชิญพระขวัญเข้ามาเฝ้าในพระราชวัง แล้วรับสั่งถามว่า เจ้าตั้งซ่องสุมผู้คนจะคิดร้ายต่อเราจริงฤๅ พระขวัญรับว่าการที่ตั้งซ่องสุมผู้คนนั้นจริง แต่ไม่ได้ประสงค์จะทำร้ายต่อพระองค์ ประสงค์จะป้องกันบ้านเมือง พระเจ้าสุริเยนทราธิบดีทรงพระราชดำริห์เห็นอาการพิรุธ จึ่งทรงปฤกษากับข้าราชการทั้งปวง ๆ จึ่งยกบทพระไอยการขึ้นพิพากษาว่า ผู้ที่ตั้งซ่องสุมผู้คนจะประทุษร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดินนั้น ชอบให้เอาตัวไปประหารชีวิตรเสีย พระเจ้าสุริเยนทราธิบดีก็รับสั่งให้เอาตัวพระขวัญไปสำเร็จโทษเสียตามประเพณี ๚

​๏ พระเจ้าสุริเยนทราธิบดีมีพระราชโอรสด้วยพระมเหษีใหญ่ ๓ องค์ องค์ที่ ๑ พระนามว่า สุรินทกุมาร องค์ที่ ๒ พระนามว่า วรราชกุมาร องค์ที่ ๓ พระนามว่า อนุชากุมาร ๆ นี้กล้าหาญดุร้ายมาก วันหนึ่งรับสั่งให้พวกมหาดเล็กเด็ก ๆ ด้วยกันว่ายข้ามแม่น้ำ พวกมหาดเล็กเกรงอาญาก็พากันว่ายไป ที่มีกำลังน้อยจมตายบ้างก็มี กิติศัพท์ทราบถึงพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ๆ ทรงพระพิโรธ รับสั่งให้เอาอนุชากุมารไปสำเร็จโทษเสียดังเด็กที่จมน้ำตายนั้น ๚

๏ แลพระเจ้าสุริเยนทราธิบดีมีราชบุตรอันเกิดด้วยพระสนมอิก ๓ พระองค์ นามว่า เจ้ากุมารอินทร์องค์ ๑ เจ้ากิ่งองค์ ๑ เจ้าติ่งองค์ ๑ ๚

๏ ครั้นต่อมาพระเจ้าสุริเยนทราธิบดีให้สร้างมณฑปพระพุทธบาทมียอดสูง ๒๕ ศอก หุ้มทองแดงลงรักปิดทอง แล้วให้สร้างวัดขึ้นที่ตำบลโพธิ์ช้างล้ม ๒ วัด พระราชทานนามว่า พระอารามบรมกษัตรวัด ๑ ทุพิยารามวัด ๑ ปฏิสังขรณ์พระเจดีย์องค์ ๑ ลงรักปิดทองให้งดงาม พระราชทานนามว่า สุขวัญโพธิเพ็ชรเจดีย์ แล้วให้เอาโลหะทั้ง ๕ มาสร้างพระปฏิมากรองค์ ๑ สูง ๑๖ ศอก พระราชทานนามว่า สยัมภูทุตกามาลี ๚

๏ ในปีนั้นเจ้าเมืองกาญจนบุรีจับได้ช้างเผือกพังช้าง ๑ ช้างเผือกพลายช้าง ๑ นำมาถวาย จึงพระราชทานนามช้างเผือกพังว่า อินทไอยรา พระราชทานนามช้างเผือกพลายว่า บรมจักรบุปผาทันต์ ๚

​๏ พระเจ้าสุริเยนทราธิบดีนี้มีบุญญาภินิหารแลอิทธิฤทธิ ชำนาญในทางเวทมนต์กายสิทธิมาก เวลากลางคืนก็ทรงกำบังพระกายเสด็จประพาศฟังกิจศุขทุกข์ของราษฎร แลทรงตรวจตราโจรผู้ร้ายมิได้ขาด ทรงชุบเลี้ยงคนที่มีเวทมนต์ให้เปนมหาดเล็กใกล้ชิดพระองค์ รับสั่งใช้ให้กำบังกายออกตรวจโจรผู้ร้ายในราตรี ถ้าทรงทราบว่าใครมีเวทมนต์ดีแล้ว ให้มหาดเล็กลอบไปทำร้ายในเวลาหลับ ผู้ใดไม่เปนอันตรายก็ให้พามาเลี้ยงไว้เปนข้าราชการ ผู้ใดที่โอ่อวดทดลองไม่ได้จริงก็ให้ลงพระราชอาญา พระเจ้าสุริเยนทราธิบดีนี้ทรงปืนแม่นหาผู้เสมอยาก นกกาบินร้องมาในเวลากลางคืนก็ยิงถูก เต่าปลามัจฉาชาติในน้ำแต่พอแลเห็นเงาก็ยิงถูก แลทรงชำนาญในทางโหราสาตร รู้คำนวณฤกษ์ยามชตาบ้านเมือง ได้ทรงพยากรณ์กาลอนาคตเปนพระราชนิพนธ์ไว้ดังนี้ว่า น้ำในแม่น้ำแลคลองทั้งปวงจะแดงเปนโลหิต เมฆแลท้องฟ้าจะแดงเปนแสงไฟ แผ่นดินจะไหวโดยมาก ยักษ์แลผีป่าจะเข้าเมือง เสื้อเมืองทรงเมืองจะหลีกเลี่ยง ฤดูหนาวจะเปนฤดูร้อน โรคไภยจะเบียดเบียนสัตว์แลมนุษย์ทั้งปวง โอชาว่านยาแลผลไม้จะถอยรศ เทพยดาที่รักษาพระสาสนาจะรักษาแต่คนพาล พวกที่อยู่ในศีลในธรรมจะถอยยศ มิตรจะกลับเปนศัตรู เมียจะคิดทรยศต่อผัว คนต่ำตระกูลจะทำคนตระกูลสูงให้เสื่อมถอย ศิษย์จะสู้ครู พวกพาลจะมีอำนาจ พวกปราชญ์จะตกต่ำ น้ำเต้าจะจม กระเบื้องจะลอย ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน มนุษย์จะมีอายุสั้นพลันตาย จะเกิดเข้ายากหมากแพง ​ฝูงมนุษย์จะอดอยาก ผีแลเปรตจะปนอยู่กับคน สมณชีพราหมณ์จะร้อนใจ จะเกิดโจรผู้ร้ายแย่งชิงกันชุกชุม ที่ลุ่มจะกลับดอน ที่ดอนจะกลับลุ่ม พระพุทธสาสนาจะเศร้าหมอง คนที่สนุกเฮฮาจะได้ครองสมบัติ คนต่างชาติต่างภาษาจะเข้ามาเปนเจ้านายดังนี้ ๚

(เข้าความฉบับหลวง)

