29 มิถุนายน 2568 18:09:47
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
กระบวนการ NEW AGE
.:::
ความทรงจำนอกมิติ : การแพทย์ใหม่-กินวิตามิน-เกลือ-ไข่กลับดี?
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : การแพทย์ใหม่-กินวิตามิน-เกลือ-ไข่กลับดี? (อ่าน 1706 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0
ความทรงจำนอกมิติ : การแพทย์ใหม่-กินวิตามิน-เกลือ-ไข่กลับดี?
«
เมื่อ:
13 มิถุนายน 2553 14:57:07 »
Tweet
ที่ตั้งเป็นหัวข้อของบทความวันนี้และมีเครื่องหมายคำถาม เพราะไม่แน่ใจว่าทำไม? รัฐบาลของเมืองนอกถึงได้ยอมให้มีบริษัทที่ขายและส่งออกสารที่การแพทย์แผนปัจจุบันห้ามใช้ โดยเฉพาะวิตามินในขนาดที่สูงมากๆ ดังนั้น ผู้เขียนจึงเขียนบทความนี้เพื่อวิเคราะห์พัฒนาการของวิชาการแพทย์ "สมัยใหม่" พร้อมๆ กับความเสื่อมถอยของหมอไทยโบราณ ซึ่งตัวเองมีส่วนที่ทำให้การแพทย์สมัยเก่าสมัยโบราณที่ชาวบ้านใช้ๆ กันมา-ทั้งที่ตัวเอง พูดจริงๆ ก็ได้เกิดมาดูโลกและเติบใหญ่ขึ้นมา ด้วยหมอตำแยและยาหม้อแผนโบราณ ซึ่งที่บ้านนอกชนบทไกลๆ ทั้งประเทศแทบว่าจะไม่มีแพทย์แผนปัจจุบันเลย-ต้องเสื่อมลง และถอยร่นจนแทบจะหายไปทั้งหมด ที่บอกว่าผู้เขียนมีส่วนนั้น ก็เพราะผู้เขียนชอบเขียนบทความลงในหนังสือต่างๆ และหนึ่งในนั้นคือหนังสือรับน้องใหม่ที่เขียนเป็นประจำ โดยเขียนตำหนิและด่าว่าการแพทย์สมัยเก่า รวมทั้งยาต้ม ยาแผนโบราณ และหมอตำแย โดยไม่มีเหตุผลใดๆ นอกจากล้าสมัย "เขา (ฝรั่ง) เลิกใช้กันแล้ว" อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดไม่ถึงว่าการแพทย์สมัยใหม่ประเทศไทยเราต้องพึ่งประเทศตะวันตกแทบจะทุกอย่างเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวินิจฉัยโรคที่ต้องพึ่งเทคโนโลยีของประเทศตะวันตก ฝรั่งหรือญี่ปุ่นแทบจะทั้งหมด-ทำให้ค่ายาค่ารักษาของแพทย์แพงขึ้นและแพงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมกับคนไทยส่วนใหญ่และประเทศไทย
ที่จะเขียนวันนี้ คือการเปลี่ยนแปลงอย่างแทบว่าเป็นตรงกันข้ามกับทัศนคติทางวิชาการของการแพทย์สมัยใหม่ ตอนที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กในชนบทห่างไกลจากปืนเที่ยงมากๆ นั้น แม่ของผู้เขียนที่เป็นคนทันสมัยมากๆ รู้สึกว่าแม่จะกลัวตกสมัยเป็นที่สุด อาจจะเพราะไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นระบบ จึงขวนขวายเรียนด้วยตนเองจนเขียนอ่านหนังสือได้ดีมากๆ แม้แต่ภาษาอังกฤษก็พออ่านเขียนได้ ที่ชอบเป็นพิเศษคือเลขคณิตกับการแพทย์ (ทั้งเก่าและใหม่) โดยจะหาหนังสือเกี่ยวกับหมอและยามาอ่านเป็นประจำ (ตาและยายเป็นแพทย์แผนจีน-ไทย) โดยเฉพาะวิตามิน ซึ่งผู้อ่านบางคนเมื่อยังเป็นเด็กเล็กๆ และมีผู้ปกครองหรือแม่ที่อนามัยจัด ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ ก็คงเป็นเช่นแม่ของผู้เขียนเหมือนกันจะรู้ดี แม่นั้นชอบตั้งตัวเป็นผู้นำชุมชนด้านสุขภาพอนามัย โดยจะเรียกร้องให้ชาวบ้านปลูกฝีและฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดตั้งแต่ผู้เขียนเล็กมากๆ ทั้งๆ ที่ทั้งจังหวัดไม่มีหมอแผนปัจจุบันเลย จนกระทั่งผู้เขียนอายุได้สิบเอ็ดสิบสองแล้ว ในช่วงนั้นหากผู้อ่านที่มีอายุหน่อยจะยังคงจำได้ อาทิ ห้ามอาบน้ำถ้าหากเหงื่อยังไม่แห้งหรืออิ่มข้าวมาใหม่ๆ เพราะหลอดเลือดแดงจะทำงานผิดปกติ ห้ามกินข้าวเหนียว หน่อไม้ ไข่ หรือเนื้อวัว กุ้งหรือปลาที่ไม่มีเกล็ดเวลาเป็นแผลพุพองหรือเป็นไข้ เพราะเป็นของแสลง ไม่ให้โดนไอ (ละออง) ฝนเพราะกลัวเป็นหวัด จนกระทั่งเป็นเด็กที่โตพอควร ฯลฯ ที่สำคัญที่จะเขียนคือ ข้อห้ามหรือข้อควรระวังของการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เช่นเดียวกันกับวิทยาศาสตร์ที่มีแต่ข้อสันนิษฐาน ข้อสมมุตติฐาน หรือทฤษฎีที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ จึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กระทั่งหลายสิ่งหลายอย่างชักเข้ามาใกล้ๆ กับข้อห้าม หรือข้อสนับสนุนของแพทย์แผนโบราณเข้าทุกที เช่นตอนที่ผู้เขียนยังเรียนแพทย์อยู่นั้น จะมีสโลแกนในช่วงนั้นให้กินข้าว (คาร์โบไฮเดรต) ให้น้อย แต่ให้กินกับให้มาก โดยเฉพาะในระยะเจริญเติบโต แพทย์แผนปัจจุบันจะห้ามไม่ให้คนที่มีไข้ตัวร้อนอาบน้ำ หรือสระผม หรือกินน้ำเย็น แพทย์แผนปัจจุบันหลายคนจะห้ามของแสลงบางอย่างกับคนที่เป็นโรคผิวหนังพุพองรวมทั้งอีสุกอีใส ในราวๆ ปี พ.ศ.2515 การแพทย์สมัยใหม่ได้ลบล้างที่ผู้เขียนกล่าวมานั้นทั้งหมดเป็นตรงกันข้าม และหลังจากนั้นเป็นยุคของต่อมเอนโดครายน์ หรือฮอร์โมนและไขมันอิ่มตัว กินไข่ กินไขมัน กินเค็ม (และกินไก่เลี้ยงด้วยอาหารผสมฮอร์โมน) จะต้องระมัดระวังให้มากมาตั้งแต่นั้น โดยเฉพาะคนอ้วน คนสูบบุหรี่ คนเป็นโรคเบาหวาน คนเป็นโรคไตเรื้อรัง แม้กระทั่งคนในวัยกลางคนไปแล้ว ไม่ให้กินเค็มจัดทั้งที่ไม่ได้เป็นโรคอะไร หลังจากที่ผู้เขียนได้เป็นหมอมาตั้งนานแล้วได้หันไปทำธุรกิจ ในช่วงนั้นได้จัดกรุ๊ปนักท่องเที่ยวที่มีอายุหน่อย หลายคนเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน และบางคนในนั้นเคยเป็นอาจารย์ของผู้เขียนด้วยซ้ำ โดยได้เดินทางไปยังประเทศโรมาเนีย พร้อมกันนั้นก็ไปเยี่ยมเยียนศูนย์ชะลอความความชราที่มีชื่อเสียงของ ดร.