สุรพศ ทวีศักดิ์: ปกป้องศาสนาจากอะไร
<span class="submitted-by">Submitted on Fri, 2023-12-22 00:52</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>สุรพศ ทวีศักดิ์</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 มาตรา 67 บัญญัติว่า </p>
<p style="margin-left: 40px;"><span style="color:#2980b9;">
“รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น </span></p>
<p style="margin-left: 40px;"><span style="color:#2980b9;">
ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย”</span></p>
<p>จะเห็นว่า รธน.มาตรานี้กำหนดให้รัฐทำ 4 เรื่องหลักๆ คือ</p>
<p>1. รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น</p>
<p>2. รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่ “หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท” เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา</p>
<p>3. รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มี “การบ่อนทําลายพระพุทธศาสนา” ไม่ว่าในรูปแบบใด และ</p>
<p>4. รัฐพึงส่งเสริมให้ “พุทธศาสนิกชน” มีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย</p>
<p>ขอให้สังเกตว่ามาตรานี้ระบุ “ศาสนาอื่น” ไว้เฉยๆ ในข้อ 1 ส่วนข้อ 2-4 เจาะจง “พุทธศาสนา” ล้วนๆ โดยข้อ 2 กำหนดให้รัฐส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแผ่ “หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท” ข้อ 3 รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มี “การบ่อนทําลายพระพุทธศาสนา” และข้อ 4 เจาะจงเฉพาะการส่งเสริมให้ “พุทธศาสนิกชน” มีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าว โดยเฉพาะข้อความ “การบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด” เปิดให้ตีความได้กว้างครอบจักรวาล กล่าวได้ว่าสาระสำคัญของ รธน. มาตรา 67 สะท้อนเจตนารมณ์ของ “รัฐพุทธศาสนาเถรวาท” กลายๆ</p>
<p><strong>พูดอีกนัยหนึ่ง รธน. มาตรานี้ลดทอนความเป็นรัฐโลกวิสัย (secular state) เพิ่มความเป็นรัฐศาสนา (religious state) มากขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมประเด็น “การแยกศาสนาจากรัฐ” (secularization) จึงควรถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอย่างจริงจัง หากต้องการเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย</strong></p>
<p>เราจะเข้าใจปัญหาพื้นฐานชัดขึ้น เมื่อย้อนพิจารณา “การปฏิวัติสยาม 2475” ที่ถึงแม้จะไม่ได้สถาปนารัฐโลกวิสัยแต่แรก เพราะไม่ได้แยกศาสนาจากรัฐอย่างเด็ดขาด แต่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญคือ เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ปกปครองโดยอำนาจกษัตริย์ที่อิงหลักศาสนาพราหมณ์ฮินดู-พุทธ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ (อย่างน้อยก็ใน “ทางทฤษฎี” ตามประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 และรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวของคณะราษฎร) ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ เป็นระบอบการปกครองทางโลกที่ไม่อิงหลักศาสนาใดๆ เพราะ “อำนาจอธิปไตย” (sovereignty) เป็น “อำนาจทางโลก” ที่มาจาก “ความยินยอม” (consent) ของประชาชนทุกคนไม่ว่าจะถือศาสนาใดๆ หรือไม่มีศาสนาก็ตาม ไม่เหมือนอำนาจอธิปไตยของกษัตริย์ที่อิงหลักศาสนาพราหมณ์ฮินดู-พุทธ ซึ่งเป็นอำนาจที่ถูกกำหนดมาจากเบื้องบนตามคติความเชื่อทางศาสนา </p>