๏ อันพระสุริเยนทราธิบดีเมื่อครั้งนั้น มีทหารคนดีสองคน ชื่อพานศรเพลิงคน ๑ ดำเกิงณรงค์คน ๑ เปนเกณฑ์สำหรับได้อยู่ข้างที่พระองค์ มีวิชาการเชี่ยวชาญชำนาญนักหนา ทั้งอยู่คงกะพันแลล่องหนทั้งอึดใจก็ได้ ทั้งรู้วิชาปืนก็หลักแหลม อันแยบคายปืนกลนี้ดีนักหนา รู้จักที่จึ่งยิงได้ดังใจหมาย ได้ยินแต่เสียงสำเนียงมาก็ยกปืนขึ้นยิงแล้วไม่รู้ผิด ถึงจะแอบจะบังอยู่ให้มิดก็ยิงถูกได้ดังใจ ที่ในว่าไว้นั้น จนแต่จรเข้อยู่ที่ในน้ำก็ยิงให้ตายอยู่กับที่ก็ได้ ยิงให้ว่ายวิ่งอยู่บนน้ำก็ได้ ยิงให้จมไปก็ได้ อันในแผ่นดินพระสุริเยนทราธิบดี อันสองคนนี้เปนยอดทหาร กับเหล่าชาญณรงค์องครักษ์ของพระองค์มีอยู่สองร้อย เปนทหารสำหรับรักษาข้างพระองค์ ครั้นอยู่มาครั้งหนึ่ง จึ่งอ้ายธรรมเถียรบัณฑิต มันทำจริตกิริยาอาการมาให้เหมือนพระขวัญ คือตรัสน้อยใจที่พระองค์ลงโทษ ฝ่ายอาณาประชาราษฎรทั้งปวงนั้น เลื่องฦๅกันว่าพระขวัญนี้มีบุญญาธิการนักหนา ถึงฆ่าเสียแล้วก็ไม่ตาย เพราะเหตุฉนี้อ้ายธรรมเถียรมันจึ่งทำมาให้แทนที่ มันจึ่งติดไฝที่แก้มแล้ว ทำ​เปนพูดจาพาทีให้เหมือน ว่าตัวนี้เปนผู้มีบุญ อันคนในแว่นแคว้นแดนประสักนั้นจงรักภักดีแล้วเข้าอุดหนุนเข้าเกลี้ยกล่อม บ้างก็ยอมลงทุน บ้างก็อุดหนุนตกแต่งให้ทั้งเครื่องอุปโภคต่าง ๆ นา ๆ ด้วยสัญญาว่าองค์ตรัสน้อย แต่เกลี้ยกล่อมได้คนสองพัน จึ่งซ่องสุมพลไว้พระนครหลวง จนแต่หลวงเทพราชาที่รักษาวังอยู่ที่พระนครหลวงนั้น ก็เอาเครื่องสูงเกณฑ์แห่มาได้ครบครัน กับขุนศรีคชกรรม์กองช้างที่อยู่ป่าอรัญญิกนั้น ก็เอาพลายมงคลรัตนาศน์ไปกำนัน ช่างพากันไปด้วยคนร้าย อันอ้ายธรรมเถียรนั้นมันคิดผิดผลที่มันจักตาย แต่งตัวขึ้นขี่ช้างแล้ว แห่แหนมาด้วยอภิรุมชุมสายเปนอันมาก เมื่อยกทัพมากลางทางที่คนรู้ก็ไปเข้าด้วย ลางคนแต่มือเปล่าก็เข้ามาหา ลางคนก็ได้แต่พร้าวิ่งตามไป แล้วจึ่งข้ามศาลาเดิมบ้านทานทุน แล้วจึ่งยกมาตามถนนใหญ่ ครั้นถึงรอจึ่งหยุดพลไว้ ฝ่ายขุนนางข้างในครั้นรู้ก็เข้าไปทูลกับพระองค์ว่า ราชศัตรูเข้ามาถึงรอแล้ว ยังหยุดพลไว้ที่ตำบลอันนั้น ครั้นพระองค์ทราบเหตุก็เสด็จออกมาโดยพลัน พระองค์จึ่งเสด็จขึ้นอยู่บนป้อมมหาไชย จึ่งตรัสห้ามพลทั้งนั้น ว่าใครอย่าออกรบพุ่ง ไว้นักงานกู ตามทีให้มันเข้ามา ครั้นประจุพระแสงปืนแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นยืนอยู่ต่อสู้ อันเหล่าราชศัตรูทั้งนั้น ก็กรูกันข้ามมาตามตะพานใหญ่ จึ่งทรงยิงด้วยพระแสงมหาไชย ก็ถูกอกธรรมเถียรเข้ากระเด็นตกลงไปทันที อันผู้คนทั้งนั้นก็กระจัดพลัดพราย บ้างล้มตายบ้างวิ่งหนี ชาวกรุงจึ่งไล่ตามตีก็จับตัวได้ บ้างวิ่งหนีซุกซนไป ที่เปน​ไพร่ก็ไม่ตาย แต่ตัวนายจึ่งฆ่าเสียให้ถึงแก่มรณา อันพระสุริเยนทราธิบดีนั้นองอาจมีอำนาจนักหนา ทั้งทรงทศพิธราชธรรมมิได้เที่ยวรบพุ่งบ้านเมืองใด จนถึงพระยาสามนต์อันเปนใหญ่อยู่ในกรุงศรีสัตนาคนหุต ก็เลื่องฦๅชาไปว่าพระองค์นี้ตั้งอยู่ในธรรม ทั้งมีฤทธิวิทยาแลอาคม ทั้งพระเดชเดชาก็กล้าหาญนักหนา จึ่งแต่งพระราชธิดา มีพระนามเรียกพระตรัสนายกัลยาณีมาถวาย อันพระบุตรีนั้นมีโฉมประโลมโสภางามนักหนา พระชันษานั้นได้สิบห้าปี กับพระราชสาสนแลเครื่องบรรณาการเปนอันมาก มาถวายด้วยใจจงรักภักดี ทั้งมีสวามิภักดิสมัคสมาคม จักเปนที่พึ่งโพธิสมภารสืบไปเบื้องน่า ครั้นมาถึงจึ่งถวายพระราชธิดา ทั้งเครื่องบรรณาการแลราชสาสน อันพระองค์นั้นก็ทรงยินดีปรีดา จึ่งแต่งรับพระธิดาแล้วตั้งไว้เปนที่มเหษีตามที่ตามเมืองน้อยใหญ่ พระองค์ก็ประพฤติตามโดยดีตามสวัสดีอันเปนธรรมอันดี แต่บรรดาพระยาแสนท้าวเหล่าลาวเมืองล้านช้างซึ่งมาเปนการพระราชไมตรีนั้น แต่บรรดาอำมาตย์ราชเสนาที่มาทั้งสิ้น แลไพร่พลทั้งนั้น ทั้งเหล่าผู้คนข้าไททั้งหญิงชาย อันเปนบริวารของพระบุตรีทั้งสิ้น พระองค์ก็ประทานบำเหน็จรางวัลทั้งเงินทองเสื้อผ้าแลสิ่งของทั้งปวงเปนอันมาก ประทานให้ครบตัวกันทั้งสิ้น แล้วจึ่งตอบเครื่องบรรณาการโดยราชประเพณี ให้ไปกับพระเจ้าล้านช้างเปนอันมาก อันพระราชบุตรีนั้นพระองค์ปลูกตำหนัก แลเรือนหลวงให้อยู่ตามถิ่นตามฐาน จึ่งเรียกว่าเจ้าตำหนักใหม่ อันบรรดาสมัคพรรคพวกผู้คนข้าไทของพระบุตรีทั้งสิ้น พระองค์ให้​ถิ่นฐานเย่าเรือน ทั้งวัวควายไร่นาแลเรือกสวน อันที่บ้านนั้นเรียกว่าม่วงหวาน ครั้งนั้นพระเกียรติยศปรากฎฟุ้งเฟื่องเลื่องฦๅไปทุกประเทศเขตรขัณฑ์ ก็ชื่นชมพระสมภารของพระองค์ยิ่งนัก อันพระสุริเยนทราธิบดีนั้น พระองค์พอพระไทยเล่นกาพย์โคลงฉันท์ ทั้งพระราชนิพนธ์ของพระองค์ก็ดี จึ่งมีมหาดเล็กคนหนึ่งเปนนักปราชญ์ช่างทำกาพย์โคลงฉันท์ดีนัก พระองค์โปรดปรานแล้ว พระราชทานชื่อเสียงเรียกว่าศรีปราชญ์ เปนผู้สำหรับได้ทำโคลงหลวง ครั้นอยู่มาศรีปราชญ์นั้น ทำโคลงให้กันกับพระสนมข้างใน ครั้นพระองค์ทราบก็ทรงพระโกรธ แต่ไม่ลงโทษทัณฑ์ จึ่งส่งไปไว้เมืองนคร ศรีปราชญ์จึ่งต้องไปอยู่เมืองนครตามรับสั่ง ศรีปราชญ์จึ่งไปทำโคลงให้กันกับภรรยาน้อยเจ้าเมืองนคร ครั้นเจ้าเมืองนครรู้ไปว่าศรีปราชญ์นี้ ทำโคลงให้กันกับเมียน้อยของตัวนั้น จึ่งขึ้งโกรธแล้วจึ่งเอาตัวศรีปราชญ์ไปฆ่าเสีย เมื่อจักฆ่าศรีปราชญ์นั้น ศรีปราชญ์จึ่งว่าเรานี้เปนนักปราชญ์หลวง แล้วก็เปนลูกครูบาอาจารย์ แต่องค์พระมหากษัตรยังไม่ฆ่าเราให้ถึงแก่ความตาย ผู้นี้เปนเจ้าเมืองนคร จักมาฆ่าเราให้ตาย เราก็จักต้องตายด้วยดาบเจ้าเมืองนคร สืบไปเบื้องน่าขอให้ดาบนี้คืนสนองเถิด ครั้นศรีปราชญ์แช่งไว้ดังนั้นแล้ว ศรีปราชญ์ก็ตายด้วยดาบเจ้าเมืองนคร ที่ศรีปราชญ์แช่งไว้นั้นเปนคำโคลงเขียนลงกับแผ่นดินให้เปนทิพพยาน ​ครั้นอยู่มาพระองค์มีรับสั่งให้เรียกหาตัวศรีปราชญ์ก็ไม่ได้ดังประสงค์ เสนาจึ่งกราบทูลว่าพระยานครฆ่าเสีย อันว่าตัวศรีปราชญ์นั้นบัดนี้ถึงแก่ความตายแล้ว พระองค์จึ่งตรัสถามเสนาว่า ศรีปราชญ์นี้มีโทษประการใดจึ่งฆ่ามันเสีย เสนาจึ่งทูลว่า ศรีปราชญ์ทำโคลงให้กับภรรยาน้อยเจ้าเมืองนคร ครั้นเจ้าเมืองนครรู้ก็โกรธจึ่งฆ่าศรีปราชญ์เสีย พระองค์ก็ทรงพระโกรธแล้วจึ่งตรัสว่า ศรีปราชญ์นี้เปนนักปราชญ์ แล้วก็เปนคนสำหรับเล่นกาพย์โคลงกับกู โทษมันแต่เพียงนี้ แต่กูยังไม่ฆ่ามันให้ตาย อ้ายเจ้าเมืองนครมันไม่เกรงกู มันฆ่าศรีปราชญ์เสียให้ตายมันทำได้ จึ่งมีรับสั่งกับเสนาให้เร่งออกไป แล้วให้เอาดาบเจ้าเมืองนครที่ฆ่าศรีปราชญ์เสียนั้น ฆ่าเจ้าเมืองนครเสียให้ตาย เสนาก็ถวายบังคมลาแล้ว จึ่งออกไปเมืองนคร ครั้นถึงจึ่งเอาดาบที่เจ้าเมืองนครฆ่าศรีปราชญ์เสียนั้น ฆ่าเจ้าเมืองนครเสียตามมีรับสั่ง อันเจ้าเมืองนครนั้นถึงแก่ความตายด้วยพระราชอาญา อันพระสุริเยนทราธิบดีนั้น ได้เสวยราชสมบัติมาช้านาน อันชาวกรุงเทพมหานครทั้งสิ้น แลทั้งอาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็อยู่เปนศุขทั้งสิ้น อันพระสุริเยนทราธิบดีนั้นวันอังคารได้เสวยราชสมบัติมาแต่เมื่อจุลศักราชได้ ๑๐๖๒ ปีมเสงโทศก พระชนม์ได้ ๔๙ ปี อยู่ในราชสมบัติได้ ๗ ปี เปน ๕๖ ปีสวรรคต เมื่อศักราชได้ ๑๐๖๙ ปี ๚

๏ ครั้นพระสุริเยนทราธิบดีสวรรคตแล้ว พระราชโอรสาอันชื่อพระสุรินทรกุมาร อันเปนพระเชษฐานั้น ได้ผ่านพิภพธานี​สืบไป ในเมื่อจุลศักราชได้ ๑๐๖๙ ปีชวดนพศก จึ่งทำราชาภิเศกตามประเพณี จึ่งถวายนามเรียกว่าพระภูมินทราชาก็เรียก พระบรรยงก์รัตนาศน์ก็เรียก ทรงเบ็ดก็เรียก อันพระมเหษีนั้นพระนามเรียกเจ้าท้าวทองสุก จึ่งมีพระราชบุตรแลพระราชธิดาในเจ้าท้าวทองสุกนั้นหกองค์ พระราชโอรสองค์ใหญ่นั้น พระนามเรียกเจ้าฟ้านเรนทร์ ถัดมาชื่อเจ้าฟ้าอไภย แล้วถัดมาชื่อเจ้าฟ้าปรเมศร์ ถัดมาชื่อเจ้าฟ้า ถัดพระกุมาร ๔ องค์ยังพระราชธิดาอิกสององค์ องค์หนึ่งพระนามเรียกเจ้าฟ้าเทพ พระธิดาสุดพระครรภ์นั้น ชื่อเจ้าฟ้าประทุม ในพระครรภ์เจ้าท้าวทองสุกนั้น ทั้งพระราชบุตรีเปนหกองค์ด้วยกัน แล้วมีในพระสนมเอกนั้นองค์หนึ่ง พระนามเรียกพระองค์เชษฐาเปนกุมาร ยังพระราชนัดดาชื่อหม่อมเจ้าเพชหึงกุมาร ยังบุตรี ๔ องค์นั้น ชื่อหม่อมเจ้าฝรั่ง ๑ หม่อมเจ้าปุก ๑ หม่อมเจ้าหงษ์ ๑ หม่อมเจ้าอิง ๑ อันพระราชนัดดาทั้งกุมารแลบุตรีทั้งสิ้น ๔ องค์ด้วยกัน ทั้งพระราชบุตรแลพระราชธิดา ทั้งพระนัดดาสิ้นทั้งเจ้าฟ้าพระองค์เจ้าทั้งสิ้น เปน ๑๑ องค์ด้วยกัน พระองค์จึ่งตั้งพระอนุชา อันชื่อพระวรราชกุมารนั้น ให้เปนที่พระมหาอุปราช อันเจ้าฟ้านเรศร์เชษฐานั้น พระมหาอุปราชขอมาเลี้ยงไว้เปนพระราชโอรส อันสมเด็จพระบิดานั้นเสน่หาในพระราชโอรสสองพระองค์ยิ่งนัก พระองค์หมายจะให้ครอบครองราชสมบัติแทนที่ พระองค์จึ่งสร้างวัดมเหยงค์อารามหนึ่ง จึ่งสร้างพระพุทธไสยาศน์พระองค์ใหญ่ที่ป่าโมกองค์ ๑ ยาวได้เส้นห้าวา ครั้นอยู่มาเมื่อครั้ง​จุลศักราชได้ ๑๐๗๖ ปีมแมฉศก ญวนใหญ่จึ่งยกทัพมาหนักหนา อันตัวนายที่เปนใหญ่มานั้นชื่อนักพระแก้วฟ้า มารบเมืองเขมร กษัตรเมืองเขมรจึ่งหนีเข้ามาพึ่งพระเดชในกรุง อันที่ชื่อนักเสด็จนั้นเปนผู้ผ่านธานี ทั้งหกนางผู้เปนมเหษี อันนักองค์เอกนั้นเปนอนุชา นักพระศรีธรรมราชานั้นเปนที่มหาอุปราช อันพระโอรสในมเหษีนั้นชื่อพระรามาธิบดีองค์ ๑ พระศรีไชยเชษฐองค์ ๑ ชื่อพระสุวรรณกุมารองค์ ๑ นักพระองค์อิ่มองค์ ๑ นักพระองค์ทององค์ ๑ นักพระอุไทยองค์ ๑ กุมารของบุตรี ๒ องค์ คือพระสุภากษัตรีองค์ ๑ พระศรีสุดาองค์ ๑ ทั้งบุตรแลธิดาเปน ๘ องค์ด้วยกัน ยังหลานสององค์คือนักองค์ปาน นักองค์ตน อันนี้เหล่ากษัตร ยังเสนาสองคือ ฟ้าทลหะนั้นฝ่ายขวา ฝ่ายซ้ายนั้นฝ่ายกลาโหมเปนต้น บรรดาอำมาตย์ทั้งปวงน้อยใหญ่เปนหลายคน กับพลห้าร้อยปลาย กับช้างเผือกพังตัว ๑ ชื่อบรมรัตนากาศไกรลาศคิรีวงษ์ อันช้างเผือกพังตัวนี้ นักเสด็จก็พาเอามาแล้ว จึ่งถวายกับพระเจ้าภูมินทราชา แล้วตัวนักเสด็จกับพี่น้องลูกหลานทั้งสิ้น ก็เข้ามาพึ่งโพธิสมภารอยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์ก็ทรงพระเมตตาแล้วสงสารกับนักเสด็จยิ่งนัก ๚

๏ ครั้นต่อมาพระเจ้าภูมินทราชาทรงพระประชวร มีพระอาการหนัก เจ้าฟ้าอไภยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์จึ่งปฤกษากันว่า พระบิดาเราทรงพระประชวรมีพระอาการหนัก เห็นจะทรงพระชนม์อยู่ไม่นาน ถ้าพระองค์เสด็จสวรรคตแล้วราชสมบัติจะไปตกอยู่กับพระมหาอุปราช ควร​เราซึ่งเปนราชโอรสจะซ่องสุมผู้คนไว้ให้มาก เวลาพระบิดาสวรรคตแล้วจะได้ต่อสู้รักษาราชสมบัติไว้ มิให้ตกไปเปนของพระมหาอุปราช แลถึงในเวลานี้ก็ควรจะเกียจกันอย่าให้พระมหาอุปราชเข้าเฝ้าเยี่ยมเยือนทราบพระอาการได้ เมื่อปฤกษาเห็นพร้อมกันดังนี้แล้ว ก็ตั้งซ่องสุมผู้คนช้างม้าเปนกำลังไว้เปนอันมาก แลอ้างรับสั่งห้ามมิให้ใครเข้าเฝ้าเยี่ยมเยือนพระอาการของพระเจ้าภูมินทราชาได้ ถึงพระมหาอุปราชก็ให้เข้าเฝ้าเยี่ยมเยือนพระอาการได้แต่เปนบางคราว พระเจ้าภูมินทราชาทรงพระประชวรหนักลงก็เสด็จสวรรคต เมื่อพระเจ้าภูมินทราชาได้เสวยราชย์พระชนม์ได้ ๓๐ พรรษา อยู่ในราชสมบัติ ๒๔ พรรษา ครั้นพระชนม์ได้ ๕๔ พรรษาก็เสด็จสวรรคต เมื่อจุลศักราช ๑๐๙๓ ปี ๚

๏ เจ้าฟ้าอไภยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์ก็ปิดความมิให้แพร่งพรายให้ใครรู้ว่าพระราชบิดาเสด็จสวรรคต ให้ตระเตรียมเครื่องสาตราวุธแลผู้คนตั้งมั่นอยู่ในพระราชวัง ๚

๏ ฝ่ายพระมหาอุปราชทรงสังเกตได้ระแคะระคายว่าเจ้าฟ้าอไภยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์เกียจกันจะเอาราชสมบัติ เห็นว่าจะเกิดเปนข้าศึกกันเปนแน่แล้ว จึ่งเกลี้ยกล่อมพระเจ้ากรุงกัมพูชาแลคนอื่นๆ ได้เปนอันมาก ตั้งมั่นอยู่ยังมิได้ทำการรบพุ่งประการใด เพราะไม่ทรงทราบว่าพระเชษฐาธิราชสวรรคต ครั้นจะลงมือรบพุ่งในเวลานั้นกลัวจะเปนคิดกบฏต่อพระเชษฐาธิราช ฝ่ายเจ้าฟ้าอไภยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์ก็ให้เอาปืนใหญ่น้อยระดมยิงเอาพระมหาอุปราช ๆ ให้สืบว่าพระเชษฐาธิราชมีพระอาการเปนประการใด ก็ยังไม่ได้ความ จึ่งให้ตั้ง​สงบไว้มิได้ทำการสู้รบโต้ตอบ เปนแต่ให้ปูนบำเหน็จรางวัลให้ผู้คนที่ถูกเจ็บป่วยเพื่อจะรักษาน้ำใจไว้ เมื่อข้าราชการทั้งหลายทราบว่าจะเกิดสงครามในเมืองเปนแน่ ก็พากันไปเข้ากับพระมหาอุปราชเปนอันมาก เพราะเห็นว่าพระไทยโอบอ้อมอารี ในขณะนั้นมีผู้เขียนหนังสือลับบอกข่าวที่พระเจ้าภูมินทราชาเสด็จสวรรคตแล้ว ผูกติดกับช้างต้นพระเกษยเดชปล่อยไปจากพระราชวัง เพื่อจะให้พระมหาอุปราชทรงทราบความจริง ด้วยอำนาจบุญญาภินิหารของพระมหาอุปราช ช้างนั้นก็ข้ามน้ำตรงไปยังสำนักพระมหาอุปราช เหมือนดังมีคนขี่ขับไป พวกข้าราชการในพระมหาอุปราชเห็นดังนั้นก็พากันจับ เห็นหนังสือผูกติดกับช้างดังนั้น ก็นำไปถวายพระมหาอุปราช ในเวลานั้นม้าทรงของพระมหาอุปราชตัว ๑ หลุดพลัดออกจากโรง เที่ยวเตะถีบขบกัดหญิงชายเปนอลหม่าน พวกชาวเมืองกลัวม้านั้นเปนกำลัง พากันโจทย์อื้ออึงไปว่า พระมหาอุปราชให้ทหารหายตัวขี่ม้าเที่ยวปราบปรามข้าศึก กิติศัพท์ทราบไปถึงเจ้าฟ้าอไภยเจ้าฟ้าปรเมศร์แลไพร่พลของเจ้าฟ้าอไภยเจ้าฟ้าปรเมศร์ ต่างก็พากันย่อท้อตกใจกลัวเปนอันมาก ๚

๏ ในขณะนั้นมหามนตรีจางวางแลพระยาธรมาเสนาบดีกรมวัง กับนายสุจินดามหาดเล็กเชิญพระแสง ๓ คน จึ่งเขียนหนังสือลับมีใจความว่า พระเจ้าแผ่นดินสวรรคตแล้วแต่เวลาปฐมยาม เจ้าฟ้าอไภยเจ้าฟ้าปรเมศร์ คิดการลับจะทำร้ายพระองค์ บรรดาข้าราชการพากันเบื่อหน่ายเอาใจออกหาก แลย่อท้อเกรงพระบารมีพระองค์เปนอันมาก ​ขอให้พระองค์ยกกองทัพเข้ามาเถิด ข้าพระองค์ทั้ง ๓ จะคอยรับเสด็จ ครั้นเขียนแล้วก็ส่งให้คนสนิทลอบไปถวายพระมหาอุปราช ๆ ได้ทราบความดังนั้นก็ทรงยินดี เวลาย่ำรุ่งก็ตระเตรียมไพร่พลเปนอันมาก ยกเข้ามายังพระราชวัง เจ้าฟ้าอไภย เจ้าฟ้าปรเมศร์ทราบว่าพระมหาอุปราชยกเข้ามาแล้ว ก็เอาพระแสงชื่อพระยากำแจกที่กำจัดไภย เปนของตั้งแต่ครั้งพระยาแกรก กับพระธำมรงค์ค่าควรเมืองแลแก้วแหวนเงินทองภูษาอาภรณ์ของดี ๆ มีราคา ทั้งเสบียงอาหารเปนอันมากให้คนขนลงบรรทุกเรือ พาข้าราชการที่สนิทชิดใช้หนีไปยังตำบลบ้านตาลาน ๚

๏ ในขณะนั้น ข้าราชการทั้งปวงจึงยกพระมหาอุปราชขึ้นเปนพระเจ้าแผ่นดิน ถวายพระนามว่า พระมหาธรรมราชา เมื่อพระมหาธรรมราชาได้เสวยราชย์แล้วทรงทราบว่า เจ้าฟ้าอไภย เจ้าฟ้าปรเมศร์เอาพระธำมรงค์กับพระแสงสำหรับพระนครแลพาข้าราชการไปมาก จึ่งให้อำมาตย์คุมพลทหารออกเที่ยวตามจับ เจ้าฟ้าอไภยเจ้าฟ้าปรเมศร์ทราบว่าพระมหาธรรมราชาให้คนออกเที่ยวตามจับ จึ่งเก็บเอาสิ่งของแต่พอกำลังแล้วให้ล่มเรือจมน้ำเสีย พระธำมรงค์กับพระแสงก็จมอยู่ในน้ำกับเรือนั้น แล้วก็พากันหนีซุกซ่อนกระจัดกระจายไป เจ้าฟ้าอไภยเจ้าฟ้าปรเมศร์ ได้นายบุญคงมหาดเล็กตามไปด้วยคน ๑ เที่ยวหนีซุกซ่อนอยู่ในป่า ครั้นหลายวันเข้า เสบียงอาหารก็หมดลง นายบุญคงเปนคนกตัญญูสัตย์ซื่อต่อเจ้านายของตน ก็อุสาหะเที่ยวแสวงหาอาหารมาถวาย พวกอำมาตย์ของพระมหาธรรมราชาที่เที่ยว​ติดตามไปพบนายบุญคงในกลางป่า สงไสยจึ่งจับมาเฆี่ยนถาม นายบุญคงได้ความเจ็บปวดเปนสาหัสทนไม่ได้ ก็รับเปนสัตย์ พวกอำมาตย์จึ่งให้นำไปจับเจ้าฟ้าอไภย เจ้าฟ้าปรเมศร์ได้ทั้ง ๒ องค์นำมาถวายพระมหาธรรมราชา ๆ จึงรับสั่งให้เอาเจ้าฟ้าอไภยเจ้าฟ้าปรเมศร์ไปสำเร็จโทษเสีย พวกพ้องของเจ้าฟ้าอไภย เจ้าฟ้าปรเมศร์ ซึ่งหนีซุกซ่อนไปในทิศต่างๆ ที่ตามจับได้ก็ให้ประหารชีวิตรเสียสิ้น แต่นายบุญคงนั้นทรงพระกรุณาโปรดให้เลี้ยงไว้ ด้วยรับสั่งว่าเปนคนซื่อสัตย์กตัญญูต่อเจ้านาย ๚

๏ พระมหาธรรมราชานี้มีพระมเหษี ๓ องค์ พระมเหษีใหญ่มีพระนามว่า กรมหลวงอไภยนุชิต พระมเหษีที่ ๒ พระนามว่า กรมหลวงพิจิตรมนตรี พระมเหษีที่ ๓ พระนามว่า อินทสุชาเทวี กรมหลวงอไภยนุชิตมีพระราชโอรสธิดา ๗ พระองค์ คือ ๑ เจ้าฟ้าชายนราธิเบศร์ ๒ เจ้าฟ้าหญิงบรม ๓ เจ้าฟ้าหญิงธิดา ๔ เจ้าฟ้าหญิงรัศมี ๕ เจ้าฟ้าหญิงสุริยวงษ์ ๖. เจ้าฟ้าหญิงอินทรประชาวดี ๗. เจ้าฟ้าหญิงสุริยา กรมหลวงพิจิตรมนตรีมีพระราชโอรส ๒ พระองค์ พระนามว่า เจ้าฟ้าเอกทัศพระองค์ ๑ เจ้าฟ้าอุทุมพรพระองค์ ๑ มีพระราชธิดา ๖ พระองค์ พระนามว่าเจ้าฟ้าศรีประชาพระองค์ ๑ เจ้าฟ้าสุริยบุรพาพระองค์ ๑ เจ้าฟ้าสัตรีพระองค์ ๑ เจ้าฟ้าอินทวดีพระองค์ ๑ เจ้าฟ้าจันทร์พระองค์ ๑ เจ้าฟ้านุ่มพระองค์ ๑ อินทสุชาวดีมีพระราชโอรสองค์ ๑ พระนามว่าเจ้าฟ้าอัมพร มีพระราชธิดา ๒ องค์ พระนามว่า ​เจ้าฟ้ากุณฑลองค์ ๑ เจ้าฟ้ามงกุฎองค์ ๑ พระมหาธรรมราชามีพระราชโอรสเกิดแต่นางนักสนมอีกเปนอันมากรวมทั้งสิ้น ๑๐๘ องค์

๏ ครั้นต่อมาพระมหาธรรมราชาทรงตั้งเจ้าฟ้านราธิเบศร์เปนพระมหาอุปราช พระราชทานเจ้าฟ้านุ่มเปนพระมเหษี แต่เจ้าฟ้านุ่มไม่มีพระโอรสธิดา ๚

๏ แต่ก่อนเมื่อยังไม่ได้เปนพระมหาอุปราชนั้น เจ้าฟ้านราธิเบศร์ มีเจ้าหญิงมิตร เจ้าหญิงชื่น เจ้าชายฉัตร เกิดแต่หม่อมเหญก มีเจ้าชายสีสังข์เกิดแต่หม่อมจัน มีเจ้าหญิงดาราเกิดแต่หม่อมเจ้าหญิงสร้อย มีเจ้าชายมิ่งเกิดแต่หม่อมด่วน มีเจ้าหญิงชี เจ้าหญิงชาติ เกิดแต่หม่อมสุ่น รวม ๘ องค์ ๚