แอนนา อัสลัน ซึ่งผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปีส่วนมากเป็นผู้หญิง ทุกคนโดยไม่มีผู้ใดยกเว้นพากันเข้าคอร์สการรักษากันถ้วนหน้า อย่างน้อยก็ทุกกรุ๊ปที่ผู้เขียนจัด และในสถานที่ที่เป็นเหมือนกับ "สปา" นี้เอง (ซึ่งควบคุมโดยแพทย์แผนปัจจุบันอย่างค่อนข้างเคร่งครัด) ที่ห้ามอย่างเด็ดขาด คือ ไข่กับเกลือ หรือเครื่องปรุงที่มีรสเค็มและหวานจัดทุกชนิด-ทั้งๆ ที่นักท่องเที่ยวเหล่านั้นไม่ได้มีโรคความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง หรือโรคที่แพทย์แผนปัจจุบันในช่วงนั้นห้ามกิน-ครั้นในปี พ.ศ.2533-34 ที่เมืองนอกเกิดค้นพบอาหารสี่หมู่ที่คนควรกินประจำ ได้แก่ อาหารจำพวกแป้ง เช่นข้าวประเภทต่างๆ เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ และนมกับผลิตภันฑ์จากนม เช่นเนยแข็ง แต่ยังต้องระวังเนยธรรมดา ไขมันอิ่มตัว รวมทั้งไข่ที่มีโคเลสเตอรอลสูง (อาทิตย์ละไม่เกินสี่ฟอง) และเครื่องปรุงหรืออาหารที่มีรสเค็มและหวานจัดทุกชนิดในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนมีอายุทุกๆ คน มีหรือไม่มีโรคประจำตัวก็ตาม เช่น โรคความดันเลือดสูงก็ตาม นอกจากนี้ยังให้ระวังน้ำตาลให้มากๆ ด้วย ในปี 2541 หรือปี 1996-7 ได้มีการวิจัยเรื่องอาหารกันมาก และได้มีหนังสือพีระมิดของกลุ่มอาหารที่ทางการอเมริกาแนะนำ (dietary pyramid guide) ซึ่งมีอาหารอยู่ห้าหมวดหมู่ โดยจะเน้นหนักที่ผักและผลไม้ ซึ่งนอกจากไม่ต้องระวังไม่ห้ามเลยแล้ว (นอกจากผลไม้ที่หวานจัด) ยังยุให้กินมากๆ เสียด้วย และเป็นครั้งแรกที่ให้ระมัดระวังการกินอาหารที่มีโปรตีนสูง (จากเนื้อสัตว์ ยกเว้นปลา) และบรรดาฟาสต์ฟู้ดทั้งหลาย ซึ่งเรารู้และใช้กันในปัจจุบัน ที่ไม่มีการห้ามให้ผู้ป่วยไม่ว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ หรือเส้นเลือดแดงใหญ่แข็งที่มักพบเสมอๆ ในคนแก่หรือไม่ คือไข่ที่อย่างน้อยต้องกินวันละฟอง แต่ยังคงห้ามกินไขมันอิ่มตัวและอาหารเค็มจัดในคนทั่วไปโดยเฉพาะคนมีความดันสูง ห้ามหรือให้ระวังน้ำตาลเป็นพิเศษไม่ว่าจะอายุเท่าไร? หรือมีโรคหรือไม่? มีอย่างหนึ่งที่น่าสังเกตคือ แพทย์แผนปัจจุบันจะระมัดระวังอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตก่อน และต่อมาเป็นเรื่องของไขมัน
ต่อมาอีกเป็นเรื่องของเนื้อสัตว์ ส่วนวิตามินจะถูกห้ามมาตลอด-ไม่ให้กินมากกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน-จนกระทั่งช่วงสี่ห้าปีมานี้เอง ที่วิตามินส่วนใหญ่โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในน้ำ รวมทั้งวิตามินซี บีคอมเพล็กซ์ หรือแม้แต่วิตามีนอี ซึ่งแม้จะละลายในน้ำมันและกินเกินกำหนดก็แทบไม่มีความเป็นพิษเลย
