[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มิถุนายน 2568 21:50:55 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: Xianggelila แชงกรีล่า ( Shangri-La ) ที่พร่าเลือน  (อ่าน 1690 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.271 Chrome 50.0.2661.271


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 08 สิงหาคม 2559 23:18:07 »

นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ฉันมาเยี่ยมเยือนเมืองแห่งนี้...Xianggelila...หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อแชงกรีล่า Shangri-La...





ภาพเมืองเล็กๆ ในเขตเทือกเขาหิมาลัยที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,600 เมตร ทำให้ท้องฟ้าซึ่งดูเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมเป็นสีฟ้าสดใส ตัดกับทุ่งหญ้าสีน้ำตาลที่แทรกตัวอยู่ระหว่างเนินเขา มีฝูงจามรีเล็มหญ้าอย่างอ้อยอิ่งอยู่หน้าบ้านดินสีครีมทรงสี่เหลี่ยมแบบทิเบต ธงมนต์หลากสีสันที่ผูกอยู่ตามสถูปปลิวไสวไปตามสายลมแรง...งดงามตราตรึงใจราวกับดินแดนในฝัน...









กลับมาครั้งนี้แชงกรีล่าของฉันก็ยังคงสวยงามไม่แตกต่างไปจากเมื่อปีก่อนเท่าไรนัก เพียงแต่เหมือนว่าจะมีแสงไฟนีออนสว่างมากขึ้นหน่อยนึง แล้วผู้คนก็ใช้ Smart phone กันมากขึ้น...เหมือนกับในส่วนอื่นๆ ของโลกนั่นแหละ ฉันคิดขณะที่กำลังนั่งรถแท็กซี่เหมาจากสถานีรถบัสมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง



คนแก่ๆ หน่อยจะเรียกเมืองแห่งนี้ว่า "Zhongdian" ซึ่งแปลงมาจากชื่อเมืองในภาษาทิเบตว่า Gyalthang...ก่อนเดินทางมาถึงที่นี่  ฉันถามเด็กๆ ที่ลี่เจียงว่า "รู้ไหมว่ารถบัสคันไหนไป Zhongdian? " เด็กๆ ทำหน้างง แล้วถามกลับมาว่า Zhongdian นี่เมืองไหน จนฉันต้องเปลี่ยนไปถามด้วยชื่อเป็น Xianggelila แทน สามีภรรยาชาวกว่างโจวที่พบกันระหว่างเดินทางก็เช่นเดียวกัน แม้พวกเขาจะกำลังนั่งกินอาหารอยู่ในเมืองเก่า Xianggelila แต่เขากลับถามแม่ค้าว่า Zhongdian อยู่ที่ไหน



ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ เมื่อปี 2001 นี้เอง Zhongdian ถูกเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ให้ไพเราะชวนฝันกว่าเดิมว่า "Shangri-La" ตามชื่อเมืองในจินตนาการ จากนิยายยุค 30's เรื่อง Lost horizon ของ James Hilton ซึ่งเป็นเมืองมหัศจรรย์อันงดงาม สงบและสันติที่ซ่อนอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเทือกเขาคุนลุน นิยายเรื่องนี้โด่งดังมากถึงขนาดถูกนำไปสร้างเป็นหนังถึง 2 ครั้งด้วยกัน จนมีหลายต่อหลายเมืองพากันออกมาเคลมว่า "เมืองฉันนี่แหละคือแชงกรีล่า" ทั้ง Yating ในเสฉวน หรือหมู่บ้าน Hunza ที่พรมแดนจีน-ปากีสถาน แต่สุดท้ายรัฐบาลจีนผู้เล็งเห็นศักยภาพในการกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวของ Zhongdian ก็ฉกฉวยโอกาสนี้ โดยได้มอบชื่อ Shangri-La ให้กับเมืองเล็กๆ ชายแดนเขตทิเบตคามแห่งนี้ แต่ด้วยความที่ชื่อ Shangri-La ออกเสียงยากไปเสียหน่อยสำหรับคนจีน จึงเกิดชื่อใหม่ที่ถูกปรับให้เข้ากับลิ้นของคนจีน ชื่อนั้นก็คือ Xianggelila หรือ Shangri-La ในแบบจีนๆ นี่เอง จนกระทั่งชื่อเมืองเก่า Zhongdian ค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา





