[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 มิถุนายน 2568 22:03:55 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - กองทัพ ‘ล้ำเส้น’ รัฐบาลพลเรือน? ชิงความนิยมบนกระแส ‘รักชาติ’ ข้อกังวลการเมืองไ  (อ่าน 58 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สุขใจ ข่าวสด
I'm Robot
สุขใจ บอทนักข่าว
นักโพสท์ระดับ 15
****

คะแนนความดี: +101/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Italy Italy

กระทู้: มากเกินบรรยาย


บอท @ สุขใจ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 12 มิถุนายน 2568 18:42:42 »

กองทัพ ‘ล้ำเส้น’ รัฐบาลพลเรือน?  ชิงความนิยมบนกระแส ‘รักชาติ’ ข้อกังวลการเมืองไทย จากปมชายแดน
 


<span>กองทัพ ‘ล้ำเส้น’ รัฐบาลพลเรือน?  ชิงความนิยมบนกระแส ‘รักชาติ’ ข้อกังวลการเมืองไทย จากปมชายแดน</span>
<span><span>admin666</span></span>
<span><time datetime="2025-06-06T21:28:18+07:00" title="Friday, June 6, 2025 - 21:28">Fri, 2025-06-06 - 21:28</time>
</span>

            <div class="field field--name-field-byline field--type-text-long field--label-hidden field-item"><p>ทีมข่าวการเมือง</p></div>
     
            <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><p>สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ยังไม่ชัดเจนในขณะนี้ แม้ยังไม่ได้เกิดการปะทะกันเพิ่มเติมหลังจากวันที่&nbsp;28 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่เหมือนประเด็นจะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากทางกัมพูชาแสดงท่าทีจะเอาประเด็นพื้นที่พิพาทล่าสุดทั้ง&nbsp;4 จุดขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ‘ศาลโลก’</p><p>แต่กลไกศาลโลกก็เป็นกลไกที่ทางฝ่ายไทยไม่ยอมรับและยืนยันจะใช้กลไกทวิภาคีอย่างคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee - JBC) เพื่อหาข้อยุติในการประชุมวันที่ 14 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาบอกว่าจะไม่เอาพื้นที่พิพาทเข้ามาเป็นวาระการประชุมทำให้ไม่รู้ว่าผลการประชุมจะออกมาเป็นอย่างไร</p><p>ในขณะเดียวกัน กระแสสังคมทวีความไม่พอใจกับท่าทีของรัฐบาลที่ไม่ออกมาตรการ ‘รุนแรง’ ไปกว่าการยืนยันการเจรจากับกัมพูชา กลับกลายเป็นทำให้เริ่มมีคนพูดถึง ‘การปฏิวัติ’ และมีนักวิชาการออกมารับมุขต่อว่ายังมีมาตรา&nbsp;5ของรัฐธรรมนูญ&nbsp;2560 อยู่ ซึ่งเนื้อหาของมาตรานี้เคยอยู่ในมาตรา&nbsp;7 ของรัฐธรรมนูญ&nbsp;2540 และถูกเอามาตีความเพื่อเรียกหา “นายกฯ พระราชทาน” ก่อนจะเกิดรัฐประหารเมื่อปี&nbsp;2549&nbsp;</p><p>บรรยากาศชวนหลอกหลอนเช่นนี้คงไม่เป็นประเด็นเท่าไหร่ ถ้าเมื่อค่ำวานนี้ไม่มีแถลงการณ์ของกองทัพบกที่ออกมาบอกว่าพร้อมใช้กำลังตอบโต้กับกัมพูชาหากมาตรการสันติวิธีที่หลายฝ่ายต้องการไม่บรรลุผลโดยแถลงการณ์นี้ไม่ได้มีสัญญาณจากรัฐบาลพลเรือนมาก่อน เพราะเย็นวันเดียวกันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยเพิ่งจะไปพบปะพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาหมาดๆ ที่สระแก้วเพื่อยืนยันว่าจะใช้กลไกความร่วมมือที่มีอยู่ในการแก้ปัญหา</p><p>‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ อดีตสื่อมวลชนและนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการทหารฯ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงบทบาทของกองทัพไทยที่มีต่อปมความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในขณะนี้ว่ากำลัง ‘ล้ำเส้น’ หน้าที่ของรัฐบาลพลเรือนหรือไม่ ซึ่งปรากฏมาตั้งแต่วันแรกๆ ที่เกิดเรื่องจนถึงการแสดงท่าทีล่าสุดเมื่อคืนนี้กำลังส่งสัญญาณอะไร</p><h2>รัฐบาลไม่แข็งแรง ไม่ชัดเจน</h2><p>สุภลักษณ์กล่าวว่า