24 มิถุนายน 2568 15:37:57
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
.:::
กิเลสของคนเหมือนกันทั้งโลก - พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: กิเลสของคนเหมือนกันทั้งโลก - พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม (อ่าน 1158 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออนไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1240
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
กิเลสของคนเหมือนกันทั้งโลก - พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม
«
เมื่อ:
25 กุมภาพันธ์ 2568 09:32:51 »
Tweet
กิเลสของคนเหมือนกันทั้งโลก
โดย
พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
(เทศน์ ๒๕ ธ.ค. ๖๖)
คณะครูบาอาจารย์ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทุกรูปทุกท่าน ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่มีอากาศที่มันหนาว ทำให้ร่างกายของเรานั้นเกิดความไม่สบายเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นก็พยายามทำร่างกายให้อบอุ่น เพราะว่าร่างกายของเรามันหนาวนัก มันก็สามารถที่จะแตกดับได้ ร้อนนักร่างกายของเราก็สามารถที่จะแตกดับได้ ร่างกายของเรานั้นต้องมีความอบอุ่นจึงสามารถที่จะดำรงชีวิตของเราสืบต่อไปได้
การที่เราทั้งหลายทั้งปวงได้มาเจออากาศหนาวๆ เราก็พยายามห่มผ้าอาภรณ์ต่างๆ ให้มีความอบอุ่น ร่างกายของเรามันก็จะทรงอยู่ได้ เพราะว่าการที่เราจะรักษาร่างกายของเราให้สืบต่อมีอายุไขยืนยาวนานไปได้แต่ละวันๆ นี้ก็เป็นของยากนะ ถ้าบุคคลใดไม่มีบุญจริงๆ ก็ไม่สามารถสืบต่อได้นะ เรามีบุญมีกุศลมีอายุสืบต่อมาถึงปลายปี ๒๕๖๖ นี้ก็ถือว่าเป็นบุญของเรามากนะ ที่เราสามารถสืบต่ออายุมาได้ถึงขนาดนี้
เราได้ฟังข่าวทีวี ทางอินเทอร์เน็ตอะไรต่างๆ ถ้าผู้ใดมีโทรศัพท์ ก็จะได้เห็นข่าวการตายการเกิดภัยพิบัติต่างๆ นั้นมากมาย แต่ละวันๆ เนี่ย เราสามารถที่จะรู้ข่าวในโลกของเราเนี่ย เราอยากจะรู้ข่าวประเทศไหน เราก็สามารถที่จะเข้าไปดูในอินเทอร์เน็ตได้ เราก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลง ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่มันเกิดขึ้นแก่คนทั้งหลายทั้งปวงในโลกของเรานี้
เมื่อเรามาพิจารณาดูความเปลี่ยนแปลงของโลก เราอยู่ที่เดียว แต่ถ้าเรามีอินเทอร์เน็ต เราก็สามารถที่จะดูความเปลี่ยนแปลงของโลก ว่าประเทศอเมริกาเขาทำอะไร ประเทศตะวันออกกลางเขาทำอะไรกันอยู่ เขาทำกิจกรรมอะไรบ้าง เราสามารถที่จะรู้ข้อมูลต่างๆ นั้นได้ บางวันก็มาพิจารณา เอ๊ สมัยนี้มันเป็นสมัยที่โลกมันอยู่ใกล้กัน สามารถดูในโทรศัพท์ในคอมพิวเตอร์ได้
