เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๕ว่าด้วยชาวป่าชาติต่าง ๆ----------------------------
ในพระราชอาณาเขตรข้างทิศตวันออกเฉียงเหนือ มีคนชาติภาษาต่าง ๆ อาไศรยอยู่บนภูเขาแลในป่าเปนอันมาก คนชาติชนิดต่าง ๆ นี้มีลัทธิธรรมเนียมภาษาต่าง ๆ กัน ดังจะได้พรรณาต่อไป คือจะได้พรรณาถึง
๑ บ้านเมืองเคหฐานที่อาไศรย
๒ รูปร่างลักษณกิริยาภาษาพูดแลหนังสือ
๓ อาหารแลผ้านุ่งห่มเครื่องประดับกาย
๔ วิชาชำนาญการเลี้ยงชีพ ฤๅสินค้าต่าง ๆ ที่ไปมา
๕ หัวน่าพาหนะบริวารภาชนะเครื่องใช้
๖ เงินใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายกัน
๗ ธรรมเนียมได้ภรรยาแลคลอดบุตรเลี้ยงบุตร
๘ การพยาบาลแลปลงศพ
๙ การนับถือสาสนา แลการประชุมเล่นมโหรศพ เทศกาลตามฤดูปี
คนชาติต่าง ๆ ที่จะพรรณาต่อไปนี้ ย่อมอาไศรยอยู่ในปลายเขตรแดน ใช่จะมีแต่ในพระราชอาณาเขตรสยามเท่านั้นหามิได้ มีทั่วไปในประเทศต่าง ๆ คือ ประเทศจีน. พม่า. ซึ่งต่อติดกับพระราชอาณาเขตร แลดินแดนอื่น ๆ ก็มีคนต่างชาติต่างภาษาอาไศรยอยู่เหมือนกัน แต่คนชนิดอย่างนี้ชอบอยู่ตามป่าแลเขา ปลายเขตรแดนที่ไกลจากบ้านเมือง แต่ไม่อาไศรยตั่งมั่นอยู่ถิ่นที่หามิได้ มักยักย้ายยกครอบครัวเที่ยวอยู่ในป่าเขาที่อื่น ๆ ต่อไป ถึงแม้ว่าบ้านเมืองใดจะเผื่อแผ่เจือจานความบำรุงเลี้ยงรักษาไปถึงคนชาติต่าง ๆ นั้น ก็คงจะไม่รับความบำรุงความเจริญให้รุ่งเรืองได้ คงจะหลบหลีกหนีห่างออกไปอยู่ตามป่าเขาเช่นนั้นเปนธรรมดา
ว่าด้วยชาติพม่า
๑, คนชาติพม่านี้ อาไศรยอยู่ในดินเมืองภูฝาง ซึ่งเปนพระราชอาณาเขตร ข้างทิศตวันออกเฉียงเหนือ ที่ต่อเขตรแดนกับประเทศจีนแลพม่า แลพม่าพวกนี้ปลูกโรงอาไศรยอยู่บนเขาที่สูง ๆ โรงนั้นมีหลังคาลาดลงมาชิดกับพื้น มีประตูเข้าออกสองข้างทาง ด้านสกัดในโรงนั้น กั้นเปนห้องยกเปนแคร่ขึ้นสูงประมาณศอกหนึ่งสำหรับเปนที่นอน ในห้องนอนนั้นก็กั้นฝามีประตูไปมาถึงกัน โรงนั้นมุงด้วยหญ้าคาฝาขัตแตะ แลบางคนก็ทำด้วยไม้จริงบ้าง โรงใหญ่เล็กก็ตามสมควรที่จะมีครอบครัวอยู่ตามมากแลน้อย
๒, ลักษณร่างกายกิริยาแลภาษานั้น มีร่างกายล่ำสันแขงแรง ผิวกายมีสีดำโดยมากทั้งชายหญิง อากัปกิริยาแขงกระด้าง ไม่เรียบร้อยเหมือนคนในบ้านเมือง มีภาษาพูดเปนภาษาหนึ่ง แต่มีสำเนียงคล้ายภาษาแขกกาลิง แต่ไม่มีหนังสือใช้
๓, เครื่องนุ่งห่มแต่งกายแลอาหารนั้น รับประทานเข้าเจ้าเปนอาหาร แลกับเข้าของกินทำด้วยเนื้อสัตว์ต่าง ๆ แลเนื้อปลา แต่ชอบกินผักต่าง ๆ มาก ผ้านุ่งห่มแลตกแต่งกายนั้น ผู้ชายขวั้นผมเปียอย่างจีน แต่ถักผมไม่ใส่ใหม ใช้เบี้ยแลลูกปัดปล้องไม้น้อย ๆ มีบ้างสำหรับร้อยเปนเครื่องประดับบนศีศะ แลประดับไว้ที่คอห้อยลงมาเหมือนสวมลูกประคำ มีสามสายสี่สายแลเอาไม้หวายต่าง ๆ แลเหล็กมาทำกำไลสวมข้อมือแลตามลำแขนเปนเครื่องประดับ บางคนที่มีเงินก็ทำด้วยเงิน นุ่งกางเกงจีน มีผ้ารัดท้องเปนเป๋าสำหรับใส่เงินติดตัวอยู่เสมอทุก ๆ คน ใช้เสี้อรูปเหมือนเสื้อกวางตุ้ง ทำแขนแลตัวเสื้อนั้นสั้น สำหรับใส่เมื่อฤดูหนาว เสื้อกางเกงเครื่องนุ่งห่มของชายนี้ ใช้สีดำแลสีน้ำเงินเปนผ้าทำด้วยฝ้ายใช้เอง