เรื่องนี้ ‘ผิดปกติ’ ตั้งแต่ต้นแล้ว ในส่วนของแนวทางปฏิบัติและการรับมือกับสถานการณ์ บทบาทหน้าที่ของรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพจะต้องมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน รัฐบาลพลเรือนที่รับผิดชอบอาณัติของประชาชนที่ส่งผ่านมาจากการเลือกตั้งได้รับมอบอำนาจมาให้ตัดสินใจอย่างเต็มที่ทั้งเรื่องความมั่นคง การทหาร ต้องเป็นผู้บังคับบัญชาการทางทหาร</p><p>ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุตามแนวชายแดน สิ่งที่กองทัพควรจะทำคือ เมื่อลาดตระเวนแล้วค้นพบการขุดสนามเพลาะที่ขัดกับ&nbsp;MOU43 (ซึ่งเป็นข้อตกลงในการเจรจาปักปันเขตแดน ส่วนที่ยังไม่ได้ปักปันเขต ซึ่งระบุว่าจะต้องไม่มีฝ่ายใดทำการดัดแปลงภูมิประเทศทำให้สภาพแวดล้อมเสียหาย) จะต้องรายงานตามขั้นตอนไปยังผู้บังคับบัญชา มาถึงกระทรวงกลาโหม เข้าสู่คณะรัฐมนตรี เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศประท้วงไปที่กัมพูชาว่ากำลังทำผิดข้อตกลง นี่เป็นแนวปฏิบัติ</p><p>แต่เมื่อเกิดเหตุปะทะที่ช่องบกมาเช่นนี้ ซึ่งยังคงเป็นเพียงการปะทะทางยุทธวิธี สั้นๆ เพียง&nbsp;10 นาที ยังไม่ใช่การปะทะกันในระดับทางยุทธศาสตร์ เรื่องก็ควรจบและการปะทะกันทางทหารจริงๆ ก็จบไปแล้วตั้งแต่วันที่แม่ทัพภาคไปตกลงกันที่ช่องจอมว่าให้ถอยไปอยู่ในเส้นที่เหมาะสม (ตามที่มีการรรายงานก็คือฝั่งละ&nbsp;200 เมตรจากจุดเกิดเหตุ) หลังจากนี้งานที่ยังเหลืออยู่คือ การใช้กลไกระหว่างประเทศระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลไปเจรจากับกัมพูชาคือระดับรัฐมนตรีไปเจอกัน และที่ผ่านมาเพิ่งมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ไปส่วนระดับพื้นที่ก็มีแม่ทัพภาคไปคุยกันก็คือคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee - RBC) ก็คุยกันได้บนเงื่อนไข</p><p>อย่างไรก็ตาม สุภลักษณ์เห็นว่า ปัญหาคือแนวทางภายในประเทศไทยเองที่ไม่ชัดเพราะ ‘ความเป็นผู้นำ’ ของรัฐบาลชุดนี้ไม่ค่อยแข็งแรงและกองทัพก็ไม่ค่อยฟัง เพราะฉะนั้น แทนที่กองทัพจะรายงานเรื่องสนามเพลาะไปยังรัฐบาลก่อน กลับเอามาบอกสื่อมวลชนก่อน ปล่อยให้เรื่องนี้อยู่บนโซเชียลมีเดียอยู่เป็นสัปดาห์ หรือเรื่องไฟไหม้ ‘ศาลาตรีมุข’ ที่ตอนแรกก็บอกว่าเป็นเรื่องไฟป่า ตอนหลังก็ออกมาให้ข่าวใหม่ว่าเป็นกัมพูชาเผา ทั้งที่เป็นเรื่องที่ต้องสอบสวนให้ชัดเจนก่อน</p><p>“รัฐบาลใช้เวลานานมากในการในการเข้าไปดูข้อเท็จจริงในพื้นที่ ภูมิธรรมกว่าจะลงไปช่องบกได้ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ที่จริงควรไปตั้งแต่วันแรก ไปยืนยันข้อเท็จจริงให้ได้ก่อนว่าเรื่องมันเกิดจากใครกันแน่ ถ้ามันเกิดจากเขายิง ก่อนก็ประท้วงไป พอรัฐบาลไม่แอ็คชั่น กองทัพเขาก็ได้ที”</p><p>สุภลักษณ์กล่าวว่า ตามหลักการที่พลเรือนเป็นใหญ่ รัฐบาลพลเรือนจะต้องเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ เฉพาะคนที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีอำนาจในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเท่านั้นที่จะพูดได้ เช่น ตำแหน่งโฆษก ส่วนแม่ทัพภาคถ้าจะพูดต้องเป็นปัญหาทางเทคนิก เช่น เรื่องแนวปะทะเกิดตรงไหน ห่างจากเส้นแบ่งเขตเท่าไร</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>ทำไมชายแดนร้อนต่อเนื่อง ! เปิดปมมรดกความขัดแย้งไทย-กัมพูชา บทวิเคราะห์ท่ามกลางพายุ 'ชาตินิยม'</li></ul></div><h2>บทบาท ‘ล้ำหน้า’&nbsp;ของกองทัพ</h2><p>แต่สิ่งที่แม่ทัพภาคที่&nbsp;2 พูดแล้วถูกสื่อเอาไปรายงานย้ำหลายครั้งกลับเป็นเรื่องว่าจะไม่ยอมถอยจากเส้นแนวตามแผนที่ทางการทหาร (แผนที่&nbsp;1 : 50,000) ซึ่งไม่ได้เป็นแผนที่ที่รวมอยู่ใน&nbsp;MOU43 ด้วยซ้ำ และทางกัมพูชาก็ไม่ได้ยอมรับแผนที่ฉบับนี้ การที่แม่ทัพภาคที่&nbsp;2 ยกแผนที่นี้มาอ้างว่าเป็นเขตแดนของไทยจึงผิดหลักของสิ่งที่แม่ทัพควรพูด เรื่องนี้ต้องเป็นกระทรวงการต่างประเทศพูด</p><p>“ถ้าคุณบอกว่าเราจะไม่ถอยจากแนวนี้ของเรา เราถืออย่างของเราอย่างนี้ แล้วถ้าหากวันนึงรัฐบาลบอกว่าเราจะต้องถอยทางยุทธวิธี คุณจะทำไหม ที่แม่ทัพพูดอันนี้เป็นประเด็นนะ คำถามคือว่าถ้ารัฐบาลสั่งให้ถอนทหาร แม่ทัพจะถอนไหม”</p><p>ส่วนเรื่องการประชุมของเหล่าทัพที่จะเกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันนี้(6 มิ.