[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
16 มิถุนายน 2567 20:29:43 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : เป็นคนหรือไม่? อยู่ที่ความหมายไม่ใช่ที่สมอง  (อ่าน 1544 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5089


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553 08:23:26 »



ที่ยกมาตั้งเป็นหัวข้อเรื่องของบทความในวันนี้ เป็นเรื่องของปรัชญาและเป็นจิตวิทยาด้วย แถมยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับประสาทวิทยาศาสตร์ (neuroscience) อีกต่างหาก ที่กล่าวมานั้น ผู้เขียนพูดกันตามหลักวิชาการที่สุดจะน่าแปลกประหลาดใจที่เรื่องทั้งหมดนี้ รวมทั้งที่ยกมาเป็นหัวเรื่องของวันนี้ จ้างให้-นักวิชาการเมืองไทยส่วนใหญ่มากๆ ก็ไม่สนใจ ก็อยากจะให้ท่านผู้อ่านช่วยเป็นพยานด้วยตรงนี้ว่า เรื่องอะไรก็ตาม ถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจิตและสมองแล้ว นักวิชาการของประเทศไทยแทบจะทุกคนเลยก็ว่าได้ จะพากันไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้แต่น้อยจริงๆ เพราะอะไร-รู้มั้ย? เพราะว่านักวิชาการพวกนี้ตั้งแต่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัย หรือจบจากนอกมา ยกเว้นบางคนที่สุดแสนจะน้อยเต็มทีที่ทำงานวิจัย “จริงๆ” บ้าง แต่ส่วนมากล้วนแล้วแต่จำขี้ปากอาจารย์ ไม่ว่าอาจารย์คนนั้นจะเป็นฝรั่ง ญี่ปุ่น  หรือคนไทย ฯลฯ จะคร่ำเคร่งหมกมุ่นอยู่กับค่านิยมเก่าๆ หรือปรัชญาดึกดำบรรพ์ จมปลักนอนแช่อยู่กับหลักการวัตถุนิยมและรูปธรรมกายภาพ (materialism) หลักการแยกส่วน (reductionism) หลักการที่มองอะไรๆ เป็นเส้นตรงไปทั้งหมด (linear) รวมทั้งให้เหตุที่ก่อผลได้ จะต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น (forward  causation) ไม่รู้ว่าคนพวกนี้คิดว่าใน 24 ชั่วโมงมีแต่กลางวันเท่านั้น เพราะเห็นได้ชัดดี ส่วนกลางคืน “ไม่มีหรอก” เพราะมองไม่เห็น จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรที่เดินเป็นเส้นตรง เพราะพุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนที่เป็นวงกลมหรือเป็นวัฏจักร และสอนต่อไปว่าเหตุที่ก่อผลไม่ใช่จะต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น แต่เดินถอยหลังหรือเดินไปข้างล่าง (downward causation) ก็มี แถมยังบอกด้วยว่า ถึงไม่มีเหตุ มีแต่ผลก็มีเยอะแยะไป (มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง หรือตถาตา) วิทยาศาสตร์ใหม่บอกกับเราว่า ความเสถียรคงที่ หรือความสามัคคีสมานฉันท์แม้แต่นาทีเดียวก็ไม่มีหรอก จะมีแต่ความวุ่นวายไร้ระเบียบ  (atropy ที่ตามมาด้วย chaos theory) ที่เดินเป็นวัฏจักร ปัจเจกหรือไมโครก็เป็นเช่นนั้น สังคมโดยรวมหรือแม็คโครก็เป็นเช่นนั้น พูดถึงแม็คโครแล้ว อดคิดเป็นห่วงคนที่ทำไม่ดี คอรัปชั่นโกงหลวงกับสังคมโลกภายหลังปี 2012 หรือผลของโลกร้อนไม่ได้