เมื่อเราเข้าใจในลักษณะอย่างนี้แล้วเนี่ย ก็พิจารณาต่อไปอีกว่า คนทั้งหลายทั้งปวงที่เราเห็นอยู่ในโทรศัพท์ในคอมพิวเตอร์อะไรต่างๆ เนี่ย คนเหล่านั้นเขาทำอะไร คนเหล่านั้นมีความปรารถนาอะไร คนเหล่านั้นมีความมุ่งหมายอะไร เขาจึงทำกันอย่างนั้น เมื่อพิจารณาแล้วก็ได้เข้าใจว่า โอ้ คนทั้งหลายทั้งปวงนั้นน่ะ มีความโกรธ มีความโลภ มีความหลง มีราคะ มีมานะ มีทิฐิ มีตัณหา ต่างๆจึงแข่งดีแข่งเด่น พยายามแย่งถิ่นกันอยู่ พยายามแย่งคู่กันพิศวาส พยายามแย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ อันนี้เป็นส่วนที่ปรากฏในสังคมนะ ส่วนมากก็แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันพิศวาส แย่งอำนาจกันเป็นใหญ่เป็นส่วนมาก
คนก็จะต่างกันโดยเชื้อชาติ แต่กิเลสคือความโกรธ ความโลภ ความหลง ต่างๆ เนี่ยมันไม่ได้ต่างอะไรกัน ความโกรธ ความโลภ ความหลง นั้นมันก็ยังเป็นเหมือนเดิม เวลาโกรธเนี่ยมันเหมือนกันหมด เวลาราคะตัณหาครอบงำมันก็เหมือนกันหมด เวลาโมหะครอบงำมันก็เหมือนกันหมด แล้วคนทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นมาเนี่ย ดูหมิ่นดูแคลนกันเรื่องสัญชาติ ดูหมิ่นดูแคลนกันเรื่องเชื้อชาติ ดูหมิ่นดูแคลนกันเรื่องเผ่าพันธุ์ แต่กิเลสทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นอันเดียวกัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ไม่ให้ความสำคัญที่เผ่าพันธุ์ พระองค์ให้ความสำคัญที่กิเลสมีน้อยหรือมีมาก เมื่อคนทั้งหลายทั้งปวงหมดโลกเนี่ยมีกิเลสเหมือนกัน เมื่อมีกิเลสเหมือนกัน ความต้องการทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนกัน คนทั้งหลายทั้งปวงหมดทั้งโลกเนี่ยจึงมีความปรารถนาเหมือนๆ กัน เช่น ปรารถนารูป ปรารถนาเสียง ปรารถนากลิ่น ปรารถนารส ปรารถนาสัมผัส ปรารถนาอารมณ์ต่างๆ ที่ตนเองชอบ นี่คนบนโลกเนี่ยหลงอยู่ที่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นะ เพราะฉะนั้นโบราณท่านจึงกล่าวว่า คนหลงโลกก็คือคนหลงอารมณ์ คนหลงอารมณ์ก็คือคนหลงโลก
ในเมื่อชาวโลกทั้งหลายทั้งปวงนั้นปรารถนารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ปรารถนาอารมณ์ต่างๆ ก็หลงอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในอารมณ์เหล่านั้น เพราะฉะนั้น คนจึงหลงโลกคนจึงหลงอารมณ์ คนหลงอารมณ์ก็คือคนหลงโลก คนหมดโลกนั้นก็ปรารถนาแต่สิ่งเหล่านี้นะ เมื่อเราปรารถนารูป ปรารถนาเสียง ปรารถนากลิ่น ปรารถนารส ปรารถนาสัมผัส ปรารถนาอารมณ์ แล้วคนบนโลกก็ปรารถนาเหมือนกันหมด เมื่อปรารถนาเหมือนกันหมดก็แย่งกัน รูปไหนที่ดีที่เด่นที่เลิศก็แย่งกัน ประเทศไหนมีทรัพยากรธรรมชาติมากก็แย่งกัน เรียกว่า แย่งถิ่นกันอยู่นะ ประเทศไหนที่มีธรรมชาติดี สามารถที่จะมีผลประโยชน์ได้มาก ก็แย่งถิ่นกันอยู่ ยกทัพไปรบกัน แย่งถิ่นกัน เหมือนกับในสมัยที่ล่าอาณานิคม ก็รบราฆ่าฟันกัน อันนี้เรียกว่ายุคแย่งถิ่นกันอยู่นะ
ทุกวันนี้ก็ย่างเข้าสู่ยุคแย่งคู่กันพิศวาส ทุกวันนี้ก็ไม่ได้คิดว่าคนนี้เป็นสามีใคร คนนี้เป็นภรรยาใคร ไม่ได้คิด ทุกวันนี้นะ มีความพึงพอใจกันก็คบชู้สู่สมกัน ศีลธรรมมันบางเกินไป ศีลธรรมมันน้อยเกินไป เพราะฉะนั้น ในยุคปัจจุบันนี้จึงเป็นยุคแย่งคู่กันพิศวาส ไม่ได้คิดว่าเป็นเมียใครสามีใคร ถ้าพอใจก็เอาเลยอะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นจึงมีอยู่ทั่วทุกมุมแห่งโลกของทุกวันนี้นะ โลกของเราก็เลยเกิดความเดือดร้อน โลกของเราจึงได้เกิดความสับสน โลกของเราจึงเกิดความวุ่นวาย โลกของเราจึงไม่อยู่เย็นเป็นสุข เพราะคนขาดศีลขาดธรรม ศีลธรรมมันบางเกินไป