๏ ในปีนั้น เจ้าฟ้านักกายฟ้าเจ้าเขมรนำช้างเผือกพังมาถวายพระมหาธรรมราชาช้าง ๑ พระมหาธรรมราชาพระราชทานนามว่า วิไชยหัศดี เจ้าฟ้านักพระอุไทยพระเจ้ากรุงกัมพูชาให้นำช้างเผือกพลายมาถวายช้าง ๑ พระราชทานนามว่า พระบรมราชไทยศวร ช้างเผือกตัวนี้มีข้างเบื้องซ้ายขาวมากกว่าข้างเบื้องขวา พระยานครศรีธรรมราชจับได้ช้างเผือกช้าง ๑ มาถวาย พระราชทานนามว่า บรมคชลักษณสุประดิษฐ เจ้าเมืองเพ็ชรบุรีจับได้ช้างเผือกช้าง ๑ มาถวาย พระราชทานนามว่า บรมนาเคนทร กรมการจับช้างเผือกเข้าพเนียดเมืองนครไชยศรีได้ ๔ ช้างมาถวาย พระราชทานนามว่า ​บรมคชช้าง ๑ บรมพิไชยช้าง ๑ บรมจักรช้าง ๑ จอมพลสำเนียงช้าง ๑ แล้วให้มีการมหรศพสมโภชเปนอันมาก ๚

๏ ครั้นลุศักราช ๑๐๙๕ ปี พระมหาอุปราชทิวงคต พระมหาธรรมราชาจึงทรงตั้งเจ้าฟ้าอุทุมพรเปนพระมหาอุปราช พระราชทานเจ้าท้าวต่อยธิดาของพระมหาอุปราชที่ทิวงคตให้เปนพระมเหษี ๚

(เข้าความฉบับหลวง)

๏ ครั้นอยู่มาเมื่อครั้งจุลศักราชได้ ๑๐๙๖ ปีเถาะฉศก จึ่งพระเจ้าลังกาอันได้ครองเมืองศิริวัฒนบุรี จึ่งมีพระประสงค์ที่จะบำรุงพระสาสนาในเมืองสิริวัฒนบุรีอันเศร้าหมองไป จึ่งให้แต่งพระราชสาสนใส่ในแผ่นสุพรรณบัตรเปนสำเนา จึ่งให้การะอำมาตย์เปนอุปทูต ศิริวัฒนอำมาตย์เปนราชทูต อันเครื่องบรรณาการนั้น คือสังข์ทักขิณาวัฏปากเลี่ยมทอง กับเครื่องบรรณาการทั้งปวงเปนอันมาก จึ่งให้อุปทูตราชทูตถือพระราชสาสน ทั้งคุมเครื่องบรรณาการทั้งปวงกับผู้คนเปนอันมาก ลงสำเภาแล้วใช้ใบเข้ามากรุงศรีอยุทธยา เปนทางพระราชไมตรี ครั้นสำเภาเข้ามาจอดแล้ว อุปทูตราชทูต จึ่งเข้าแจ้งความกับอรรคมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ คือเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ฝ่ายกรมท่า ส่วนเสนาผู้ใหญ่ครั้นแจ้งความแล้ว ก็เข้าไปกราบทูลฉลองกับพระมหาบรมราชา พระองค์จึ่งมีรับสั่งให้เบิกราชทูตเข้ามาในพระราชวังใหญ่ เสนาผู้ใหญ่รับพระราชโองการแล้วก็ออกมา จึ่งสั่งกับกรมเมืองให้ตกแต่งบ้านเมืองให้งามให้​สอาด กรมเมืองจึ่งให้นครบาลไปป่าวร้องให้ทำทางแล้ว ให้พ่อค้าทั้งปวงมาตั้งร้านรวงค้าขายกัน ทั้งผ้าผ่อนแพรพรรณต่าง ๆ นา ๆ ทั้งเครื่องสิ่งของดี ๆ ครบครัน แล้วให้มานั่งค้าขายกันที่ตามถนนหนทางที่แขกเมืองจะเข้ามาเฝ้า แล้วให้เอาช้างลงน้ำทุกประตูเมือง ตามทางแขกเมืองที่จะมานั้น ครั้นตกแต่งบ้านเมืองแล้ว ส่วนเจ้าพระยากรมท่านั้น จึ่งปลูกโรงรับแขกเมืองตามที่ตามทาง แล้วก็เลี้ยงดูตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนมา แล้วพระยากรมท่าให้ราชมนู, เทพมนู, นำแขกเมืองลังกาเข้ามา ครั้นแขกเมืองเข้ามาแล้ว จึ่งรับแขกเมืองยั้งไว้บนศาลหลวง แล้วจึ่งให้ล่ามแปลสำเนาพระราชสาสนที่มาทั้งสิ้น ๚

๏ พระองค์เสด็จออกนั่งแขกเมืองนานาประเทศตามอย่างธรรมเนียมที่มีในนี้ อันน่าฉานซ้ายขวานั้น ตั้งเสวตรฉัตรอันคันนั้นหุ้มทองประดับ อันยอดแลกำภูขอบระบายนั้นทอง จึ่งตั้งตรงน่าฉานซ้าย ๔ คัน ขวา ๔ คัน แล้วรองมาจึ่งมยุรฉัตรข้างซ้าย ๔ แถว ขวา ๔ แถว แต่บรรดาเครื่องสูงนั้นคือจามร บังสูรย์ อภิรุม พัชนี อันเครื่องสูงเหล่านี้ล้วนทองประดับทั้งสิ้น จึ่งตั้งตรงน่าฉานซ้าย ๔ แถว ขวา ๔ แถว อันน่าเครื่องสูงนั้นจึ่งตั้งเตียงทองประดับกระจกแล้วปูสุจนี่ทั้งซ้ายขวา สำหรับตั้งพานพระราชสาสน อันพานที่รองพระราชสาสนนั้น พานทองประดับ อันที่พระมหาอุปราชเสด็จนั่งนั้น ตั้งเครื่องมหาอุปโภคพานทอง ประดับใส่พระศรีแลพานพระศรี แล้วพระเต้าครอบทองประดับ แลพระสุพรรณศรีประดับ แล้วรอง​พระมหาอุปราชมา จึ่งถึงที่ลูกหลวงเอก คือเจ้าฟ้าเสด็จนั่งซ้ายขวา ตั้งเครื่องมหาอุปโภคนั้นลดลงมากับพระมหาอุปราช แล้วจึ่งที่ลูกหลวงโท คือพระองค์เจ้าต่างกรม อันเครื่องอุปโภคนั้นลดลงมากับเจ้าฟ้า แล้วจึ่งพระราชวงษาแลราชนิกูล คือพระพิเรนทรเทพ พระเทพวรชุน พระอไภยสุรินทร์ พระอินทรอไภย แล้วจึ่งถึงที่อรรคมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ คือที่เจ้าพระยามหาอุปราชแล้ว เจ้าพระยาจักรี กลาโหม ที่อรรคมหาเสนาบดีผู้ใหญ่จึ่งนั่งซ้ายขวากัน แล้วถึงพระยามหาเสนา พระยามหาอำมาตย์ซ้ายขวา สองคนนี้รองเจ้าพระยาลงมา แล้วจึ่งพระยาอไภยราชา พระยาอไภยมนตรีเปนซ้ายขวากัน แล้วจึ่งจัตุสดมภ์ทั้งสี่ คือกรมเมือง พระยายมราช กรมวัง พระยาธรมา กรมคลัง พระยาราชภักดี กรมนา พระยาพลเทพ แล้วจึ่งพระยารัตนาธิเบศร์ พระยาธิเบศร์บริรักษ์ สองคนนี้นั่งที่ซ้ายขวากัน แล้วจึ่งพระยาราชสงคราม พระยาเดโชนั่งซ้ายขวากัน แล้วจึ่งพระมหาเทพ พระมหามนตรี ราชรินทร์ อินทรเดชะ อันสี่คนนี้กรมวัง ทั้งสี่ที่หัวหมื่นตำรวจใน ก็นั่งตามตำแหน่งเปนซ้ายขวากัน แล้วพระเทพโยธา พระสมบัติธิบาล พระพิพัฒน์ พระอำมาตย์ พระบำเรอภักดิ พระชำนิ พระกำแพง พระยาราชวังเมือง สองคนนี้กรมช้าง พระศรีเสาวภักดิ หลวงทรงพล อันสองคนนี้กรมม้า นั่งเฝ้าซ้ายขวากันตามที่ตามทาง ยังเหล่ามหาปโรหิตราชครู คือพระครูพิราม พระครูมโหสถ พระครูวิเชต พระครูมเหธร พระครูสังฆาราม พระครูกฤษณา ​พระกฤษณราช อันมหาปโรหิตทั้งแปดคนนี้ก็นั่งเฝ้าอยู่เปนซ้ายขวากันตามที่ แต่บรรดาเจ้าพระยา แลพระยา แลราชนิกูล พระ หลวง ขุน หมื่น ทั้งขุนนางพราหมณ์ ขุนนางแขก ขุนนางฝรั่ง ขุนนางเจ๊ก ขุนนางมอญ ขุนนางลาว แลทั้งเศรษฐีคหบดีทั้งปวง นั่งเฝ้าตามที่ตามตำแหน่ง ซ้าย ๘ แถว ขวา ๘ แถว เบ็ดเสร็จเปนมุขอำมาตย์ ๔๐๐ อันเจ้าพระยานั้นตั้งเครื่องอุปโภคพานทองเจียดทองเครื่องทั้งปวง เปนชั้นเปนหลั่นกันลงมาตามที่ อันพระหลวงขุนหมื่นนั้นมิได้มีเครื่องบริโภค อันน่าพระลานน่าฉานนั้นตั้งกองโยนร้อยหนึ่ง ฆ้องแตรสำหรับรับเสด็จส่งเสด็จ อันน่าพระลานซ้ายขวานั้นมีทหารข้างละ ๑๐๐ ใส่หมวกทองใส่เสื้อเสนากุฎ สัพสรรพอาวุธครบมือกันทั้งสิ้น อันข้างปราสาทซ้ายขวานั้น มีได้โกลาอานบังสำหรับผูกช้างต้น ช้างเผือกแลช้างเนียม อันเครื่องช้างนั้นทองประดับฝรั่งเศส มีข่ายทองปักน่า ภู่ผ้าปักหลัง กรองเชิงประดับ ๔ เท้า อันเครื่องกินนั้นแต่ของทองเงินมีฝาใส่หญ้ากล้วยอ้อย แล้วมีสัปทนแส้กะตักคันเงิน มีเครื่องกินรองกระยาหารเงิน ๚

๏ อันเหล่าช้างจลุงรายซ้าย ๘ เชือก ขวา ๘ เชือกนั้นตกแต่งประดับประดาเปนหลั่นกันตามที่ อันม้าต้นซ้ายขวาน่าฉานนั้น ผูกอานพระมหาเนาวรัตน อันเครื่องกินนั้นมีตะคองน้ำทอง มีถาดเงินรองหญ้าถั่วเข้า แล้วมีสัปทนแลไม้เตือนคันเงิน อันเหล่าม้าที่นั่งรองซ้าย ๘ ขวา ๘ นั้น ผูกเครื่องทองรองเปนหลั่นกันตามที่ ๚

​๏ อันฝ่ายข้างบนพระที่นั่งนั้น มีเครื่องราชาอุปโภค มีพานพระขันหมาก ๒ ชั้นเชิงครุธถมราชาวดีประดับตั้งซ้าย ๔ ขวา ๔ แล้วมีพระสุพรรณศรี ทั้งพระสุพรรณราช พระคันทีทองประดับพระเต้าครอบทองประดับ จึ่งตั้งซ้าย ๔ แถว ขวา ๔ แถว แล้วจึ่งตั้งเครื่องเบญจกุกกุภัณฑ์ทั้ง ๕ คือพระมหามงกุฎ พระแสงขรรค์ ธารพระกร ฉลองพระบาท ทั้งเครื่องมหาพิไชยสงครามทั้ง ๕ คือ พระมาลา ศร พระแสงง้าว พระแสงหอก พระแสงขอ เปน ๕ สิ่งด้วยกัน จึ่งตั้งซ้ายขวา แล้วจึ่งหัวหมื่นมหาดเล็ก เกณฑ์นั่งหลังเครื่องสูง น่าราชบัลลังก์นั้น คือจมื่นสารเพธภักดี จมื่นศรีเสาวรักษ์ จมื่นไวยวรนารถ จมื่นเสมอใจราช อันสี่คนนี้เปนนายมหาดเล็กทั้งสิ้น แล้วจึ่งบำเรอภักดิ หมื่นจง อันสองคนนี้เปนปลัดวัง รองหัวหมื่นมหาดเล็กลงมา จึ่งนั่งซ้ายขวากัน ๚