ย.) ซึ่งบางฝ่ายมองว่ากองทัพมีบทบาทแยกขาดจากฝ่ายการเมืองนั้น สุภลักษณ์ยังเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะคงต้องมีการประชุมในหลายระดับภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่ระดับแม่ทัพก็ต้องสื่อสารกับรัฐมนตรีเพื่อให้ไปถึงคณะรัฐมนตรี แล้วคณะรัฐมนตรีก็สื่อสารต่อมายังสภาจึงจะเป็นการทำงานที่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยที่ใช้ระบบรัฐสภาและการควบคุมโดยพลเรือน</p><p>สิ่งที่เขามองว่าเป็นปัญหากว่าคือ สิ่งที่กองทัพทำอยู่ ทำให้เห็นปัญหาของสายการบังคับบัญชาที่<strong>ฝ่ายทหารอยู่เหนือความเป็นผู้นำของรัฐบาล</strong>&nbsp;เช่น ปฏิบัติการทางจิตวิทยา ซึ่งกองทัพจะทำกับฝ่ายกัมพูชาก็เป็นเรื่องปกติ แต่กลับมาทำในประเทศเองทั้งที่การสื่อสารภายในประเทศควรเป็นงานของรัฐบาลพลเรือน อย่างการชักชวนประชาชนติดแฮชแท็กแสดงความรักชาติก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องรวมศูนย์กลางต่างๆ เข้ามาที่รัฐบาล หรือกระทั่งภาพของแม่ทัพภาคที่&nbsp;2 ที่กลายเป็นวีรบุรุษเหนือรัฐบาลไปแล้ว ทั้งที่สถานการณ์จริงของการปฏิบัติการทางทหารก็จบไปแล้ว</p><p>ในขณะที่กัมพูชาตอนนี้ปรับเข้าสู่การปฏิบัติการทางการทูตและการใช้กฎหมายระหว่างประเทศตั้งแต่วันแรกๆ ที่หลังเกิดเหตุการณ์ที่ช่องบก คือเมื่อวันที่&nbsp;30 พ.ค. ฮุนเซนเริ่มพูดก่อนและตามมาด้วยลูกชายฮุนมาเนตที่บอกว่าจะเอาเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลกกลายเป็นการเมืองระหว่างประเทศ</p><p>สุภลักษณ์อธิบายว่า เหตุที่กัมพูชาเข้ามาเล่นเกมทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งการไปศาลโลกหรือจะให้เรื่องเข้าสู่อาเซียน เป็นเพราะทางกัมพูชารู้ว่าความพร้อมรบและแสนยานุภาพของไทยเหนือกว่า แต่ฝั่งไทยกลับยังอยู่ในโหมดการทหารอยู่ กองทัพยังมัวแต่โชว์แสนยานุภาพและความพร้อมรบของตัวเอง และเมื่อรัฐบาลไทยปรับโหมดไม่ทันกัมพูชา ก็ยิ่งทำให้ความเป็นผู้นำของรัฐบาลไม่มีไปด้วย</p><p>“กองทัพต้องพร้อมที่จะรบตลอดเวลา นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ความพร้อมรบของกองทัพไม่ได้อยู่ที่การโชว์ กองทัพที่โชว์ว่าตัวเองพร้อมรบคือกองทัพที่ไม่พร้อมนะในทางจิตวิทยา ถ้าคุณพร้อมคุณไม่โชว์”</p><p>สุภลักษณ์ยังเห็นว่า ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจะต้องยืนยันให้ชัดเจนว่ากองทัพพูดอะไรได้แค่ไหนในสถานการณ์เช่นนี้ไปจนถึงระดมการสนับสนุนก็เป็นเรื่องของรัฐบาล เพราะในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังมีเครื่องมืออีกหลายอย่าง ทั้งจิตวิทยา การทูต เศรษฐกิจที่จะใช้ตามจังหวะต่างๆ เครื่องมือทางการทหารเป็นแค่เครื่องมือหนึ่งในการดำเนินนโยบายต่างประเทศเท่านั้น</p><p>เครื่องมือเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้นำกัมพูชาอย่างฮุนเซนผู้ผ่านมาหลายสงครามรู้เรื่องนี้อย่างดี และเมื่อเขาพูดเรื่องศาลโลกขึ้นมา ฝั่งไทยก็จะเป็นจะตายกับมันได้ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอในเชิงจิตวิทยาของไทยอย่างมาก เพราะหากไทยจะไม่ไปก็ไม่ต้องไป เพราะในช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศกัมพูชาเองก็รู้ว่าช่องทางนี้ทำอะไรได้บ้าง ต่อให้ดำเนินการฝ่ายเดียวไปก็ไม่มีผลอะไรถ้าไทยไม่ยอมรับ ไม่ได้เหมือนกับการไปศาลในประเทศ ที่หากเราไม่ไปจะโดนออกหมายจับ ไทยเองเพียงต้องยืนยันจุดนี้</p><p>สุภลักษณ์เสนอว่าการคุยกันสองฝ่ายสามารถจบได้เร็วกว่า แล้วก็ประนีประนอมยืดหยุ่นกันเพื่อที่จะคุยกันทั้งสองฝ่าย แต่เรื่องนี้ก็เป็นเพราะฝั่งไทยเองไม่มีภาวะผู้นำอยู่ด้วยแล้วก็จะไปใช้เครื่องมือทางการทหารเบ่งกล้ามโชว์อย่างไม่จำเป็น</p><h2>กองทัพกำลังแข่งความนิยมกับรัฐบาล</h2><p>แม้การดำเนินการทางการทูตของไทยจะค่อนข้างช้า แต่ก็เริ่มไปแล้ว ทั้งการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยอย่างภูมิธรรม เวชยชัย ไปเจอกับพลเอก เตีย เสฮา (Tea Seiha) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่สระแก้วเมื่อวานนี้(5 มิ.ย.) เพื่อหารือแนวทางแก้ปัญหาและยังย้ำเรื่องการใช้กลไกทวิภาคีเป็นเครื่องมือหลัก ไปจนถึงกระทรวงการต่างประเทศแถลงยืนยันการใช้กลไกเจบีซี และ อาร์บีซี ต่อไป ซึ่งทำให้เห็นแนวทางหลักว่ารัฐบาลจะใช้การพูดคุยเจรจา แต่กองทัพกลับออกแถลงการณ์แสดงความพร้อมในการตอบโต้ทางทหารกับกัมพูชาตามแผนป้องกันประเทศหากแนวทางสันติที่ทุกฝ่ายต้องการไม่สำเร็จ ไปจนถึงการตั้งแฮชแท็กมาขอกำลังใจไปจนถึงการสื่อสารความพร้อมรบเช่นนี้ กำลังสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพอย่างไร</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>กลาโหม 'ไทย–กัมพูชา' นัดหารือ 'พรรคประชาชน' เสนอรัฐบาล ตอบโต้ทางเศรษฐกิจ-การทูตเชิงรุก</li><li>ไทยแถลงไม่ยอมรับเขตอำนาจ 'ศาลโลก' แก้ข้อพิพาทกัมพูชา กต. ย้ำใช้กลไกประชุม JBC</li></ul></div><p>สุภลักษณ์เห็นว่า ตอนนี้กองทัพเองก็กำลัง<strong>ใช้สถานการณ์ฉวยโอกาสแสดงบทบาทของตัวเองจนเลยเถิดไปกว่าบทบาทของทหารแล้ว</strong>&nbsp;เพราะรัฐบาลตอบสนองช้าและมีนโยบายต่างประเทศที่ไม่ชัดเจน อย่างที่กองทัพบกออกมาพูดว่า ‘ไม่ไปศาลโลก’ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพบก แต่เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่จะไปจ้างทนายความ เป็นภาระรับผิดชอบของรัฐบาล เป็นเรื่องทางกฎหมายที่นักกฎหมายเขาจะคุยกัน</p><p>สุภลักษณ์เพิ่มเติมว่า เรื่องเช่นนี้ควรจะเป็นหน้าที่ของโฆษกรัฐบาล แต่กลายเป็นว่าโฆษกกองทัพบกอย่าง ‘วินธัย สุวารี’ ออกมาพูดแทน เป็นเรื่องผิดขอบเขตหน้าที่ที่กองทัพจะทำในเรื่องการต่างประเทศ กองทัพกัมพูชาเขาก็ไม่ออกมาบอกว่าจะไปศาลโลกเพราะถ้าไปศาลเขาก็คงไม่มาเผชิญหน้ากัน สิ่งที่ทหารจะต้องทำคือตกลงกันว่าแต่ละฝ่ายจะหยุดกันไว้แค่ไหน แล้วจะซ้อมรบแสดงแสนยานุภาพก็ทำไป</p><p>“แต่สิ่งที่ผมเห็นกำลังทำอยู่ก็คือ กองทัพฉวยโอกาสที่จะแสดงตัวตนในพื้นที่ทางการเมืองเพื่อให้ตัวเองมีคะแนนนิยมในหมู่ประชาชน เหมือนการแข่งขันของนักการเมือง ตอนนี้กองทัพแข่งกับรัฐบาลสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองในหมู่ประชาชนอยู่เพื่อที่จะยืนยันว่าประชาชนสนับสนุนกองทัพ และรัฐบาลพลเรือนไร้ความสามารถ ที่สุดมันก็จะนำไปสู่การที่บางคนก็เลยเถิดไปสู่การเรียกร้องการรัฐประหารไปแล้วเรียบร้อย”</p><p>อย่างไรก็ตาม สุภลักษณ์ยังประเมินว่าทางกองทัพคงยังไม่ถึงกับคิดยึดอำนาจ แต่ช่วงนี้กำลังมีการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี&nbsp;2569 กันอยู่ สถานการณ์นี้คงทำให้ไม่มี สส.