13 ธันวาคม 2568 07:33:31
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
นิทาน - ชาดก
.:::
พระเจ้า ๕๔๗ พระชาติ ๓๗ ติตติรชาดก ว่าด้วยผู้มีความอ่อนน้อม
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: พระเจ้า ๕๔๗ พระชาติ ๓๗ ติตติรชาดก ว่าด้วยผู้มีความอ่อนน้อม (อ่าน 50 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1304
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
พระเจ้า ๕๔๗ พระชาติ ๓๗ ติตติรชาดก ว่าด้วยผู้มีความอ่อนน้อม
«
เมื่อ:
21 พฤศจิกายน 2568 14:10:50 »
Tweet
ขุททกนิกายภาค ๑ เอกนิบาต ๔.กุลาวกวรรค
๓๗ ติตติรชาดก ว่าด้วยผู้มีความอ่อนน้อม
พระศาสดาเมื่อเสด็จไปยังนครสาวัตถีทรงปรารภ การห้ามเสนาสนะพระสารีบุตร จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
ความพิสดารว่า เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี สร้างวิหารเสร็จแล้ว ส่งทูตไปนิมนต์พระศาสดาเสด็จออกจากนครราชคฤห์ ถึงนครเวสาลี ประทับอยู่ในนครเวสาลีนั้นตามความพอพระทัย แล้วทรงพระดำริว่า จักไป นครสาวัตถี จึงเสด็จดำเนินไปตามทาง สมัยนั้น อันเตวาสิกทั้งหลายของภิกษุ ฉัพพัคคีย์พากันล่วงหน้าไป เมื่อพระเถระทั้งหลายยังไม่ได้จับจองเสนาสนะเลย พากันหวงเสนาสนะด้วยการพูดว่า เสนาสนะนี้จักเป็นของอุปัชฌาย์ของพวกเรา เสนาสนะนี้จักเป็นของอาจารย์ของพวกเรา เสนาสนะนี้จักเป็นของพวกเราเท่านั้น พระเถระทั้งหลายที่มาภายหลัง ย่อมไม่ได้เสนาสนะ อันเตวาสิกทั้งหลาย แม้ของพระสารีบุตรเถระพากันแสวงหาเสนาสนะเพื่อพระเถระก็ไม่ได้ พระเถระเมื่อไม่ได้เสนาสนะจึงยับยั้งอยู่ ด้วยการนั่งและการเดินจงกรม ที่โคนไม้ แห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกลเสนาสนะของพระศาสดานั่นเอง
ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จออกมาทรงพระกาสะ (ไอ) พระเถระก็ไอขึ้น พระศาสดาตรัส ถามว่า นั่นใคร ? พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าพระองค์สารีบุตร พระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสถามว่า สารีบุตร เธอทำอะไรอยู่ในที่นี้ในเวลานี้ พระสารีบุตรนั้นจึงกราบทูลเรื่องราวนั้น เมื่อพระศาสดาได้ทรงสดับคำของพระสารีบุตรแล้วทรงรำพึงว่า เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ในบัดนี้ ภิกษุทั้งหลายยังไม่เคารพไม่ยำเกรงกันและกันก่อน เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ภิกษุทั้งหลายจักทำอย่างไรกันหนอ ธรรมสังเวชก็เกิดขึ้น
เมื่อราตรีสว่างแล้ว พระองค์จึงรับสั่งให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกัน แล้วสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ล่วงหน้าไปเกียดกันเสนาสนะของภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระจริงหรือ ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริงพระเจ้าข้า แต่นั้นพระองค์จึงทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์แล้วตรัสธรรมกถา ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใครหนอย่อมควรแก่อาสนะอันเลิศ น้ำอันเลิศ ก้อนข้าวอันเลิศ ภิกษุบางพวกกราบทูลว่า ผู้บวชจากขัตติยตระกูล บางพวกกราบทูลว่า ผู้บวชจากตระกูลพราหมณ์ บางพวกกราบทูลว่า ผู้บวชจากตระกูลคฤหบดี ภิกษุอีกพวกหนึ่งกราบทูลว่า พระวินัยธร พระธรรมกถึก ท่านผู้ได้ปฐมฌาน ท่านผู้ได้ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อีกพวกหนึ่ง กราบทูลว่า พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ท่านผู้มีวิชชา ๓ ท่านผู้มีอภิญญา ๖ ย่อมควรแก่อาสนะเลิศ น้ำเลิศ ก้อนข้าวเลิศ
