[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 มิถุนายน 2568 23:38:32 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรือปิศาจ คาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง  (อ่าน 321 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2637


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2567 15:42:23 »



เรือปิศาจ คาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง


เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่กางใบรับลมเต็มที่ ลำตัวเรืออยู่ในสภาพดี ภายในห้องครัวอยู่ในสภาพกำลังจัดเตรียมทำอาหาร สิ่งที่ขาดหายไปคือบนเรือไม่มีลูกเรือแม้แต่คนเดียว

สิ่งที่เกิดขึ้นกับการเดินทางเที่ยวสุดท้ายของเรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง (Carroll A. Deering) เป็นหนึ่งในเรื่องลี้ลับตลอดกาล ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้พวกเขาสละเรืออย่างกะทันหันและเกิดอะไรกับลูกเรือทั้ง 11 คนทั้งก่อนและหลังสละเรือ

เรือใบบรรทุกสินค้า 5 เสา คาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง ขนาดความยาว 255 ฟุต กว้าง 45 ฟุต สูง 26 ฟุต ต่อขึ้นในปี 1919 โดยบริษัท จี. จี. เดียริ่ง บริษัทชำนาญการต่อเรือที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาในสมัยนั้น มันถูกตั้งชื่อตามชื่อลูกชายเจ้าของบริษัท

วิลเลี่ยม เมอร์ริตต์ (William Merritt) หนึ่งในหุ้นส่วนบริษัทได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่กัปตันเรือ นำสินค้าถ่านหินจากบอสตันไปส่งยังบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินาและรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล กัปตันวิลเลี่ยมแต่งตั้ง เอส.อี. เมอร์ริตต์ (S.E. Merritt) บุตรชายเป็นต้นหน และจ้างชาวเดนมาร์กอีก 9 คนเป็นลูกเรือ

คาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง ออกเดินทางจากบอสตันในวันที่ 19 สิงหาคม 1920 แต่หลังจากออกเดินทางได้เพียงไม่นาน กัปตันวิลเลี่ยมเกิดป่วยกะทันหัน คาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง จึงแวะเทียบท่าที่เมืองลีเวส รัฐเดลาแวร์ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม เพื่อส่งตัวกัปตันวิลเลี่ยมไปพบแพทย์

วิลเลี่ยมป่วยหนักเกินกว่าจะทำหน้าที่กัปตันได้ เขาถูกส่งตัวไปรักษาโดยมี เอส.อี. เมอร์ริตต์ ติดตามคอยดูแลบิดา บริษัทจึงรีบส่งวิลลิส วอร์เมลล์ (Willis Wormell) ทำหน้าที่กัปตันคนใหม่ และว่าจ้าง ชาร์ล แมคลีลแลน (Charles McLellan) ทำหน้าที่ต้นหน

วันที่ 8 กันยายน เรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง เดินทางถึงปลายทางที่เมืองรีโอเดจาเนโร สินค้าที่นำมาถูกขนลง หลังจากนั้นลูกเรือได้รับอนุญาตให้พักผ่อนตามอัธยาศัย กัปตันวิลลิสได้พบกับกัปตันกู้ดวิน (Goodwin) เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ เขาได้ปรับทุกข์ว่า ต้นหนชาร์ลทำหน้าที่ไม่ได้เรื่องและมักสร้างปัญหาให้ แต่โชคยังดีที่ช่างเครื่อง เฮอร์เบิร์ต เบตส์ (Herbert Bates) เป็นคนมีฝีมือและไว้ใจได้

วันที่ 2 ธันวาคม เรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง ออกเดินทางจากเมืองรีโอเดจาเนโรเพื่อกลับสู่สำนักงานใหญ่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐเมน ต้นเดือนมกราคม 1921กัปตันวิลเลี่ยมสั่งให้แวะซื้อหาเสบียงบนหมู่เกาะบาร์บาดอสและอนุญาตให้ลูกเรือขึ้นบกพักผ่อน ซึ่งที่นี่เองเค้าลางของปัญหาได้เริ่มต้นขึ้น


สามเหลี่ยมอาถรรพ์
ชาร์ลถือโอกาสไปดื่มสุราในเมืองจนเมามาย เขานินทาหัวหน้ากับฮิวช์ นอร์ตัน (Hugh Norton) กัปตันเรือสโนว์ว่าเขาต้องคอยดูเส้นทางให้กัปตันวิลเลี่ยมตลอดเวลาเพราะวิลเลี่ยมสายตาไม่ดี แต่ก็ยังชอบมาแทรกแซงหน้าที่ของเขาไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือสั่งให้ลูกเรือทำอะไร วิลเลี่ยมก็จะเข้ามายุ่งเสมอๆเหมือนกับว่าไม่ไว้วางใจ