คนไหนกล้าไปตัดงบของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นงบส่วนที่ไม่จำเป็นแค่ไหนก็ตาม และก็คงมีคนมาสนับสนุนด้วยการอ้างถึงสถานการณ์ที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานตอนนี้แน่ ซึ่งจะทำให้การบริหารงบประมาณประเทศยากขึ้น ไปจนถึงการปล่อยข่าวว่าจะปลดแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้งที่อีกแค่&nbsp;3 เดือนก็จะเกษียณอยู่แล้ว การปล่อยข่าวลักษณะนี้ออกมาก็เพื่อทำให้คนเห็นว่ารัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ</p><p>สุภลักษณ์ยังยกตัวอย่างประเด็นเรื่องข้อเสนอให้ปิดด่านชายแดนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทหารจะตัดสินใจ รัฐบาลต้องเป็นคนตัดสินใจ แต่เรื่องนี้ก็ถูกปล่อยออกมานอกวงก่อนที่จะเสนอรัฐบาล ทำให้กลายเป็นปัญหาว่าตกลงแล้วใครมีอำนาจหน้าที่กันแน่ บางคนก็ยกเรื่องกฎอัยการศึกมาอ้างว่าแม่ทัพสั่งปิดด่านได้ ซึ่งก็ปิดด่านได้ในทางยุทธวิธี แต่ข้อเสนอให้ปิดด่านเป็นการปิดด่านในเชิงยุทธศาสตร์แต่ที่ย้อนแย้งก็คือจุดที่จะให้ปิดคือ ‘ช่องอานม้า’ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ที่เป็นเพียงแค่จุดผ่อนปรนเพื่อการค้าที่เปิดอยู่แค่&nbsp;2 วันต่อสัปดาห์อยู่แล้ว ดังนั้น จะปิดหรือไม่ปิดก็มีค่าเท่ากัน ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้ไปทำไม</p><p>“แต่สิ่งที่พูดนี้ทำให้ประชาชนที่เขาทำมาหากินขายของป่าไม่ได้ ปิดด่านเพื่อไม่ให้ของป่าออกมา ผมนึกไม่ออกว่าจะส่งผลกระทบทางทหารอย่างไร อย่างมากประชาชนก็ไม่ได้หาเห็ด ไม่ได้ซื้อของป่าจากฝั่งโน้น หรือมาซื้อสบู่ยาสีฟันไม่ได้ แล้วมันทำประเทศไทย ‘เป็นต่อ’ กัมพูชายังไง กดดันกัมพูชาอะไรได้ นึกไม่ออกจริงๆ”</p><p>สุภลักษณ์เห็นว่าเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีปัญหามากในการบังคับบัญชาเพื่อที่จะบริหารงานแก้ไขความขัดแย้ง เพราะเมื่อเทียบกับกรณีที่ฝั่งพม่าส่งเครื่องบินรบผ่านเข้ามาก็ยืดหยุ่นกว่ามาก แล้วก็บอกว่าแค่เดินผ่านสนามหญ้าไม่เป็นไร แต่พอเป็นกรณีกัมพูชาล้ำเข้ามาแค่&nbsp;200 เมตรกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไปจนถึงการรายงานของสื่อมวลชนเองก็มีเรื่องเล่าและอารมณ์ที่ต่างออกไปมาก กัมพูชาแย่อย่างนั้นอย่างนี้ กำลังรุกล้ำจะเข้ามายึดดินแดน ทั้งที่กัมพูชาก็เป็นประเทศเล็ก ประชากรก็น้อยกว่า อำนาจทางเศรษฐกิจก็น้อยกว่า เป็นเรื่องที่สุภลักษณ์เองก็นึกไม่ออกว่าเรื่องกัมพูชาจะมาแย่งดินแดนจะเป็นไปได้อย่างไร</p><h2>MOU43&nbsp;เป็นประโยชน์กับทางกัมพูชาด้วย</h2><p>ในขณะที่ไทยยังคงยืนยันจะใช้&nbsp;MOU43 เป็นกรอบเจรจากับกัมพูชาในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) วันที่&nbsp;14 มิ.ย.นี้ แต่ทางกัมพูชาแสดงท่าทีว่าจะไม่เอาพื้นที่พิพาทเข้าทั้ง&nbsp;4 จุดเข้าที่ประชุมนี้แล้วพาเรื่องไปศาลโลกแทน จะกลายเป็นปิดช่องทางการทูตที่ไทยจะใช้เจรจาไปด้วยหรือไม่ แล้วไทยจะเหลือช่องทางการทูตอะไรอีกบ้างนั้น</p><p>สุภลักษณ์เห็นว่า ถ้าทางกัมพูชาพยายามปิดช่องทางเจรจา ฝ่ายไทยก็ต้องพยายามเปิดขึ้นมา อย่างไรก็ตาม การประชุมในวันที่&nbsp;14 มิ.ย. ปัจจุบันยังไม่ถูกยกเลิกเพียงแต่ทางกัมพูชาบอกว่าจะไม่บรรจุประเด็น&nbsp;4 พื้นที่ (ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควายและสามเหลี่ยมมรกต) เข้ามาอยู่ในวาระการประชุม แต่จริงๆ แล้ววาระการประชุมของเจบีซีจะต้องทบทวนสิ่งที่ผ่านมาก่อนว่า ที่ผ่านมา&nbsp;25 ปีมีอะไรบ้างและในการประชุมครั้งก่อนมีเรื่องอะไรอยู่บ้าง</p><p>“เป็นความเข้าใจผิดโดยทั่วไปว่าเจบีซีมันจะแก้ไขปัญหา มันไม่ใช่ยาวิเศษหรอก แต่ว่ามันเป็นที่ให้ทั้ง&nbsp;2 ฝ่ายมาแลกเปลี่ยนความเห็นและทำงานร่วมกันในเรื่องเขตแดนเพราะมันเคยทำงานร่วมกันมาแล้ว 25 ปี แล้วก็สำรวจ จัดทำหลักเขตแดน ซึ่งทำไปได้ประมาณ&nbsp;60% ของหลักเขตที่มีอยู่แล้ว ปกติเวลาเกิดเรื่องก็เหมือนกรณีพระวิหาร การประชุมเจบีซีทำได้แค่มาเจอหน้ากัน แล้วต่างฝ่ายก็จะชี้หน้าใส่กัน แต่เวทีนี้ยังคงอยู่ไม่ได้ยกเลิกไป”</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>กัมพูชาแถลงยื่นเรื่องต่อ 'ศาลโลก' พื้นที่ขัดแย้งกับไทย ไม่อยู่ในการประชุม JBC</li><li>&nbsp;</li></ul></div><p>&nbsp;</p><p>นอกจากนั้น สุภลักษณ์เห็นว่ากัมพูชาเองก็ได้ประโยชน์จาก&nbsp;MOU43 