ผู้หญิงนั้นไว้ผมยาวเกล้ามวยรวบไว้ข้างหลัง แลเจาะหูทำแผ่นสานด้วยเงินม้วนกลมสอดไว้ในหูโตประมาณ ๒ นิ้ว แลสวมปลอกแขนทำด้วยเงินแลเหล็กหวายไม้ต่าง ๆ เหมือนอย่างชายนั้น สวมแต่ที่ข้อแขนที่ข้อมือชั้นเดียวเท่านั้น หาเหมือนชายไม่ นุ่งผ้าสิ้น ห่มเสื้อสีต่าง ๆ มีสีดำหม่นเทาเปนต้น ใช้ผ้าโพกศีศะด้วยผ้าสีต่าง ๆ
ผ้าเครื่องนุ่งห่มของพวกพม่าทั้งหญิงชายนี้ เปนผ้าฝ้ายทอได้เอง หาได้ซื้อจากชาติอื่นไม่
๔, วิชาชำนาญที่จะประกอบการเลี้ยงชีพ คือจักสานเครื่องใช้บางอย่างด้วยไม้แลหวายต่าง ๆ มีเป้สำหรับใส่สิ่งของซึ่งบรรทุกแล้วคอนสพายเอาไปโดยศีศะแลบ่าเปนต้น แลตีเหล็กทำอาวุธต่าง ๆ ได้บ้าง มีวิชาชำนาญใช้อาวุธน่าไม้แม่น ได้ยิงนกแลสัตว์ต่างๆ มีค่างแลชนีเปนต้น มาบริโภคเปนอาหาร ทำการเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่เข้าอย่างหนึ่ง เลี้ยงสุกรตอนขาย ทำไร่ฝ้ายขายแก่พวกฮ่อ พวกผู้ไทย ซึ่งเปนพ่อค้านำเอามาบรรทุกสินค้า คือเหล็กแลอาวุธมีดขวานต่าง ๆ ฝิ่นแลเกลือเปนต้น มาขายแลกเปลี่ยนกับพวกพม่า
๕, หัวน่าที่ได้บังคับว่ากล่าวกันมิได้มียศศักดิและอำนาจซึ่งกันแลกัน เสมอชาติกันทั้งพวก เว้นแต่ที่พวกพม่าได้พร้อมกัน เห็นผู้ใดควรจะเปนที่นับถือเชื่อฟังได้ ก็ยกขึ้นให้เปนนายบ้านเท่านั้น ก็ได้ว่ากล่าวเชื่อฟังบังคับกัน แลพาหนะเครื่องใช้ช่วยแรงนั้น คือม้าแลโคกระบือบ้าง กับภาชนะเครื่องใช้สำหรับเรือน มีถ้วยชามแลหม้อทองแดงที่ซื้อจากพ่อค้าฮ่อนั้นบ้างก็เล็กน้อย
๖, เงินใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายกันนั้น ใช้เงินมิได้เลือกว่าเงินของชาติภาษาใดใช้ได้ทุกชนิด เพราะใช้ชั่งตัดออกเปนน้ำหนักตามราคาของมากแลน้อย ได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันกับพวกฮ่อพวกผู้ไทยเสมอมา
๗, ธรรมเนียมที่จะได้สามีภิริยานั้น ชายไปขอหญิงต่อผู้ใหญ่ของหญิง ๆ ยอมยกให้แต่งงานกันแล้ว ชายก็พาหญิงมาอยู่ด้วยกันในสำนักของชาย วิธีที่แต่งกันนั้น ก็แต่งของเครื่องเส้นไหว้ผีทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง แล้วเลี้ยงกันเหมือนธรรมเนียมจีน การคลอดบุตรนั้น ก็อยู่ไฟ มิได้เปลี่ยนแปลงอันใดหามิได้
๘, การรักษาพยาบาลไข้ป่วยนั้น เมื่อด้วยไข้ลงก็ให้กินยารากไม้ตามที่ถือว่าเปนยา บางทีก็หายบางทีก็ตาย แต่มีความกลัวแก่โรคฝีดาดเปนอย่างยิ่ง ถ้าคนใดเกิดโรคฝีดาดขึ้นแล้วพวกญาติพี่น้องแลบิดาฤๅบุตรซึ่งเปนที่รักก็กลับเปนที่เกลียดกลัว ทิ้งคนไข้ผู้นั้นไว้พากันหนีไปอยู่ในป่าสิ้นทั้งตำบลนั้น ครั้นไปจากคนไข้ได้หลายวัน ประมาณว่าคนไข้นั้นจะถึงแก่กรรมลงได้แล้ว จึงชวนกันมาดูในบ้านนั้น ถ้าคนไข้นั้นยังไม่ถึงแก่กรรมก็กลับไป ถ้าคนไข้นั้นหายขึ้นจึงจะกลับเข้ามาอยู่ในบ้านตามเดิมได้ ถ้าเห็นคนไข้นั้นตายแล้ว จะกลับมาอยู่ตามเดิม ก็ต้องเอาไฟเผาโรงที่คนไข้ตายนั้นเสียแล้วจึงจะอยู่ต่อไป การที่ทำดังนี้เพราะความกลัว ด้วยโรคฝีดาดนี้จะติดกัน จึงได้เผาศพแลที่อาไศรยนั้นเสีย ถ้าศพนั้นตายด้วยโรคอื่น ก็ใช้ธรรมเนียมฝังทั้งสิ้น
