[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 17:31:34 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติแห่งพระอัญญาโกณฑัญญเถระ (อนุพุทธประวัติ)  (อ่าน 288 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1240


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 16 เมษายน 2568 14:42:33 »


โกณฑัญญะพราหมณ์ ทำนายพระลักษณะเจ้าชายสิทธัตถะ

ประวัติแห่งพระอัญญาโกณฑัญญเถระ

สถานะเดิม
ดังได้สดับมา พระอัญญาโกณฑัญญะนั้น ได้เกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล ในบ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ ไม่ห่างจากกบิลวัตถุนคร มีชื่อว่า โกณฑัญญะ เจริญวัยขึ้น ได้เรียนจบไตรเพท และรู้ลักษณะมนตร์ คือ ตำราทายลักษณะ

ทำนายพระลักษณะ
ในคราวที่สมเด็จพระบรมศาสดาประสูติใหม่ พระเจ้าสุทโธทนะตรัสให้เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาเลี้ยงโภชนาหาร ในการทำพิธีทำนายลักษณะตามราชประเพณีแล้วเลือกพราหมณ์ ๘ คน จากพวกนั้นเป็นผู้ตรวจและทำนายลักษณะ

ครั้งนั้น โกณฑัญญพราหมณ์ยังเป็นหนุ่ม ได้รับเชิญไปในงานเลี้ยงด้วย ทั้งได้รับเลือกเข้าในพวกพราหมณ์ ๘ คน ผู้ตรวจและทำนายพระลักษณะ เป็นผู้อ่อนอายุกว่าเพื่อน พราหมณ์ ๘ คนนั้น ตรวจลักษณะแล้ว ๗ คน ทำนายคติแห่งพระมหาบุรุษเป็น ๒ ทางว่า ถ้าทรงดำรงฆราวาส จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกผนวช จักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ส่วนโกณฑัญญพราหมณ์เห็นแน่แก่ใจแล้ว จึงทำนายเฉพาะทางเดียวว่าจักเสด็จออกผนวช แล้วได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแน่

ตั้งแต่นั้นมาได้ตั้งใจว่า เมื่อถึงคราวเป็นอย่างนั้นขึ้นและตนยังมีชีวิตอยู่จักออกบวชตามเสด็จ

มูลเหตุแห่งการบวชในพระพุทธศาสนา
ครั้นเมื่อพระมหาบุรุษเสด็จออกผนวชแล้ว กำลังทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ โกณฑัญญพราหมณ์ทราบข่าวแล้วชวนพราหมณ์ผู้เป็นบุตรของพราหมณ์ผู้ตรวจทำนายลักษณะในครั้งนั้น และทำกาลกิริยาแล้ว ได้ ๔ คน คือ ภัททิยะ ๑ วัปปะ ๑ มหานามะ ๑อัสสชิ ๑ เป็น ๕ คนด้วยกัน ออกบวชเป็นบรรพชิต จำพวกภิกษุติดตามพระมหาบุรุษไปอยู่ที่ใกล้ เฝ้าอุปัฏฐากอยู่ด้วยหวังว่า ท่านตรัสรู้แล้ว จักทรงเทศนาโปรดภิกษุ ๕ รูปสำรับนี้ เรียกว่า ปัญจวัคคีย์ แปลว่าเนื่องในพวก ๕ เฝ้าอุปัฏฐากพระมหาบุรุษอยู่ตลอดเวลาทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาคณนาว่า ๖ ปี