ไม่ได้แค่นินทาเฉยๆ ชาร์ลวางอำนาจบาทใหญ่ขู่อาฆาตมาดร้ายด้วยฤทธิ์ของน้ำเปลี่ยนนิสัยว่าจะจัดการกัปตันวิลเลี่ยมก่อนจะเดินทางถึงเมืองนอร์ฟอล์ก ร้อนถึงตำรวจบาร์บาดอสต้องมาควบคุมตัวชาร์ลไปสงบสติอารมณ์ในห้องขัง ทางด้านกัปตันวิลเลี่ยมก็ดีใจหายไม่ได้ถือสาเอาความแถมยังประกันตัวชาร์ลออกจากคุก

วันที่ 9 มกราคม เรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง เดินทางออกจากหมู่เกาะบาร์บาดอส เส้นทางการเดินเรือมุ่งหน้ากลับเมืองพอร์ตแลนด์ต้องผ่านดินแดนอาถรรพณ์ที่รู้จักกันในนามของ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" วันที่ 20 มกราคม เรือบรรทุกสินค้าของกองทัพสหรัฐ เอส.เอส. เฮวิตต์ นำวัตถุดิบและสารเคมีใช้ในการผลิตกระสุนปืน ออกเดินทางจากเมืองซาไบน์ รัฐเทกซัส ไปส่งเมืองพอร์ตแลนด์ ที่หมายปลายทางเดียวกันกับเรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง

เส้นทางการเดินเรือของเรือเอส.เอส. เฮวิตต์ ใกล้เคียงกันกับเส้นทางของเรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง วันที่ 25 มกราคม เรือเอส.เอส. เฮวิตต์ อยู่ห่างจากชายฝั่งทางตอนเหนือของรัฐฟลอริดาราว 250 ไมล์ กัปตันเรือได้วิทยุแจ้งสถานะว่าท้องทะเลเงียบสงบ เหตุการณ์ปรกติ และนั่นเป็นการติดต่อครั้งสุดท้ายก่อนที่เรือเอส.เอส. เฮวิตต์ พร้อมสินค้าเต็มลำและลูกเรือ 42 คนอันตรธานหายไปเฉยๆในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


ทำตัวประหลาด
วันที่ 29 มกราคม เรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง เดินทางมาถึงบริเวณแหลมลุ๊กเอาต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา สวนทางกับเรือประภาคารที่ทำหน้าที่ตรวจตราชายฝั่งและคอยระวังไม่ให้มีเรือแล่นเข้าไปใกล้แนวสันทรายใต้น้ำ

โทมัส จาคอปสัน (Thomas Jacobson) กัปตันเรือประภาคารสังเกตเห็นว่าเส้นทางการเดินเรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง นั้นแปลกๆ เขาใช้กล้องส่องทางไกลมองดู ก็พบว่าสมอเรือทั้ง 2 ข้างของเรือลำนั้นหายไป แต่เขากลับมองไม่เห็นชื่อเรือที่อยู่ระหว่างสมอเรือ

เมื่อมองไปยังหอบังคับการเรือ เขายิ่งรู้สึกประหลาดใจที่มีลูกเรือจำนวนมากอยู่ในหอบังคับการ ซึ่งโดยปรกติแล้วผู้ที่จะอยู่ในหอบังคับการจะมีแต่กัปตันเรือกับต้นหนเท่านั้น ลูกเรือคนอื่นจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในหอบังคับการ โทมัสพยายามมองหาผู้ที่แต่งเครื่องแบบกัปตันและต้นหน แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครในกลุ่มแต่งเครื่องแบบ
ชายผมแดง ร่างผอมสูงโย่ง ตะโกนบอกกัปตันโทมัสว่าพวกเขาสูญเสียสมอเรือระหว่างเจอพายุบริเวณแหลมเฟียร์ ขอให้เรือประภาคารช่วยส่งวิทยุไปบอกบริษัทเจ้าของเรือด้วย

หากแต่ว่าวิทยุของเรือประภาคารเสีย ไม่สามารถจะรับส่งวิทยุติดต่อกับใครได้ โทมัสจึงเป่านกหวีด ซึ่งเป็นกฎการเดินเรือที่เรือทุกลำจะต้องชะลอความเร็วให้เรือประภาคารแล่นเข้าใกล้เพื่อติดต่อสื่อสาร แต่เรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง ไม่ยอมชะลอความเร็ว ในขณะที่เรือประภาคารมีความเร็วเพียง 5 ไมล์ต่อชั่วโมง ไม่สามารถจะแล่นติดตามได้ โทมัสจึงได้แต่ยืนมองตาปริบๆโดยยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรือลำนั้นชื่ออะไร


สิ้นสุดการเดินทาง
วันที่ 30 มกราคม เฮนรี่ จอห์นสัน (Henry Johnson) กัปตันเรือเอส.เอส. เลค อีลอน รายงานว่า พบเรือบรรทุกสินค้า 5 เสากระโดงแล่นตามอยู่ไกลๆ เมื่อเวลา 15.30 น. และทิ้งหายลับตาไปราวเวลา 17.45 น. ขณะนั้นเรือเอส.เอส. เลค อีลอน อยู่ห่างจากแนวสันทรายใต้น้ำไดมอนด์ราว 25 ไมล์