เราคงไม่ชอบ หรือบางคนอาจจะโกรธเสียด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าถูกดูถูก-หากใครมาพูดใส่หน้าตรงๆ  ว่า “คุณเป็นคนที่ไม่มีความหมายอะไรสำหรับใครๆ เลย-รู้มั้ย?” เพราะเราคิดว่า เรา-และจริงๆ แล้วทุกคนในโลกเลย ต้องมีความหมายไม่อะไร-ก็อะไรซักอย่างกับคนที่รักเรา เช่น แม่ของเราคนนั้นๆ ความหมายจึงเหมือนเป็นคู่กับความรักในกรณีนี้ แต่ในกรณีทั่วๆ ไป ทั้งความหมายกับความรักเป็นเรื่องของจิตคนละอย่างและคนละส่วนของวิวัฒนาการกัน ความหมายจึงเป็นจุดมุ่งหมาย (purpose)


ทีนี้เรากลับมาพิจารณาเรื่องของสมองกันบ้าง ที่จริงเรื่องของสมองนี่ก็พูดมาหลายหนแล้ว แม้ว่าไม่ใช่ในชื่อของบทความนี้ก็เคยพูดมาแล้ว และคิดว่าบทความที่เขียนลงในไทยโพสต์นั้น ปกติคนที่อ่านก็มักเป็นคนเก่าๆ ที่เคยอ่านบทความของผู้เขียนประจำอยู่แล้วจึงมักไม่ชอบอ่านซ้ำๆ แต่เนื่องจากตอนนี้มันใกล้ๆ การเปลี่ยนของโลกครั้งใหญ่ที่สุดและไม่เคยมีมาก่อน แม้ในครั้งที่มีกาฬโรคระบาดเมื่อ 500 ปีก่อน จึงมีหน้าใหม่ๆ มาอ่านบทความของผู้เขียนมากขึ้น ในโลกนี้มันไม่ใช่มีแต่เมืองไทยกับเรื่องนักการเมือง คน-เด็กไทยตบตีกันหรือทหารออกมายุ่งจนสังคมวุ่นวายกับเรื่องธุรกิจการหาเงินกันแค่นั้นเสียเมื่อไหร่? ที่ไหนๆ - เมื่อมีคนมากขึ้นอย่างเร็วมากๆๆ จริงๆ - ก็ต้องมี คนจึงอ่านหนังสือหรือบทความต่างๆ  มากขึ้นเพื่อหาทางไม่ให้สังคมวุ่นวาย บางคนจึงหันเข้าหาธรรมชาติทั้ง 2 ระดับ หรือหันไปหาวัดหา  “ภายใน” ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยสนใจมากก่อน และสมองก็เกี่ยวข้องกับภายในหรือจิตนั้น ทั้งๆ ที่สมองไม่ใช่จิต