๙, ธรรมเนียมถือสาสนา ซึ่งเปนที่นับถือว่าจะช่วยตนให้พ้นทุกข์ได้ มีความนับถือยำเกรงแต่ผีเรือนของเขา แลถือความจรรไรซึ่งจะทำให้เสื่อมความศุขต่าง ๆ ถ้าได้เนื้อนกปลามาถึงที่อยู่ ก็เอาขึ้นไว้บนเหนือศีศะที่นอนของตน กระทำเส็นไหว้ผีเรือนแล้วจึงจะรับประทานได้ แลความถืออิกอย่างหนึ่ง คือ ผัวเมียไม่นอนรวมกันในที่แห่งเดียว นอนอยู่ในห้องเดียวกันแต่กั้นไว้คนละแห่ง มีไม้สอดฝาไปถึงกันเปนที่สำคัญ เมื่อผัวเมียจะไปหากัน ก็จับไม้สำคัญนั้นให้ถูกกายรู้สึกตัวเสียก่อนแล้วจึงเข้าไปหากัน ถ้าไม่ทำดังนั้นไปหากันเมื่อยังมิทันรู้ตัว ก็ถือว่าเปนการอัปมงคลไปต่าง ๆ แลเปนความผิดมาก เพราะฉนั้นห้องนอนของพวกพม่าจึงมีไม้สอดตลอดถึงกัน เปนที่สำคัญเช่นนั้นทุก ๆ ห้อง สำหรับทุก ๆ คน ประการหนึ่งถือว่าที่ดินที่ได้อาไศรยทำไร่กงอยู่ ถ้าได้ผลน้อยลงก็มักยักย้ายยกครอบครัวไปตั้งอยู่ในที่ตำบลอื่น ๆ ต่อไปอิก เพราะฉนั้นจึงมิได้ตั้งมั่นอาไศรยอยู่ในที่ใดให้เปนที่แห่งเดียวได้
อนึ่งยังมีคนป่าซึ่งคล้ายคลึงกับพวกพม่านี้ มีอิก ๓ ชนิดนับเข้าพวกเดียวกัน คือเรียกว่าล่าหมี ๑ อาไศรยอยู่ในดินเมืองภูฝาง ข่ากง ๑ อาไศรยอยู่ในดินเมืองตองเขตรเมืองไล เหล่าภิกขุ ๑ อาไศรยอยู่ในดินเมืองแยเขตรเมืองไล คนทั้ง ๔ จำพวกนี้มีรูปกายแลความประพฤติใช้ขนบธรรมเนียมนุ่งห่มประดับกายก็เหมือนกัน แต่ภาษาพูดแผกผันกันไปบ้าง แต่ฟังเข้าใจกันเหมือนเช่นลาวกับไทย พูดรู้จักกันเช่นนั้น
๓ ว่าด้วยโอนี ๔ ชนิด
คนป่าชาติหนึ่งจีนเรียกว่า โอนี. ภาษาผู้ไทยเรียกว่าข่าคอ คนชาติโอนีมี ๔ ชนิด โอนีดำฤๅโอนีกอจ้อ ๒ โอนีอาก้า ๑ โอนีอาสัง ๑ โอนีทั้ง ๔ จำพวกนี้ใช้ขนบธรรมเนียมแลความประพฤติเหมือนกัน แต่ภาษาสำเนียงแปลกแปลงกันไปบ้างพอฟังเข้าใจกัน แลโอนีทั้ง ๔ ชนิดนี้ จะมีแปลกกันอยู่ก็แต่เครื่องประดับกาย พวกโอนีนี้ได้อาไศรยอยู่ในดินเมืองภูฝาง ชอบอาไศรยปลูกโรงอยู่บนภูเขาที่สูง ๆ ทำที่อยู่แลประพฤติอากัปกิริยาต่าง ๆ ก็เหมือนกันกับพวกพม่า ดังที่กล่าวมาแต่เบื้องต้นแล้วนั้น ทุก ๆ ข้อ ๆ ใดที่แปลกประหลาดจึงจะได้อธิบายดังต่อไปนี้
๔ ว่าด้วยโอนีดำ
๓ โอนีดำ ผู้ชายไว้ผมเปียถักไม่ใส่ไหม นุ่งกางเกงขาสั้นพอปกเข่าลงหน่อยหนึ่ง ใส่เสื้อแขนใหญ่แต่ช่วงตัวแลแขนสั้น ๆ มีผ้าดำโพกศีศะ ถ้าเดินทางไกลก็ใช้ผ้าพันข้อเท่าขึ้นมาถึงเข่า ผ้านั้นกว้างประมาณคืบหนึ่ง เสื้อผ้าเหล่านี้ใช้สีดำทั้งสิ้น
ผู้หญิงนั้นไว้ผมยาวเกล้ามวยไว้ข้างหลัง บางคนก็ม้วนผมพันรอบศีศะหาได้เกล้าไม่ แล้วใส่หมวกประดับด้วยเบี้ยแลลูกปัดลูกเดือยปล้องไม้เล็ก ๆ ร้อยประดับหมวกนั้น ทำด้วยผ้าสีต่าง ๆ มีรูปเปนสี่เหลี่ยม แต่ยอดนั้นลดกันให้เล็กลง สวมเสื้อยาวปกลงมาถึงเข่า ที่ชายเสื้อแลข้อมือเสื้อนั้นขลิบด้วยผ้าแดงแลผ้าสีต่าง ๆ เปนลายสลับกัน ดุมแลฅอเสื้อก็ประดับกรึงด้วยเบี้ยแลลูกปัดต่าง ๆ เสื้อนั้นใช้พื้นดำมีหวายย้อมด้วยสีต่าง ๆ ถักเปนสายแถบกว้างประมาณ ๓ นิ้ว ๔ นิ้ว ๕ นิ้ว คาดไว้ที่เอวนอกเสื้อเรียง ๆ กันเปนสามสายสี่สาย ดูเปนลวดลายสลับกัน นุ่งกางเกงสั้นพอยกเข่าลงหน่อยหนึ่ง แต่กางเกงนั้นขาแคบ มีผ้าดำพันแข้งเหมือนผู้ชาย เจาะหูใส่ควงวงกลมเช่นวงแหวน ทำด้วยเงิน ควงนั้นใหญ่ยานลงถึงบ่า ใส่รองเท้าเย็บด้วยผ้า สวมปลอกแขนทำด้วยเงินแลเหล็ก แลมักชอบสูบยา ใช้กล้องทำด้วยไม้
ว่าด้วยโอนีอาก้า
๓ โอนีอาก้า ผู้ชายแต่งตัวไว้ผมเปียถักไม่ใส่ไหม ทั้งหญิงชายอากัปกิริยาแต่งร่างกายขนบธรรมเนียม ก็เปนเช่นอย่างโอนีดำทั้งสิ้น
