[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 พฤษภาคม 2567 21:15:05 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : วันนี้เราต้องมีจิตสำนึกใหม่-ฉุกเฉินด่วนจี๋ที่สุด  (อ่าน 1755 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553 08:25:02 »




วันนี้เราต้องมีจิตสำนึกใหม่-ฉุกเฉินด่วนจี๋ที่สุด


ชมรมจิตวิวัฒน์ตั้งมาร่วม 7 ปีแล้ว แต่สาธารณชนคนไทยโดยทั่วไปแม้แต่สมาชิกของชมรมเองบางคนก็ยังไม่เข้าใจว่าชมรมจิตวิวัฒน์นี้มีความสำคัญต่อคนไทยอย่างไร? จริงๆ แล้วชมรมนี้มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง นั่น-ผู้เขียนอาจจะพูดน้อยไปหน่อย ความจริงต้องพูดว่าชมรมจิตวิวัฒน์ - การวิวัฒนาการทางจิตของคนไทยกับมวลมนุษย์ทั้งโลก - มีคามสำคัญและจำเป็น อย่างที่สุด นั่น-โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันวันนี้และเดี๋ยวนี้ เพราะอะไรหรือ? ที่วิวัฒนาการทางจิตมีความสำคัญและจำเป็นต่อมนุษยชาติในวันนี้และเดี๋ยวนี้ถึงขนาดนั้น? นั่น-ก็อาจจะตอบคร่าวๆ ได้ว่า เพราะเป็นฝีมือของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยตัณหาราคะผู้ยิ่งใหญ่เอง ที่ไม่รู้แล้วทำเป็นรู้ มัวเมาอยู่กับเทคโนโลยีที่ทำร้ายและทำลายธรรมชาติ และระบบที่ผิดๆ แล้วไม่ยอมรับกัน ว่าไปแล้วมนุษยชาติกำลังเผชิญกับวิกฤติที่สุดจะยิ่งใหญ่เกินกว่าความรู้ที่ตั้งบนวัตถุกายภาพสถานเดียว ซึ่งเราคนไทยส่วนใหญ่มองเห็น แล้วเอามาตั้งเป็นระบบที่ผิดๆ ที่ว่ามาข้างบนนั้น วิกฤติที่จะทำให้ประชากรของโลกถึงร่วม 4.5 พันล้านคน ในประเทศด้อยพัฒนาสุดๆ ต่างๆ หรือประมาณ 85% ของประชากรของโลก ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้มีสภาวะภัยธรรมชาติ  เช่น น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่มหรือพายุร้าย ฯลฯ เพิ่มขึ้นมากจาก 120 ต่อปีในช่วงต้นๆ ของทศวรรษที่  1980 เป็นเกือบๆ 500 ครั้งต่อปีในปัจจุบัน (Oxfam report, 2007) นักวิชาการและนักคิดนักเขียนทั่วๆ ไปคิดว่านิยายเก่าและความเชื่อของเราเก่าๆ รู้สึกว่าเรามีไม่พอที่จะอธิบายธรรมชาติโลกหรืออะไรๆ ที่เราเชื่อและใช้อยู่เสียแล้ว มนุษย์ทั่วทั้งโลกจะต้องมีนิยายใหม่และระบบความเชื่อใหม่ๆ มาใช้แทน ทั้งคิดว่ามนุษยชาติจำต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยด่วน (global shift หรือ global transformation of   consciousness) โดยหันไปหาจิตที่ภายในหรือมีโลกทัศน์ใหม่ นั่นคือ เราต้องมีจิตสำนึกใหม่โดยเร็วอย่างฉุกเฉินด่วนจี๋เลย (เคยบอกมาแล้วว่าจิตไม่ใช่สมองและสมองไม่ใช่จิต สมองมีหน้าที่บริหารจิตไร้สำนึกร่วมจักรวาลให้เป็นจิตสำนึกใหม่ของปัจเจกแค่นั้น) มนุษยชาติถึงได้มีจิตสำนึกใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ

ในตอนนี้ช่วงต้นๆ ของศตวรรษที่ 21stนี้ เพราะอะไรและมีเหตุผลหรือข้อมีพิสูจน์อย่างไรหรือ? ที่นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ รวมทั้งนักคิดนักเขียนที่กล่าวมานั้นต้องมีระบบความเชื่อใหม่ และต้องมีการเปลี่ยนแปลงจิตใจหรือจิตสำนึกของเรา-ของมนุษยชาติด้วยเล่า? เหตุผลและข้อพิสูจน์มีมากมาย ซึ่งถ้าหากเราจะคิดสักนิดด้วยใจที่เปิดกว้างและไม่คิดถึง “ตัวกูของกู” มากเกินไป หรือไม่คิดเข้าข้างมนุษย์ว่าทำอะไรไม่ผิด (anthropocentric) มัวเมาอยู่กับการปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพ-ผิวกระจ่างใสของมนุษย์ - ไม่อินังขังขอบกับมหาวิกฤติภัยธรรมชาติสารพัดสารเพที่เห็นจะจะอยู่โทนโท่ของชาวบ้านต่างจังหวัดหรือทั่วๆ ไปทั่วทั้งโลก ซึ่งแสดงว่ามหันตภัยต่างๆ ขยับขยายมาใกล้ตัวอย่างไร? และระบบ - ไม่ว่าระบบการเมือง สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเศรษฐกิจที่สนับสนุนกิเลสตัณหาอย่างรุนแรง ซึ่งระบบทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่า ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่บนนิยายเก่าๆ และระบบความเชื่อเก่าๆ ทั้งนั้น ต่อไปนี้เราต้องเลือกเพียงอย่างเดียว คือ ระหว่างความตายการสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ หรือการเปลี่ยนแปลงทั้งปัจเจกกับโดยรวม การเปลี่ยนแปลง (transform) หรือวิวัฒนาการทางจิตหรือจิตวิวัฒน์  อันจะให้ระบบความเชื่อใหม่แก่เรา เรา-มนุษย์ทั้งหลายจะต้องรู้ว่า เราต้องพอกันทีที่จะปรับปรุงแก้ไขคุณภาพและประสิทธิภาพของมนุษย์เฉพาะแต่ทางกายภาพเสียที เลิกเชื่อนิยายเก่าความรู้เก่า “วัตถุเท่านั้น” เสียที เลิกรังแกธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเสียที ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์โดยรวมทั่วทั้งโลกจะมีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ (spiritual evolution) ตามที่ทุกศาสนาบอกไว้เสียที


 จริงๆ แล้วการแสวงหาโลกทัศน์ใหม่ การแสวงหาจิตวิวัฒนาการนั้นเริ่มต้นขึ้นในประเทศตะวันตกที่พัฒนามากๆ ก่อนแล้วจึงรวมกันยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อช่วงปลายๆ ศตวรรษที่แล้ว ยี่สิบปีมานี่เอง  แต่มาเพิ่มทวีในระยะหลังๆ โดยสึนามิจากแผ่นดินไหวที่สุมาตราที่ประเทศไทยก็มีผลกระทบอย่างแรง  โดยเฮอริเคนแคทรีนาที่ถล่มนครนิวออลีนส์ โดยมหาไต้ฝุ่นที่ทำลายพม่าไปบางส่วน หรือโดยแผ่นดินไหวที่เสฉวน ฯลฯ นั่น-ไม่นับวิกฤติที่ขนาดย่อมในที่อื่นๆ ซึ่งเมื่อไล่เรียงไปจริงๆ แล้วก็จะพบว่าจิตวิวัฒน์หรือวิวัฒนาการทางจิต (นาม) นั้นมีมาตั้ง 2,600 ปีมาแล้ว โดยเจ้าชายโคตะมะ สิทธัตถะ รัชทายาทของราชวงศ์สักกะที่อินเดีย หรือพระพุทธเจ้า ซึ่งเอ็กฮาร์ต ทอลเล ครูสอนสภาวะจิตวิญญาณ (spiritual  teacher) ที่ไม่ธรรมดาเอามากๆ ถึงกับพูดว่า “น่าจะเป็นคนแรกของโลกเลยที่มองเห็น “ความไม่รู้ของมนุษยชาติ” อย่างแจ่มกระจ่างและสมบูรณ์ (absolute clarity)” เขาพูดอีกว่า “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวล มนุษยชาติไม่ได้อยู่ที่ศิลปวรรณคดี ไม่ได้อยู่ที่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี แต่อยู่ที่ การรู้ว่าเรา-มนุษย์มีความเห็นผิด - อย่างไร (Eckhart Tolle : New Earth, 2006) นั่นคือ ความบ้าของเรา ...อนิจจา...มนุษย์หนอมนุษย์