<p>พูดอีกอย่าง การปฏิวัติสยาม 2475 ทำให้การปกครองของสยามเปลี่ยนจาก “การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามคติศาสนาพราหมณ์ฮินดู-พุทธ” มาเป็น “การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามคติโลกวิสัย” (regime of secularism)</p>
<p><strong>ดังนั้น รธน. มาตรา 67 จึงลดทอนความเป็นระบอบการปกครองประชาธิปไตยตามคติโลกวิสัย หรือลดทอนความเป็นโลกวิสัยทางการเมือง (political secularization) และเพิ่มความเป็นรัฐศาสนามากขึ้น เพราะเป็นมาตราที่กำหนดให้รัฐทำหน้าที่เหมือนรัฐศาสนา</strong></p>
<p>แต่จะว่าไปแล้ว รธน. มาตรา 67 คือผลสืบเนื่องของการลดทอนความเป็นระบอบการปกครองตามคติโลกวิสัยที่กระทำต่อเนื่องมายาวนาน กล่าวคือ ฝ่ายกษัตริย์นิยมและฝ่ายอนุรักษ์นิยมทางศาสนาได้พยายามลดทอนความเป็นโลกวิสัยทางการเมือง และเพิ่มความเป็นรัฐศาสนามาตลอด เริ่มตั้งแต่ รธน. ฉบับ 10 ธันวาคม 2475 แล้วที่บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ต้องทรงเป็นพุทธมามกะและอัครศาสนูปถัมภก” และว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้” ซึ่งเป็นการบัญญัติ “สถานะศักดิ์สิทธิ์แตะต้องไม่ได้ของกษัตริย์ตามคติพราหมณ์ฮินดู-พุทธ” ไว้ใน รธน. </p>
<p>ต่อมาเมื่อเกิดรัฐประหารครั้งต่างๆ ก็มีการเพิ่ม “อำนาจนำทางการเมือง” (hegemony) ของสถาบันกษัตริย์และเครือข่ายมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเพิ่มอัตราโทษมาตรา 112 สูงขึ้นด้วย ขณะที่องค์กรปกป้องพุทธศาสนาต่างๆ ก็เคลื่อนไหวต่อเนื่องเรียกร้องให้รัฐบัญญัติใน รธน. ให้พุทธศาสนาเป็น “ศาสนาประจำชาติไทย” แม้จะยังไม่สำเร็จ แต่ก็ทำให้รัฐมีหน้าที่อุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธศาสนาและศาสนาอื่นตาม รธน. มาตรา 67 ยังมีการตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และสำนักพุทธฯ ประจำจังหวัดต่างๆ ให้งบฯ อุดหนุนองค์กรพุทธศาสนา (และศาสนาอื่นๆ ที่รัฐรับรอง) มากขึ้น มีการบังคับเรียนวิชาพระพุทธศาสนาในหลักสูตรการศึกษาชาติชัดเจนขึ้น องค์กรอิสลามในไทยก็ได้กฎหมายเฉพาะทางศาสนา และงบฯ อุดหนุนศาสนามากขึ้นด้วยเช่นกัน เป็นต้น</p>
<p><strong>ถามว่า การปกป้องศาสนาตามเจตนารมณ์ของ รธน. มาตรา 67 และการปกป้องศาสนาขององค์กรศาสนา กลุ่มศาสนา และผู้รู้พุทธต่างๆ คือการปกป้องศาสนาจากอะไร? </strong></p>
<p>คำตอบตรงไปตรงมาคือ เป็นการปกป้องศาสนาจากการเปลี่ยนแปลงเป็นโลกวิสัยที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม 2 ลักษณะ คือ</p>
<p><strong>1. เป็นการปกป้องศาสนาจากการเปลี่ยนแปลงเป็นโลกวิสัยทางการเมือง (political secularization)</strong> โดยการบัญญัติรับรองอำนาจศักดิ์สิทธิ์แตะต้องไม่ได้ของกษัตริย์ตามคติพราหมณ์ฮินดู-พุทธไว้ใน รธน., การเพิ่มอัตราโทษมาตรา 112, การสร้างสถาปัตยกรรม “สัปปายะสภาสถาน” ที่สถาปนา “อุดมการณ์ทางการเมืองตามคติพราหมณ์ฮินดู-พุทธ” ไว้เหนือระบบรัฐสภาที่เป็นตัวแทนอำนาจอธิปไตยของประชาชน, การบัญัติให้รัฐอุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธศาสนาและศาสนาอื่นใน รธน., การแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ให้ขึ้นต่อ “พระราชอำนาจตามโบราณราชประเพณี” มากขึ้น, การก่อตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และสำนักพุทธฯ ประจำจังหวัด, การบังคับเรียนวิชาพระพุทธศาสนาในหลักสูตรการศึกษาชาติ, การผลักดันให้มี พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธศาสนา และอื่นๆ รวมทั้งการออกกฎหมายต่างๆ เพื่อให้สิทธิพิเศษทางศาสนาแก่องค์กรอิสลาม เป็นต้น </p>