เมื่อต้องเข้าที่ประชุมเจบีซีหรือศาลโลกเพราะ&nbsp;MOU43 รวมเอาเอกสารทุกอย่างที่ฝรั่งเศสทำไว้ให้ทั้งสัญญาและแผนที่ อีกทั้งที่กัมพูชาแถลงก็ไม่ได้บอกว่าจะเลิกการประชุม แต่เขาจะมาขอความร่วมมือจากไทยไปศาลโลกเพราะตลอด&nbsp;25 ปีที่ผ่านมาคุยกันไม่ได้ ไม่มีใครยอมใคร ฉะนั้นไปหาคนที่มีอำนาจมากกว่าแล้วทั้ง&nbsp;2 ฝ่ายและเชื่อถือได้มาไกล่เกลี่ยให้ดีกว่า</p><p>อย่างไรก็ตาม สุภลักษณ์เห็นว่าฝ่ายไทยเองก็หวาดระแวงเรื่องศาลโลก ทั้งกระทรวงการต่างประเทศหรือรัฐบาลเองก็ไม่กล้ารับข้อเสนอนี้ของทางกัมพูชา เมื่อเป็นเช่นนี้การประชุมเจบีซีจึงเป็นกลไกที่มีอยู่สำหรับการจัดการเรื่องเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เพราะจีบีซีและอาร์บีซีเป็นกลไกแก้ปัญหาอื่นที่ไม่ใช่เรื่องเขตแดน</p><p>แม้ว่าในความเป็นจริงช่องทางทางการทูตยังมีช่องทางอื่นๆ อยู่นอกจากการเจรจาทวิภาคี เช่น อาเซียน หรือ สหประชาชาติ และกัมพูชาก็ค่อนข้างเก่งในเรื่องนี้ ขณะที่ไทยยังยึดติดกับวาทกรรมเสียดินแดน และเรื่องเขาพระวิหารยังหลอกหลอนฝั่งไทยเช่นนี้ทำให้ไทยไม่กล้าเลือกใช้ตัวเลือกทางการทูตอื่นๆ</p><h2>ไทยกล้าให้คนที่สามเข้ามาตรวจสอบหรือเปล่า?</h2><p>สุภลักษณ์ย้อนกลับไปความขัดแย้งรอบก่อน ว่าด้วยข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหารที่ศาลโลกรับเรื่องไว้แล้วออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวให้ทั้งสองประเทศถอนทหารออก พร้อมกับให้อาเซียนเข้ามาสังเกตการณ์ ซึ่งทางอินโดนีเซียเป็นตัวตั้งตัวตีในการส่งผู้สังเกตการณ์มาดูไม่ให้ทั้งสองฝ่ายรุกล้ำกัน เรื่องนี้ทางกัมพูชาเองฉลาดมากเพราะรู้ว่ากำลังทางทหารสู้ไทยไม่ได้ เลยให้คนที่สามเข้ามาสังเกตการณ์ว่าที่บอกถอนทหารแล้ว ถอนแค่ไหน ทำจริงหรือเปล่า</p><p>“กัมพูชาเขาแฟร์มากนะที่เขากล้าให้บุคคลที่สามเข้ามาดู ทหารไทยต่างหากที่ไม่แฟร์ คุณโทษแต่เขมรว่าไม่ซื่อสัตย์ คุณบอกว่าคุณถอนทหารแล้ว คุณซื่อสัตย์กับคำพูดของคุณ แต่คุณกลับไม่กล้าให้คนอื่นเข้ามาตรวจสอบด้วยซ้ำไป”</p><p>เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กัมพูชาเรียนรู้จากครั้งนั้นในการหาบุคคลที่สามเข้ามาจัดการปัญหา เพราะถ้าตกลงกันว่าให้ถอนทหาร แต่หากจุดไหนมีปัญหาก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูอยู่ดี ฉะนั้นหากไทยยืนยันว่าโปร่งใสจริง คำถามคือจะกล้าให้คนที่สามเข้าไปดูหรือไม่</p><p>“เครื่องมือทางการทูตไม่ได้มีเฉพาะเจบีซีหรอก มีหลายอย่าง ทีนี้มันขึ้นอยู่กับว่าไทยพยายามจะปิดช่องทางที่เป็นพหุภาคีให้หมด เหลือทวิภาคีเท่านั้น เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราอยู่ทวิภาคี เราข่มเขมรได้ แล้วเขมรเขาก็รู้จุดอ่อนว่า ถ้าเขาอยู่ทวิภาคีเขาจะถูกไทยข่ม”</p><p>สุภลักษณ์เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเกมทางการทูต ซึ่งสามารถเล่นเกมนี้กันไปได้ จะเป็น&nbsp;20 ปี&nbsp;30 ปีไม่มีปัญหา แต่ไม่ต้องเร่งกำลังทหารใส่กัน โดยที่ไม่เกิดประโยชน์อะไร</p><h2>มาตรการทางเศรษฐกิจจะใช้ต้องแม่นยำ</h2><p>ตอนนี้ฝ่ายต่างๆ เสนอมาตรการมาหลายอย่าง ทั้งทางการทูต ทางเศรษฐกิจ และบางส่วนก็ไปไกลถึงใช้กำลังทหาร แต่มาตรการต่างๆ ก่อนจะไปถึงขั้นใช้กำลังก็ยังมีความหนักเบาแตกต่างกันออกไปอีก</p><p>สุภลักษณ์อธิบายว่า มาตรการทางการทูตเป็นมาตรการแรกที่ต้องใช้ก่อน แม้แต่การตอบโต้กันด้วยวาจาก็ทำได้ มาตรการทางเศรษฐกิจเป็นมาตรการที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังแล้ว อย่างการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ในทางสากลการใช้เรื่องนี้ต้องพยายามกระทำต่อหน่วยหรือบุคคลที่ก่อให้เกิดปัญหาจริงๆ หรือที่เรียกว่า ‘สมาร์ทแซงชั่น’ เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวและต้องใช้โดยระมัดระวังให้แม่นยำที่สุด</p><p>“ถ้าเราแซงชั่นแบบเป็นการทั่วไปเช่น