๕ ว่าด้วยโอนีปาแต๋
โอนีปาแต๋นี้ เครื่องแต่งตัวนุ่งห่มก็เช่นเดียวกันกับโอนีดำฤๅโอนีอาก้า แต่โอนีปาแต๋นั้นเครื่องนุ่งห่มแต่งกายแลที่อยู่สกปรกเลวทรามกว่าโอนีสองจำพวกที่กล่าวมาแล้วนั้น
แต่ถือผิดกันอีกอย่างหนึ่ง คือไม่ทำอันตรายสัตว์ใหญ่ในป่า เปนต้นว่าช้าง แรด โคกระบือ ถ้าผู้ใดทำอันตรายสัตว์ใหญ่เหล่านี้แล้ว แลเอาเนื้อสัตว์นั้นมาบริโภค ก็ถือว่าจะมีอันตรายแก่ผู้นั้นด้วยเหตุต่าง ๆ
๖ ว่าด้วยโอนีขาว
๓ โอนีขาว ใช้เครื่องนุ่งห่มทั้งชายทั้งหญิงแต่ล้วนขาว นอกนั้นเปนเหมือนโอนีดำดังที่กล่าวมาแล้วทุกประการ
ว่าด้วยโอนีอาสัง
โอนีอาสัง ใช้เครื่องนุ่งห่มนั้น ผู้ชายแต่งเปนโอนีที่กล่าวมาแล้ว แต่ผู้หญิงใช้เครื่องนุ่งห่มประดับกายต่างกัน ไว้ผมยาวม้วนพันรอบศีศะ มิได้เกล้ามวย มีผ้าขาวน้อยทำเปนรูปเหมือนใบโพธิ ประดับด้วยลูกเดือยลูกปัดที่ริมผ้า สำหรับปะไว้ที่หน้าผาก แล้วมีผ้าผืนใหญ่สีต่าง ๆ พันศีศะทับผ้าน้อยนั้นไว้ ให้ผ้าน้อยนั้นห้อยแลบออกมาถึงหว่างคิ้วพอแลเห็นได้ ใส่ต่างหูทำรูปเหมือนขอมีกลีบแฉก รูปคล้ายต่างหูระย้า สวมเสื้อยาวถึงเข่า ที่ฅอเสื้อผ้าสีเหลืองแดงต่าง ๆ ขลิบริมรอบเสื้อ นุ่งกางเกงขาแคบสั้นพอปกเข่า
โอนีทั้ง ๕ อย่างนี้ ถ้าอยู่ในที่แห่งเดียวกันแล้ว จะสังเกตว่าเปนโอนีจำพวกใดนั้นไม่ได้เลย ด้วยกิริยาอาการนั้นคล้ายคลึงกันทั้งสิ้น
แลภาษาทั้พูดนั้นใช้ความนับดังนี้
ตี ยี ซำ เอ ง่า คั้ว ซี แห้ เกว เส ตียา เตถัง เสถัง
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๐๐ ๑๐๐๐ ๑๐๐๐๐
พวกโอนีนี้ ถ้าเปนคนมั่งมีก็มักรู้หนังสือจีน ได้ไปเรียนมาจากจีน ขนบธรรมเนียมก็ฝักไฝ่ไปข้างจีนโดยมาก
๗ ว่าด้วยแม้ว ๔ ชนิด
คนจำพวกนี้ ภาษาจีนเรียกว่าแม้ว แม้วนี้เดิมก็มาจากประเทศจีนเมืองเสฉวน เข้ามาอาไศรยอยู่ในดินเมืองไล แล้วก็แพร่หลายแยกย้ายเที่ยวไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ซึ่งเปนพระราชอาณาเขรข้างทิศตวันออกเฉียงเหนือนี้ ชาติแม้ว ๔ ชนิดนี้ เรียกว่าแม้วหัวแดง ๑ แม้วลาย ๑ แม้วดำ ๑ แม้วขาว ๑ เปน ๔ ชนิด
๑ แม้วทั้ง ๔ ชนิดนี้ ชอบปลูกโรงอยู่บนภูเขาสูง ๆ ไม่อยู่ที่พื้นแผ่นดินราบเลย โรงเรือนที่อาไศรยนั้นทำเหมือนโรงจีนเลื่อยไม้ หลังคาโรงมุงด้วยหญ้าคา ฝาโรงทำด้วยดิน แลวิธีทำนั้นเอาไม้กระดานปักขวางสองข้างขนาบเข้า เอาดินใส่ข้างในกะทุ้งให้แน่น แล้วก็เลื่อนขึ้นไปเปนชั้น ๆ ดูก็เช่นกันกับฝาผนังตึก แต่โรงนั้นเตี้ยไม่สู้จะสูงนัก ยกพื้นขึ้นเฉภาะเตียงนอน กว้างประมาณ ๒ ศอก สูงประมาณ ๑ ศอก ในโรงนั้นกั้นห้องกว้างแคบประมาณพอจุเตียงนอน โรงหนึ่งก็อยู่ด้วยกันครัวหนึ่ง เหตุที่ใช้ดินทำฝานั้นเพื่อที่จะกันความหนาว เพราะที่อยู่บนเขาสูงแลหนาวจัด
๒ ลักขณร่างกายของแม้วนี้มีผิว ทั้งชายหญิงย่อมขาวมีกำลังแขงแรง ภาษาพูดมีอย่างหนึ่ง คือกินเข้าว่า (เน่าเห็น) ไม่มีหนังสือใช้ มีแต่คนที่ได้ไปเรียนหนังสือจีนก็ได้ใช้หนังสือจีนแลภาษานับของแม้วนั้นดังนี้
อี อาว บี เปลา จี เจา จาง ยี จ้า เก๊า
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐
๓ เครื่องนุ่งห่มประดับกายของแม้วพวกนี้ ย่อมมีประการต่าง ๆ กันทั้ง ๔ ชนิด แต่ในที่นี้จะว่าด้วยแม้วหัวแดงก่อน แม้วอื่น ๆะได้แสดงในที่ต่อไปข้างน่านั้น
แม้วหัวแดง ผู้ชายขวั้นเปียไว้ผมเหมือนจีน แต่ถักผมเปล่าไม่ใส่ไหม ใช้ผ้าแดงแลขนไก่แดงเสียบประดับโพกไว้บนศีศะ สวมเสื้อแขนสั้นตัวสั้น แต่กว้างอย่างเสื้อกวางตุ้ง นุ่งกางเกงขากว้างประมาณศอกหนึ่ง แต่สั้นพอยกเข่า มีผ้าพันข้อเท้าถึงเข่า
แม้วหัวแดงผู้หญิงนั้น ไว้ผมยาวบ้าง เกล้ามวยรวมไว้ข้างหลังบ้าง บางคนก็ใช้เอาผมพันรอบศีศะบ้าง มีผ้าแดงผืนน้อย ๆ คลุมบนศีศะ แล้วเอาผ้าสีต่าง ๆ โพกชั้นนอก แลผ้าโพกศีศะหญิงนี้ใหญ่กว่าผ้าโพกศีศะผู้ชาย ใส่ต่างหูมีรูปเหมือนขอมุ้งแขวนอยู่ในหู ขอต่างหูนี้กว้างยาวประมาณคืบหนึ่ง เมื่อเวลาทำการงาน ก็เอาต่างหูเกี่ยวกันไว้ข้างหลัง สวมกำไลมือทำด้วยทองเหลืองทองแดง เหล็กแลเงิน นุ่่งผ้าจีบเอวพอประจบรอบเท่านั้น แล้วมีผ้าห้อยน่าอิกผืนหนึ่ง อย่างเช่นผ้าห้อยน่าโขน เพื่อจะยังผ้านุ่งที่คาดเอวนั้นแตกออก เมื่อจะนั่งก็ตวัดเอาผ้าที่ห้อยน่ารองก้นนั่ง สวมเสื้อยาวอย่างเสื้อญวนปกลงถึงเข่า แลใช้ผ้าพันข้อเท้าขึ้นมาถึงเข่า ผ้าที่พันข้อเท้านี้มีความประสงค์ว่า เมื่อเดินนั้นเนื้อน่องสั่นสบัดอยู่เสมอ ถ้าเอาผ้าพันเสียให้แน่นแล้ว เดินจึงจะไม่เมื่อยเท้า ผ้าเครื่องนุ่งห่มของแม้วทั้ง ๔ ชนิดนี้ ทำด้วยเปลือกต้นกันชา แลแน่นเหนียวกว่าผ้าฝ้าย ทำย้อมใช้เปนสีต่าง ๆ แต่แม้วทั้ง ๔ ชนิด ซึ่งมีชื่อต่างกันนั้น เหตุด้วยใช้ผ้าผ่อนเครื่องนุ่งห่มเปนสีต่าง ๆ เปนที่สังเกตกำหนดแลอื่น ๆ บ้าง ดังจะกล่าวต่อไปนี้
(แม้วหัวแดง) มีขนไก่แดงแลผ้าแดงประดับไว้บนศีศะที่สังเกต (แม้วลาย) ใช้ผ้าผ่อนเครื่องนุ่งห่มประดับกายด้วยผ้าลายต่าง ๆ เปนที่สังเกต (แม้วดำ) ใช้ผ้าผ่อนเครื่องนุ่งห่มประดับกายแต่ล้วนผ้าสีดำเปนเครื่องหมายสำคัญ (แม้วขาว) ให้ผ้าผ่อนนุ่งห่มประดับกายล้วนแต่ผ้าสีขาวทั้งสิ้นเปนที่สังเกต ผ้าสีต่าง ๆ นั้นแม้วขาวไม่ใช่เลย แต่แม้วดำนั้นบางทีก็ใช้ผ้าสีขาวบ้าง
แลแม้วทั้ง ๔ จำพวกนี้ บริโภคเข้าโภชสาลีเปนอาหาร วิธีเมื่อจะทำหุงต้มนั้น ใช้โม่ศิลาทำได้เอง สำหรับโม่บดย่อยเข้าโภชสาลีให้เลอียด แล้วร่อนออกเปนสองอย่าง อย่างที่เลอียดเอาปล้องไม้ไผ่ทั้งปล้องมาใช้เปนหวดนึ่ง อย่างที่หยาบนั้นก็ทำหุงต้มธรรมดา แลกับเข้าของกินก็ใช้เนื้อสุกร ไก่ เนื้อกระบือสดเปนต้น มิได้ใช้เนื้อสัตว์ซึ่งเปนของหมักของดองเลย ทำไว้บริโภคบ้างเล็กน้อย ก็ใช้ย่างแห้งไว้เปนธรรมดา ถ้าจะเปนของดองก็เช่นผักต่าง ๆ มีหัวผักกาดฤๅใบผักกาดเปนต้น เพราะได้เพาะปลูกไว้ เมื่อรับประทานอาหารก็ใช้ไม้ตะเกียบเช่นอย่างจีน ชอบสูบยากล้องยาว ๆ ทั้งหญิงทั้งชาย
๔ แม้วทั้ง ๔ จำพวกนิ้ มีวิชาทำผ้าแลทอผ้าด้วยเปลือกต้นกันชา ต้นกันชาก็ทำไร่ปลูกไว้สำหรับทำผ้าเท่านั้น มิได้ใช้ผลประโยชน์ด้วยดอกแลใบเลย การที่ทำผ้านี้เปนวิชาของหญิงแม้ว แม้วผู้ชายมีวิชาทำมีด แลอาวุธปืนคาบศิลาสั้นแลยาวตามแต่ชอบใจใช้ แต่ปืนของพวกแม้วนี้ทำพอเปนปืนยิงได้ แต่ดูของเลวทรามเต็มที แลปืนนี้เมื่อจะยิงต้องประทับเข้ากับแก้ม มิได้ประทับบ่า แลแม้วนี้เปนคนมีกิริยาว่องไวในทางป่าแลเขา เมื่อไปเที่ยวยิงสัตว์มักมีสุนักข์ตามไปด้วย ครั้นสุนักข์นั้นเห็นสัตว์ป่าเข้าแล้วก็วิ่งไล่สัตว์นั้นไป แม้วผู้เจ้าของสุนักข์ก็วิ่งไล่ตามไปทันสุนักข์เหมือนกัน เพราะฉนั้นจึงว่ามีกิริยาอันว่องไว