ในเวลาที่ภิกษุทั้งหลายกล่าวถึงท่านผู้ควรแก่อาสนะเลิศเป็นต้น ตามความชอบ ใจของตน ๆ อย่างนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ถึงอาสนะเลิศเป็นต้นในศาสนาของเราจะต้องเป็นผู้บวชจากตระกูลกษัตริย์ หาเป็นประมาณไม่ ผู้บวชจากตระกูลพราหมณ์ ตระกูลคฤหบดี พระวินัยธร พระนักพระสูตร พระนักอภิธรรม ท่านผู้ได้ปฐมฌานเป็นต้น พระโสดาบันเป็นต้น หาเป็นประมาณไม่
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ในศาสนานี้ ควรกระทำการอภิวาท การลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม ตามผู้แก่กว่า ควรได้อาสนะเลิศ น้ำเลิศ ก้อนข้าวเลิศ ตามผู้ที่แก่กว่า นี้เป็นประมาณในศาสนานี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้แก่กว่าเป็นผู้สมควรแก่อาสนะเลิศเป็นต้นเหล่านี้
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ก็บัดนี้แล สารีบุตรอัครสาวกของเรา ผู้ประกาศธรรมจักรตามได้ ควรได้เสนาสนะติดกับเรา สารีบุตรนั้นเมื่อไม่ได้เสนาสนะ จึงยับยั้งอยู่ที่โคนไม้ ตลอดราตรีนี้ บัดนี้แหละ เธอทั้งหลายไม่เคารพ ไม่ยำเกรง มีความประพฤติ ไม่เป็นสภาคกันอย่างนี้ เมื่อเวลาล่วงไป ๆ จักกระทำชื่อว่าอะไรอยู่
ลำดับนั้น เพื่อต้องการจะประทานโอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้นจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลก่อน แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย ก็พากันคิดว่า ก็ข้อที่พวกเราไม่เคารพ ไม่ยำเกรง มีความประพฤติไม่เป็นสภาคกันและกันนั่น ไม่สมควรแก่พวกเรา บรรดาเราทั้งหลาย พวกเราจักรู้ผู้ที่แก่กว่า แล้วกระทำอภิวาทเป็นต้นแก่ผู้แก่ กว่านั้น จึงพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนแล้วรู้ว่า บรรดาเราทั้งหลาย ท่านผู้นี้เป็นผู้แก่กว่า จึงกระทำอภิวาทเป็นต้นแก่ผู้แก่กว่านั้น ยังทางไปเทวโลกให้เต็มอยู่ แล้วทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล มีสหายทั้งสาม คือนกกระทา ลิง ช้าง อาศัยต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ในหิมวันตประเทศ สหายทั้งสามนั้น ได้เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรง มีความประพฤติไม่เป็นสภาคกันและกัน ลำดับนั้น สหายทั้งสามนั้น ได้มีความคิดดังนี้ว่า การที่เราทั้งหลายอยู่กันอย่างนี้ไม่สมควร ถ้ากระไร พวกเราพึงกระทำอภิวาทเป็นต้นแก่บรรดาพวกเราผู้แก่กว่าอยู่ สหายทั้งสามคิดกันอยู่ว่า บรรดาพวกเรา ก็ใครเล่าเป็นผู้ที่แก่กว่า
วันหนึ่งคิดกันว่า อุบายนี้มีอยู่ จึงทั้ง ๓ สัตว์ นั่งอยู่ที่โคนต้นไทร นกกระทาและลิงจึงถามช้างว่า ดูก่อนช้างผู้สหาย ท่านรู้จักต้นไทรนี้ ตั้งแต่กาลมีประมาณเพียงไร ? ช้างนั้น กล่าวว่า ดูก่อนสหายทั้งหลาย ในเวลาเป็นลูกช้างรุ่น เราเดินทำพุ่มต้นไทรนี้ไว้ ในระหว่างขาอ่อน ก็แหละในเวลาที่เรายืนคร่อมอยู่ ยอดของมันระท้องเรา เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจึงรู้จักต้นไทรนี้ ตั้งแต่เวลายังเป็นพุ่ม