 40 
 เมื่อ: 23 เมษายน 2567 14:21:12 
เริ่มโดย Kimleng - กระทู้ล่าสุด โดย Kimleng
               
คำให้การขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง

๏ ครั้นอยู่มาพระนารายน์จึ่งทรงพระปรารภว่า แต่ได้เสวยราชสมบัติมานี้ก็นานหนักหนาแล้ว อันการเล่นสงครามกษัตรนี้ยังมิได้สำแดงเดชชาญไชย แต่กูรู้ความมานี้เปนช้านาน ว่าโบรีช้างสารนี้เปนคนหาญ ได้ผ่านเชียงใหม่ภารา ได้ของวิเศษอย่างหนึ่ง คือพระพุทธสิหิงค์องค์หนึ่ง แต่เมื่อพระเจ้าเข้าสู่พระนิพพาน พระยานาคนั้นสำแดงฤทธิ์ให้พระมหาเถรอุปคุตดู จึ่งเอานาคเนาวโลหะนั้นมาหล่อทำเปนพระพุทธรูปไว้ ยังมีอยู่ในชมพูทวีปไม่มีเสมอ อันแก่นจันทน์แดงที่ทำเสาเชิงตะกอน เมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้านั้น พระยาเพ็ชรเจ้าจึ่งเอามาทำเปนพระพุทธรูปไว้ก็ยังมีอยู่ อันพระพุทธสิหิงค์นั้นเปนพระสมาธิ์เพ็ชร อันพระแก่นจันทน์แดงนั้นเปนพระนาคปรกสองตัว อยู่ในเมืองเชียงใหม่ทั้งสององค์ กูจะใคร่ไปชนช้างชิงไชยลองฤทธิ์ดู ครั้นทรงพระดำริห์ดังนั้นแล้วจึ่งตรัสสั่งเสนาให้กะเกณฑ์ผู้คนแลทหารในโยธาทัพ ทั้งช้างม้ารถคชสาร​อาชา ทั้งเรือแพนาวาให้ครบครัน เสนาอันชื่อเจ้าพระยาจักรีจึ่งรับพระโองการแล้ว จึ่งให้เรียกแต่บรรดาเจ้าหมู่เจ้ากรมมาทุกหมวดตามรับสั่งแล้ว จึ่งกะเกณฑ์ทัพบกทัพเรือทั้งปวง แล้วให้จัดกันเปนกระบวนมหาพยุหบาตราทัพใหญ่ จึ่งตั้งเจ้าพระยาโกษาธิบดีให้เปนใหญ่ ให้คุมโยธาเปนแม่ทัพไปเปนทัพน่า อันทัพหนุนนั้นเกณฑ์เจ้าพระยาราชวังสรรค์เสนีเปนแม่ทัพ อันทัพปีกซ้ายนั้น เกณฑ์พระยาสีหราชเดโชเปนแม่ทัพ อันทัพปีกขวานั้นพระยาเสียนขันเปนแม่ทัพ อันเจ้าพระยาโกษาซึ่งเปนแม่ทัพใหญ่นั้นเปนคนดีมีความรู้ เปนคนรู้ครบในการทหารนั้นดีนัก ทั้งตำราพิไชยสงคราม ทั้งยามยาตราก็มีภาษี แต่แต่งตัวนุ่งผ้าขึ้นม้าแล้ว อันว่าไพรีทั้งปวงก็หนีไปด้วยเกรงนาม อันเจ้าพระยาราชวังสรรค์เสนีนั้น ดีข้างฟันมีภาษี รู้ว่าวันนั้นให้ผู้นั้นออกไปชิงไชยจะมีไชยก็รู้ จะเสมอก็รู้ อันพระยาสีหราชเดโชนั้น ดีข้างล่องหนแลอึดใจ ได้ทั้งอยู่คงกะพันชาตรี อันในแผ่นดินพระนารายน์นี้ สามนายนี้เปนยอดชายในสนาม เปนทหารเอกอยู่ในสงคราม ฦๅชื่อทุกเขตรขัณฑ์ธานี อันว่านายทัพนายกอง ทั้งยกรบัตรแลเกียกกายปีกซ้ายปีกขวา ทั้งทัพหนุนทัพรองทั้งปวงนั้น สี่เสนาจึ่งกะเกณฑ์ตั้งให้สมควรกัน ตามที่ตามทางกระบวนมหาพิไชยสงคราม เปนกระบวนมหาพยุหบาตราอย่างใหญ่ เร่งให้ผู้รั้งกรมการทุกหัวเมืองกะเกณฑ์กันแล้ว ให้มาเข้าตราทัพใหญ่ตามกระบวนทัพบกแลทัพเรือ เปนคนสองแสนกับหกหมื่น ในเกณฑ์ทหารใหญ่ตามบาญชี อันเจ้าพระยาสุรสีห์​นั้นเกณฑ์ให้เฝ้าเมือง ในมหาพยุหบาตราเรืออย่างใหญ่นั้น พระนารายน์ทรง คือเรือพระที่นั่งครุธพาห อันเรือกิ่งนำนั้นคือไกรแก้วจักรรัตนซ้าย แล้วมาถึงนาวาศรีพิมานไชยขวา อันที่นั่งกิ่งแข่งเคียงข้างนั้น คือศรีสมรรถวิไชยอยู่ซ้าย ไกรสรบวรฤทธิ์อยู่ขวา อันเรือที่นั่งกิ่งเกณฑ์รองนั้น มีรัตนบัลลังก์นั้นคือ เกณฑ์เรือที่นั่งกิ่งดั้งน่าหกลำ คือกิ่งทิพยาตราขวา ลองฤทธินาวานั้นซ้าย แล้วถัดมาจึ่งถึงพิมานไชยรัตนาศน์ขวา พิมานไชยราชวัตรนั้นซ้าย แล้วถัดมาจึ่งถึงสุรสีหพิมานนั้นขวา สุรกาญจน์พิมลนั้นซ้าย แล้วจึ่งถึงกิ่งบัลลังก์รัตนานั้นขวา ราชาทิพอาศน์นั้นซ้าย แล้วถัดมาจึ่งถึงเหล่าเรือที่นั่งเอกไชยศรี ชั้นนั้นก็เปนน่าหลังกัน ศรีไชยสวัสดิซ้าย ไชยรัตนพิมานนั้นขวา แล้วมาถึงไชยเหินหาว ไชยหลาวทอง สองลำนั้นเปนซ้ายขวากัน แล้วจึ่งถึงเรือที่นั่งประตู เรือรูปสัตว์เปนคู่ๆ ซ้ายขวาน่าหลังกันไป แล้วจึ่งมาถึงนาคเหรา นาควาสุกรี สองลำเปนซ้ายขวากัน แล้วจึ่งถึงสิงหนาท สิงหานาวา ซ้ายขวาสองลำนี้เปนคู่กัน แล้วถัดมาจึ่งถึงมังกรมหรรณพ มังกรจบภพไตร เปนซ้ายขวากันไปตามที่ แล้วจึ่งถึงนรสิงห์วิสุทธิ์สายสินธุ์ นรสิงห์ถวิลอากาศ สองลำนี้เปนซ้ายขวากัน แล้วถัดมาจึ่งถึงโตมหรณพ โตจบสายสินธุ์ เปนซ้ายขวากันไปตามกระบวนแห่ แล้วจึ่งถึงสุวรรณหงส์ดั้งชั้นน่านั้นขวา กาญจนรัตนานั้นซ้าย แล้วถัดมาจึ่งถึงเรือตลุบปุบพัง สี่ลำเปนซ้ายขวากันไป ชื่อเรือนพเสรกลำหนึ่ง ลังกาลำหนึ่ง อันเรือสองลำนี้เปนซ้ายขวากัน ​แล้วถัดมาจึ่งถึงสุวรรณลำหนึ่ง สารพิมานลำหนึ่ง เปนซ้ายขวากันไป เกณฑ์เหล่ากรมลุกลังได้พาย แล้วแห่แหนไปตามที่ แล้วจึ่งถึงเรืออาสาวิเศษลำพังนั้นเปนดั้งนอกสี่ลำนั้นนำไป อันเรือที่นั่งครุธพาหนั้นที่นั่งทรง ยังเรือเอกไชยสี่ลำ ถัดลงมานั้นก็ยังมีอยู่ลำหนึ่งนั้นเชิญพระไชยไปน่า ลำหนึ่งนั้นเกณฑ์ทรงข้างวังน่า มีจตุรมุขหลักเกยลา ยังสองลำนั้นมีหลังคาเปนสองตอน สำหรับเกณฑ์ตำแหน่งลูกหลวงทรงตามเสด็จ เปนคู่เคียงกันซ้ายขวาตามที่ตำแหน่ง แต่บรรดาเรือนอกนี้จะได้มีนายนั่งขี่ไปกลางเรือนั้นหามิได้ เปนเรือรองพระที่นั่งทรงของพระองค์ จึ่งใส่ปืนหลักมีทหารประจำลำมา ชื่อปราบเมืองลุ ปรุบาดาล เปนซ้ายขวากัน แล้วชื่อตระกองเมืองมาร ตระการอาสา สองคนเปนซ้ายขวากัน แล้วยังอยู่ชื่อยอดมือไฟ ไกรมือเพ็ชร สองคนนี้เปนซ้ายขวากัน แล้วยังอยู่ชื่อเดชาณรงค์ ทรงเดชฤทธิ เปนซ้ายขวากันสองคน แล้วชื่อสิทธิโยธารักษ์ ศักดิโยธาหาญ แล้วถึงโยธาสุรศักดิ โยธาสุรสีห์ แล้วจึ่งถึงโยธารณรุด โยธารณรงค์ อันทหารเอกเหล่านี้ ได้ถือดาบทองของพระนารายน์ แล้วยังทหารอันมีชื่ออิกเหล่าหนึ่ง เรียกว่าโยธาหาญ เปนคนดีไม่มีไภยในที่ราชอาญา แล้วยังมีเรือประตูรูปสัตว์ เกณฑ์ทหารคนดีขี่ไปน่าเรือ แล้วตะพายดาบนั่งน่าเรือมาตามที่ คือทหารเอกอาสาชื่อไกรสรสีห์ กรีธายุทธ สุทธเดชา สาธิการไชย ยังอยู่กำจายศรศรี อัคนีศร แล้วอำนาจจำเริญ เจริญสวัสดิ ศักดิฤทธิ สิทธิเดช สาตราแผลง แสงอัคนี ​อันทหารเหล่านี้ ได้ขี่ไปน่าแคร่ แล้วถือธนูดาบสพายแล่ง เรียกว่าหมู่องครักษ์จักรนารายน์ อันสิบสองหมู่นี้บรรดาตัวนายนั้นประทานพระแสงขององค์พระนารายน์เกณฑ์อภัย อันมหาธงไชยกระบี่ธุช แล้วธงไชยครุธอัดนั้นเกณฑ์คนมีชื่อได้ถือคือ พิเศษอาวุธ พิสุทธโยธา สองคนนี้ถือธง แล้วจึ่งลงเรือสุวรรณหงษ์มาน่า อันทหารที่ชื่อพิเศษโยธานั้นได้ถือฆ้องมหาไชยสำหรับตีเปนสำคัญนั้น ได้ลงเรือที่นั่งกิ่งลำน่า อันเรือสีหพิมานไชยนั้นมีคนขี่นั่งไปซ้ายขวา ชื่อพลรงค์ พลรุด สองคนนี้นั่งประจำมาในเรือกิ่ง อันพระแสงปืนใหญ่อันมีชื่อมหาฤกษ์ มหาไชย สองกระบอกนั้นใส่ในเรือกิ่งลำแข่ง เปนคู่เคียงกันมาซ้ายขวา อันคนที่เกณฑ์ยิงนั้นเรียกชื่อว่า อภัยศรเพลิง ดำเกิงรณภพ อันสองคนนี้ทหารใหญ่ แล้วจึ่งถึงเรือแห่น่าแห่หลัง แล บรรดาเจ้ากรมปลัดกรมทั้งสิ้นนั้น ก็ไปตามชั้นหลั่นกันมาทั้งสิ้น อันเรือราชสีห์ใหญ่นั้น คือพระยาจักรีได้ขี่ไป อันพระยากระลาโหมนั้นได้ขี่เรือคชสีห์ใหญ่ อันจัตุสดมภ์ทั้งสี่นั้นได้ขี่เรือไชยจำนำใส่กูบก้านแย่งมีแมงดา ยังหมู่เสนาพฤฒามาตย์ทั้งปวงนั้น ก็ขี่เรือไชยไปซ้ายขวากัน บ้างก็มีแต่กูบก้านแย่งไม่มีแมงดา บ้างก็มีแต่ดาวราย เปนชั้นหลั่นกันมาตามที่ตำแหน่งกันไป ยังเหล่ากรมราชมนตรีกรมเศรษฐีนั้น ก็มีชั้นหลั่นกันมาตามที่ ขี่เรือแซแล้วแห่เปนคู่คู่กันไป แล้วถัดนั้นมาจึ่งถึงขุนโรงขุนศาล เหล่าขี่เรือพิฆาฏตามราชนุกรมซ้ายขวา อันพระมหาอำมาตย์นั้นขี่เรือราชสีห์น้อย อันพระสุรเสนานั้นขี่เรือคชสีห์น้อย ​อันเรือสองลำนี้สำหรับสารวัดเกณฑ์ได้ตรวจตรา บรรดาเรือทั้งปวงให้ยกแลถอย ยังราชนิกูลสี่คนนั้นคือสีหเทพดา วรชุน เทพนรินทร์ อินทรอภัย สี่คนนี้มีธนูซ้ายขวา ขี่เรือม้าแลเรือเลียงผาเปนซ้ายขวาคู่กัน ได้ตระเวนคอยดูแลตรวจตราว่ากล่าวเรือทั้งปวง แล้วถัดมาจึ่งถึงเรือราชสิทธิ์ราชมัน อันสองคนนี้ได้มีเครื่องจำจองแลเครื่องฆ่าทุกประการทั้งซ้ายขวา เปนเกณฑ์ได้ราชอาญาสิทธิฆ่าคนผิดตัดน่าฉาน แล้วถัดมาจึ่งถึงเรือกรมสนมกลางเปนจางวางซ้ายขวาเต็มที่ ถือธงสามชายเหล่านั้นมีหอก อันกลางเรือนั้นมีไหใส่ไชยบาน ขวาชื่อภูเบนทร์สิงหนาท ซ้ายชื่ออเรนทรชาติสังหาร ถัดมาจึ่งมีเรืออาสาจามสี่ลำทหารใหญ่สี่คน อันมีชื่อสุรเสนี สีหราชา ลักษณมานา เทวาสรไกร อันอาสาจามเหล่านี้ มีค่ายวิหลันกันน่าหลังทั้งสี่ลำ แล้วถัดมาจึ่งถึงนายเพชฌฆาฎสองคน ชื่อธำมะรง ธำมะฤทธิ ได้ขี่เรือเสือมีโลงใส่มาในท้องเรือ จึ่งถือดาบแดงแลยืนง่ามาน่าเรือแล้ว จึ่งมีธงแดงเปนรูปหณุมานแผลงฤทธิสามชายปักมากลางเรือ อันคนนั้นเรียกกรมนครบาล ยังเหล่าเกณฑ์เรือทหารน้อยก็เปนอันมาก เปนเรือแปดร้อยปลาย อันไพร่เกณฑ์ในกระบวนพยุหบาตราตามบาญชีจ่ายนั้นได้คนสี่หมื่นกับแปดพัน ๚