<p>พูดอีกอย่าง สาระสำคัญของ “การปกป้องศาสนาจากการเปลี่ยนแปลงเป็นโลกวิสัยทางการเมือง” คือการปกป้องศาสนาจากการปรับตัวให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยโลกวิสัย การเคารพสิทธิมนุษยชน และการตีความศาสนาสนับสนุนสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเป็นธรรมทางสังคมและการเมือง ภราดรภาพ สันติภาพ เป็นต้น เพราะการปกป้องเช่นนี้คือการรักษาศาสนาไว้เพื่อเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ของชนชั้นปกครอง เช่น รักษาอำนาจสถาบันกษัตริย์ตามคติพราหมณ์ฮินดู-พุทธที่แตะต้องไม่ได้ไว้ใน รธน. รักษาระบบศาสนจักรของรัฐ หรือองค์กรศาสนาของรัฐที่เป็นกลไกสนับสนุนอุดมการณ์ทางการเมืองแบบราชาชาตินิยม และเพื่อรักษา “อภิสิทธิ์ทางศาสนา” (religious privileges) ขององค์กรศาสนาต่างๆ เช่น การมีกฎหมายให้อภิสิทธิ์ต่างๆ แก่องค์กรศาสนา ฐานันดรศักดิ์ของนักบวช กลุ่มผู้นำศาสนา เงินเดือน งบฯ อุดหนุนศาสนาขององค์กรพุทธ องค์กรอิสลาม เป็นต้น รวมไปถึงการบังคับเรียนศาสนาในโรงเรียน การก่อตั้งสำนักงานทางศาสนา งบฯ บุคลากรที่ทำงานสนับสนุนศาสนาและอื่นๆ </p>
<p><strong>2. เป็นการปกป้องศาสนาจากการเปลี่ยนแปลงเป็นโลกวิสัยทางสังคม (social secularization)</strong> เห็นได้จากวัฒนธรรมการปกป้องศาสนาของผู้รู้พุทธทั้งพระและฆราวาส (รวมทั้งผู้รู้มุสลิม) ที่นิยม “อ้างคัมภีร์” มาตัดสินความเชื่อทางศาสนาแบบบ้านๆ ว่างมงายหรือผิดหลักศาสนาที่แท้ในคัมภีร์ </p>
<p>ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันนี้คือการอ้าง “ไตรปิฎก” มาตัดสินความเชื่อ การตีความพุทธศาสนา การสอน และพิธีกรรมทางศาสนาของ “อาจารย์น้องไนซ์” ที่กำลังเป็นกระแสในโซเชียล แม้ในแง่หนึ่งอาจมองได้ว่าพฤติกรรมแบบน้องไนซ์เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม และการที่ผู้รู้พุทธออกมาวิจารณ์ ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนนักวิชาการออกมาวิจารณ์เรื่องต่างๆ ตามสาขาที่ตนเชี่ยวชาญ </p>
<p>แต่ในสังคมโลกวิสัย ศาสนาเป็น “ความเชื่อส่วนบุคคล” ที่ขึ้นอยู่กับ “เสรีภาพทางศาสนา” ซึ่งเป็น “เสรีภาพปัจเจกบุคคล” (individual freedom) เหมือนเสรีภาพทางเพศ คือคุณจะเลือกเชื่อศาสนา ตีความศาสนา สอนศาสนา หรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแบบไหนก็ได้ ตราบที่ไม่ละเมิดเสรีภาพคนอื่น เช่นเดียวกับคุณจะเลือกรสนิยมทางเพศแบบไหนก็ได้ ตราบที่ไม่ละเมิดเสรีภาพคนอื่น ใครก็ไม่มีสิทธิ์มาตำหนิคุณได้ว่าเลี้ยงลูกแบบไหนจึงไม่ให้เป็นชายจริง หญิงแท้ หรืออบรมลูกแบบไหนถึงให้เชื่อ ให้ตีความ ให้สอน หรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอย่างผิดหลักที่ถูกต้องในคัมภีร์ (ยกเว้นว่าพ่อแม่กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นการละเมิดสิทธิเด็ก เช่น ไม่ให้ลูกเรียนหนังสือ ใช้ลูกเป็นเครื่องมือปลูกฝังลัทธิศาสนาที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิเด็กในหลักสิทธิมนุษยชน เป็นต้น คนอื่น สังคม และรัฐจึงจะเข้าไปห้ามปรามได้)</p>
<p>อีกอย่าง การอ้างคัมภีร์ศาสนามาตรวจสอบตัดสินความเชื่อแบบบ้านๆ มันคือการอ้าง “อำนาจเหนือกว่า” โดยบุคคลที่มีสถานะเหนือกว่าคือ “ผู้รู้พุทธ” หรือผู้เชี่ยวชาญศาสนา เพราะคัมภีร์คือ “authority” ที่ใช้เป็นหลักตัดสินถูกผิดทางศาสนาของศาสนจักร และผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา ประเพณีการอ้างคัมภีร์ตัดสินถูกผิดจึงเป็นประเพณีสืบทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณและยุคกลาง แต่ศาสนจักรที่มีอำนาจรักษาคำสอนที่ถูกต้องในคัมภีร์ ก็มักจะกระทำผิดหลักคำสอนในคัมภีร์เสียเอง จึงตลกร้ายที่ผู้รู้พุทธในปัจจุบันอ้างคัมภีร์มาตรวจสอบความเชื่อแบบบ้านๆ ว่าผิดหลักศาสนาที่ถูกต้อง แต่ไม่อ้างตรวจสอบระบบอำนาจศาสนจักรที่ผิดหลักคำสอนที่ถูกต้อง ซ้ำการอ้างคัมภีร์ของผู้รู้พุทธก็สอดคล้องกับกระแสการเรียกร้องให้มหาเถรสมาคม และสำนักพุทธฯ เข้ามาจัดการความเชื่อหรือการกระทำที่ผิดหลักพุทธที่แท้ แม้ว่าผู้รู้พุทธจะไม่ได้เรียกร้องเช่นนั้นเองก็ตาม</p>