นอกจากนั้นก็เป็นยุคแย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ ประเทศไหนที่มีอำนาจ อย่างเช่นประเทศอเมริกา ประเทศรัสเซีย ประเทศจีน ประเทศใดที่มีพลเมืองเยอะๆ เนี่ย ก็จะออกกฎออกกติกาต่างๆ มีการทำการค้าการขาย มีการบริหารประเทศ เพื่อที่จะได้เปรียบประเทศต่างๆ ที่เป็นประเทศเล็กประเทศน้อย สรุปแล้วประเทศใหญ่ๆ นั้นท่านก็เรียกว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ เพราะฉะนั้น จึงแย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ เพื่อที่จะปกครองโลก ปกครองเศรษฐกิจ ปกครองการเมือง ปกครองการทหาร ปกครองการค้า อะไรต่างๆ ต้องการควบคุมโลกให้อยู่ในอำนาจของตนเอง ควบคุมเศรษฐกิจของโลกให้อยู่ในอำนาจของประเทศของตน เป็นต้น อันนี้เรียกว่าแย่งอำนาจกันเป็นใหญ่
คนทั้งหลายทั้งปวงตกอยู่ในสิ่งเหล่านี้ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เนี่ย มันเป็นอนิจจัง มันเป็นทุกขัง มันเป็นอนัตตานะ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เนี่ย มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คนหมดทั้งโลกนั้นแย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันพิศวาส แย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ แต่สิ่งทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมานี้มันตกอยู่ในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็แสดงว่าคนหมดโลกนั้นน่ะ มาแย่งชิงสิ่งที่มันไม่มีตัวมีตน มาแย่งชิงสิ่งที่มันไม่เที่ยง มาแย่งชิงเอาสิ่งที่มันเป็นทุกข์ คนหมดโลกนั้นมายึดเอารูป มายึดเอาเสียง มายึดเอากลิ่น เอารส เอาสัมผัส เอาธรรมารมณ์ ที่มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลองคิดดูสิว่า คนเหล่านั้นน่ะ จะประสบกับความสุขไหม จะประสบกับความเจริญรุ่งเรืองไหม คนเหล่านั้นก็จะไม่สามารถประสบกับความสุขได้ ยิ่งแสวงหายิ่งเกิดความทุกข์ ยิ่งแสวงหายิ่งเกิดความพลัดพราก ยิ่งแสวงหายิ่งเกิดความโศกความอาลัยความอาวรณ์ต่างๆ เพราะแสวงหาสิ่งที่มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เพราะฉะนั้น คนหมดโลกนั้นน่ะ จึงไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตนเองปรารถนา เพราะมันเป็นการแสวงหาสิ่งที่ไม่ถูก มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
หลวงพ่อพุทธทาส ท่านกล่าวว่า คนเหล่านี้เนี่ย ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าหอบฟาง ก็หอบอยู่อย่างนั้นแหละ คิดว่าฟางเรานี่มีค่ามาก ฟางเรามีราคามาก หวงแหนในฟางของตน แต่คนที่มีปัญญาเดินมาก็คิดว่า ผีบ้ามันหอบฟาง มันคิดว่าฟางมันมีค่ามีราคา เหมือนกับเราสำคัญว่ารูปมีราคานี่แหละ เหมือนกับเราสำคัญว่าเสียงมันมีราคานี่แหละ เหมือนกับเราสำคัญว่ากลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ต่างๆ มันมีราคานั่นแหละ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้มันตกอยู่ในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันจะมีราคาได้อย่างไร