ผู้เขียนรู้สึกว่า ชีวิตต่างๆ รวมทั้งมนุษย์เราด้วยมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับน้ำอย่างที่จะแยกออกจากกันไม่ได้ น้ำจึงจำเป็นต่อชีวิตที่สุด น้ำประกอบเป็นสัดส่วนถึงกว่า 70% ของร่างกาย นั่นคือชีวิตทั้งหมดทั้งสิ้นที่มีชีววิวัฒนาการหรือการอุบัติขึ้น ดำรงอยู่ สืบเนื่องเปลี่ยนแปลงในขั้นแรกสุดที่ในน้ำก่อน พื้นดินที่มนุษย์และสัตว์ที่เรียกว่าสัตว์บกทั้งหลายล้วนมีบรรพบุรุษดึกดำบรรพ์อยู่ในน้ำทั้งหมดเลย โดยไม่มีอะไรยกเว้น รวมทั้งพืชพรรณต้นไม้ทั้งหลาย และน่าแปลกที่หากว่ามนุษย์ทั้งหมดทั้งสิ้น - ตัวแทนสุดท้ายของมวลชีวิตทั้งหลาย - สิ่งที่อยู่ภายในหรือจิตของตัวเองนั้น เราคิดว่าไม่มีและไม่เคยรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการได้เหมือนกับรูปกายที่มองเห็นและหลงใหลชนิดที่ใครจะแตะต้องหรือตำหนิไม่ได้ รูปกายวัตถุเราเรียกว่า แม็ตทีเรียลิซึ่ม (materialism) ที่อยู่กับเรามาตั้งแต่ยุคแห่งเหตุผล ไล่มาถึงยุคโคเปอร์นิกัส เคปเลอร์ และที่สำคัญคือ ทอมัส ฮอปส์ ก่อนที่ไอแซค นิวตัน อธิบายการเคลื่อนที่ของมวลวัตถุ และแรงดึงดูดของโลกที่นำมาซึ่งหลักการแม็ตทีเรียลิซึ่มอย่างว่าที่มีอยู่กระทั่งทุกวันนี้ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เช่น ในประเทศไทยเราและประเทศที่เพิ่งจะได้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมมาใหม่ๆ ของทวีปเอเชีย

เมื่อมนุษย์เราพบกับวิกฤตการณ์ที่เลวร้ายอย่างหมดปัญญาที่จะช่วยตัวเองได้อย่างซ้ำๆ ซากๆ  แถมยังเพิ่มทวีขึ้นทุกๆ ปี เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม และผลทางเกษตรเสียหายไปปีละมากๆ อย่างที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ นั่นคือเมื่อการอยู่รอดและปลอดภัยของชีวิตที่ถูกท้าทายและบั่นทอน จนกระทั่งใครที่อยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ แม้แต่รัฐบาลหรือองค์การสหประชาชาติก็หมดทางช่วย - วันนี้อาจจะช่วยได้ แต่วันหนึ่งเงินจะต้องหมดลง เพราะเก็บภาษีไม่ได้และไม่มีใครให้ - จะคิดโกงกินหรือเอาชนะกันไปถึงไหน? เวลามันหมดแล้วครับ! อนิจจา...มนุษย์หนอมนุษย์