สิ่งสินค้าต่าง ๆ ที่แม้วได้ทำขายแก่พวกฮ่อพ่อค้าได้เปนผลประโยชน์นั้น มีเข้าเจ้า เข้าโภชสาลี สุกรตอน ไก่ตอน แพะ ม้า โค เปนต้น สินค้าซึ่งฮ่อพ่อค้าแลผู้ ไทย นำมาซื้อขายก็มี เหล็ก เกลือ ภาชนะถ้วยชาม นำมาถึงที่อยู่แห่งแม้ว เพราะแม้วมิได้นำเอาสินค้าไปขายถึงทางไกลเลย การไร่นาซึ่งแม้วได้เพาะปลูกนั้น คือ เข้าเจ้า เข้าโภช ต้นกันชา ผักกาด แลผักต่าง ๆ แลฟักแฟง เปนต้น แลผ้ากันชานั้นย้อมด้วยเปลือกไม้ ยางไม้ แลครั่ง เปนสีดำแดง เขียว เหลือง ต่าง ๆ
๕ หัวน่าซึ่งได้ด้วยคุมว่ากล่าวกันนั้น ใช้ม้าเปนพาหนะสำหรับขี่เที่ยวไปในที่ต่าง ๆ โคกระบือก็เลี้ยงไว้ขายแลกิน หาได้ใช้ทำไร่ไถนาไม่ การซึ่งได้มีผู้ว่ากล่าวบังคับ ก็อาไศรยการสามัคคีพร้อมกันเห็นว่าคนใดจะเปนที่นับถือเชื่อฟังได้ ก็ยกผู้นั้นขึ้นเปนนาย ฟังบังคับบัญชาว่ากล่าวด้วยคุมกันไป แลนายบ้านของแม้วนี้ มิได้รับยศแลอำนาจของเจ้าท้าวพระยาหามิได้ กับภาชนะเครื่องใช้ของแม้ว มีกระทะเหลิก หม้อทองแดง กับถ้วยชาม ซึ่งพวกฮ่อได้นำมาจำหน่ายบ้าง ของที่แม้วทำใช้ได้เองบ้าง คือ ถังตักน้ำ แลกะบุง โม่ เปนต้น
๖ เงินที่ใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายกัน ไม่เลือกว่าเงินรูปชนิดไร สุดแต่เปนเงินแล้วก็ใช้ได้ ใช้ชั่งตัดเอาตามน้ำหนัก เมื่อแม้วจะเอาสิ่งของมาขายก็มีตาชั่งตาเต็งมาสำหรับตัวด้วยทุก ๆ คน เงินที่ตัดย่อยออกแล้วนั้นเรียกว่าเงินมุ่น ถ้าได้มากแล้วหลอมก้อนไว้ เมื่อจะธุระซื้อขายกันก็ตัตต่อไป
๗ ธรรมเนียมเมื่อจะได้ภรรยาสามีกันนั้น บางทีบิดามารดาชอบอัธยาไศรยซึ่งกันแลกัน ก็ขอบุตรสาวไปเลี้ยงไว้ให้อยู่ด้วยกันไปแต่เล็ก ถ้าแลแต่งงานสู่ขอกันเมื่อหนุ่มสาวนั้น ถ้าเปนผู้ดีมีเงินทองก็มีสิ่งของไปคำนับผู้ใหญ่ของหญิง สุกร ๑ คู่ ไก่ตอน ๑ คู่ เข้าสาร ๒ หาบ สุรา ๒ ไห เงินหนัก ๑๐ บาท ให้กับบิดามารดาฝ่ายหญิง เส้นไหว้ผู้เรือนของหญิงแลผีฟ้าตามธรรมเนียมแล้ว ก็แต่งของเลี้ยงพรรคพวกซึ่งมาพร้อมกันในเวลานั้นแล้วก็รับหญิงนั้นมาที่อยู่แห่งชาย
อิกอย่างหนึ่ง ถ้าชายเปนคนจนมีภรรยา ก็ต้องมีอีแปะทองแดงร้อยแปะไปขอต่อผู้ใหญ่ของหญิง วิธีเมื่อจะไปขอนั้น เมื่อถึงผู้ใหญ่ของหญิงแล้ว ก็นั่งคุกเข่าประสานมือคอยสดับคำ ซึ่งผู้ใหญ่ของหญิงจะว่ากล่าวเปนประการใด ผู้ใหญ่ของหญิงนั้นก็กล่าวด้วยคำหยาบช้าให้เจ็บแสบถึงสาหัส เพราะด้วยตัวเปนคนจนจึงต้องรับคำด่าคำดูถูกประมาทหมิ่นเปนอันมาก เว้นแต่ไม่ด่าถึงบิดามารดาด้วยเท่านั้น ถ้าชายผู้นั้นนั่งสดับรับคำด่าอยู่ได้ในวันหนึ่ง ผู้ใหญ่นั้นจึงจะยกบุตรสาวหลานสาวนั้นให้เปนภรรยา ถ้าชายนั้นไม่อดกลั้นถ้อยคำ อันว่ากล่าวให้เจ็บช้ำนั้นได้ก็หาได้ภรรยาสำเร็จดังความปราถนาไม่
แม้วนี้เมื่อคลอดบุตร ก็อยู่ไฟบนร้านเหมือนญวน แลบุตรคลอดออกมานั้น ก็เอาผ้าห่อกายไว้ที่ใต้แคร่ที่นอน เมื่อเวลาจะให้กินนมก็ยกเอาออกมา ครั้นออกไฟแล้ว เมื่อแม้วลูกอ่อนนั้นจะไปทำไร่นา อุ้มเอาลูกไปที่ไร่นาแล้ว ก็เอาผ้าผูกเปลแขวนไว้บนต้นไม้แล้วก็ไปทำการเลี้ยงกันอย่างนี้ไปกว่าจะเดินได้
