แด่หนุ่มสาว : กฤษณมูรติ
ไปเถิดคนหนุ่ม โลกนี้เป็นของเจ้า
ไม่มีอะไรที่ทำไปแล้ว ไม่มีอะไรที่รู้ไปแล้ว
บทกวีที่ดีที่สุดยังไม่ได้เขียน
ทางรถไฟที่ดีที่สุดยังไม่ได้สร้าง
รัฐที่สมบูรณ์แบบยังไม่ได้คิดค้นออกมา
ทุกสิ่งทุกอย่างยังรอให้ลงมือแท้เทียว
ทุกสิ่งเลย
-- Lincoln Steffens
วัยหนุ่มสาวคือวันคืนที่ร่าเริงด้วยพลังกระปรี้กระเปร่า ด้วยจิตใจสดใหม่ของการสร้างสรรค์ คนหนุ่มสาวจึงเป็นชีวิตชีวาของโลกและเป็นความหวังของวันพรุ่งนี้ แต่เวลาพรากเอาวัยหนุ่มสาวไปได้รวดเร็ว ใครที่ปล่อยวันผ่านไปโดยไม่ทันหยุดพิจารณา ก็อาจพบว่าตนได้กลายเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่ตนเองตั้งใจว่าจะไม่มีวันเป็นไปเสียแล้ว
กฤษณมูรติเขียนถึงประเด็นที่หนุ่มสาวควรใส่ใจในเล่มนี้ เช่นเรื่องของการศึกษา การทำความเข้าใจจิตใจของตนเอง เสรีภาพ และความรัก ประเด็นเหล่านี้น่าสนใจ เพราะหากเราไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาวแล้ว ก็เป็นได้ว่าเราจะไม่มีวันได้รู้จักมันเลย
หน้าที่สำคัญประการหนึ่งของหนุ่มสาวคือการเรียน เราใช้เวลาหลายปีในโรงเรียน แต่มีใครเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าเราเรียนไปเพื่ออะไร กฤษณมูรติเห็นว่าหน้าที่อันแท้จริงของการศึกษาคือเพื่อที่เราจะได้พบความหมายของชีวิตได้ด้วยตนเอง ปัญญาที่เกิดขึ้นต้องเป็นความสามารถที่จะคิดได้เองโดยอิสระ กล้าจะหลุดจากกรอบของประเพณี สังคม ความเชื่อ หรือสถาบันใดๆ การศึกษาต้องทำให้เราแต่ละคนพบว่าเราต้องการจะเป็นอะไร ต้องการทำอะไร ซึ่งการแสวงหานี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราปราศจากความกลัว
การยอมรับสิ่งต่างๆ ตามคนหมู่มากย่อมเป็นเรื่องน่าสบายใจกว่า เพราะมีความมั่นคงปลอดภัยในนั้น แต่ความคิดอิสระจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากเรายังกลัวการแบ่งแยกหรือโดดเดี่ยว เสรีภาพทางความคิดจะเกิดได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อเราได้ทำลายความกลัวลงเสียก่อน
ในวัยเยาว์ หนุ่มสาวควรจะทำความเข้าใจจิตใจของตนเองให้ถ่องแท้ คำกล่าวนี้อาจฟังดูแปลกประหลาดเพราะว่าวัยใดเล่าที่คนเราจะสับสนตัวเองเท่ากับวัยรุ่น แต่วัยนี้เองที่จิตใจจะเปี่ยมด้วยความใคร่รู้และพลังแห่งการค้นหา วัยเยาว์ทำให้เราสามารถจะรู้สึกและสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง คนหนุ่มสาวไม่จำเป็นต้องฝืนจิตใจให้เป็นคนดี หรือหักห้ามความรู้สึกเพียงเพราะเห็นว่าไม่ถูกไม่ควร แต่เราควรมีความรู้สึกที่แรงกล้า กฤษณมูรติเขียนถึงเรื่องนี้ได้น่าจับใจว่า
"เมื่อรู้สึกว่ามีกิเลสก็จงมี เมื่อโกรธก็จงโกรธ แต่จงเฝ้ามองดูมัน หยอกล้อกับมัน แสวงหาความจริงจากมัน เพราะถ้าเธอไปกดมันไว้ ถ้าเธอบอกตัวเองว่า 'ฉันจะโกรธไม่ได้ ฉันมีกิเลสไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผิด' ถ้าเธอคิดดังนั้นจิตใจของเธอก็จะถูกจำกัดไว้ด้วยแวดวงแห่งความคิด และความนึกคิดของเธอนั้นเล่าก็จะกลับตื้นเขิน เธออาจจะฉลาดมาก อาจจะมีความรู้แบบครอบจักรวาล แต่ถ้าไร้ซึ่งพลังแห่งความรู้สึกอันลึกซึ้งดื่มด่ำเสียแล้ว ความเข้าใจของเธอก็จะเป็นเหมือนดอกไม้ที่ไร้กลิ่นหอม"
ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ควรรู้จักและเข้าใจให้ดีตั้งแต่วัยหนุ่มสาวคือความรัก ความรักเช่นนี้มิใช่การครอบครอง ไม่ใช่การตอบสนองว่าฉันรักเธอเพราะเธอรักฉัน หรือฉันรักเธอเพราะฉันต้องการเธอ แต่เป็นรักที่ไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน "แม้แต่ความรู้สึกที่ว่าเธอกำลังให้อะไรบางสิ่งอยู่ก็ไม่มี"
"เธอรู้ไหมว่าการรักผู้อื่นนั้นหมายถึงอะไร การรักต้นไม้ นกหรือสัตว์เลี้ยงหมายถึงอะไร ควรหมายถึงการเอาใจใส่เลี้ยงดูทำนุบำรุง แม้ว่ามันจะไม่ให้อะไรตอบแทนเลยก็ตาม แม้ว่ามันจะมิได้ให้ร่มเงา ไม่ได้คอยติดตาม ไม่ได้คอยพึ่งพิงเราเลยก็ตาม คนส่วนใหญ่มิได้มีความรักไปในทำนองนั้น คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าใจความรักในทำนองนี้ เพราะความรักของเราถูกกีดขวางอยู่ด้วยความหงุดหงิดกังวล ความอิจฉาริษยาและความกลัว ซึ่งทำให้เราต้องไปพึ่งพิงผู้อื่นทางใจ โดยการต้องการจะเป็นที่รักของคนอื่น เราไม่ต้องการเพียงแค่จะไปรักใครสักคน และเพียงแต่รักโดยไม่หวังผลตอบแทน แต่เรากลับต้องการเรียกร้องเอาบางสิ่งบางอย่างกลับคืน และในการเรียกร้องนั้นเองก็เท่ากับว่าเราได้พึ่งพิงขาดเสรีในตัวเองแล้ว"
เสรีภาพเป็นของคู่กับความรัก เมื่อเรามีเสรีในความคิดและรู้จักรัก จิตใจก็จะเติบโตอย่างไม่มืดบอด เราจะได้มองดูชีวิตด้วยความริเริ่ม และเมื่อนั้นเองที่หนุ่มสาวจะสร้างโลกใหม่ได้
"ความหวังของโลกใหม่อยู่ที่ตัวเธอ ผู้ซึ่งเริ่มมองเห็นว่าอะไรเป็นสิ่งผิด และทำการปฏิวัติล้มล้างสิ่งผิด มิใช่การปฏิวัติด้วยคำพูดเท่านั้น แต่จะต้องลงมือกระทำ และนี่เป็นสาเหตุที่เธอจะต้องแสวงหาระบบการศึกษาที่ถูกต้อง มีเพียงการเติบโตในเสรีภาพเท่านั้นจึงอาจจะทำให้เธอสามารถสร้างโลกใหม่ ซึ่งมิได้ตั้งอยู่บนประเพณี หรือเปลี่ยนแปลงไปด้วยลัทธิของนักปรัชญาหรือนักอุดมคติ"
ฉันประทับใจหนังสือเล่มนี้อย่างลึกซึ้งนักเมื่ออ่านครั้งแรกในวัยเข้ามหาวิทยาลัย หนังสือเล่มนี้ยังเป็นหนังสือที่มีความหมายที่สุดเล่มหนึ่งของวัยนั้นที่อ่านได้บ่อยครั้ง แด่หนุ่มสาว เป็นหนังสือที่หนุ่มสาวทุกคนน่าจะได้อ่าน เพราะจุดความคิดที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะการแสวงหาและกล้าคิดในแบบของตนเอง เหตุที่ควรอ่านตั้งแต่วัยหนุ่มสาวก็เพราะเราควรได้ใคร่ครวญและค้นหาก่อนที่จิตใจของเราจะกลายเป็นใจเฉยชาของผู้ใหญ่ ที่หมดคำถามความสงสัยกับชีวิต ได้แต่ยอมรับและมั่นคงอยู่ในอาณาเขตส่วนตัวที่เรากั้นให้ตัวเอง คุณค่าของหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้หนุ่มสาวหลายต่อหลายรุ่นมาแล้ว ฉันเป็นคนหนุ่มสาวรุ่นก่อนที่อยากแนะนำหนังสือดีเล่มนี้ให้คนรุ่นต่อไป
เพราะความหวังของโลกใหม่อยู่ที่ตัวเธอ
เกี่ยวกับผู้เขียน Jiddu Krishnamurti (1895 - 1986) เกิดที่มัทนปาล อินเดีย ได้ศึกษาต่อที่อังกฤษเมื่ออายุ 16 ปี เพื่อเตรียมให้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของโลก ในปี 1929 กฤษณมูรติละทิ้งบทบาทนี้ และใช้ชีวิตพเนจรไปที่ต่างๆ โดยกล่าวว่า
Truth is a pathless land, and you cannot approach it by any path whatsoever, by any religion, by any sect. Truth, being limitless, unconditioned, upapproachable by any path whatsoever, cannot be organized; nor should any organisation be formed to lead or to coerce people along any particular path.
กฤษณมูรติเสียชีวิตที่สหรัฐอเมริกา
เกี่ยวกับผู้แปล พจนา จันทรส้นติ เกิดที่กรุงเทพ มีผลงานแปลบางส่วนคือ วิถีแห่งเต๋า กุญแจเซ็น แด่หนุ่มสาว งานแปลความเรียงของเดวิด ธอโร และงานแปลที่เกี่ยวกับอินเดียนแดงอีกหลายเล่ม ผลงานเขียนคือ ขลุ่ยไม้ไผ่ ทางสายใบไม้ร่วง คืนหอมฯ
แด่หนุ่มสาว : กฤษณมูรติ แปลโดยพจนา จันทรสันติ
ISBN 974-7014-01-7 มูลนิธิโกมลคีมทอง ๑๒๐ หน้า