ครั้นพระมหาบุรุษ ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาเต็มที่แล้ว ทรงลงสันนิษฐานว่ามิใช่ทางพระโพธิญาณ ทรงใคร่จะเปลี่ยนตั้งปธานในจิต จึงทรงเลิกทุกรกิริยานั้นเสีย กลับเสวยพระกระยาหารแค่นทวีขึ้น เพื่อบำรุงพระกายให้มีพระกำลังคืนมา พวกปัญจวัคคีย์สำคัญว่าทรงท้อแท้ต่อการบำเพ็ญพรตอันเข้มงวด หันมาเพื่อความเป็นผู้มักมากเสียแล้ว สิ้นเลื่อมใสสิ้นหวังแล้ว เกิดเบื่อหน่ายขึ้น ร่วมใจกันละพระมหาบุรุษเสียไปอยู่ ณ อิสิปตนมฤคทายวัน แขวงนครพาราณสี

พระคันถรจนาจารย์แก้ข้อความนี้ว่า ธรรมดานิยมให้ภิกษุปัญจวัคคีย์มาพบและอุปัฏฐากพระมหาบุรุษในเวลากำลังทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาเพื่อจะได้เป็นผู้รู้เห็น เมื่อถึงคราวทรงแสดงพระธรรมเทศนาคัดค้านอัตตกิลมถานุโยค จะได้เป็นพยานว่าพระองค์ได้เคยทรงทำมาแล้วหาสำเร็จประโยชน์จริงไม่ ครั้นถึงคราวต้องการด้วยวิเวก บันดาลให้สิ้นภักดีพากันหลีกไปเสีย

ฝ่ายพระมหาบุรุษ ทรงบำรุงพระกายมีพระกำลังขึ้นแล้ว ทรงตั้งปธานในทางจิตทรงบรรลุฌาน ๔ วิชชา ๓ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ทรงวิมุตติจากสรรพกิเลสาสวะบริสุทธิ์ ล่วงส่วน ทรงเสวยวิมุตติสุขพอควรแก่กาลแล้ว อันกำลังพระมหากรุณาเตือนพระหฤทัยใคร่จะทรงเผื่อแผ่สุขนั้นแก่ผู้อื่น ทรงเลือกเวหาไนยผู้มีปัญญาสามารถพอจะรู้ธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพเห็นปานนั้น ในชั้นต้น ทรงพระปรารภถึง อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร อันพระองค์เคยไปสำนักอยู่เพื่อศึกษาลัทธิของท่าน แต่เผอิญสิ้นชีวิตเสียก่อนแล้วทั้ง ๒ องค์

ในลำดับนั้น ทรงพระปรารภถึงภิกษุปัญจวัคคีย์ผู้เคยอุปัฏฐากพระองค์มา ทรงสันนิษฐานว่าจักทรงแสดงประถมเทศนาแก่เธอ ครั้นทรงพระพุทธดำริอย่างนี้แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินจากบริเวณพระมหาโพธิ ไปสู่อิสิปตนมฤคทายวัน

ปัญจวัคคีย์หลีกหนี
ฝ่ายพวกภิกษุปัญจวัคคีย์ ได้เห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล เข้าใจว่าเสด็จตามมาด้วยปรารถนาจะหาผู้อุปัฏฐากเนื่องจากความเป็นผู้มักมากนั้น นัดหมายกันว่า จักไม่ลุกขึ้นรับ จักไม่รับบาตรจีวร จักไม่ไหว้ แต่จักตั้งอาสนะไว้ ถ้าพระองค์ปรารถนาจะได้ประทับ

ครั้นพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ อันความเคารพที่เคยมา บันดาลให้ลืมการนัดหมายกันไว้นั้นเสีย พร้อมกันลุกขึ้นต้อนรับและทำสามีจิกรรมดังเคยมา แต่ยังทำกิริยากระด้างกระเดื่อง พูดกับพระองค์ด้วยถ้อยคำตีเสมอ พูดออกพระนามและใช้คำว่า อาวุโส. พระองค์ตรัสบอกว่า ได้ทรงบรรลุอมฤตธรรมแล้ว จักทรงแสดงให้ฟัง ตั้งใจปฏิบัติตามแล้ว ไม่ช้าก็บรรลุธรรมนั้นบ้าง เธอทั้งหลายกล่าวค้านว่า แม้ด้วยการประพฤติทุกรกิริยาอย่างเข้มงวดพระองค์ยังไม่อาจบรรลุอมฤตธรรม ครั้นคลายความเพียรเสียแล้วกลับประพฤติเพื่อความมักมาก ไฉนจะบรรลุธรรมนั้นได้เล่า