๘ การรักษาพยาบาลความป่วยไข้ ก็ใช้ยารากไม้ใบไม้ แลเปนของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งคนทรงผีบอกให้ว่าเปนยา ด้วยมีแม้วที่เปนคนทรงผีสำหรับรักษาโรคต่าง ๆ อยู่ตำบลบ้านแม้วคนทรงนี้ เมื่อผีเข้าแล้วบอกให้บวงสรวงฤๅจะให้ทำอย่างไร พวกแม้วนั้นก็ทำตามทุกประการ เพราะพวกแม้วนี้ถือผีเปนการแขงแรง แลทำวิธีต่าง ๆ กัน
แม้วทั้ง ๔ จำพวกนี้ มิวิธีปลูกฝีดาดได้อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปลูกก็เอาสะเก็ดฝีมาประสมเข้ากับยา ตัวยานั้นซื้อมาแต่เมืองจีน ครั้นประสมกันเข้าแล้วก็เป่าเข้าไปในจมูก อยู่ได้ประมาณวันหนึ่งเปนไข้ เปนไข้ไปได้ประมาณสามวันก็เปนเม็ดฝีขึ้น แต่ไม่ขึ้นมากเหมือนฝีที่ขึ้นเอง แลไม่มีพิษคนนั้นไม่อันตราย การรักษาฝีดาดนั้นก็เอาแต่น้ำอาบไปประมาณ ๑๕ วัน ก็หายเปนปรกติ ราคาค่าจ้างที่จะต้องเสียให้หมอผู้ปลูกฝีนั้น ถ้าเปนคนจนต้องเสียอย่างน้อยเพียงสองแถบ ถ้าเปนคนมีก็เรียกเอามากไปจนถึง ๒๐-๓๐ แถบ
อนึ่งอัธยาไศรยของพวกแม้วนี้ คนใจน้อยมักโกรธร้ายแรง บางทีผัวเมียฤๅญาติพี่น้องซึ่งอยู่ด้วยกัน ถ้าผิดใจแลทุ่มเถียงวิวาทกันถึงด่าตีแล้ว ก็กินยาตายฤๅเชือดฅอตายให้จากกันไป แลแม้วนี้ทำยาตายไว้สำหรับตัวทุก ๆ คน ในดุมเสื้อที่แม้วห่มอยู่นั้นก็มียาพิษไว้สำหรับตัวอยู่เสมอ ยาตายของแม้วซึ่งประกอบไว้นั้น เข้าดีนกยูงเปนต้น เพราะฉนั้นดีนกยูงนี้มีราคาซื้อขายกันแพง ๆ
การทำศพของแม้วทั้ง ๔ จำพวกย่อมทำต่าง ๆ กัน ถ้าแม้วหัวแดงตายลงญาติพี่น้องก็ช่วยกันเอาเชือกผูกแขวนศพนอนขวางประตูโรงไว้ สูงประมาณเพียงน่าอกคนยืน แล้วแต่งเครื่องอาหารเส้นไหว้ศพนั้น เอาอาหารแลเครื่องเส้นใส่เข้าในปากศพ แล้วฆ่าโคแลสุกร เมื่อจะฆ่าโคนั้นญาติพี่น้องช่วยกันพยุงศพออกไป เอาเชือกที่ผูกโคมาใส่ในมือศพ แล้วฆ่าโคนั้นเอาเนื้อมาแต่งเครื่องเส้นศพแลเลี้ยงกัน มีการเล่นเต้นรำอยู่สามวันดังที่จะกล่าวต่อไปนั้น แล้วจึงเอาศพนั้นใส่ในโลงทำด้วยไม้จริง ขุดเปนรางเหมือนรางใส่เข้าหมูแล้วก็นำไปฝัง เมื่อจะขุดหลุมฝังศพนั้นไม่ขุดตรงอย่างธรรมดา ขุดรุ้งโพรงแล้วจึงเอาโลงเสือกเข้าไปกลบไว้ แลเอากระดานทำป้ายเขียนชื่อปักไว้เปนอักษรจีน นี่การศพอย่างดี ถ้าเปนคนจนตายลงก็เอาไปฝังเสียเท่านั้น
แม้วลายนั้นเส้นศพ เอาศพนั้นมัดให้ยืนอยู่นอกประตูโรง
แม้วดำเอาศพมัดให้ยืนอยู่ในโรง
แม้วขาวเอาแขวนนอนขวางไว้กลางโรง
การเส้นศพวิธีต่างๆก็ทำเช่นกับแม้วหัวแดงดังได้พรรณามาแล้วนั้น
๙ การนับถือสาสนาของแม้ว ๔ จำพวกนี้ คือนับถือผีเรือนแลผีฟ้า ซึ่งนับถือเอาเปนที่พึ่งสำหรับจะช่วยทุกข์ร้อนแลให้ความศุขนั้น ถ้าถึงวันขึ้นค่ำหนึ่งฤๅกลางเดือน ก็จุดธูปเทียนไหว้กราบเสมอไป เมื่อขึ้นปีใหม่ก็ทำเครื่องเส้นแลบวงสรวงสังเวยปีละครั้งดังธรรมเนียมจีน การที่ไหว้กราบนั้นก็ทำกุ๋ยเกี้ยเหมือนจีนถือ กลัวความร้อนชอบอยู่แต่อากาศที่หนาว อยู่แต่ที่บนเขาสูง ๆ ไม่ลงมาอยู่ในแผ่นดินที่ราบเลย ถึงแม้ว่าจะมีการจำเปนที่จะลงมาบ้างก็ไม่นอนค้าง เพราะถือว่าถ้าลงมาที่แผ่นดินต่ำได้ยินเสียงกบเขียดร้อง ก็มักเปนไข้เจ็บไปต่าง ๆ จนถึงแก่ชีวิต เพราะฉนั้นพวกแม้วนี้มิได้มีความฉลาดในการที่จะปลาดเลย หาได้แต่สัตวป่าแลสัตวที่เลี้ยงไว้ ฤๅจะเรียกเจ๊กบกก็ได้ เพราะแม้วไม่ฉลาดไปมาในทางน้ำ แลน้ำก็ไม่อาบเลย