<p><strong>น่าสังเกตว่าการมีชื่อเสียงของ “ผู้รู้พุทธ” ทั้งพระและฆราวาสยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะพวกเขาสามารถนำหลักคำสอนพุทธที่แท้จริง (ตามที่พวกเขาเชื่อ) มาช่วยให้สังคมดีขึ้น เช่น เป็นสังคมที่มีเสรีภาพ เป็นธรรม มีสันติภาพมากขึ้นอย่างเป็นที่ประจักษ์ แต่การมีชื่อเสียงของบรรดาผู้รู้พุทธเกิดจากการอ้างคำสอนพุทธที่แท้ตามคัมภีร์ไปตรวจสอบความเชื่อแบบบ้านๆ ทว่ากลับไม่ได้อ้างตรวจสอบอำนาจรัฐ และศาสนจักรอย่างเป็นที่ประจักษ์แต่อย่างใด</strong></p>
<p>ที่น่าเศร้าคือ ไม่มีผู้รู้พุทธทั้งพระและฆราวาสกระแสหลักสามารถตีความพุทธธรรมสนับสนุนเสรีภาพ ความเสมอภาค ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนได้เท่านักวิชาการต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ในประเทศที่เป็น “ศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก” อย่างไทยเลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามบรรดาผู้รู้พุทธไทยที่อ้างว่าสวรรค์ นิพพานมีจริง พวกเขามักไม่เชื่อในคุณค่าของเสรีภาพ ความเสมอภาค หรือมักแสดงความเห็นทำนองว่า “เสรีภาพ ความเสมอภาคไม่มีจริง” ดังนั้น พวกเขาจึงรับใช้เผด็จการทั้งโดยตรงและโดยอ้อมมาตลอด </p>
<p>บทบาทของผู้รู้พุทธไทยที่อ้างว่าปกป้องศาสนา จึงเป็นการปกป้องศาสนาจากการเปลี่ยนแปลงเป็นโลกวิสัยทางสังคม ซึ่งมีนัยสำคัญเป็นการรักษาศาสนาไว้สนับสนุนอำนาจของชนชั้นปกครองและสร้างวัฒนธรรมทางความคิดที่ขาดความอดกลั้น (tolerance) และเปิดกว้างต่อความเชื่อที่หลากหลายทางศาสนา ไม่ว่าจะผิดหรือถูกตามคัมภีร์ก็ตาม ทุกคนก็ต้องมีเสรีภาพที่เท่าเทียมในการนำเสนอความเชื่อของตน ตราบที่ไม่ละเมิดเสรีภาพคนอื่น</p>
<p>พูดอย่างถึงที่สุด การปกป้องศาสนาจะว่าไปแล้วก็คือเรื่องเดียวกันกับการปกป้องสถาบันกษัตริย์ เพราะหลักคำสอน, ความเชื่อทางศาสนา, และสถาบันศาสนาที่ถูกปกป้องแยกไม่ออกจากสถาบันกษัตริย์ ส่วนหลักคิด แนวทาง หรือวิธีการปกป้องก็เป็นแบบ “อนุรักษ์นิยมสุดขั้ว” เหมือนเดียวกันเลย คือเป็นการปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยโลกวิสัย ที่ต้องไม่มีอำนาจในนามศาสนาที่แตะต้องไม่ได้อยู่เหนือหลักเสรีภาพ และความเสอมภาค และไม่มีอภิสิทธิ์ทางศาสนาของศาสนจักร องค์กรศาสนา หรือกลุ่มศาสนาใดๆ อยู่เหนือหลักเสรีภาพและความเสมอภาคเช่นเดียวกัน </p>
<p><strong>ดังนั้น political secularization และ social secularization จึงเป็นแนวทางต่อต้านการปกป้องศาสนาแบบไทย เพื่อปลดปล่อยการเมืองให้มีเสรีภาพจากอำนาจที่แตะไม่ได้ตามคติศาสนาพราหมณ์ฮินดู-พุทธ และปลดปล่อยสังคมให้เป็นอิสระจากสังคมภายใต้อำนาจครอบงำทางศาสนา สู่สังคมโลกวิสัยที่มีเสรีภาพทางศาสนา เสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด และการแสดงออกอย่างแท้จริง</strong></p>
<p> </p>
<p>
<strong>ที่มาภาพ:</strong>
https://www.matichon.co.th/columnists/news_560 </p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">บทคว
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/12/107330