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเตือน พวกภิกษุปัญจวัคคีย์พูดคัดค้าน โต้ตอบกันอย่างนั้นถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง. พระองค์ตรัสเตือนให้เธอทั้งหลายตามระลึกในหนหลังว่า ท่านทั้งหลายจำได้หรือ วาจาเช่นนี้เราได้เคยพูดแล้วในปางก่อนแต่กาลนี้ ?

พวกภิกษุปัญจวัคคีย์นึกขึ้นได้ว่า พระวาจาเช่นนี้ไม่เคยได้ตรัสเลย จึงมีความสำคัญในอันจะฟังพระองค์ทรงแสดงธรรม  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสพระธรรมเทศนาเป็นประถม ประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณแก่พวกปัญจวัคคีย์ ในเบื้องต้น ทรงยกส่วนสุด ๒ อย่าง คือ กามสุขัลลิกานุโยค คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกามอันเป็นส่วนสุดข้างหย่อน ๑ อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า อันเป็นส่วนสุดข้างตึง ๑ ขึ้นแสดงว่า อันบรรพชิตไม่พึงเสพ ในลำดับนั้น ทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทาคือปฏิบัติเป็นสายกลาง ไม่ข้องแวะด้วยส่วนสุดทั้ง ๒ นั้น อันมีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ๑ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ๑ สัมมาวาจา เจรจาชอบ๑ สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ ๑ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ สัมมาวายามะ เพียรชอบ ๑ สัมมาสติระลึกชอบ ๑ สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ ๑

ในลำดับนั้น ทรงแสดงอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ ๑ สมุทัย เหตุยังทุกข์ให้เกิด ๑ ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ ๑ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ๑ ทุกข์ทรงยกสภาวทุกข์และเจตสิกทุกข์ขึ้นแสดง ทุกขสมุทัย

ทรงยกตัณหามีประเภท ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหาวิภวตัณหา ขึ้นแสดง ทุกขนิโรธ ทรงยกความดับสิ้นเชิงแห่งตัณหานั้นขึ้นแสดง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ทรงยกอริยมรรคมี องค์ ๘ คือ มัชฌิมาปฏิปทานั้นขึ้นแสดง

ในลำดับนั้น ทรงแสดงพระญาณของพระองค์อันเป็นไปในอริยสัจ ๔ นั้นอย่างละ ๓ ๆ คือ สัจจญาณ ได้แก่รู้อริยสัจ ๔ นั้น ๑ กิจจญาณ ได้แก่รู้กิจ อันจะพึงทำเฉพาะอริยสัจนั้น ๆ ๑ กตญาณ ได้แก่รู้ว่ากิจอย่างนั้น ๆ ได้ทำเสร็จแล้ว ๑ พระญาณทัสสนะ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ ยังไม่บริสุทธิ์เพียงใด ยังทรงปฏิญญาพระองค์ว่าตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณไม่ได้เพียงนั้น ต่อบริสุทธิ์แล้ว จึงทรงอาจปฏิญญาพระองค์อย่างนั้น ในที่สุดทรงแสดงผลแห่งการตรัสรู้อริยสัจ ๔ นั้น เกิดพระญาณเป็นเครื่องเห็นว่าวิมุตติ คือความพ้นจากกิเลสอาสวะของพระองค์ไม่กลับกำเริบความเกิดครั้งนี้เป็นครั้งที่สุด ต่อนี้ไม่มีความเกิดอีก