แต่สภาพเช่นนั้นเอง เมื่อโลกมีการสูญเสียประชาโลกไปเพราะภัยธรรมชาติและการทะเลาะกัน  ส่วนหนึ่งจากแย่งธรรมชาติที่เหลือน้อย โดยเฉพาะคนหรือประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่มีอยู่แล้วก็จะทำให้มีความลำบากและมีการสูญเสียมากขึ้น ที่ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ค่อยๆ หายไป หรือที่ใหญ่ครั้งเดียวเช่นในปี 2012 - ที่ผู้เขียนเชื่อว่าอาจเป็นไปได้หากว่าเชื่อในทางจิตในทางศาสนาที่เชื่อเช่นนั้น - การสูญเสียประชากรโลกทั้งนั้น นี่ - คือความจำเป็นที่สุดจำเป็น เพราะว่าโลกและจักรวาลนี้จะขาดมนุษย์โดยสิ้นเชิง  - ตัวแทนของชีวิตและที่สำคัญกว่า คือชีวิตที่ได้มีวิวัฒนาการทั้งสองด้าน ทั้งในด้านของกายและด้านของจิต - ไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ดังที่เคยได้บอกมาแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกปรากฏการณ์ในจักรวาลอันนี้ ต่างล้วนมีหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งสิ้นเลย และจักรวาลก็มีหน้าที่สำคัญเพียงอย่างเดียว นั่นคือเพื่อให้สรรพสิ่งที่อุบัติขึ้นในจักรวาลนี้ “จะต้อง” มีวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจตาไปตลอดกาล  แต่ทว่าจักรวาลนี้ก็ “จะขาดหรือไม่มี” มนุษย์เลยก็ไม่ได้อย่างเด็ดขาดอีกเหมือนกัน (cosmological  anthropic principle) นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่าโลกเรานี้อย่างดีที่สุดจะสามารถเลี้ยงดูประชากรโลกอย่างทั่วถึงประมาณ 2,500-3,000 ล้านคนเท่านั้น แต่โลกเรามีประชากรในปัจจุบันกว่า 2 เท่าตัว ในขณะที่สิ่งแวดล้อมธรรมชาติกับโลกนั้นไม่มีทางขยายตัวได้อีก ขณะนี้มนุษย์เราได้ใช้ธรรมชาติโลกติดลบไปแล้วถึง -30% นั่น - หมายความว่ามนุษย์ได้ใช้เกินทุนที่โลกจัดหามาให้โดยที่มันงอกเงยหรือทดแทนไม่ทันมากขึ้นทุกๆ วัน และนั่นก็ไม่เคยคิดจะเฉลี่ยให้เท่าๆ กันเสียด้วย จึงก่อให้เกิดปัญหาของสังคมและการเมืองตามมา เพราะเรานำมาใช้แต่ระบบที่ผิดๆ ทั้งนั้นเลย และสิ่งใดที่ผิดธรรมชาติแล้วธรรมชาติเองจะต้องจัดการทำให้มันถูกเสีย ปัญหามันอยู่ที่ว่าโลกจะพังไปก่อนที่มนุษย์จะรู้สึกตัวแล้วถึงได้คิดจะแก้ไขหรือไม่? คิดให้รอบว่าจักรวาลที่มีทั้งกายและจิต เราจะคิดแต่กายแต่วัตถุเท่านั้นหรือ?