๏ จะกล่าวถึงเรือพระที่นั่งครุธลำทรงนั้น มีพระมณฑปกลางลำ มีอภิรุมมาน่าเรือสามคัน ท้ายเรือสองคัน ปักเรียงกันมาตามที่ ถัดอภิรุมมานั้นมีพระแสงหอกใหญ่คั่น แล้วจึ่งถึงบังแทรกสองคู่ แล้วจึ่งมาถึงอภิรุมเก้าชั้นสองคู่ แล้วถัดมาถึงจามรสองคู่ ​ก็พอถึงพระที่นั่งใหญ่ อันริมพระที่นั่งใหญ่นั้นมีอภิรุมซ้ายขวาคั่นไปตามที่ อันข้างริมพระที่นั่งนั้นใส่พระแสง คือพระแสงหอกซัด พระแสงธนูทรง เปนพระแสงแอบข้างริมพระองค์ อันน่าพระที่นั่งนั้นมีมยุรฉัตรซ้ายขวา แล้วถัดออกมาจึ่งมีอภิรุมแลจามรบังแทรก ปักน่าพระที่นั่งสิ่งละคู่ ถัดมาจึ่งมีมหาดเล็กถือพระแสงง้าวทรงของพระองค์ แล้วถัดมามีมหาดเล็กถือพระแสงดาบเขน แล้วจึ่งราชสุริยวงษ์ถือพระแสงดาบทรงของพระองค์ นั่งประนมมือคุกเข่าเฝ้าอยู่บนเตียงลา จึ่งมีมหาดเล็กนั่งเฝ้าอยู่สี่คนนั้น เรียกว่ารายตีนตอง คือศักดิ สิทธิ ฤทธิ เดช เกณฑ์นายเวรสี่คนนี้นั่งตามที่ซ้ายขวากันข้างละสองคน แล้วจึ่งถึงจ่านั่งรองลงมาข้างละสี่คน ซ้ายขวาข้างละสองคน คือจ่าเรศ จ่ารง จ่ายง จ่ายวด อันสี่คนนี้นั่งขัดดาบประนมมือมาน่าที่นั่งโยง เหล่ามหาดเล็กหุ้มแพรนั้น นั่งปลายเชือก เกณฑ์เลือกนั้น ถือพระแสงนั่งน่าตามหว่างคนพายนั่งรายกันออกตามที่ จักว่าชื่อไว้ คือไชยขรรค์ เล่ห์อาวุธ พลพัน พลพ่าย เปนสี่คน เกณฑ์ถือพระแสง ยังเกณฑ์ถือฟูกสำหรับตีเปนสำคัญนั้นนั่งไปน่าเรือสอง ท้ายเรือสอง เปนสี่คน สำหรับเปนสัญญาพายถวายลำ สำคัญเสียงฟูกเปนสัญญา เมื่อจะพายกรายก็ดี พายนกบินก็ดี จะเหโห่ก็ดี มิว่าพายกรายพายไหว เมื่อได้ฤกษ์จะออกจากที่คนตีฟูกก็เยื้องทำท่าออกนั้นทีเปนเพลงมา อันคนตีฟูกนั้น วิธีนาเวศ วิเศษนาวา เปนซ้ายขวากันสองคน แล้วจึ่งมีจ่านั้นสองคนเปนซ้ายขวากัน ชื่อจ่างอนเนตร จ่าเจตนาวา อันสองคนนี้อยู่น่าเรือ​คนหนึ่ง อยู่ท้ายเรือคนหนึ่ง สำหรับให้สัญญาโห่ร้อง แล้วยังมีชื่อราชสนิท ราชเสน่ห์ อันตำรวจใหญ่ซ้ายขวาสองคนนี้ ผลัดกันนั่งบนบัลลังก์ผินหลังให้ครุธ แล้วนั่งประนมมือถือธงเจ็ดชายอยู่หัวเรือ แล้วรำกรายอยู่ อันธงที่เปนสำคัญสัญญานั้น จะเลี้ยวซ้ายขวาก็โบกไป อันบรรดาเรือพระที่นั่งทรงทั้งสิ้นนั้นปิดทองทึบ แต่บรรดาเรือพระที่นั่งรองนั้นพายปิดทองเปนเชิงชาย บรรดาเรือจำนำในกระบวนทั้งปวงนั้นพายทาแดง อันอำมาตย์ราชเสนาทั้งสิ้นนอกจากไพร่นั้น นุ่งสองปักแล้วใส่สนับเพลาชั้นใน แล้วใส่เสื้อครุยใส่ลำพอกพื้นชมพู บ้างก็มีเกี้ยวลาย บ้างก็มีเกี้ยวดอกไม้ไหว ตามที่ตามตำแหน่งน้อยใหญ่เปนซ้ายขวากัน อันที่นอกจากอำมาตย์แลเสนา แลเกณฑ์เหล่าทหารของพระองค์นั้น ตั้งแต่นายทัพนายกอง แลนายกองสารวัดใหญ่ทั้งปวงนั้น ใส่หมวกใส่เสื้อเครื่องเกราะ อันที่ใส่ชั้นในนั้นมีฉู่ฉา อันเหล่าพลโยธาทั้งปวงนั้นใส่เสื้อแดงครอบหัวใส่หมวกแดงทุกคน ทั้งทัพน่าทัพหลังทัพหนุนทัพรอง ทั้งทัพปีกซ้ายปีกขวา ทั้งอาทมาตกองร้อยกองตระเวน แลกองซุ่มกองแล่นทั้งปวงนั้น มีดาบสพายแล่งทุกตัวคน ดาษดาไปล้วนเรือดูงามไสวไปทั้งสิ้น ครั้นแล้วก็มาประทับที่น่าฉนวนน้ำแล้ว จอดเปนชั้นหลั่นกันไปตามกระบวนตามที่ครบครัน ๚