บรรลุโสตาปัตติผล
พระธรรมเทศนานี้ พระคันถรจนาจารย์เรียกว่า พระธรรมจักกัปปวัตนสูตร ๑ โดยอธิบายว่า ประกาศศพระสัมมาสัมโพธิญาณ (๑ . มหาวคฺค. ๔/ ๑๗ มหาวาร. ๑๙/ ๕๒๘.) เทียบด้วยจักรรัตนะ ประกาศความเป็นจักรพรรดิราช

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังตรัสพระธรรมเทศนาอยู่ ธรรมจักษุคือดวงตาคือปัญญาอันเห็นธรรมปราศจากธุลีมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ท่านผู้ได้ธรรมจักษุ พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่าเป็นพระโสดาบัน โดยนัยนี้ ธรรมจักษุได้แก่พระโสดาปัตติมรรค  ท่านโกณฑัญญะได้บรรลุโลกุตตรธรรมเป็นประถมสาวก เป็นพยานความตรัสรู้ของพระศาสดา เป็นอันว่า ทรงยังความเป็นสัมมาสัมพุทธให้สำเร็จบริบูรณ์ ด้วยเทศนาโปรดให้ผู้อื่นรู้ตามได้ด้วยอย่างหนึ่ง

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ท่านโกณฑัญญะได้เห็นธรรมแล้ว ทรงเปล่งพระอุทานว่า
       อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ
       อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ

แปลว่า โกณทัญญะได้รู้แล้วหนอ ๆ เพราะอาศัยพระอุทานว่า อญฺญาสิ ที่แปลว่า ได้รู้แล้ว คำว่า อญฺญาโกณฺฑญฺโญ จึงได้เป็นนามของท่านตั้งแต่กาลนั้นมา

พระสงฆ์รูปแรก
ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว ได้ความเชื่อในพระศาสดามั่นคงไม่คลอนแคลน ได้ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับด้วยพระวาจาว่า มาเถิดภิกษุ ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด  พระวาจานั้นย่อมให้สำเร็จอุปสมบทของท่าน ด้วยว่าในครั้งนั้น ยังมิได้ทรงพระอนุญาตวิธีอุปสมบทอย่างอื่น ทรงพระอนุญาตแก่ผู้ใด ด้วยพระวาจาเช่นนั้น ผู้นั้นย่อมเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อุปสมบทอย่างนี้ เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา ผู้ได้รับพระพุทธานุญาตเป็นภิกษุด้วยพระวาจาเช่นนี้ เรียกว่า เอหิภิกขุ

ทรงรับท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาด้วยพระวาจาเช่นนั้นเป็นครั้งแรก จำเดิมแต่กาลนั้นมา ทรงสั่งสอนท่านทั้ง ๔ ที่เหลือนั้นด้วยพระธรรมเทศนาเบ็ดเตล็ดตามสมควรแก่อัธยาศัย ท่านวัปปะและท่านภัททิยะได้ธรรมจักษุแล้วทูลขออุปสมบท พระศาสดาทรงรับเป็นภิกษุ ด้วยพระวาจาเช่นเดียวกัน

ครั้งนั้น พระสาวกทั้ง ๓ เที่ยวบิณฑบาต นำอาหารมาเลี้ยงกันทั้ง ๖ องค์  ภายหลังท่านมหานามะและท่านอัสสชิได้ธรรมจักษุแล้วทูลขออุปสมบท ทรงรับโดยนัยนั้น

การบรรลุพระอรหัตตผล
ครั้นภิกษุปัญจวัคคีย์ได้เห็นธรรม และได้อุปสมบทเป็นสาวกทั่วกันแล้ว สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสพระธรรมเทศนา เป็นทางอบรมวิปัสสนา เพื่อวิมุตติอันเป็นผลที่สุดแห่งพรหมจรรย์อีกวาระหนึ่ง ทรงแสดงปัญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นอนัตตา มิใช่ตน หากปัญจขันธ์นี้จักเป็นอัตตาเป็นตนแล้วไซร้ ปัญจขันธ์นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และจะพึงได้ในปัญจขันธ์นี้ว่า ขอจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะเหตุปัญจขันธ์เป็นอนัตตา จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และย่อมไม่ได้ตามปรารถนาอย่างนั้น ในลำดับนั้น ตรัสถามนำให้ตริเห็นแล้ว ปฏิญญาว่า ปัญจขันธ์