ผู้เขียนคิดว่า เมื่อจักรวาลแห่งนี้มีทั้งกายและจิตก็ย่อมจะมีวิวัฒนาการของทั้ง 2 อย่างนั้น  (conscious and cognized) มนุษย์เรานั้นฉลาดแล้วฉลาดอีกสมกับความหมายที่มีมาตั้งแต่โบราณยิ่งนัก  คำว่า มนุษย์แปลว่า ผู้ประเสริฐ และโฮโม ซาเปียนส์ ซาเปียนส์เองก็แปลว่า มนุษย์ที่ฉลาด ฉลาด) จะฉลาดได้ต้องมีสมอง มีสติปัญญา มีจิตสำนึกใหม่ - เพื่อจะบริหารเปลี่ยนจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาล (universe unconsciousness continuum) ให้เป็นจิตรู้ของปัจเจก จิตร่วมโดยรวมของจักรวาลมาจากจิตปฐมภูมิที่แยกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ และเป็นคุณสมบัติของที่ว่างนิรันดร (ultimate or  eternal space) ที่อยู่นอกจักรวาล-มีมาก่อนจักรวาลนี้กับจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุดทั้งหลาย พุทธศาสนาโดยองค์ทะไล ลามะ บอกเช่นนั้น และเอ็กฮาร์ต ทอลเล ก็บอกเช่นนั้น จิต (ไร้สำนึก) จึงมีมาก่อนจักรวาลในที่ว่างนั้น ซึ่งเอ็กฮาร์ต ทอลเล บอกว่าที่ว่างที่ไม่มีเวลา (timeless) หรือที่ว่างนิรันดรที่ว่านั้น ส่วนที่ว่างกับเวลาของไอน์สไตน์เป็นเรื่องของจักรวาลแห่งนี้ หลังจากที่มีบิ๊กแบ็งแล้ว มีจักรวาลอันนี้แล้ว มีสสารวัตถุแล้ว พูดง่ายๆ มีรูป (form) แล้ว และจิต (ไร้สำนึก) จะกลาย (หรือ identified ไปกับรูปนั้น) คือเป็นจิตสำนึกเมื่อมนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจกมีสมองแล้ว มีสติและรู้แล้วว่ากูคือผู้ที่รู้นั้น นั่นคือ ทันทีที่มีมนุษย์พร้อมกับสมองคนแรกเกิดขึ้นมาบนโลก เมื่อมนุษย์รู้สึกตัวและรู้ว่าตัวเองคือผู้ที่รู้สึกและคือผู้ที่รู้นั้น  (conscious and cognized) จักรวาลก็รู้สึกตัวและรู้ทันที พุทธศาสนาถึงได้บอกว่าจักรวาลอันนี้หรือแห่งนี้ มีแต่รูปกับนามเท่านั้น

 สมาชิกจิตวิวัฒน์ส่วนหนึ่งที่รวมผู้เขียนด้วยคิดว่าสภาวะจิตวิญญาณได้มาถึงแล้ว และสภาวธรรมจิตนั้นเองจะช่วยประชากรประเทศไทยและประชากรโลกไม่ให้ “สูญพันธุ์” ไปทั้งหมด จริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าดาวเคราะห์โลกจะเหลือประชากรเท่าไรในต้นศตวรรษหน้า แต่หลายๆ คนต้องสูญหายไปแน่ๆ ขอเพียงให้เรามี “สติ” แสวงหาสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) อันเป็นเป้าหมายของจักรวาล และที่สำคัญที่สุด ต้องทิ้งพฤติกรรมที่เกิดจากกายวัตถุอย่างเดียว โยนทิ้งระบบที่ผิดๆ เห็นแก่มนุษย์เท่านั้น ต่อไปนี้ เราต้องดูแลสิ่งแวดล้อมธรรมชาติทั้งหมดดุจดูแลตนเอง.


http://www.thaipost.net/sunday/241010/29109

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2499 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2778 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2091 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2038 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2089 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.42 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 13 มีนาคม 2567 11:07:31