๏ ครั้นพร้อมแล้วอรรคมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ จึ่งเข้าไปกราบทูลฉลองกับองค์พระนารายน์ จึ่งองค์สมเด็จพระนารายน์ผู้เปนเจ้านั้น สระสรงแต่งองค์ทรงเครื่องมหาพิไชยสงคราม จึ่งทรงพระสนับเพลา​ทองเชิงงอนสองชั้น แล้วจึ่งทรงพระภูษาพื้นแดงปักทองจีบโจงแล้ว จึ่งใส่ฉลองพระองค์อย่างใหญ่สังเวียนปักแล้ว จึ่งทรงชายไหวชายแครงตาบทิศแลตาบน่า ทั้งสังวาลประดับ จึ่งทรงพระธำมรงค์เพชรเก้ายอดแล้ว ทรงพระมหามงกุฎประดับเพ็ชรแล้ว จึ่งเหน็บพระแสงกั้นหยั่นที่บั้นพระองค์ แล้วทรงถือพระแสงสาตราใจเพ็ชร จึ่งเสด็จมาทรงเรือพระที่นั่งครุธพาห ครั้นได้มหาพิไชยฤกษ์แล้ว ข้างขุนโหรก็ลั่นฆ้องไชย ประดาตีดังโครมครื้น ยิงปืนมหาฤกษ์มหาไชยสองนัดแล้ว พลไกรก็โห่ร้องก้องกึกไปทั้งแม่น้ำ เสียงฆ้องกลองศึกก็ดังครึกครื้นครั่นสนั่นไป ทั้งเสียงเส้านั้นก็ดังสนั่นหนักหนา ทั้งเรือตลุบปุบพังก็ประดังดากัน อันน้ำในแม่น้ำนั้นก็เปนฟองพรายกระจายไป ครั้นพายไปได้เต็มพักแล้วก็โห่เห่เอาไชย แล้วก็พายนกบินแลพรายกราย แม่น้ำนั้นก็เปนละลอกกระฉอกฉานไปทั้งสิ้น เปนควันไปทั้งคงคา ล้วนเรือแน่นประดากันไปทั้งแม่น้ำ เสด็จมาทางฝ่ายเหนือทั้งผู้คนทัพบกทัพเรือเปนหนักหนา ทั้งสองฟากน้ำล้วนทัพแซงก็ยกมาเปนมากหลาย ยกมาตามลำน้ำกำแพงเพ็ชรแล้ว จึ่งเสด็จมาเมืองตากตามลำน้ำใหญ่แล้ว ขึ้นไปตามแถวเมืองนครเถินแล้ว ขึ้นไปตามแม่น้ำเมืองเชียงใหม่ พระองค์จึ่งสั่งให้ยาตราค่ายหลวงตั้งอยู่ที่บ้านช้างแล้ว จึ่งทำพิธีประหารดัษกร ตัดไม้ข่มนามตามประสงค์ ครั้นการพิธีแล้วพระองค์จึ่งสั่งกับจตุรงคเสนาทั้งปวง ให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี กับพระยาราชวังสรรค์เสนี ทั้ง​พระยาเดโชทหารใหญ่ ให้เร่งยกทัพเข้าไปตั้งประชิดแล้ว ให้เข้ารบเมืองเชียงใหม่ ฝ่ายเจ้าเมืองเชียงใหม่จึ่งแต่งทหารลาวอันเข้มแขงให้กระทบออกมาต้านทานสู้รบ อันทัพน่าต่อทัพน่าก็เข้าต่อสู้รบกัน ทัพปีกซ้ายต่อปีกซ้ายก็เข้าตีกัน อันทัพปีกขวาต่อปีกขวาก็เข้าประจันต่อสู้รบกัน อันเหล่าทัพน่านั้นก็เข้าไล่แทงกันด้วยทวนแลหอกซัด ฝ่ายทัพช้างต่อช้างก็เข้ารบกัน แล้วก็ประจันยิงกันด้วยปืนหลังช้างอยู่วุ่นวาย เหล่าพลปืนต่อปืนก็ยิงกันเปนควันมืดไปทั้งป่า พลหอกต่อหอกก็เข้าไล่แทงกัน พลดาบต่อดาบกระชั้นฟันกัน บ้างก็ล้มตาย พลทวนต่อทวนก็รำเพลงทวนแล้วก็แทงกันด้วยทวน พลง้าวต่อง้าวก็รำเพลงง้าวแล้วก็ง่าฟันกันทั้งสองฝ่าย พลตะบองต่อตะบองก็ไล่ตีกัน พลเขนต่อพลเขน พลโล่ห์ต่อพลโล่ห์ก็สู้รบกัน พลธนูต่อพลธนูก็ยิงกันด้วยธนู พลน่าไม้ต่อพลน่าไม้ก็ยิงกันไปด้วยน่าไม้ พลกฤชต่อพลกฤชก็เข้าไล่แทงกัน ทหารกระบี่ต่อกระบี่ก็เข้าไล่ฆ่าฟันกันตามเพลงกระบี่ บ้างก็ยิงด้วยเกาทัณฑ์ บ้างก็ฟันด้วยดาบ บ้างก็ถือหอกแลทวนแล้ว ก็เข้าไล่ประจันทิ่มแทง เจ็บป่วยทั้งสองฝ่าย ล้มตายเปนหนักหนา ทั้งเสียงช้างม้าแลเสียงอาวุธทั้งเสียงปืนน้อยแลปืนใหญ่ เสียงโห่ร้องทั้งฆ้องไชยแลกลองไชยก็ดังอื้ออึงครื้นเครงสนั่นไปทั้งป่าใหญ่ อันควันปืนนั้นมืดคลุ้มกลุ้มตลบบดบังไปทั้งเวหา แต่ทัพไทยทัพลาวประฝีมือกันอยู่เปนหนักหนา จนผ้านุ่งไม่มีอยู่กับตัว บ้างก็ยังอยู่แต่กางเกง ลงราฝีมือกันทั้งสองฝ่าย ทั้งไทยก็ชมฝีมือลาวว่าเข้มแขง ทั้งลาว​ก็ชมฝีมือไทยว่ากล้าหาญ อันพระยาสีหราชเดโชคนรู้ขี่ม้าขาวยืนอยู่แล้วก็แย้มหัวเห็นรบกันจนสิ้นฝีมือไม่หนีตัว จนลงมัวอยู่ทั้งลาวไทย จึ่งตีกลองศึกแล้วก็โห่ขยายพล จึ่งให้ร่นถอยเข้ามาอยู่ที่น่าทัพใหญ่ ฝ่ายข้างลาวก็ตีกลองไชยแล้วก็ยกถอยไปพร้อมกัน อันพระยาเดโชนั้นขี่ม้าขาวแล้วออกยืนอยู่หว่างทัพลาวทั้งนั้น จึ่งร้องเรียกพระยาเสนาท้าวทั้งนั้นไปแล้ว จึ่งว่าพลขันธ์ทั้งสองฝ่ายก็ตายเปลืองไปเปนอันมาก ถ้าท่านมีทหารคนดีก็ให้ออกมาตีตามธรรมยุทธ จะได้ฦๅชาปรากฎทั้งลาวไทย ครั้นแสนท้าวลาวทั้งนั้นแลเห็น ก็รู้ว่าพระยาเดโชนี้เปนทหารใหญ่ อันพระยาแสนหาญก็มิอาจจะออกรบได้ ก็นิ่งไปมิได้ตอบคำมา ครั้นพระยาเดโชเห็นลาวไม่ตอบคำ ก็รู้ว่าไม่มีคนดี พระยาเดโชจึ่งสำแดงฤทธิให้ลาวดู จึ่งขี่ม้าแล้วออกรำดาบอยู่ที่กลางแปลงแล้ว จึ่งอึดอัดใจมิให้เห็นตัว ๚


(ต่อนี้ฉบับขาด ใช้ความในฉบับคำให้การชาวกรุงเก่าแทน)

๏ พวกลาวเห็นดังนั้นก็สดุ้งตกใจกลัว พากันแตกหนีไม่เปนขบวน พระเจ้าเชียงใหม่ก็ให้รวบรวมผู้คนที่แตกกระจัดกระจายได้แล้ว ก็ล่าทัพกลับเข้าพระนคร ให้ปิดประตูลงเขื่อนแน่นหนา ขับพลขึ้นรักษาน่าที่เชิงเทินเปนสามารถ ให้คั่วทรายหลอมตะกั่วเคี่ยวชันน้ำมันยาง สำหรับเทสาดเมื่อข้าศึกเข้าตีปล้นกำแพง ฝ่ายนายทัพนายกองข้างกรุงศรีอยุทธยาเห็นลาวแตกกระจัดกระจายไปดังนั้น ก็ขับพลเข้าล้อมเมืองไว้ทั้ง ๔ ด้าน ๚

​๏ ตกเวลากลางคืน พวกลาวพากันตีฆ้องขานยาม เสียงฆ้องได้ยินไปถึงพระกรรณพระนารายน์ ๆ จึ่งตรัสถามเจ้าพระยาโกษาธิบดีว่า เสียงฆ้องที่ไหน เจ้าพระยาโกษาธิบดีจึ่งกราบทูลว่า เสียงฆ้องขานยามในเมืองเชียงใหม่ พระนารายน์จึ่งตรัสว่า เหตุใดพวกเจ้าจึ่งตั้งค่ายใกล้ชิดกับเมืองเชียงใหม่ดังนี้เล่า เจ้าพระยาโกษาธิบดีกราบทูลว่า ระยะทางตั้งแต่เมืองเชียงใหม่มาถึงค่ายหลวงนี้ห่างกันถึงโยชน์ ๑ พระนารายน์จึ่งรับสั่งให้ไปวัดชัณสูตรดูก็ห่างโยชน์ ๑ จริงดังเจ้าพระยาโกษาธิบดีกราบทูล จึ่งรับสั่งว่า ทางไกลกันถึงโยชน์ ๑ เหตุใดจึ่งได้ยินเสียงฆ้องยามดังนี้เล่า เจ้าพระยาโกษาธิบดีกราบทูลว่า ซึ่งได้ยินเสียงฆ้องขานยามดังนี้ เปนนิมิตรดีที่พระองค์จะตีได้เมืองเชียงใหม่ แลฆ้องนั้นจะมาสู่โพธิสมภารของพระองค์ ได้ทรงฟังก็ทรงยินดีเปนอันมาก จึ่งรับสั่งว่าใครจะอาสาไปเอาฆ้องนั้นได้บ้าง ในขณะนั้นพวกที่ทำผิดล่วงพระราชกำหนดกฎหมายต้องโทษจำขังอยู่ ๒๐ คน จึ่งรับอาสาทำทัณฑ์บนถวายว่าจะไปเอาฆ้องมาถวายให้ได้ ถ้าไม่ได้ให้ประหารชีวิตรเสีย พระนารายน์ก็โปรดให้นักโทษทั้ง ๒๐ คนนั้นพ้นโทษ นักโทษทั้ง ๒๐ คนนั้นก็เตรียมเครื่องสาตราวุธครบมือแล้ว พากันไปถึงกำแพงเมืองเชียงใหม่ เศกเวทมนต์สะกดพวกรักษาน่าที่เชิงเทินแล้ว ลอบเข้าไปลักเอาฆ้องใหญ่นั้นได้ นำมาถวายพระนารายน์ ๆ ก็ให้ปูนบำเหน็จรางวัลแก่นักโทษทั้ง ๒๐ คนเปนอันมาก แล้วรับสั่งให้ลงรักปิดทองฆ้องนั้นเปนอันดี ๚

​๏ อยู่มาสองสามวันพระนารายน์ไม่เห็นกองทัพเชียงใหม่ยกออกมารบ จึ่งรับสั่งปฤกษากับข้าราชการทั้งปวงว่า บัดนี้พวกเชียงใหม่ตั้งรักษาเมืองมั่นไว้ มิได้ยกทัพออกมารบให้เห็นแพ้แลชนะ แลไม่นำเครื่องบรรณาการมาถวายตามธรรมเนียม ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด ข้าราชการทั้งปวงจึงกราบทูลว่า ควรจะมีพระราชสาสนเข้าไปถึงพระเจ้าเชียงใหม่ให้ออกมารบกันตามธรรมเนียม มิฉนั้นให้ออกมาอ่อนน้อมเสียโดยดี พระนารายน์ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึ่งให้อาลักษณจาฤกพระราชสาสนมีใจความว่า

๏ พระราชโองการ มานพระบัณฑูร สุรสิงหนาท ราโชวาท อมรฤทธิ มโหฬาราดิเรก อเนกบุญญาธิบดินทร์ หริหรินทรธาดา อดุลยคุณาธิบดี ตรีโลกเชษฐ ธิเบศวรดิลกศรีประทุมสุริยวงษ์ องค์เอกาทศรถ จักรพรรดิราชา ชยันตมหาสมมติวงษ์ พระเจ้ากรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานี บุรีรมยราช ประสาสน์สุนทรธรรมแถลง มาถึงพระเจ้าเชียงใหม่ ด้วยเรายกพยุหโยธามาครั้งนี้ มิได้มีจิตรยินดีที่จะชิงเอาราชสมบัติบ้านเมืองแก้วแหวนเงินทองผู้คนช้างม้าของท่านโดยโลภเจตนา เรามีจิตรศรัทธาเลื่อมใส จะใคร่เชิญพระพุทธปฏิมากร พระพุทธสิหิงค์ กับพระพุทธปฏิมากรซึ่งแกะด้วยไม้จันทน์แดงทั้ง ๒ พระองค์ ขอให้พระเจ้าเชียงใหม่ส่งพระปฏิมากรทั้ง ๒ พระองค์นั้นออกไป เมืองเชียงใหม่กับกรุงศรีอยุทธยาก็จะได้เปนทองแผ่นเดียวกัน มิฉนั้นให้พระเจ้าเชียงใหม่ยกพลโยธาหาญ ออกไปทำ​ยุทธนาการตามราชประเพณี โดยวิธียุทธสงครามช้างม้าฤๅขบวนยุทธอย่างไรก็ตามที ครั้นให้จาฤกพระราชสาสนแล้ว ก็ให้ทูตนำไปถวายพระเจ้าเชียงใหม่ ๆ จึ่งให้อาลักษณจาฤกพระราชสาสนตอบ มีใจความว่า มหามหิศรราชภูมิบาล สุรสุรินทร ปรมินทราทิตย ขัติยมหาสาล ผู้ผ่านพิภพเชียงใหม่ ถึงพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ด้วยพระไอยกาเราได้ผ่านพิภพศรีสัตนาคนหุต พระบิดาเราก็ได้ผ่านพิภพจันทบุรี ตัวเรานี้ก็ได้ผ่านพิภพเชียงใหม่ พระพุทธปฏิมากรทั้ง ๒ พระองค์นี้ไซ้ ได้ด้วยบุญบารมีของเรา ๆ ก็มีจิตรเลื่อมใสทำสักการบูชาอยู่เปนนิตย์ ซึ่งพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยายกพยุหโยธามาทำสงคราม ให้ได้ความเดือดร้อนแก่สมณะชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร เพื่อจะใคร่ได้พระปฏิมากรนั้นเราไม่ยอมให้แล้ว เรายอมถวายชีวิตรแก่พระปฏิมากรทั้ง ๒ พระองค์ เมื่อจาฤกเสร็จแล้วให้ทูตนำไปถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา พระนารายน์ทรงทราบพระราชสาสนของพระเจ้าเชียงใหม่ดังนั้น จึ่งทรงจาฤกพระราชสาสนด้วยพระองค์เองมีใจความว่า กิจของสมณะชีพราหมณ์ก็คือพยายามตั้งหน้ารักษาศีลเจริญภาวนา กิจของพระมหากษัตรก็มีการทำสงครามเปนราชประเพณี ซึ่งพระเจ้าเชียงใหม่จะมานั่งงอมืองอเท้าอยู่ฉนี้ ดูกิริยาเหมือนสัตรีมีชาติอันขลาด ถ้าไม่ยอมให้พระปฏิมากรทั้ง ๒ พระองค์แล้ว จงรักษาพระนครไว้ให้มั่นคง เราจะเข้าปล้นหักเอาให้ได้ ทรงจาฤกแล้วให้ทูตเชียงใหม่นำไปถวายเจ้านายของตน พระเจ้าเชียงใหม่ก็มิได้ตอบประการใด เปนแต่ให้รักษาพระนครมั่นไว้ ๚

