เปิดประวัติศาสตร์ พระราชพิธีพระบรมศพกษัตริย์แห่งสยาม
รายการประวัติศาสตร์นอกตำรา
หลักฐานที่กล่าวถึงการจัดพระราชพิธีพระบรมศพที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนประเทศไทย
ปรากฏอยู่ในหนังสือไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง หนังสือวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาเล่มแรกของไทย
ซึ่งวัฒนธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับการสวรรคตของกษัตริย์สุโขทัยมักปรากฏในรูปแบบการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
เมื่อสุโขทัยอันรุ่งเรืองได้เสื่อมอำนาจลง อยุธยาได้เข้ามาแทนที่ในฐานะศูนย์กลางอำนาจแห่งใหม่
อย่างไรก็ตามในช่วงต้นของกรุงศรีอยุธยา ยังไม่ปรากฏหลักฐานการพระศพ หากแต่ปรากฏหลักฐานการสร้างวัด
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่อดีตพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ต่างจากสมัยสุโขทัยเท่าใดนัก
ในยุคต่อ ๆ มาของกรุงศรีอยุธยา เริ่มมีบันทึกเกี่ยวกับการจัดงานพระบรมศพมากขึ้นตามลำดับ
โดยเฉพาะความยิ่งใหญ่โอฬารของพระเมรุมาศสำหรับการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ เช่น
การจัดงานถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรที่มีการก่อสร้างพระเมรุมาศขนาดสูงถึง 74 เมตร
งานถวายพระเพลิงพระเจ้าปราสาททองที่ปรากฏหลักฐานว่ามีขนาดพระเมรุมาศสูงถึง 102 เมตร 75 เซนติเมตร
ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกในประวัติศาสตร์มาก่อนหน้านี้
ในช่วงอยุธยาตอนปลาย งานพระราชพิธีพระศพและพระบรมศพมีการบันทึกไว้อย่างละเอียดมากขึ้น
เช่นงานพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพ ในปี พ.ศ.2279 ที่บอกเล่าขั้นตอนกระบวนเชิญพระโกศ
และแผนผังการก่อสร้างพระเมรุเอาไว้อย่างละเอียด นอกจากนี้ยังมีภาพจิตรกรรมงานพระเมรุพระเพทราชา
ซึ่งเป็นภาพในสมัยอุยธยาเพียงภาพเดียวที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน ทำให้เรารู้ถึงเรื่องราวบางส่วน
เกี่ยวกับงานพระราชพิธีพระบรมศพของพระมหากษัตริย์เมื่อครั้งอดีต
หลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เกิดขึ้น โบราณราชประเพณีอันเกี่ยวเนื่องกับงานพระบรมศพของพระมหากษัตริย์
ก็ได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นใหม่อีกครั้งโดยยังคงสืบทอดแบบแผนดั้งเดิมตามโบราณราชประเพณีเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน
ความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับงานพระราชพิธีพระบรมศพ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
เริ่มจากพระราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. 5 เนื่องจากทรงเห็นว่า
ประเทศไทยมีการติดต่อกับนานาอารยประเทศมากขึ้น ควรต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมบางอย่างให้มีความสอดคล้องตามยุคสมัย
การสร้างพระเมรุมาศทรงปราสาท ถือเป็นงานใหญ่โต เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินและเป็นที่เดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป
ดังนั้นในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขนาดและรูปแบบของพระเมรุมาศ
จึงมีการลดขนาดให้ย่อมลง โดยเปลี่ยนจากทรงพระปรางค์เป็นทรงมณฑป ไม่มีการสร้างเมรุใหญ่คร่อมพระเมรุทอง
ล่วงเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เกิดธรรมเนียมใหม่เกี่ยวกับงานพระบรมศพอีกหลายประการ
ดังปรากฏในพระราชพินัยกรรมระบุถึงการจัดงานพระบรมศพของพระองค์ที่ให้งดราชประเพณีเก่าหลายอย่าง อาทิ
ให้งดการโยง คือมิให้มีการใช้ราชรถน้อยโยงผ้าจากพระบรมโกศ ในริ้วกระบวนแห่พระบรมศพ
โปรดให้งดการโปรย ซึ่งเดิมจะใช้ราชรถน้อยอีกองค์ที่มีพระบรมวงศานุวงศ์ประทับ
เพื่อทรงโปรยทานพระราชทานแก่ประชาชนที่มาเฝ้ากราบพระบรมศพตามทางสู่พระเมรุมาศ
คงให้เหลือเพียงราชรถน้อยองค์หนึ่งใช้เป็นราชรถที่สมเด็จพระสังฆราชประทับ ทรงสวดนำกระบวนพระมหาพิชัยราชรถเท่านั้น
พระราชประสงค์อีกประการคือ ทรงให้แห่พระบรมศพโดยใช้รถปืนใหญ่ จากวัดพระเชตุพนไปยังพระเมรุมาศเยี่ยงชายชาติทหาร
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี
ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 และทรงตัดสินพระทัยประทับที่ ประเทศอังกฤษ
จนกระทั่งเสด็จสวรรคต ณ พระตำหนัก Compton House ใกล้กรุงลอนดอน
การถวายพระเพลิงพระบรมศพ จัดขึ้น ณ สุสานในกรุงลอนดอน โดยมีทั้งชาวไทยและต่างชาติ เฝ้าฯ ถวายอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย
นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จสวรรคตนอกประเทศ และมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างเรียบง่ายที่สุด
งานพระราชพิธีพระบรมศพแห่งองค์พระมหากษัตริย์เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันในวันที่ วันที่ 9 มิถุนายน 2489 ซึ่งต่อมาในหลวง ร.9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 8 ในวันที่ 29 มีนาคม 2493
งานพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเป็นอีกครั้ง
ที่ประเทศไทยได้รวบรวมงานประณีตศิลป์ของแผ่นดินอันงดงาม และประวัติศาสตร์ของชาติเข้ารวมไว้ด้วยกัน
ซึ่งคนในยุคสมัยปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่มีใครได้เคยมีโอกาสเห็นมาก่อน
เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศสูงสุดในงานพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ตามโบราณราชประเพณี ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ถวายพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร หรือเศวตฉัตร 9 ชั้น ซึ่งเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศอันเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สุด
ของความเป็นพระมหากษัตริย์ นี่จึงเป็นงานพระราชพิธีพระบรมศพครั้งสำคัญอีกครั้งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ที่ชาวไทยจะได้ร่วมชื่นชมความยิ่งใหญ่แห่งอารยะ รวมทั้งร่วมใจกัน น้อมถวายสักการะส่งเสด็จพระองค์ท่านสู่สวรรคาลัย