นั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา โดยเนื่องเหตุกันมาเป็นลำดับ แล้วทรงแนะนำให้ละความถือมั่นในปัญจขันธ์ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตปัจจุบัน ทั้งที่เป็นภายใน ทั้งที่เป็นภายนอก ทั้งที่หยาบ ทั้งที่ละเอียด ทั้งที่เลว ทั้งที่ดี ทั้งที่อยู่ห่าง ทั้งที่อยู่ใกล้ ว่านั่นมิใช่ของเรา นั่นมิใช่เรา นั่นมิใช่ตัวของเรา ในที่สุดทรงแสดงอานิสงส์ว่า อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในปัญจขันธ์ ย่อมปราศจากความกำหนัดรักใคร่ จิตย่อมพ้นจากความถือมั่น มีญาณรู้ว่าพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้ประพฤติจบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ไม่ต้องทำกิจอย่างอื่นอีก เพื่อบรรลุผลอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์

พระธรรมเทศนานี้ แสดงลักษณะเครื่องกำหนดปัญจขันธ์ว่าเป็น อนัตตา พระคันถรจนาจารย์จึงเรียกว่า อนัตตลักขณสูตร ๑ เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสพระธรรมเทศนาอยู่ จิตของภิกษุปัญจวัคคีย์ ผู้พิจารณาภูมิธรรมตามกระแสพระธรรมเทศนานั้นพ้นแล้วจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ท่านทั้ง ๕ ได้เป็นพระอรหันตขีณาสพ ประพฤติจบพรหมจรรย์ ในพระธรรมวินัยนี้ เป็นสังฆรัตนะจำพวกแรก เป็นที่เต็มแห่งพระไตรรัตน์ ประกาศสัมมาสัมพุทธภาพแห่งพระศาสดาให้ปรากฏ  ครั้งนั้น มีพระอรหันต์ทั้งสมเด็จพระสุคตด้วยเพียง ๖ พระองค์

ตามอรรถกถา สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ๒ ยังพระอัญญาโกณฑัญญะให้ตั้งในพระโสดาปัตติผล (๑ . มหาวคฺค ๔/ ๒๔. สํ. ขนฺธ. ๑๗/ ๘๒. ๒. สมนฺต. ตติย. ๑๙ ป. สู. ทุติย. ๒๕๙.)

เมื่อวันเพ็ญแห่งอาสาฬหมาส ตรัสเทศนาอนัตตลักขณสูตร ยังพระปัญจวัคคีย์ครบทั้ง ๕ ให้ตั้งในพระอรหัตตผล เมื่อดิถีที่ ๕ แห่งกาฬปักข์เป็นลำดับมา (ที่ในครั้งนั้น นับเป็นต้นแห่งสาวนมาส) โดยนัยนี้ ระยะกาลที่ทรงสั่งสอนท่านทั้ง ๔ ให้ตั้งในพระโสดาปัตติผล ๔ วันในระหว่างนั้น

เมื่อยสกุลบุตรกับสหายที่มีชื่อ ๔ คน และสหายที่ไม่มีชื่อ ๕๐ คนได้มาอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ และได้บรรลุพระอรหัตแล้ว มีพระอรหันต์ ๖๑ พระองค์ พระศาสดาทรงประชุมพระสาวก ตรัสให้เกิดอุตสาหะในอันเที่ยวจาริกสั่งสอนมหาชน ให้เห็นธรรมและตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ อันเป็นปัจจัยแห่งความสุขความสงบแล้ว ทรงส่งให้เที่ยวกระจายกันไปในทิศานุทิศ ส่วนพระองค์ก็จักเสด็จไปสู่มคธรัฐ