ส่วนในเขตเมืองเก่าของ Xianggelila นั้นเต็มไปด้วยร้านรวงมากมายกระจายอยู่ตามตึก 2 ชั้นสไตล์ทิเบต  ทั้งร้านขายของที่ระลึกซึ่งมีแม่ค้าในชุดพื้นเมืองเยี่ยมหน้าออกชักชวนให้นักท่องเที่ยวเข้าไปดูกงล้อมนตรา หรือหวีเขาจามรีในราคาพิเศษ  ทั้งร้านอาหารปิ้งย่างที่บนเตามีเนื้อและผักนานาชนิดเสียบไม้เล็กๆ ย่างควันฉุยส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยลอยไปตามลม ทั้งร้านกาแฟร้านเบเกอรี่ ที่มีบราวนี่ก้อนพอดีคำดูน่ากินวางโชว์อยู่หน้าเคาเตอร์  ทั้งเกสต์เฮาส์เล็กๆ ตกแต่งเก๋ไก๋ มีธงสีสดใสถูกโยงประดับประดาระหว่างตึก แม้ว่าจะเป็นเขตเมืองเก่า แต่ตึกเหล่านี้กลับเพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ให้เป็นแบบ"ทิเบตแท้ๆ" แทนตึกเดิมซึ่งถูกทุบทิ้งเพราะดูจะ"ตามสมัย"เกินไป คงเหลือตึกเก่าจริงๆ อยู่เพียงไม่กี่หลังเท่านั้นเอง...ตอนที่ฉันรู้ ฉันเองก็ตกใจเหมือนกันว่า "เมืองเก่าอันสวยงามน่ารักแห่งนี้เป็นของเก่าปลอมหรือนี่!!"...แต่กระนั้นภายในตึกเก่าปลอมๆ เหล่านี้ก็มีคนทิเบตจริงๆ ซึ่งใช้ชีวิต อยู่อาศัย ทำมาหากิน เป็นไกด์ทัวร์ เปิดโรงแรม เปิดร้านอาหารอยู่ที่นี่...





นร้านอาหารหม้อไฟทิเบตที่ติดป้ายชื่อภาษาอังกฤษ ชาวทิเบตกลุ่มใหญ่กำลังนั่งดูข่าวทีวีกันอยู่ ชายชราเดินละจากหน้าจอมาต้อนรับฉันอย่างยิ้มแย้มพร้อมทั้งส่งเมนูอาหารให้ แม้ข้างในร้านจะอับๆ ทึมๆ แต่ก็อบอุ่น ชายวัยกลางคนปรี่เข้ามารอรับออเดอร์ สักครู่หญิงชราก็นำชามาเสิร์ฟ เธอชักชวนให้ฉันสั่งชาเนยจามรีแบบทิเบต อาหารเครื่องดื่มถูกเด็กวัยรุ่นหน้าตาคมเข้มทะยอยนำมาวาง วางเสร็จก็กลับไปดูทีวีต่อแล้วก็หัวเราะเฮฮา พลางพูดคุยกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างออกรส...ไปๆ มาๆ ร้านอาหารแห่งนี้มีพนักงานมากกว่าลูกค้าเสียอีก...ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...หม้อไฟเนื้อจามรีตุ๋นมื้อนั้นอร่อยกลมกล่อมมากจริงๆ... 



คนขับแท็กซี่เหมาของฉันก็เป็นคนทิเบต ภายในรถแวนยี่ห้อ Toyota ของเขาห้อยผ้ามนต์ และมีกงล้อมนตราแบบตั้งโต๊ะที่ติดแถบพลังงานแสงอาทิตย์และมีช่องใส่ถ่าน ทำให้กงล้อมนต์ของเขาหมุนอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน เขามีผิวสีน้ำตาลนวล รูปร่างผอม ตาเรียวยาวสีน้ำตาล จมูกโด่งเป็นสันสวย แต่ผมของเขาดูมันๆ คล้ายไม่ค่อยได้สระ ระหว่างขับรถเขาจะฟังเพลงทิเบต หรือไม่ก็เพลงภาษาจีนที่ร้องกับทำนองทิเบตเสมอ เขาออกเสียงภาษาจีนกลางไม่ค่อยชัด บางครั้งก็ดูติดจะเขินอายและตะขิดตะขวงใจที่จะพูดซ้ำเมื่อฉันถามเพราะไม่เข้าใจ แม้จริงๆแล้วที่ฉันถามเพราะไม่เก่งภาษาจีนไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจแต่เฉพาะเขาก็ตาม