ผู้เขียนเป็นคนที่ชอบกินไข่ กินเค็มจัด และอาหารที่ค่อนข้างหวานเป็นพิเศษ โดยเฉลี่ยจะกินไข่วันละสองฟองและกินเค็มจัดมากๆ วันหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่าสี่หรือห้ากรัมหรือมากกว่านั้น พูดง่ายๆ ไม่มีน้ำปลาเกินกว่ามื้อละอย่างน้อยหนึ่งช้อนโต๊ะไม่ได้ ส่วนน้ำตาลนั้นพูดได้เลยว่าไม่ใช่กินกาแฟต้องใส่น้ำตาล หากแต่กินน้ำตาลผสมกาแฟจะถูกกว่า และกินเช่นนี้มาอย่างน้อยก็หกสิบกว่าปี โดยไม่มีโรคประจำตัวที่ต้องระมัดระวังอาหารแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อย แต่นั่นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
เมื่อเร็วๆ นี้เองถึงได้รู้ว่า เกลือแกงหรือเกลือที่ใส่ขวดเล็กๆ ที่วางบนโต๊ะอาหาร (table salt) คู่กับขวดพริกไทยนั้น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันคือสารอาหารที่มีความสามารถต่อต้าน หรือฆ่าเชื้อโรคที่เหนือชั้นยิ่งกว่าสารใดๆ ที่มีในวงการแพทย์ (แต่ต้องปรับให้เป็นกรดเสียก่อน) อาจเรียกว่าสารอาหารวิเศษมหัศจรรย์ (miracle mineral supplement) อย่างยิ่ง เหนือกว่าสารหรือยาใดๆ ก็ได้ (Walter Last: Miracle Mineral Supplement-Integrated Therapy, Nexus Jun.-Aug. 2009) วอลเตอร์ ลาสต์ เป็นนักชีวเคมี นักวิจัย และแพทย์ทางเลือกที่มีชื่อเสียงของเยอรมนี สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เขาบอกว่าการค้นพบยาปฏิชีวนะถือว่าเป็นการค้นพบที่ใหญ่ยิ่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแพทย์แผนปัจจุบัน แต่เขาเชื่อว่าการค้นพบและการใช้สารในการรักษาโรคติดเชื้อของเกลือที่ทำให้เป็นกรดแล้ว (MMS) ต้องถือว่ามีความยิ่งใหญ่ยิ่งกว่ามากนัก เพราะนอกจากใช้ฆ่าแบคทีเรียแล้ว (แปลก-ที่มันไม่ทำอะไรกับแบคทีเรียที่มีประโยชน์และอยู่ภายในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ เช่นพวกแลคโตบาซิลลัส) มันยังทำลายพวกพาราไซต์ เช่นเชื้อมาลาเรีย ใช้ฆ่าแบคทีเรียในเลือดหรือการติดเชื้อในเลือด แม้แต่เชื้อไวรัสบางชนิด เช่นตับอักเสบ กระทั่งเอชไอวี/เอดส์ นอกจากนี้ยังรักษามะเร็งบางชนิดได้ด้วย โดยเฉพาะมะเร็งของต่อมน้ำเหลือง
การค้นพบว่าเกลือแกง (ที่ทำให้เป็นกรดหรือโซเดียมคลอไรด์ (NaClO))-ที่จะให้ก๊าซคลอรีนไดออกไซด์ (ClO2) อันเป็นออกซิแดนต์ (จึงต้องกินอาหารที่มีแอนติออกซิแดนต์สูงมากๆ หรือกินวิตามินซีวันละ 10,000 มิลลิกรัม) ก๊าซที่เชื่อว่าสามารถฆ่าจุลชีพที่เป็นเชื้อโรค รวมทั้งไวรัสหรือพาราไซต์ได้ดีที่สุด-เป็นการค้นพบของแพทย์ทางเลือกที่ชื่อว่า จิม ฮัมเบิล (J.V. Humble: MMS Therapy for Malaria and Other Diseases; Nexus 15(2), 2008) ซึ่งสามารถรักษาผู้ป่วยที่ป่วยเป็นมาลาเรียจำนวนถึง 75,000 คน ให้หายจากโรคโดยสิ้นเชิงภายในวันเดียว!! ทำให้บรรดาบริษัทยายักษ์ใหญ่ทั้งหลายพยายามยับยั้งปิดข่าว หรือไม่ก็ทำเฉยเมยต่อข่าวที่ดังยังกับโลกแตกเช่นนี้กันหมด