งานประกาศศาสนา
ครั้งนั้น ภิกษุปัญจวัคคีย์รับพระพุทธาณัติแล้ว ต่างแยกกันเที่ยวจาริก เพื่อสั่งสอนธรรมในต่างถิ่น กลับมาเฝ้าพระศาสดาโดยกาล  คราวหนึ่ง พระอัสสชิกลับจากจาริก มาสู่กรุงราชคฤห์เพื่อเฝ้าพระศาสดา  พระสารีบุตร ครั้งยังบวชเป็นปริพาชกได้พบ เลื่อมใสในมรรยาทอันสงบของท่าน ได้ขอให้ท่านแสดงธรรม ท่านแสดงหัวใจพระศาสนา คือ การกำหนดเหตุและผลทั้งข้างเกิดข้างดับ พระสารีบุตรได้ฟังธรรมจักษุแล้ว จึงชวนพระโมคคัลลานะผู้สหายซึ่งบวชเป็นปริพาชกอยู่ในสำนักเดียวกัน มาสู่พระธรรมวินัยนี้

เอตทัคคะ
ในพวกภิกษุปัญจวัคคีย์นั้น พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้รับยกย่องของพระศาสดาในฐานเป็นเอตทัคคะ คือ เป็นยอดเยี่ยมแห่งภิกษุทั้งหลายผู้รัตตัญญู แปลว่า ผู้รู้ราตรี คือผู้เก่าแก่อันชนผู้รัตตัญญู คือ ผู้เก่าแก่ในขณะนั้น ๆ ย่อมได้พบเห็นและสันทัดมาในกิจการของคณะ ย่อมอาจจัดอาจทำให้สำเร็จด้วยตนเองหรือบอกเล่าแนะนำผู้อื่น เป็นเจ้าแบบเจ้าแผนดุจผู้รักษาคลังพัสดุ ย่อมเป็นที่นับถือของผู้ใหม่ในคณะ แม้ในพระธรรมวินัยนี้ก็นิยมนับถือสาวกผู้รัตตัญญูดุจเดียวกัน สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงสรรเสริญพระเถระ ในฐานนี้

ปรินิพพาน
พระเถระเห็นอุปนิสัยของปุณณมาณพผู้หลาน ไปสู่พราหมณคามอันชื่อว่าโฑณวัตถุถิ่นเดิมของท่านแล้ว ยังปุณณมาณพให้บรรพชาแล้วมาพักอยู่ในพุทธสำนัก ท่านเองเป็นผู้เฒ่าอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้านไม่สบายได้ถวายบังคมลาพระศาสดาไปอยู่ป่าที่พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า สระฉันทันต์อันเป็นผาสุกวิหาร ได้นิพพาน ณ ที่นั้น ก่อนพุทธปรินิพพาน


นักธรรมโท – อนุพุทธประวัติ
หนังสืออนุพุทธประวัติที่พิมพ์ครั้งนี้ คงเค้าความตามฉบับเดิมเป็นแต่ชำระระเบียบอักษรให้ต้องกับนิยมในบัดนี้จนตลอด เพื่ออนุโลมให้ยุกติ เป็นระเบียบเดียวกันกับหนังสือแบบเรียนธรรมวินัยอย่างอื่น ๆ ที่ใช้เป็นหลักสูตรแห่งการเรียน ซึ่งพิมพ์ใหม่ในยุคนี้


โดยพระกระแสรับสั่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระสาสนโสภณ
วัดเทพศิรินทราวาส
วันที่ ๑ พฤษภาคม พ. ศ. ๒๔๖๙

รวบรวม/เรียบเรียงโดย กรม -วชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร
วันที่๘กุมภาพันธ์



ที่มา วัดป่ามหาชัย นครพนม

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 เมษายน 2568 14:44:53 โดย Maintenence » บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.314 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มิถุนายน 2568 07:42:47