มนุษย์และสัตว์โลกทุกชนิดประเภทเลย ต่างก็มีสมองติดตัว ซึ่งอยู่ข้างในติดตัวมาตั้งแต่เกิดขึ้นมา  บนโลกนี้จักรวาลนี้ เช่นเดียวกับหัวใจ ตับ ไต ปอด ฯลฯ ที่เราเรียกว่า “อวัยวะ” - ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่ของตนไปตามนั้น โดยประสานงานกันเพื่อให้เราและสัตว์เหล่านั้นอยู่รอด บนโลกนี้จักรวาลนี้ เช่นกัน - โดยแต่ละอวัยวะก็มีหน้าที่ของตัวเองอย่างเป็นอิสระ แม้ว่าจะประสานกันและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกัน ผู้เขียนและนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งจึงคิดและเชื่อว่าสมองก็มีหน้าที่ที่เป็นอิสระเหมือนกับอวัยวะอื่นที่ยกมาเช่นเดียวกัน นั่นคือ สมองมีหน้าที่หลักในการบริหาร (carried out  order) จิตไร้สำนึกของจักรวาล ให้เป็นจิตสำนึกใหม่และใหม่ๆ ตลอดเวลาไปตามความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ส่วนคำถามที่บางคนอาจจะถามว่า “แล้วใครหรือสิ่งอะไรล่ะ? ที่เป็นผู้บัญชาให้จิตไร้สำนึกโดยรวมของจักรวาลเข้ามาอยู่ในสมองคนแต่ละคนเป็นปัจเจก แล้วสั่งให้สมองนั้นบริหารจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึก?” ศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาเต๋า อาจจะตอบว่า “มันก็เป็นเช่นนั้นของมันเอง” ซึ่งวิทยาศาสตร์ใหม่ของมาตาเรลลาจะบอกว่า มันคือระบบจัดองค์กรให้กับตนเอง (self-organizing system) แต่ศาสนาที่มีพระเจ้าทั้งหลายที่เชื่อตามความเคยชินของมนุษย์ว่า ถ้าไม่มีเหตุแล้วจะมีผลได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น จักรวาล โลกและทุกๆ อย่างจึงต้องมีผู้สร้างทั้งหมดนั้นขึ้นมา และผู้สร้างที่อยู่ข้างนอกการสรรค์สร้างนั้น ก็คือ พระเจ้านั่นเอง ดังนั้นสมองก็เป็นเช่นอวัยวะที่อยู่ในร่างกายทั้งหลาย นั่นคือ มันจะมีหน้าที่หลักเช่นเดียวกับหัวใจ ซึ่งมีหน้าที่ปั๊มเลือดไปเลี้ยงร่างกาย จิตไร้สำนึกจักรวาลจึงไม่ใช่สมองและไม่ใช่กาย แต่มาจากจักรวาลนอกรูปกายของตัวตนคนนั้นๆ ดังนั้นใคร่ขอบอกอีกครั้ง ไม่ว่าใครจะเชื่อเป็นตรงกันข้ามถ้าหากเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง และคิดอย่างมีเหตุผลบนหลักฐานของงานวิจัยแล้วไม่ใช่เชื่อแบบที่ไม่ฟังอะไร ทั้งไม่ยอมอ่านดูหลักฐานอะไรทั้งนั้น “ข้าจะเชื่อของข้าอย่างนี้ มีอะไรมั้ย? ถ้าพูดกันอย่างนั้นก็จนปัญญา จิตที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย เช่น จอห์น เอคเคิลส์ วิลลิส ฮาร์แมน จอร์จ วอลด์ ฯลฯ และแม้แต่นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงที่สุดของอังกฤษคนหนึ่ง เซอร์ คาร์ล ป๊อปเปอร์ ก็เชื่อว่าการวิจัยหลากหลายในปัจจุบัน ต่างล้วนแลัวแต่ชี้บ่งไปทางเดียวกัน นั่นคือ จิตไม่ใช่สมอง วิลเดอร์ เพ็นฟิลด์ ศัลยแพทย์สมองที่ฝีมือเยี่ยมที่สุดของแคนาดา ผู้ที่ทีแรกไม่เชื่อว่าจิตกับสมองแยกจากกันเป็นคนละเรื่องในทีแรก ดังที่ได้เคยเล่าไปแล้วที่นี่เมื่อวันก่อน วิลเดอร์ เพ็นฟีล์ดได้บอกกับจอร์จ วอลด์ - หลังจากเขาใช้เวลาผ่าตัดสมองผู้ป่วยจนแทบนับไม่ถ้วนเพื่อหาตำแหน่งของจิตในสมอง - ว่า “จะบอกอะไรให้ จิตมันไม่ได้อยู่ในสมองอย่างแน่นอน” แต่สมองมีความสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์  เพราะมันให้ตัวรู้ที่รู้ว่าฉันเป็นผู้ที่รู้นั้น