ด้วยความที่ Xianggelila ตั้งอยู่ชายแดนเขตทิเบตคามติดกับเขตของชาวฮั่นทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของแค้วนยูนนาน ไม่ห่างไกลนักจาก Lijiang เมืองท่องเที่ยวชื่อดัง รวมทั้งยังได้รับการโปรโมตจากรัฐบาลจีน ทำให้ Xianggelila กลายเป็นเมืองสำคัญของเขตปกครองตนเองทิเบต Diqing และมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีทีเดียว เมื่อเทียบกับเขตปกครองตนเองทิเบตอื่นๆ ที่นี่มีทั้งถนนคอนกรีตที่แม้จะขรุขระอยู่บ้างบางจุด  มีขนส่งมวลชนที่แม้จะไม่ทั่วถึงนัก มีสัญญาณโทรศัพท์ มีสนามบินเล็กๆ ที่เพิ่งเปิด มีโรงพยาบาลหลายแห่งที่แม้จะไม่ใหญ่เท่าไหร่ มี Supermarket มีร้านขายอุปกรณ์อีเล็กทรอนิค ที่แม้จะดูเก่าๆ แต่ก็มี MacBook มี iPhone ขายอยู่เหมือนกัน แลดูมีคุณภาพชีวิตที่ไม่เลวนัก





แม้จะไม่ได้ดีเท่าชาวจีนในเมืองใหญ่แต่ก็ไม่เหมือนกับภาพของชาวทิเบตชนเผ่าเร่ร่อนผู้ลำบากยากแค้น อยู่อาศัยตามกระโจม เลี้ยงสัตว์หากินตามมีตามเกิดอย่างที่เห็นบ่อยๆในหนังหรือสารคดี...ชาวทิเบตรุ่นใหม่ๆ ที่นี่ไม่ได้ใส่ชุดพื้นเมืองอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นพวกเขานิยมห้อยประคำศักดิ์สิทธิ์คู่ไปกับชุดสมัยนิยม ส่วนชุดพื้นเมืองจะใส่ก็เฉพาะโอกาสพิเศษ หรือเป็นเครื่องแบบสำหรับไกด์ พนักงานโรงแรม หรือเป็นนักแสดงโชว์ต่างๆ นี่อาจเป็นของแลกเปลี่ยน เมื่อ"ความเจริญ"เข้ามา "วัฒนธรรมดั้งเดิม"ก็ค่อยๆ หายไป ...





กระนั้นหากมองว่า"วัฒนธรรม"เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และปรับเปลี่ยนตัวเองไปทุกวันอยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็อาจเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่นี้เท่านั้นหรือเปล่า? ว่าแต่ปรับเปลี่ยนแค่ไหนถึงจะพอเหมาะพอดี?  ในโลกปัจจุบันที่มนุษย์ดำรงชีพด้วยเงินตรา ไม่ต้องพูดถึงประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบทุนนิยมขนาดใหญ่อย่างจีน วัฒนธรรมมักจะถูกนำมาแปลงให้เป็นมูลค่า เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยว เกิดการกระจายรายได้ มีเงินไหลเวียนเข้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตชาวบ้านและพัฒนาท้องถิ่น Xianggelila ก็เป็นเมืองหนึ่งที่วัฒนธรรมถูกนำมาสร้างมูลค่า...แต่หากวัฒนธรรมทิเบตซึ่งเป็นวัฒนธรรมชายขอบจางหายไปเสียล่ะ หากวัฒนธรรมกระแสหลักของชาวฮั่นไหลบ่าเข้ามาพร้อมกับนักท่องเที่ยวล่ะ...นี่อาจเป็นการบ้านของ Xianggelila ในอนาคต...





ระหว่างเดินเล่นในเมือง ฉันชอบถ่ายรูปตึกรามบ้านช่องและวิถีชีวิตผู้คนไปเรื่อยๆ คนส่วนมากมักจะยิ้ม และแอ็คท่าเก๋ๆ ให้กับกล้อง แต่ขณะที่ฉันกำลังยกกล้องขึ้นจะถ่ายลามะองค์หนึ่ง ท่านกลับเดินหลบไปอย่างรวดเร็ว...ทำให้ฉันเกิดความคิดว่า อีกสิ่งหนึ่งที่ชาวเมืองท่องเที่ยวจะต้องแลก อาจคือความเป็นส่วนตัวที่หายไป เมื่อชาวบ้านกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยว กลายมาเป็นส่วนประกอบของภาพถ่ายที่สวยงาม ไม่รู้ว่าเขาจะอึดอัดใจบ้างรึเปล่านะ?