สหายทั้งสองจึง ถามลิงโดยนัยก่อนนั่นแหละอีก ลิงนั้นกล่าวว่า สหายทั้งหลายเราเป็นลูกลิง นั่งอยู่ที่ภาคพื้น ไม่ต้องชะเง้อคอเลย เคี้ยวกินหน่อของไทรอ่อนนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจึงรู้จักต้นไทรนี้ ตั้งแต่เวลายังเป็นต้นเล็ก ๆ
ลำดับนั้น สหายทั้งสองจึงถามนกกระทา โดยนัยก่อนนั่นแหละ นกกระทานั้นกล่าว ว่า สหายทั้งหลาย เมื่อก่อน ต้นไทรใหญ่ได้มีอยู่ในที่โน้น เรากินผลของมันแล้วถ่ายอุจจาระลงในที่นี้ แต่นั้น ต้นนี้จึงเกิดเป็นอย่างนั้น เราจึงรู้จักต้น ไทรนี้ ตั้งแต่มันยังไม่เกิด เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นผู้แก่กว่าท่านทั้งหลายโดยกำเนิด
เมื่อนกกระทากล่าวอย่างนี้ ลิงและช้างจึงกล่าวกะนกกระทาผู้เป็นบัณฑิตว่า สหาย ท่านเป็นผู้แก่กว่าเราทั้งหลาย จำเดิมแต่นี้ไป พวกเราจักกระทำสักการะ การเคารพ การนับถือ การไหว้ การบูชา และการอภิวาท การลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ท่าน และจักตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน อนึ่ง ตั้งแต่นี้ไป ท่านพึงให้โอวาทและอนุศาสนีแก่เราทั้งหลาย ตั้งแต่นั้นมา นกกระทาได้ให้โอวาทแก่ลิงและช้างเหล่านั้นให้ตั้งอยู่ในศีล แม้ตนเอง ก็สมาทานศีล สหายแม้ทั้งสามนั้นตั้งอยู่ในศีล ๕ มีความเคารพยำเกรงกันและกัน มีความประพฤติเป็นสภาคกัน ในเวลาสิ้นชีวิต ได้เป็นผู้มีเทวโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า การสมาทานของสหายทั้งสามนั้น ได้ชื่อว่าติดติรพรหมจรรย์.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ชื่อว่าสัตว์เดียรัจฉานเหล่านั้น ยังมีความเคารพ มีความยำเกรงกันและกันอยู่ ฝ่ายเธอทั้งหลายก็บวชในพระธรรมวินัยที่เรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ เพราะเหตุไร จึงไม่เคารพยำเกรงกันและกันอยู่
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่นี้ไป เราอนุญาตการอภิวาท การลุกรับ การอัญชลีกรรม สามีจิกรรม ตามผู้ที่แก่กว่า อาสนะเลิศ น้ำเลิศ ก้อนข้าว เลิศ ตามผู้ที่แก่กว่า แก่เธอทั้งหลาย ตั้งแต่นี้ไปผู้ใหม่กว่าไม่พึงห้ามเสนาสนะผู้แก่กว่า ภิกษุใดห้าม ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏดังนี้
ครั้นทรงนำพระธรรม เทศนานี้มาอย่างนี้แล้ว ทรงเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ ว่า
“นรชนเหล่าใด ฉลาดในธรรม นอบน้อมคนผู้ใหญ่
นรชนเหล่านั้น เป็นผู้ได้รับความสรรเสริญในปัจจุบันนี้
และมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า”
พระศาสดาตรัสคุณของธรรม คือการอ่อนน้อมต่อผู้เจริญอย่างนี้แล้ว ทรงสืบประชุมชาดกว่า
ช้างผู้ประเสริฐในกาลนั้น ได้เป็น
พระโมคคัลลานะ
ลิงในกาลนั้น ได้เป็น
พระสารีบุตร
ส่วนนกกระทาผู้เป็นบัณฑิตในกาลนั้น ได้เป็น
เราเอง
แล.
ที่มา วัดโพรงจระเข้ จ.ตรัง
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 พฤศจิกายน 2568 14:01:01 โดย Maintenence
»
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...