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับยาปฏิชีวนะ การใช้โซเดียมคลอไรด์ที่ได้มาจากเกลือแกงหรือโซเดียมคลอไรด์ ในการฆ่าเชื้อโรคจุลชีพต่างๆ ก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ถ้าหากไม่ให้แอนติออกซิแดนต์ตามไปด้วย เช่น วิตามินซี หรือบีคอมเพล็กซ์ โคเอนไซม์ เอหรือวิตามินอีเยอะๆ ไปด้วยกัน แต่ต้องเว้นช่วงเวลาให้ห่างกันสามชั่วโมง
ข้อเสียคือ การกินเกลือมากหรือแม้แต่เอ็มเอ็มเอส (MMS ที่ประกอบด้วยเกลือแกงถึง 20% (น้ำทะเลมีความเค็มเพียงราวๆ 3-4%) จึงมักจะทำให้ผู้ป่วยอาเจียนแทบทุกราย ปกติที่วอลเตอร์ ลาสต์ แนะนำคือ ใช้แค่ห้าหยดของเอ็มเอ็มเอสไดยผสมน้ำส้มสายชู (citric acid) ห้าเท่าหรือห้าหยดต่อเอ็มเอ็มเอสหนึ่งหยด โดยดื่มน้ำสักครึ่งแก้วก่อนกินยา แต่น้ำจะต้องไม่มีแอนติออกซิแดนต์ เช่น วิตามีนซี สำหรับโรคที่มีการติดเชื้อรุนแรงและเฉียบพลัน อาจจะเพิ่มขนาดยาเป็นสองหรือสามเท่า (10-15 หยดของเอ็มเอ็มเอส) คือปล่อยให้คนไข้อาเจียนถ้าจำเป็น หรือใช้เพียง 6 หยดของเอ็มเอ็มเอส ตามด้วย 6 หยดอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา แม้ว่าจิม ฮัมเบิล จะเคยใช้การให้ทางหลอดเลือดดำแต่ก็อันตราย ซึ่งวอลเตอร์ สาสต์ บอกว่าไม่จำเป็นและไม่แนะนำให้ทำ
ตอนนี้เอ็มเอ็มเอสที่มีความสามารถต้านเชื้อโรคที่แรงที่สุดที่การแพทย์รู้ แต่คนทั่วไปไม่รู้ ตราบใดที่การแพทย์ที่พึ่งบริษัทยา คือการแสวงหาผลประโยชน์หรือกำไร ดังนั้น การหายาที่ถูกและมีประสิทธิผลแท้จริงจึงจำเป็น เอ็มเอ็มเอสมีเพียงสองแห่งในโลกติดต่อได้ทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ผู้สนใจหาได้จากวารสารแพทย์ทางเลือกเนกซัส
ผู้เขียนคิดอย่างไตร่ตรอง และเชื่อมั่นในธรรมชาติกับมัชฌิมาปฏิปทา แต่ไม่เชื่อในมาตรฐานสายกลาง หรืออะไรก็ตามที่บุคคลคิดขึ้นใช้ชี้วัดที่หาทางสายกลางไม่ได้ เพราะมันเป็นปัจจัตตัง ทุกคนไม่เท่ากัน จริงกับไม่เหมือนกันจริง ตอนนี้ก็เหลือแต่ความหวาน (ไม่ใช่น้ำตาลที่เครื่องจักรทำขึ้น) ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเปลี่ยนไปกับเขาบ้าง?
http://www.thaipost.net/sunday/221109/13903
บันทึกการเข้า
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...