ที่จตุรัสแสงจันทร์ (Moonlight square) ท้ายเมืองเก่ามีพิพิธภัณฑ์ของรัฐบาล สร้างขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาและเป็นไปของ Xianggelila เปิดให้เข้าชมฟรี แม้ว่าฉันจะเคยได้อ่านเรื่องราวของทิเบต เรื่องการปฎิวัติวัฒนธรรมจีน การเผาวัดวาอาราม การเนรเทศองค์ดาไลลามะ จนถึงข่าวการประท้วง การจลาจล และการเผาตัวตายของชาวทิเบตเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและความเท่าเทียมกันทางสังคมระหว่างชาวทิเบตกับชาวฮั่น รวมถึงข่าวการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลจีนอยู่บ้าง แต่ข้อมูลในพิพิทธภัณฑ์นี้กลับถูกนำเสนออย่างสวยงาม มีภาพพระลามะออกมาคล้องผ้าต้อนรับกองทัพปลดปล่อยประชาชน ภาพชาวทิเบตเต้นรำแสดงความยินดีที่ได้รับการปลดปล่อยโดยกองทัพอันเป็นที่รัก







ในขณะเดียวกันก็มีข้อมูลว่าวัดลามะสำคัญ Sumtseling ถูกกองทัพปลดปล่อยประชาชนเผาทำลายในปี 1959 แต่ก็ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี 1983 และปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองที่รัฐบาลจีนให้เกรด AAAA ซึ่งฉันคิดว่าสวยงามมากจนน่าจะได้เกรด AAAAA อันเป็นเกรดสูงสุดด้วยซ้ำ ระหว่างเดินเล่นภายในวัดฉันแอบเห็นรูปบูชาขององค์ดาไลลามะที่รัฐบาลจีนประนามว่าเป็นผู้สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนของชาวทิเบต...ทำให้ฉันนึกสงสัยนักว่าภายใต้ข้อมูล 2 ชุดที่ย้อนแย้งกันเหล่านี้ ชาว Xianggelila อยู่กันอย่างไร และมีความรู้สึกอย่างไร?...



ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เห็นความขัดแย้งอะไรที่นี่ ชาวบ้านต่างทำมาหากินกันตามปกติ ก็นะ...ฉันเป็นแค่นักท่องเที่ยวคนหนึ่ง...การที่ฉันไม่เห็นก็ไม่ได้แปลว่้าจะไม่มีความขัดแย้งอยู่เลย...แต่ที่แน่ๆ คือไม่เคยเกิดรุนแรงจนเป็นพาดหัวข่าว นั่นก็ทำให้ฉันกิดคำถาม...หรือจะเป็นเพราะการกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวของ Xianggelila?...เนื่องจากใน Xianggelila นั้นประชากรส่วนใหญ่เป็นคนทิเบตหรือชนกลุ่มน้อยพื้นถิ่น การกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวทำให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทำให้คนท้องถิ่นมีงาน มีรายได้ เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เข้าถึงสาธารณูปโภค บริการสาธารณสุข และการคมนาคมที่สะดวกสบายขึ้น ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำลง รู้สึกว่าได้รับการดูแลจากรัฐบาลจีนอยู่บ้าง นอกจากนี้ยังคุ้นเคยกับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีที่ตั้งอยู่ชายแดนเขตทิเบตกับเขตของชาวฮั่น ห่างไกลจากใจกลางความขัดแย้ง อีกทั้งยังไ้ด้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวฮั่น...เพราะปัจจัยเหล่านี้หรือเปล่า ที่ไม่ทำให้เกิดบรรยากาศครุกรุ่นแบบนั้นที่นี่?...





ทุกๆ เช้าที่วัดบนเนินท้ายเมืองเก่าจะพลุกพล่านไปด้วยชาวบ้านที่พากันมาเดินสวดมนต์รอบกงล้อมนตรายักษ์ บ้างก็นับประคำในมือพร้อมกับงึมงำคำสวด บ้างก็หมุนกระบอกมนตราอันเล็กไปด้วย ควันธูปกรุ่นกลิ่นออกมาจากด้านหน้าโบถส์ซึ่งมีพระลามะกำลังง่วนกับการทำเทียนไขบ้าง ทำเครื่องถวายพระประธานบ้าง...พระสงฆ์ทิเบตก็ทำให้ฉันประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน ฉันที่คุ้นเคยกับพุทธศาสนาแบบหินยาน คุ้นชินกับพระสงฆ์ที่เคร่งขรึม รอบรู้ ศักดิ์สิทธิ์ และสูงส่ง ห้ามจับเงิน ห้ามถูกเนื้อต้องตัวสตรี ห้ามล้อเลียน แต่ที่นี่...