ปิดด่าน คำถามคือว่าปิดด่านไหน ปิดอะไร ยังไง แค่คุณพูดว่าจะปิดด่านเนี่ยผู้ค้าเนี่ยเขามีปัญหาแล้วนะ ฝ่ายหนึ่งก็จะว่าเฮ้ยเรากล้าสั่งของล็อตต่อไปปะ ถ้าสั่งจากเขมรแล้วมันปิดสมมุติว่าของมันเสียหายง่ายอย่างเป็นปลาแล้วมันปิดกัน&nbsp;3 วันปลาตายพอดี”</p><p>เขายกอีกตัวอย่างที่พรรคฝ่ายค้านเสนอให้ตัดไฟฟ้าตัดเน็ตว่า ไทยขายไฟให้เกาะกงจริง แต่ว่าไฟฟ้าก็ยังถูกเอาไปใช้ในพื้นที่อื่นด้วย ไม่ใช่แค่พื้นที่คอลเซ็นเตอร์หรือคาสิโนเท่านั้น แต่เมื่อตัดไฟแล้วไม่สามารถเลือกตัดบางที่ได้ ถ้าจะตัดบางที่ก็ต้องให้ทางกัมพูชาเป็นฝ่ายตัด แต่ในเมื่อทางกัมพูชาก็ให้ความร่วมมือในการปราบคอลเซ็นเตอร์มาเป็นระยะแล้ว ไทยจะไปตัดไฟเพื่อกดดันให้ถอนทหารมันไม่สัมพันธ์กับสิ่งที่ได้รับความร่วมมือ ดังนั้น การจะตัดไฟก็ต้องระวังโดยต้องทำอย่างฉับพลันและแม่นยำเหมือนกัน</p><p>สุภลักษณ์เล่าด้วยว่า การที่ฝ่ายไทยบอกว่าเดี๋ยวจะ ‘ปิด-ไม่ปิด’ ด่านแบบนี้ทำให้ภาพรวมเดือดร้อน และสถานการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนเช่นนี้ก็ทำให้เกิดความกังวลในพื้นที่ จนคนเฒ่าคนแก่ก็เริ่มย้ายไปอยู่บ้านญาติ คนกรีดยางตอนเช้าก็ไม่กล้าไปกรีดแล้วในบางหมู่บ้าน ทำให้วิถีชีวิตคนในพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย และยิ่งสถานการณ์ยืดยาวออกไปก็ยิ่งไม่เป็นผลดีกับทั้งไทยและกัมพูชา</p><p>“ระบบเศรษฐกิจของเราซับซ้อนกว่ากัมพูชาเยอะเลย ไม่ใช่ว่าเราทำอย่างนี้แล้วคนอื่นเขาจะเจ็บนะ บางมาตรการคือการยิงปืนใส่หัวแม่เท้าตัวเอง เรื่องปิดด่านผมว่ายิงปืนใส่หัวแม่เท้าตัวเองชัดๆ เพราะว่าเราได้ผลประโยชน์มากในทางเศรษฐกิจมันเป็นแสนล้าน”</p><p>สุภลักษณ์อธิบายต่อว่า กัมพูชาในเวลานี้ก็มีทางเลือกทางเศรษฐกิจมากกว่าเดิม คือมีสินค้าจากเวียดนามและจีนเข้าไปเยอะขึ้น ไม่ได้พึ่งพาจากไทยอย่างเดียว ทำให้บางมาตรการที่จะใช้อาจะไม่ได้ทำร้ายฝ่ายตรงข้าม หรืออาจไปทำร้ายแค่ประชาชนทั่วไปที่อาจเป็นแค่คนหาเห็ดมาขาย พอด่านปิดเห็ดก็เน่าไป แต่มันไม่กระทบกับรายใหญ่ที่ทนรอสถานการณ์ได้มากกว่าโดยไม่เดือดร้อน</p><p>ดังนั้น เขาเห็นว่า รัฐบาลต้องตัดสินใจบนข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ไม่พูดไปตามอารมณ์ มาตรการที่จะใช้ต้องจากเบาไปหาหนักและต้องหวังผลได้</p><h2>วนกลับมาเรียกทหารปฏิวัติ</h2><p>ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเกิดขึ้นหลังจากประเด็น ‘เกาะกูด’ ซาลงไปเมื่อ&nbsp;5-6 เดือนก่อน กระแสชาตินิยมที่กรุ่นอยู่ถูกปลุกขึ้นมาอีกรอบอย่างง่ายดาย และเมื่อผนวกกับกระแสความไม่พอใจรัฐบาลที่เพิ่มมากขึ้น ครั้งนี้จึงเริ่มมีคนถามหาการปฏิวัติรัฐประหารโดยกองทัพกันอีกรอบ หรือการเสนอนมาตรา&nbsp;5 ที่เคยเป็นปมขัดแย้งใหญ่ว่าด้วยระบอบประชาธิปไตยเมื่อสองทศวรรษก่อน</p><p>สุภลักษณ์ประเมินว่า สภาพการณ์นี้เกิดในภาวะที่รัฐบาลมีความอ่อนแอภายในการบังคับบัญชาหน่วยงานรัฐเอง ประกอบกับการปลุกเร้ากระแสของฝ่ายขวาที่มีความเกลียดชังรัฐบาลอยู่แต่เดิม เสริมด้วยวาทกรรมอย่าง ‘กองทัพบริหารประเทศดีกว่า เข้มแข็งกว่า’ แม้เราจะรู้ว่าการรัฐประหารทุกครั้งสร้างความเสียหายใหญ่ทางเศรษฐกิจของไทยจนถึงขั้นติดลบอย่างในสมัยรัฐบาลทหารของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม</p><p>“รัฐบาลต้องรีบพูดว่ามันไม่ได้ ฝ่ายค้านก็ต้องรีบพูด นักการเมืองทั้งหลายแหล่อยู่ในสภาต้องรีบพูดบอกว่าทหารทำหน้าที่ของเขาดีแล้ว ชอบแล้ว ถูกต้องแล้วในการปกป้องประเทศ แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาก้าวก่ายงานบริหารนโยบายทางการเมืองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อันนี้ไม่ใช่งานของกองทัพ แต่เป็นงานของรัฐบาล”</p><p>เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องจับตาก็คือ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ความขัดแย้งตามแนวชายแดนมักถูกใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างความนิยมให้ทหาร เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูกรณีเขาพระวิหาร แม้จะเริ่มต้นมาตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ประมาณช่วงปี&nbsp;2551-2552 แต่เมื่อคดีขึ้นศาลโลกในปี&nbsp;2554 มีคำตัดสินในปี&nbsp;2556 แล้วจึงเกิดการรัฐประหารในปีถัดมาคือ&nbsp;2557</p><p>แม้การรัฐประหารครั้งล่าสุดจะเกิดจากปัจจัยภายในประเทศอย่างเรื่องนิรโทษกรรม ไม่ใช่ความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชา แต่ประเด็นความขัดแย้งเรื่องชายแดนก็ทำให้เกิดการสะสมอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ทหารได้พื้นที่ทางการเมืองมากขึ้นจนการรัฐประหารไม่มีใครต่อต้านได้</p><p>“อันนี้เป็นหมากของของพวกชนชั้นนำไทย ทำไว้ตั้งนานแล้ว เขาจะสร้างการทะเลาะกับกัมพูชาเป็นปฏิบัติการอันแรกๆ ที่ไฮไลท์บทบาทของทหารได้เสมอ ทั้งที่รบกันจริงอาจจะสู้เขมรไม่ได้ก็ได้ แต่เขาไม่เคยรบกัน เขาแค่เบ่งกล้ามใส่กัน”</p><p>สุภลักษณ์มองว่า ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในการรับรู้ของคนจะทำให้รู้สึกว่าประเทศของเราต้องปกครองด้วยทหารแล้ว ไม่อย่างนั้นกัมพูชาจะย่ามใจ เรื่องทำนองนี้จะออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งอาจปูไปสู่ความชอบธรรมในการยึดอำนาจ</p><p>อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ฮุนเซนเองก็รู้ว่าศักยภาพทางทหารของกัมพูชาไม่ใช่จุดแข็งเขาจึงเปลี่ยนมาใช้เกมทางการทูตแทน</p><p>สุภลักษณ์มองว่า ฝ่ายขวาของไทยอาจอยากให้ทหารกลับมามีบทบาทอีกครั้ง จึงตั้งใจให้สถานการณ์ความขัดแย้งออกมาในรูปแบบที่เป็นอยู่ ส่วนฝ่ายก้าวหน้าของไทยก็อาจจะไม่ทันเกม แล้วหลงประเด็นตามเกมนั้น คิดว่าเรากำลังจะมีสงครามกับกัมพูชาทั้งที่ไม่ได้มีสงครามจริงๆ เพราะพื้นที่ในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาส่วนใหญ่มีการค้าขายระหว่างกันเป็นแสนล้านบาท และมีแรงงานเข้ามาเป็นหลักแสนคน แล้วด่านทั้งหมดก็ยังเปิดอยู่ตามปกติ</p><p>“มีแต่วาทกรรมทางการเมืองเท่านั้นที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มมีปัญหาและขัดแย้งกัน และมันก็จะนำพาไปสู่เรื่องอื่นๆ ความเกลียดชังจะตามมา ตอกย้ำสิ่งที่มันเคยเป็นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่&nbsp;20 เรื่อยมา”</p><p>สุดท้ายสุภลักษณ์ย้ำว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้สังคมตระหนักรู้ก็คือ กองทัพ</p><p>ไทยกำลังจะล้ำเส้น กองทัพจะตัดสินใจเรื่องนี้เองโดยพลการไม่ได้ แม้กระทั่งการจะลั่นกระสุนนัดแรกก็ต้องอธิบายได้ว่า ลั่นทำไม</p><p>“การลั่นกระสุนนัดแรก ไม่ว่าใครเป็นคนลั่นก่อนก็ตาม จะพาให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายไปได้ เมื่อสถานการณ์คุมไม่อยู่ ถึงวันนั้นกองทัพจะไม่รับผิดชอบ รัฐบาลต้องเป็นคนรับผิดชอบ แพทองธารรับผิดชอบเต็มๆ ภูมิธรรมรับผิดชอบเต็มๆ ถ้าเกิดว่าประชาชนลุกฮือกันไป แล้วเกิดจลาจลต่อต้านไปเผาสถานทูตกัมพูชากันบ้าง กองทัพรับผิดชอบไหม กองทัพไม่รับผิดชอบนะ เหมือนกรณีที่ประชาชนกัมพูชาไปเผาสถานทูตไทย กองทัพกัมพูชาไม่รับผิดชอบ รัฐบาลฮุนเซนต้องวิ่งบากหน้ามาง้อขอทักษิณ นี่คือภาระทางการเมืองซึ่งรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบ ก

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

นักข่าวหัวเห็ด แห่งเวบสุขใจ
อัพเดตข่าวทันใจ ตลอด 24 ชั่วโมง

>> http://www.SookJai.com <<
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.226 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มิถุนายน 2568 04:19:04