​๏ พระยาสีหราชเดโชจึ่งทูลรับอาสาว่าจะตีเมืองเชียงใหม่ให้ได้ แล้วพระยาสีหราชเดโชจึ่งขึ้นม้าถือทวนนำน่าพาทหารทั้งปวงเข้าไปใกล้กำแพงเมืองเชียงใหม่ แล้วร้องด้วยเสียงอันดังว่า กูชื่อพระยาสีหราชเดโช เปนทหารเสือของพระนารายน์ ใครมีฝีมือดีจงออกมารบกับกู แล้วพระยาสีหราชเดโชก็ขับพลเข้าประชิดกำแพงเมือง พวกพลทหารลาวที่รักษาน่าที่เชิงเทิน ก็พุ่งสาตราวุธแหลนหลาวระดมปืนลงมาดังห่าฝน เทสาดตะกั่วทรายชันน้ำมันยางอันคั่วเคี่ยวไว้ลงมาเปนอันมาก พลทหารไทยก็มิได้ย่อท้อถอยหลัง พากันเข้าขุดทำลายกำแพงเมืองเปนสามารถ พระยาสีหราชเดโชก็ถือดาบปีนกำแพงเมืองเข้าไปได้ ไล่ฆ่าฟันพวกรักษาน่าที่เชิงเทินแตกกระจัดกระจาย พลทหารก็ทำลายกำแพงเข้าเมืองได้ ไล่ฆ่าฟันทหารลาวล้มตายเปนอันมาก พระโพธิสารเจ้าเมืองเชียงใหม่ถูกอาวุธพิราไลยในที่รบ พวกทหารไทยจับได้นางทิพลีลามเหษีพระเจ้าเชียงใหม่ กับเจ้าวงษ์โอรสพระเจ้าเชียงใหม่ แลพอริลังสาอำมาตย์แลขุนนางข้าราชการทั้งปวงได้เปนอันมาก เก็บริบแก้วแหวนเงินทองได้เปนอันมากแล้วนำมาถวายพระนารายน์ ครั้นพระนารายน์มีไชยชนะได้เมืองเชียงใหม่แล้ว จึ่งให้เชิญพระพุทธสิหิงค์กับพระแก่นจันทน์แดงมาประดิษฐานที่พลับพลา ให้มีการมหรศพสมโภชเปนอันมาก แล้วตรัสถามพระยาแสนหลวงอำมาตย์ของพระเจ้าเชียงใหม่ว่า เราได้ทราบข่าวว่า พระพุทธสิหิงค์นี้มีอานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้จริงฤๅ พระยาแสนหลวงกราบทูลว่า แต่เดิมเมื่อพระพุทธสิหิงค์​ยังประดิษฐานอยู่ที่เมืองปาตลีบุตรนั้นเหาะเหินเดินอากาศได้จริง แต่มีคนทุจริตมาควักเอาแก้วมณีที่ฝังเปนพระเนตรไปเสีย แต่นั้นมาพระพุทธสิหิงค์ก็เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ ต่อมาเจ้าเมืองสรรคบุรีเชิญไปจากเมืองปาตลีบุตร ไปประดิษฐานที่เมืองสรรคบุรี ต่อนั้นไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองล้านช้าง ต่อนั้นไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองจันทบุรี แล้วมาประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงใหม่นี้ ๚

๏ เมื่อพระนารายน์จะเสด็จกลับจากเมืองเชียงใหม่ จึ่งตั้งเจ้าวงษ์ซึ่งเปนโอรสพระเจ้าโพธิสาร เปนพระเจ้าเชียงใหม่ พระมเหษีแลขุนนางข้าราชการทั้งปวงนั้น ก็ให้คงอยู่เมืองเชียงใหม่ตามเดิม แล้วให้เชิญพระพุทธปฏิมากรทั้ง ๒ พระองค์ลงประดิษฐานณเรือเอกไชย เสด็จยกทัพกลับยังพระนครศรีอยุทธยา เมื่อเรือเอกไชยมาถึงพระฉนวนน้ำแล้ว ทรงประกาศให้ขุนนางข้าราชการแลราษฎรทั้งปวงเล่นมหรศพสักการบูชา หนทางที่จะเชิญพระพุทธปฏิมากรทั้ง ๒ พระองค์ขึ้นนั้นก็ให้โปรยทรายปักราชวัตรผูกต้นมะพร้าวต้นกล้วยต้นอ้อยเปนต้น แล้วเชิญพระพุทธปฏิมากรทั้ง ๒ พระองค์ขึ้นประดิษฐานบนพระยานมาศ กั้นพระกลดขลิบทอง ๔ คัน เสวตรฉัตร ๔ คัน เชิญไปประดิษฐานไว้ที่หอพระในพระราชวัง แล้วให้ทำการสมโภชเปนอันมาก ในขณะนั้นพระพุทธสิหิงค์ก็ทำปาฏิหารต่าง ๆ แลฆ้องไชยซึ่งได้มาแต่เมืองเชียงใหม่นั้น พระนารายน์ก็ให้นำไปไว้สำหรับตีขานยามในพระราชวัง พวกเมืองเชียงใหม่ซึ่งลงมากับขบวนทัพหลวงนั้น ทรงพระกรุณาโปรดให้กลับคืนไปยังเมืองเชียงใหม่​ทั้งสิ้น แต่นั้นมาเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็นำเครื่องบรรณาการมาถวายเปนนิตย์มิได้ขาด ๚

๏ แลพระนารายน์นี้ได้ทรงศึกษาวิทยาคมในสำนักพระอาจารย์พรหม ๆ นี้มีอายุมาก เปนผู้เฒ่า ใบหูทั้ง ๒ ข้างยานถึงบ่า เปนผู้ชำนาญในทางเวทมนต์ มีอานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้ เพราะฉนั้นพระนารายน์จึ่งมีบุญญาภินิหารแลอิทธิฤทธิมาก วันหนึ่งเสด็จทรงเรือพระที่นั่งเอกไชยในเวลาน้ำขึ้น รับสั่งว่าให้น้ำลด แล้วทรงพระแสงฟันลง น้ำก็ลดลงตามพระราชประสงค์ ครั้นน้ำลดลงแล้ว จึ่งรับสั่งให้น้ำขึ้น แล้วทรงพระแสงฟันลงอิก น้ำก็ขึ้นตามพระราชประสงค์ พระนารายน์มีพระราชประสงค์อย่างไรก็เปนไปตามทั้งสิ้น พระเกียรติยศของพระนารายน์นั้นแผ่ไปทั่วทุกทิศ มีชาวต่างประเทศ เมืองแขกอรวง เมืองโครส่าน ฝรั่งเมืองฝรั่งเศส นำเครื่องบรรณาการดอกไม้เงินทองมาถวายขอเปนพระราชไมตรี เมื่อพระนารายน์เสวยราชย์พระชนม์ได้ ๑๕ พรรษา อยู่ในราชสมบัติ ๒๕ พรรษา ครั้นพระชนม์ได้ ๔๐ พรรษาก็เสด็จสวรรคต พระนารายน์สมภพวันอังคาร ๚

๏ เมื่อพระนารายน์เสด็จสวรรคตแล้ว ข้าราชการทั้งปวงเห็นว่าพระนารายน์ไม่มีพระราชโอรสที่จะสืบพระวงษ์ ปฤกษากันว่าควรจะยกราชสมบัติถวายแก่ใคร พวกที่รู้ประวัติเจ้าพระยาศรีสรศักดิจึ่งพูดขึ้นว่า พระราชโอรสของพระนารายน์มีอยู่ คือเจ้าพระยา​ศรีสรศักดิ บุตรนางกุสาวดี ที่พระราชทานไปแก่เจ้าพระยาสุรสีห์ ด้วยพระนารายน์ได้ตั้งสัตย์ไว้ว่าจะไม่เลี้ยงโอรสที่เกิดแต่นางนักสนม ครั้นนางกุสาวดีมีครรภ์ขึ้นจึ่งแกล้งยักย้ายถ่ายเทไปเสีย เพราะฉนั้น ควรจะยกสมบัติให้แก่เจ้าพระยาศรีสรศักดิ เมื่อปฤกษาเห็นชอบพร้อมกันดังนี้แล้ว จึ่งเชิญเจ้าพระยาศรีสรศักดิให้ขึ้นครองราชสมบัติ แต่เจ้าพระยาศรีสรศักดิไม่รับ ว่าบิดาของเรายังมีอยู่ ท่านทั้งปวงจงเชิญบิดาของเราขึ้นครองราชสมบัติเถิด ขุนนางข้าราชการทั้งปวงก็เชิญเจ้าพระยาสุรสีห์ขึ้นครองราชสมบัติ เจ้าพระยาสุรสีห์มีพระนามเปน ๒ อย่าง ๆ ๑ ว่าสมเด็จพระธาดาธิบดี พระนาม ๑ ว่าพระราเมศวร ๆ ทรงตั้งนางอุบลเทวีเปนพระมเหษีฝ่ายขวา ทรงตั้งพระสุดาเทวีราชธิดาพระนารายน์เปนมเหษีฝ่ายซ้าย พระสุดาเทวีมีพระราชโอรสองค์ ๑ พระนามว่าพระขวัญ ในเวลาที่พระขวัญประสูตรจากครรภ์พระมารดานั้น มีเหตุเปนนิมิตรต่างๆ เปนต้นว่าแผ่นดินไหว ประชาชนพากันเลื่องฦๅว่าผู้มีบุญมาเกิด ๚

๏ แลพระราเมศวรนั้นไม่ใคร่พอพระไทยในทางยศศักดิ แม้จะเสด็จประพาศที่ใด ๆ ก็ไม่มีขบวนแห่แหน ให้แต่องครักษ์ตามเสด็จเล็กน้อยเท่านั้น พอพระไทยที่จะบำรุงไพร่บ้านพลเมืองให้อยู่เย็นเปนศุขอย่างเดียว จึ่งทรงตั้งเจ้าพระยาศรีสรศักดิเปนพระมหาอุปราช ดูแลกิจการบ้านเมืองต่างพระองค์ ในเวลานั้นพระมหาอุปราชถืออาญาสิทธิ สำเร็จราชการบ้านเมืองต่างพระองค์พระราเมศวรทั้งสิ้น พระราเมศวรให้สร้างวัดขึ้น ๔ วัด คือ วัดบุรบาริมวัด ๒ วัด​รัตนาปราสาทวัด ๑ วัดบรมราสัตย์วัด ๑ วัดชังคะยีวัด ๑ แล้วให้ปฏิสังขรณ์วัดสุมังคลารามวัด ๑ เมื่อพระราเมศวรเสวยราชย์ พระชนม์ได้ ๕๕ พรรษา อยู่ในราชสมบัติ ๑๔ พรรษา ครั้นพระชนม์ได้ ๖๙ พรรษาก็เสด็จสวรรคต พระราเมศวรสมภพวันศุกร ๚

๏ ข้าราชการทั้งปวงจึงเชิญพระมหาอุปราชขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อณวัน ๗ ๔ฯ ๖ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๖๓ ในวันเมื่อทำการราชาภิเศกนั้นเกิดมหัศจรรย์มีแสงสว่างทั่วไปทั้งพระราชวัง ข้าราชการทั้งปวงถือเอานิมิตรนั้นเปนเหตุ ถวายพระนามว่า พระเจ้าสุริเยนทราธิบดี ภายหลังปรากฎพระนามอิกอย่าง ๑ ว่า นรามรินทร์ พระเจ้าสุริเยนทราธิบดีมีพระมเหษีทรงพระนามว่า พระพันปีหลวง ๚


หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 10
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.462 วินาที กับ 24 คำสั่ง

Google visited last this page 20 พฤศจิกายน 2564 11:18:51