ทีนี้ลองหันไปดูเรื่องของความหมายบ้าง ความหมาย (meaning) ในที่นี้หมายความถึง “ความสำคัญของความหมายอันละเอียดที่สุดแสนละเอียดที่ซ่อนไว้จากสิ่งที่เรารู้ตามปกติ” จากที่กล่าวมานี้ ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่า สิ่งที่เรารู้ตามปกติจะต้องประกอบด้วย 3 อย่างคือ 1.เราต้องมีสติที่จะรับรู้ 2.การรู้ต่างๆ ของเรานั้นต้องอาศัยตัวรู้หรือจิตรู้หรือจิตสำนึก 3.แต่นี่เราไม่รู้ว่าสิ่งอันสำคัญนั้นคืออะไร? และเราไม่รู้ว่ามันมีความสำคัญอย่างไร? ที่เราสามารถจะทำได้คือ รอคอยให้สิ่งที่สุดแสนจะละเอียดนั้น-ออกมาจากที่ซ่อน เพื่อที่เราจะได้รู้ด้วยจิตรู้หรือจิตสำนึกปกติของเรา ถ้าหากมันไม่ออกมาจากที่ซ่อนและไม่มีทางที่จะให้มันออกมาได้ตามปกติธรรมดา เราก็ไม่มีทางรู้ ยกเว้น 2 กรณีอันไม่ปกติเลยคือ 1.เราเป็นผู้วิเศษ เป็นฤๅษี 2.เราอาจรู้ได้ด้วยจิตจักรวาลซึ่งเป็นจิตไร้สำนึก (unconsciousness continuum AS  consciousness) เช่น คนที่ตายไปแล้ว แต่ยังไม่เกิดใหม่ หรือ “ชีวิตระหว่างภพ” (Joel Whitton and  Joe Fisher : Life Between Life, 1986) แปลเป็นไทยโดยคุณอรทัย สำนักพิมพ์มติชน โดยตีพิมพ์ถึง 4  ครั้ง

ถ้าหากเราแปลคำว่าความหมาย (meaning) อย่างหนึ่งเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เดวิด โบห์ม นักควอนตัมฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ คนหนึ่งของโลก - เพื่อนต่างวัยกันของกฤษณามูรติ ปราชญ์แห่งพุทธศาสนาที่ตายไปไม่นานนัก ทั้ง 2 คน ก็เป็นไปได้ที่อาจจะถูก เพราะมันใกล้เคียงกับพุทธศาสนาในเรื่องที่มาของจักรวาล เดวิด โบห์ม บอกว่า จักรวาลเป็นองค์รวมที่เป็นทั้งหมด (wholeness) ซึ่งเป็นความจริงทางควอนตัมฟิสิกส์ โดยเดวิด โบห์ม บอกต่อไปว่าในรายละเอียดนั้น จักรวาลจะเคลื่อนตัวเองโดยการเคลื่อนที่เป็นวงจรอยู่ตลอดเวลา (holomovement) ด้วยลักษณะเหมือนกับหยดหมึกลงไปในถังน้ำเชื่อมที่เหนียวข้น ซึ่งเมื่อกวนน้ำที่เหนียวข้นนั้นไปทางหนึ่ง หยดหมึกนั้นจะละลายหายไปในน้ำเชื่อมนั้น แต่ถ้าเรากวนน้ำเชื่อมนั้นในทางกลับกัน หยดหมึกที่หายตัวไปโดยละลายในน้ำเชื่อมหรือ “เป็นองค์กรที่ซ่อนตัวเอง”  (enfold) อยู่ในน้ำเชื่อมนั้นก็จะโผล่ปรากฏออกมาเป็นหยดหมึกเหมือนเดิม คือเป็นเสมือน “องค์กรที่คลี่ออกมาจากที่เคยซ่อนตัวเองอยู่นั้น” (unfold หรือ implicate order ก็ได้) และหยดหมึกหรือองค์กรที่  “ซ่อนตนเอง” และ “คลี่ขยายตนเอง” (enfold and unfold) จะเคลื่อนตัวเองเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ แต่องค์กรที่จะแทนที่จะเป็นหยดหมึกที่อยูในน้ำเชื่อมที่ข้นเหนียวหนืดนั้นจะถูกแทนที่ด้วยสิ่ง 3 สิ่งที่จะกล่าวต่อไป  ซึ่งที่ว่าง อวกาศ (space) ของจักรวาลก็จะเป็นประหนึ่งน้ำเชื่อมที่ข้นนั้น ส่วน 3 สิ่งที่จะแทนหยดหมึกที่ค้างไว้นั้น หรือ 3 องค์กรคือ ความหมาย (meaning) ที่ผู้เขียนคิดว่าคือจิตไร้สำนึกนั้น หนึ่ง พลังงาน  (energy) หนึ่ง และสสารวัตถุ (matter) อีกหนึ่ง ทั้งหมดจะผลัดกันซ่อนเร้นตัวเองแล้วก็ผลัดกันคลี่ขยายตัวเองออกมาเรื่อยๆ