แม้จะมองไม่เห็นชื่อเรือ แต่จากลักษณะของมันทำให้เฮนรี่เชื่อว่าเรือลำนั้นคือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง ซึ่งมันยังคงกางใบแล่นโดยไม่แสดงความผิดปรกติใดๆ ดูเหมือนว่ามันกำลังมุ่งหน้าไปยังแหลมแฮตเตอราสเช่นเดียวกับเรือเอส.เอส. เลค อีลอน

เวลา 19.00 น. เอส.เอส. เลค อีลอน มองเห็นสัญญาณไฟเตือนภัยเขตแนวสันทรายใต้น้ำไดมอนด์ ส่องสว่างมาจากเรือประภาคาร กัปตันเฮนรี่บังคับเรือห่างจากแนวอันตรายจนกระทั่งผ่านเลยเขตนั้นไปในเวลา 20.32 น. โดยมีเรือลำอื่นอีก 2 ลำแล่นขนานอยู่ห่างๆ ซึ่งบ่งบอกว่าเรือที่ผ่านมาในบริเวณนั้นสามารถมองเห็นไฟสัญญาณเตือนภัยแนวสันทรายใต้น้ำ

แม้ว่ากลางดึกของคืนวันนั้นจะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแนวชายฝั่งก็รายงานว่าไม่เห็นแสงไฟของเรือลำอื่นๆผ่านมาในบริเวณนั้นหลังจากเรือเอส.เอส. เลค อีลอน ผ่านไปแล้ว

เวลา 06.30 น. วันที่ 31 มกราคม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแนวชายฝั่งตกใจสุดขีดที่เห็นเรือบรรทุก 5 เสากระโดงเกยตื้นอยู่บนแนวสันทรายใต้น้ำไดมอนด์ เขารีบแจ้งเหตุไปยังหน่วยเหนือเพื่อขออุปกรณ์และกำลังคนกู้ภัย ไม่นานนักหน่วยกู้ภัยจากเมืองใกล้เคียงหลายคนระดมกำลังพยายามเข้ากู้เรือ หากแต่ขณะนั้นสภาพอากาศยังไม่เอื้ออำนวย มีคลื่นลมแรง หน่วยกู้ภัยไม่สามารถเข้าใกล้แนวสันทรายใต้น้ำได้

กว่าที่คลื่นลมจะสงบจนสามารถส่งหน่วยกู้ภัยเข้าไปได้ก็ล่วงเลยเข้าวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ลำตัวเรือยังคงอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ แต่ดาดฟ้าเรือถูกกระแสคลื่นกระแทกจนพังพินาศทำให้น้ำทะเลไหลทะลักเข้าสู่ใต้ท้องเรือจนเต็ม ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่บนเรือ สมุดบันทึกเอกสาร ปูมเรือ อุปกรณ์คำนวณเส้นทางและของใช้ส่วนตัวลูกเรือหายไปทั้งหมด

เรือกู้ชีพทั้ง 2 ลำหายไป แต่อาหารที่เตรียมไว้โดยยังไม่ถูกแตะต้องบ่งบอกว่าลูกเรือได้รีบด่วนสละเรืออย่างกะทันหัน หน่วยกู้ภัยพยายามลากเรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง ออกจากแนวสันทรายใต้น้ำ แต่ด้วยสภาพคลื่นลมแรงประกอบกับปริมาณน้ำจำนวนมากใต้ท้องเรือทำให้เรือไม่ยอมขยับเขยื้อน ในที่สุดวันที่ 4 มีนาคม ทีมกู้ภัยก็ยอมแพ้และจำใจระเบิดเรือทิ้งเพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายกับเรือลำอื่นๆ

จนกระทั่งปัจจุบันยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือคาร์รอลล์ เอ. เดียริ่ง และลูกเรือทั้ง 11 คน มันเป็นไปไม่ได้ที่ต้นหนชาร์ลเพียงคนเดียวจะก่อกบฏยึดเรือตามที่เคยขู่เอาไว้ด้วยฤทธิ์สุรา ถึงแม้เขาจะทำได้มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งเรือไป การเผชิญกับพายุกลางทะเลก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเรือที่ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ อีกทั้งการหนีลงเรือเล็กท่ามกลางพายุนั้นเป็นเรื่องไม่ฉลาดเท่าไรนัก

ภายหลังปรากฏว่ามีเรือลำอื่นอีกอย่างน้อย 9 ลำสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยในช่วงเวลาเดียวกันที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า จึงทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องลี้ลับที่สุดที่ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้



ที่มา www.sanook.com

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.253 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 12 ชั่วโมงที่แล้ว