เหมือนกับน้องสาวของหมอชีวกเนี่ย ซึ่งเป็นหญิงที่มีความสวยงามมาก เป็นหญิงโสเภณีนะ มีความงามมาก ผู้ใดจะนอนกับนางเนี่ย ต้องมีเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะเป็นอย่างต่ำนะ จึงจะได้เชยชมนาง แต่เมื่อนางได้ถึงกาละคือตายไปเนี่ย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นตรัสมาว่า ถ้านางถึงแก่กรรมแล้วเนี่ย เอาศพของนางไปไว้ที่พระลานหลวงเสียก่อน หลังจากนั้นมาให้ประกาศว่า ผู้ใดจะซื้อศพของนางสิริมา ราคา ๑,๐๐๐ มีไหม ไม่มีใครซื้อเลย ใครจะซื้อ ๙๐๐ มีไหม ใครจะซื้อ ๘๐๐ มีไหม ไม่มี ใครจะซื้อ ๑๐๐ มีไหม ใครจะซื้อ ๕๐ กหาปณะ มีไหม ใครจะซื้อ ๑๐ กหาปณะ มีไหม ใครจะซื้อ ๑ กหาปณะ มีไหม ไม่มี ให้ฟรีๆ ใครจะเอาไหม ศพนางสิริมา นางเป็นคนสวยงามมากนะ ให้ฟรีๆ ก็ไม่มีใครเอา ถึงสวยงามขนาดนั้นนะ ใครจะมาอยู่กับนางต้องได้เสียเงินเป็นหมื่นเป็นแสนต่อคืนนะ ถ้าเทียบเป็นเงินใน แต่เมื่อนางตายไปแล้วเนี่ย บาทเดียวก็ไม่มีคนเอา ให้เฉยๆ ก็ยังไม่มีคนเอา
เพราะฉะนั้น คนที่หลงอยู่ในรูปเนี่ย จึงหลงอยู่ในความเป็นอนิจจังทุ กขัง อนัตตา ในเมื่อรูปมันแก่มันเฒ่ามันตายมันแตกดับไปแล้ว ไม่มีใครอยากได้เลย ก็เหมือนกับว่าความปรารถนาของคนหมดโลกเนี่ย เป็นของสูญ เป็นของว่างเปล่า เหมือนกับสร้างวิมานในอากาศ มันไม่มีใครจะสร้างวิมานในอากาศได้ คนที่จะปรารถนาอะไรและสำเร็จตามความปรารถนาของตนเองจึงไม่มี ถ้าปรารถนารูป ปรารถนาเสียง ปรารถนากลิ่น ปรารถนารส ปรารถนาสัมผัส ปรารถนาอารมณ์เนี่ย คนปรารถนาสิ่งเหล่านี้เนี่ย ปรารถนาอย่างไรๆ มันก็ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จึงตรัสว่า เป็นโลกแห่งความผิดหวัง ปรารถนาเท่าไหร่ผิดหวังเท่านั้น เพราะเราปรารถนาในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น คนทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นมาแล้วจึงไม่สมหวังนะ มีแต่ผิดหวังทั้งนั้นแหละ เป็นโลกแห่งความผิดหวังนะ
เราทั้งหลายทั้งปวงที่มาพิจารณาธรรม เราจึงมองเห็นว่า โอ้ คนในยุคปัจจุบันนี้ เราคิดว่าเขาเจริญรุ่งเรือง เป็นฝรั่งมังค่า อยู่บนตึก ๑๐ ชั้น ๒๐ ชั้น อยู่บนตึก ๕๐ ชั้น ๑๐๐ ชั้น ประเทศเขามีความสะอาด มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ในจิตในใจของเขาน่ะก็มีความโง่เหมือนกัน คือตกอยู่ในอำนาจของความโกรธ ความโลภ ความหลง ตกอยู่ในอำนาของราคะ มานะ ทิฐิ ตัณหา เหมือนกัน ไม่ต่างอะไรกับเราเลยนะ ความโง่ของคนไทย ความโง่ของฝรั่ง ความโง่ของคนจีน ความโง่ของคนตะวันตกตะวันออก ก็โง่ด้วยอำนาจของราคะ โง่ด้วยอำนาจของโทสะ โง่ด้วยอำนาจของโมหะ ด้วยความโลภเป็นต้น