ที่ผู้เขียนพูดว่ามีความใกล้เคียงกับพุทธศาสนาก็เป็นดังได้อธิบายไว้ในคอลัมน์นี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  คือพุทธศาสนาในระยะแรกๆ บอกว่า ที่ว่างหรืออวกาศนั้นเป็นต้นตอที่กำเนิดของจิตไร้สำนึกก่อนจะมีจักรวาล หรือก่อนมีบิกแบ็งเสียอีก นั่นคือก่อนมีจักรวาลจะมีที่ว่างหรืออวกาศ จิตไร้สำนึกที่แยกออกจากกันไม่ได้กับพลังงานจะปรากฏขึ้นมาจากที่ว่าง อวกาศนั้น ตอนนี้ก็คล้ายๆ องค์กรซ่อนตัวเองที่คลี่ขยายออกมาจากองค์กรที่ซ่อนเร้นตนเอง (unfold ออกมาจากที่มันซ่อนเร้นตัวอยู่ enfold or implicate order)  ในที่ว่างอวกาศ - นั่นคือ ความหมายที่ผู้เขียนว่าคือจิตไร้สำนึกนั้น พอมีจักรวาลขึ้นมาแล้ว จิตไร้สำนึกก็เข้าไปอยู่ในทุกๆ ที่ว่าง (infiltrate and permeate) เรียกว่าจิตร่วมจักรวาลตามนักควอนตัมฟิสิกส์และเซอร์อาร์เธอร์ เอดดิงตัน บอก ซึ่งตรงกับที่ชวนจื่ออธิบายเต๋าไว้ ซึ่งองค์กรซ่อนตัวเองของโบห์มนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาขององค์การสหประชาชาติ (Erwin Laszlo) เรียกว่าควอนตัมสุญญากาศ (quant um vacuum) - ที่เดี๋ยวนี้พิสูจน์ได้ว่ามีจริง (Casimir’s effect) นั่นคือความว่างเปล่าที่เป็นความเต็มที่พุทธศาสนาบอก ที่ผิดไปก็ตรงที่พุทธศาสนาบอกว่าจิตปฐมภูมิแยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้หนึ่ง กับสสารวัตถุรุปกายที่แยกออกมาจากที่ว่างอวกาศ “หลัง” ที่มีจักรวาลแล้ว ซึ่งเดวิด โบห์ม  ไม่ได้บอกเช่นนั้นอีกหนึ่ง
ไม่ว่าจะเชื่อเดวิด โบห์ม ตามนักควอนตัมฟิสิกส์มีชื่อหลายคนเชื่อ หรือเชื่อในพุทธศาสนาเรื่องจักรวาลหรือไม่? แต่ผู้เขียนเชื่อ ความหมายไม่ใช่เรื่องของสมองแน่ๆ.


http://www.thaipost.net/sunday/101010/28515

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2537 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2844 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2122 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2089 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2139 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.4 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 12 มิถุนายน 2567 09:18:14