ฉันเห็นพระลามะขายประคำ ขายธงมนต์ ขายกงล้อมนตรา รับเงิน ทอนเงิน ท่องมนต์ให้พรผู้ซื้อและผู้บริจาค ขับรถเอง เดินดูคอมพิวเตอร์ ใช้ Tablet สวดมนต์ เข้ามาคุยเล่นกับนักท่องเที่ยว หัวเราะร่า ยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนเมื่อเห็นฉันจ้องมองด้วยความฉงน..."ทำไมพระที่นี่ดูเหมือนเราๆ จังเลย" ฉันคิดหลังจากที่ผ่านช่วงตกตะลึงไปแล้ว ดูเป็นมนุษย์แสนธรรมดาอย่างเราๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะละเลยการปฎิบัติกิจของสงฆ์ ฉันเห็นพระท่านสลับเปลี่ยนเวรกันไปศึกษาธรรมะ สวดมนต์ ทำสมาธิ ดูแลซ่อมแซมวัด หาบน้ำ ทำกับข้าว ซักผ้า กระนั้นก็ยังอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับเรา ขึ้นรถเมล์เบียดคนด้วยกัน เดินซื้อของในซูปเปอร์มาร์เก็ตเหมือนอย่างเราๆ ทำให้ฉันรู้สึกว่าพระสงฆ์ที่นี่ช่างดูเปิดเผย ดูเข้าถึงง่าย น่าจะพูดคุยปรึกษากันง่าย น่าจะเข้าใจเรา














"ศาสนาพุทธนี่ช่างแตกต่างหลากหลาย และมีอะไรมากมายที่น่าศึกษาจริงๆ กลับไปจะต้องลองศึกษาพุทธนิกายวัชรยานดูบ้างเสียแล้ว" ฉันคิดขณะเห็นลามะองค์หนึ่งถูกมือผู้หญิงเพื่อประคองประคำที่เธอเช่าไม่ให้ร่วงลงพื้น







Xianggelila ของฉันแม้จะไม่ได้งดงามไร้ที่ติราวกับเมืองสวรรค์ในจินตนาการ เป็นแชงกรีล่าที่อยู่ครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมกับความเป็นสมัยใหม่ พร่าเลือนระหว่างความเป็นทิเบตกับความเป็นจีน สับสนระหว่างการเป็นเมืองสงบกับเมืองท่องเที่ยว แต่ก็เป็นแชงกรีล่าที่สวยงามในแบบของมันเอง แม้ว่าความเจริญจะทำให้ภาพเมืองสวรรค์อันแสนบริสุทธิ์ของแชงกรีล่าเปลี่ยนไป แต่ฉันคิดว่าหากมันทำให้ความเป็นอยู่ของชาวเมืองดีขึ้น ก็ดีกว่าการ Freeze แชงกรีล่าให้เป็นเพียงแค่สวรรค์ของนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ฉันรักแชงกรีล่าในความพร่าเลือน ในความเปลี่ยนแปลง รักในความไม่สมบูรณ์แบบ และรักที่จะเห็นแชงกรีล่าค่อยๆ ก้าวเดินไป...แล้วถ้าโอกาสอำนวย...ค่อยพบกันอีกครั้งนะ Xianggelila







ปล. ระหว่างเรียบเรียงบันทึกการเดินทางชิ้นนี้ ในวันที่ 12 มกราคม ฉันก็ได้ทราบข่าวว่าเขตเมืองเก่าของ Xianggelila ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ และใช้เวลากว่า 10 ชม.ในการดับไฟ เนื่องจากถนนที่แคบจนไม่สามารถนำรถดับเพลิงเข้าไปได้
(http://www.telegraph.co.uk/news/worldnews/asia/tibet/10565437/Blaze-destroys-ancient-Tibetan-town-dubbed-Shangri-La.html )

ร้านค้าหลายร้าน ผู้คนหลายคนที่ฉันได้พบผ่านระหว่างการเดินทางคงได้รับผลกระทบไม่น้อย ฉันขอแสดงความเสียใจ และหวังว่าพวกเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ และยังคงสู้ต่อไป นอกจากนี้ฉันขอขอบคุณพวกเขาเหล่านั้นที่ทำให้ฉันได้พานพบประสบการณ์การเดินทางอันมีคุณค่าทั้งสองครั้ง...ฉันคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการส่งกำลังใจ กับการบันทึกเรื่องราวของ Xianggelila ก่อนที่จะถูกไฟไหม้ และแบ่งปันความงดงามของแชงกรีล่าในมุมมอง ในความทรงจำของฉัน ให้คนอื่นได้สัมผัสกับเสน่ห์ของสถานที่แห่งนี้บ้าง...





จาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=alitalia&date=04-02-2014&group=2&gblog=5

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.557 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 07 มิถุนายน 2568 03:38:58