เพราะฉะนั้น กิเลสมันจึงเป็นอันเดียวกัน กิเลสคนไทย กิเลสฝรั่ง กิเลสคนลาว เขมร อะไรต่างๆ มันก็เหมือนกัน ราคะ โทสะ โมหะ เหมือนกัน เมื่อเราพิจารณาดูโลกแล้วนี่ โอ้ มันน่าสงสารนะ จบปริญญาตรี จบปริญญาโท จบปริญญาเอก แต่ผลสุดท้ายก็ตกอยู่ในอำนาจของความโกรธ ความโลภ ความหลง ราคะ ตัณหา เหมือนกันหมด นี่มันเป็นในลักษณะอย่างนี้นะ
เราทั้งหลายทั้งปวงมีโอกาสได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ได้มาเดินจงกรมนั่งภาวนาเนี่ย เป็นบุญล้นฟ้าล้นดินนะ คนหมดโลกก็ยังไม่มีบุญเท่ากับเรานะ เพราะคนหมดโลกนั้นหลงอยู่ในรูป หลงอยู่ในเสียง หลงในรส หลงอยู่ในอำนาจต่างๆ เราดูข่าวคราวต่างๆ มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้นนะ มีแต่เรื่องความโกรธ ความโลภ ความหลง มีแต่เรื่องราคะ มานะ ทิฐิ ตัณหา ทั้งนั้นเลยนะ แต่จะมีการเดินจงกรมนั่งภาวนา ได้สมาธิสมาบัติ ได้บรรลุมรรคผลพระนิพพาน ไม่มีนะ หายากมาก ก็มีแต่ที่ประเทศไทยของเรานี่แหละ หรือไม่ก็มีอยู่ในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา ก็มีไม่กี่ประเทศนะ ที่มีศาสนาสมบูรณ์ ศาสนาสมบูรณ์มากที่สุดในโลกก็คือประเทศไทยของเรานี่แหละ
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออนไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1240
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: กิเลสของคนเหมือนกันทั้งโลก - พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม
«
ตอบ #1 เมื่อ:
25 กุมภาพันธ์ 2568 09:34:32 »
เราทั้งหลายทั้งปวงมีโอกาสได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ได้มาเดินจงกรมนั่งภาวนาเนี่ย เป็นบุญล้นฟ้าล้นดินนะ คนหมดโลกก็ยังไม่มีบุญเท่ากับเรานะ เพราะคนหมดโลกนั้นหลงอยู่ในรูป หลงอยู่ในเสียง หลงในรส หลงอยู่ในอำนาจต่างๆ เราดูข่าวคราวต่างๆ มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้นนะ มีแต่เรื่องความโกรธ ความโลภ ความหลง มีแต่เรื่องราคะ มานะ ทิฐิ ตัณหา ทั้งนั้นเลยนะ แต่จะมีการเดินจงกรมนั่งภาวนา ได้สมาธิสมาบัติ ได้บรรลุมรรคผลพระนิพพาน ไม่มีนะ หายากมาก ก็มีแต่ที่ประเทศไทยของเรานี่แหละ หรือไม่ก็มีอยู่ในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา ก็มีไม่กี่ประเทศนะ ที่มีศาสนาสมบูรณ์ ศาสนาสมบูรณ์มากที่สุดในโลกก็คือประเทศไทยของเรานี่แหละ
เพราะฉะนั้น เราได้มาเกิดในประเทศที่มีศาสนาที่สมบูรณ์นี่มันเป็นบุญอย่างมากแล้วนะ เราทั้งหลายทั้งปวงที่มาประพฤติปฏิบัติธรรม มาเดินจงกรม มานั่งภาวนาเนี่ย เพื่อเราจะไม่หลงในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ที่คนหมดโลกเนี่ยเขากำลังหลงกันอยู่ เรามาเดินจังกรมนั่งภาวนา เพื่อที่จะไม่หลง ทั้งที่คนหมดโลกเนี่ย มีความรู้ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ก็ยังหลงอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น เหล่านี้นะ หลงกันหมดโลกนั่นแหละ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย พระองค์ตรัสว่า
เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ
ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ.
ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “ท่านทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่”
โลกของเราเนี่ยวิจิตรด้วยบุญด้วยกุศล วิจิตรด้วยคุณงามความดี ทำให้โลกมีความสวยงาม อย่างเช่นคนเกิดมาแล้วมีหน้าตาดี มีผิวพรรณผุดผ่องอะไรทำนองนี้ กุศลมันตกแต่งให้เกิดความวิจิตร ตกแต่งให้เกิดความสวยงาม ดุจราชรถของพระราชาที่ตกแต่งดีแล้ว ที่คนเขลายังหมกอยู่ คนเขลาคือคนไม่ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน คนเขลาคือคนที่ไม่รู้แจ้งซึ่งมรรคผลพระนิพพานเนี่ย ยังหมกอยู่กับรูป ยังหมกอยู่กับเสียง ยังหมกอยู่กับกลิ่น ยังหมกอยู่กับรส ยังหมกอยู่กับสัมผัส ยังหมกอยู่กับอารมณ์ต่างๆ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ ผู้รู้คือผู้รู้ในปัจจุบันธรรม ผู้รู้ในสมถกรรมฐาน ผู้รู้ในวิปัสสนากรรมฐาน ผู้รู้ซึ่งโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล ผู้รู้ในอรหัตตมรรค อรหัตตผล ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ คือเมื่อรู้แล้วก็จะไม่ข้อง ถ้ารู้ในมรรคที่ ๑ ก็ไม่ข้องในสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ถ้ารู้ในมรรคที่ ๒ ก็จะทำให้ทำลายราคะโทสะอะไรต่างๆให้ลดน้อยลง ถ้ารู้ในมรรคที่ ๓ ก็สามารถที่จะทำลายปฏิฆะกับราคะให้หมดไป แต่ถ้าผู้ใดรู้แจ้งซึ่งพระอรหัต บุคคลนั้นก็จะทำลายสังโยชน์เบื้องต่ำเบื้องสูงให้หมดสิ้นไป
เพราะฉะนั้น การเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่เรากำลังเจริญอยู่นี้ จึงเป็นของบุคคลผู้มีบุญล้นฟ้าล้นดินนะ ถ้าไม่มีบุญล้นฟ้าล้นดินจริงๆ ไม่สามารถที่จะมาประพฤติปฏิบัติธรรมได้ ก็ขอให้คณะญาติโยมทั้งหลายทั้งปวง ครูบาอาจารย์ทั้งหลายทั้งปวง ได้ดีอกดีใจและอิ่มอกอิ่มใจ ว่าเราคนหนึ่งนี่แหละที่ต่างจากคนหมดโลก เพราะคนหมดโลกนั้นเป็นคนหลงนะ จะมียศมากบรรดาศักดิ์มาก มีเงินมีทองมาก มีกิจการงานมากขนาดไหน ก็คือคนที่มีความโกรธ มีความโลภ ความหลงนี่แหละ ไม่ได้ประเสริฐอะไรนะ ความประเสริฐก็คือความที่ผู้ใดละกิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง ราคะ มานะ ทิฐิ ตัณหา อุปาทาน ได้มากที่สุด นั่นแหละคนประเสริฐ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่าพระอริยะ คือผู้ห่างไกลจากบาป ห่างไกลจากอกุศล ห่างไกลจากกิเลสตัณหา นี่เป็นคนประเสริฐจริงนะ เพราะฉะนั้น ก็ขอให้คณะญาติโยมคณะครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกท่านได้หมั่นขยันในการเดินจงกรมนั่งภาวนา เพื่อที่จะได้บรรลุมรรคผลพระนิพพานในอนาคตกาลอันไม่ช้าไม่นานนี้ วันนี้อาตมภาพได้กล่าวธรรมมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...