การเล่นสนุกของพวกตามเทศกาล มีแคนเป่าแลร้องขับกับมีกลองฉาบ เต้นรำกระโดดไปมา เอาเท้าถีบเตะกันตามพวกผู้ชาย ผู้หญิงก็ฟ้อนรำไปตามหมู่หญิง การเล่นสนุกอย่างนี้ เล่นเมื่อมีการศพแลการบ่าวสาว แต่เล่นงานบ่าวสาวหาใช้กลองแลฉาบไม่ รูปแคนที่เป่านั้นก็มีช่องที่เป่ายาวยื่นออกมาผิดกับรูปแคนที่ลาวแลข่าเล่นกัน เทศกาลเล่นสนุกนั้น เล่นเมื่อเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม เปนการประจำตามฤดูมีทุกๆปี แลเล่นเมื่อไปหาที่อยู่ที่ได้ใหม่ เพราะมักยักย้ายที่อยู่ต่อไปเนือง ๆ แลยังมีข้อความที่ไม่น่าเชื่ออิกประการหนึ่ง ซึ่งพวกแม้วเล่าต่อ ๆ กันมาว่า มีคนแก่พวกแม้วบางคน แกเข้าแล้วกลายเปนเสือไป เพศที่กลายนี้มี ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งตายแล้วศพกลายเปนเสือเข้าป่าไป ชนิดหนึ่งเปนเสียไปทั้งเปน คนที่จะกลายเปนเสือนั้น รูปกายค่อยกลายไปทีละน้อย คือนิ้วมือสั้นเข้า เล็บกลบเข้า ปากกว้างออก ตากลมโตออก แลงอกหางงอกขนเปนขนเสือ ถ้าคนเกิดเปนดังนั้นขึ้น บุตรหลานญาติพี่น้องก็จัดแจงขังไว้ในคอก เข้าแลผักอาหารที่เคยรับประทานนั้นก็หารับประทานไม่ ต้องให้เนื้อสดเปนอาหาร ไปจนเสือคนนั้นแก่กล้ามีกำลังมากขึ้น ก็แหกคอกหนีเข้าป่าไป ชนิดหนึ่งคนแก่มีรูปกายแก่กลายเปนเสีอนั้น แต่ตายลงเสียก่อน ศพนั้นต้องฝังระวังอยู่ ๑๐๐ วัน เพราะจะเปนเสื้อไปได้แต่ในระหว่าง ๑๐๐ วันนั้น ถ้าพวกลูกหลานนั้นมีการระวังกวดขันแล้ว ศพนั้นก็ไม่อาจเปนเสือไปได้ การระวังนั้นคือมีช่องฤๅโพรงออกมาแต่ที่ฝังศพแล้ว คนที่ระวังอยู่นั้นก็เอาดินแลก้อนศิลาปิดกลบเสีย มิให้เปนช่องเปนโพรงออกมาได้ ถ้าครบ ๑๐๐ วันแล้ว ศพนั้นก็ไม่กลับกลายไปได้ แลเสือซึ่งแม้วกลายไปนี้ มีคำอธิบายว่า ถ้ามีเล็บครบ ๕ เล็บแล้วก็เปนเสือแม้วกลาย ถ้าเปนเสือธรรมดาก็มีเล็บ ๔ เล็บ
๒ ว่าด้วยคนชาติล่อลอ
คนชาติหนึ่งที่เรียกตามภาษาจีนว่า ล่อลอนี้ เคยเที่ยวค้าขายเข้ามาในพระราชอาณาเขตร ที่เมืองภูฝางนั้นเนือง ๆ
๑ พวกล่อลอนี้ ตั้งอาไศรยอยู่ในเขตรแดนจีน
๒ มีลักษณร่างกายคล้ายคนจีนทั้งหญิงชาย แต่ภาษาพูดนั้นคล้ายกับพวกโอนี ๆ กับพวกล่อลอนี้พูดเข้าใจกัน ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ นั้น ก็ใช้ธรรมเนียมจีนทั้งสิ้น บางคนที่ได้เรียนรู้หนังสือจีนจนถึงได้เปนขุนนางในเมืองจีนก็มี คนพวกนี้รูปร่างสูงใหญ่แขงแรง
๓ เครื่องนุ่งห่มของพวกล่อลอนี้ จะผิดกันกับจีนก็แต่ที่โพกศีศะด้วยผ้าโตเหมือนอย่างเช่นแขกเทศ แต่ผู้หญิงนั้นก็คงแต่งตัวเหมือนหญิงจีน เพราะฉนั้นจึงไม่ต้องพรรณาต่อไป ด้วยพวกจีนนั้นมีอยู่มากแล้วในประเทศสยาม
๘ ว่าด้วยคนชาติซอนป่า
คนชาติหนึ่งที่จีนเรียกว่าซอนป่า
๑ คนชาติซอนป่านี้ อาไศรยอยู่บนป่าแลเขาในอาณาเขตรจีน เคยเที่ยวค้าขายมาถึงในพระราชอาณาเขตรที่เมืองภูฝาง
๒ ภาษาพูดแลกิริยา ใช้ภาษาจีนทั้งสิ้น
๓ เครื่องนุ่งห่มแลธรรมเนียมต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกับจีน แต่จีนบ้านนอก ขนบธรรมเนียมอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกับจีน