[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มิถุนายน 2568 18:09:47 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : การแพทย์ใหม่-กินวิตามิน-เกลือ-ไข่กลับดี?  (อ่าน 1706 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 14:57:07 »


 
 
 
 
ที่ตั้งเป็นหัวข้อของบทความวันนี้และมีเครื่องหมายคำถาม เพราะไม่แน่ใจว่าทำไม? รัฐบาลของเมืองนอกถึงได้ยอมให้มีบริษัทที่ขายและส่งออกสารที่การแพทย์แผนปัจจุบันห้ามใช้ โดยเฉพาะวิตามินในขนาดที่สูงมากๆ ดังนั้น ผู้เขียนจึงเขียนบทความนี้เพื่อวิเคราะห์พัฒนาการของวิชาการแพทย์ "สมัยใหม่" พร้อมๆ กับความเสื่อมถอยของหมอไทยโบราณ ซึ่งตัวเองมีส่วนที่ทำให้การแพทย์สมัยเก่าสมัยโบราณที่ชาวบ้านใช้ๆ กันมา-ทั้งที่ตัวเอง พูดจริงๆ ก็ได้เกิดมาดูโลกและเติบใหญ่ขึ้นมา ด้วยหมอตำแยและยาหม้อแผนโบราณ ซึ่งที่บ้านนอกชนบทไกลๆ ทั้งประเทศแทบว่าจะไม่มีแพทย์แผนปัจจุบันเลย-ต้องเสื่อมลง และถอยร่นจนแทบจะหายไปทั้งหมด ที่บอกว่าผู้เขียนมีส่วนนั้น ก็เพราะผู้เขียนชอบเขียนบทความลงในหนังสือต่างๆ และหนึ่งในนั้นคือหนังสือรับน้องใหม่ที่เขียนเป็นประจำ โดยเขียนตำหนิและด่าว่าการแพทย์สมัยเก่า รวมทั้งยาต้ม ยาแผนโบราณ และหมอตำแย โดยไม่มีเหตุผลใดๆ นอกจากล้าสมัย "เขา (ฝรั่ง) เลิกใช้กันแล้ว" อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดไม่ถึงว่าการแพทย์สมัยใหม่ประเทศไทยเราต้องพึ่งประเทศตะวันตกแทบจะทุกอย่างเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวินิจฉัยโรคที่ต้องพึ่งเทคโนโลยีของประเทศตะวันตก ฝรั่งหรือญี่ปุ่นแทบจะทั้งหมด-ทำให้ค่ายาค่ารักษาของแพทย์แพงขึ้นและแพงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมกับคนไทยส่วนใหญ่และประเทศไทย
 
ที่จะเขียนวันนี้ คือการเปลี่ยนแปลงอย่างแทบว่าเป็นตรงกันข้ามกับทัศนคติทางวิชาการของการแพทย์สมัยใหม่ ตอนที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กในชนบทห่างไกลจากปืนเที่ยงมากๆ นั้น แม่ของผู้เขียนที่เป็นคนทันสมัยมากๆ รู้สึกว่าแม่จะกลัวตกสมัยเป็นที่สุด อาจจะเพราะไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นระบบ จึงขวนขวายเรียนด้วยตนเองจนเขียนอ่านหนังสือได้ดีมากๆ แม้แต่ภาษาอังกฤษก็พออ่านเขียนได้ ที่ชอบเป็นพิเศษคือเลขคณิตกับการแพทย์ (ทั้งเก่าและใหม่) โดยจะหาหนังสือเกี่ยวกับหมอและยามาอ่านเป็นประจำ (ตาและยายเป็นแพทย์แผนจีน-ไทย) โดยเฉพาะวิตามิน ซึ่งผู้อ่านบางคนเมื่อยังเป็นเด็กเล็กๆ และมีผู้ปกครองหรือแม่ที่อนามัยจัด ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ ก็คงเป็นเช่นแม่ของผู้เขียนเหมือนกันจะรู้ดี แม่นั้นชอบตั้งตัวเป็นผู้นำชุมชนด้านสุขภาพอนามัย โดยจะเรียกร้องให้ชาวบ้านปลูกฝีและฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดตั้งแต่ผู้เขียนเล็กมากๆ ทั้งๆ ที่ทั้งจังหวัดไม่มีหมอแผนปัจจุบันเลย จนกระทั่งผู้เขียนอายุได้สิบเอ็ดสิบสองแล้ว ในช่วงนั้นหากผู้อ่านที่มีอายุหน่อยจะยังคงจำได้ อาทิ ห้ามอาบน้ำถ้าหากเหงื่อยังไม่แห้งหรืออิ่มข้าวมาใหม่ๆ เพราะหลอดเลือดแดงจะทำงานผิดปกติ ห้ามกินข้าวเหนียว หน่อไม้ ไข่ หรือเนื้อวัว กุ้งหรือปลาที่ไม่มีเกล็ดเวลาเป็นแผลพุพองหรือเป็นไข้ เพราะเป็นของแสลง ไม่ให้โดนไอ (ละออง) ฝนเพราะกลัวเป็นหวัด จนกระทั่งเป็นเด็กที่โตพอควร ฯลฯ ที่สำคัญที่จะเขียนคือ ข้อห้ามหรือข้อควรระวังของการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เช่นเดียวกันกับวิทยาศาสตร์ที่มีแต่ข้อสันนิษฐาน ข้อสมมุตติฐาน หรือทฤษฎีที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ จึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กระทั่งหลายสิ่งหลายอย่างชักเข้ามาใกล้ๆ กับข้อห้าม หรือข้อสนับสนุนของแพทย์แผนโบราณเข้าทุกที เช่นตอนที่ผู้เขียนยังเรียนแพทย์อยู่นั้น จะมีสโลแกนในช่วงนั้นให้กินข้าว (คาร์โบไฮเดรต) ให้น้อย แต่ให้กินกับให้มาก โดยเฉพาะในระยะเจริญเติบโต แพทย์แผนปัจจุบันจะห้ามไม่ให้คนที่มีไข้ตัวร้อนอาบน้ำ หรือสระผม หรือกินน้ำเย็น แพทย์แผนปัจจุบันหลายคนจะห้ามของแสลงบางอย่างกับคนที่เป็นโรคผิวหนังพุพองรวมทั้งอีสุกอีใส ในราวๆ ปี พ.ศ.2515 การแพทย์สมัยใหม่ได้ลบล้างที่ผู้เขียนกล่าวมานั้นทั้งหมดเป็นตรงกันข้าม และหลังจากนั้นเป็นยุคของต่อมเอนโดครายน์ หรือฮอร์โมนและไขมันอิ่มตัว กินไข่ กินไขมัน กินเค็ม (และกินไก่เลี้ยงด้วยอาหารผสมฮอร์โมน) จะต้องระมัดระวังให้มากมาตั้งแต่นั้น โดยเฉพาะคนอ้วน คนสูบบุหรี่ คนเป็นโรคเบาหวาน คนเป็นโรคไตเรื้อรัง แม้กระทั่งคนในวัยกลางคนไปแล้ว ไม่ให้กินเค็มจัดทั้งที่ไม่ได้เป็นโรคอะไร หลังจากที่ผู้เขียนได้เป็นหมอมาตั้งนานแล้วได้หันไปทำธุรกิจ ในช่วงนั้นได้จัดกรุ๊ปนักท่องเที่ยวที่มีอายุหน่อย หลายคนเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน และบางคนในนั้นเคยเป็นอาจารย์ของผู้เขียนด้วยซ้ำ โดยได้เดินทางไปยังประเทศโรมาเนีย พร้อมกันนั้นก็ไปเยี่ยมเยียนศูนย์ชะลอความความชราที่มีชื่อเสียงของ ดร.แอนนา อัสลัน ซึ่งผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปีส่วนมากเป็นผู้หญิง ทุกคนโดยไม่มีผู้ใดยกเว้นพากันเข้าคอร์สการรักษากันถ้วนหน้า อย่างน้อยก็ทุกกรุ๊ปที่ผู้เขียนจัด และในสถานที่ที่เป็นเหมือนกับ "สปา" นี้เอง (ซึ่งควบคุมโดยแพทย์แผนปัจจุบันอย่างค่อนข้างเคร่งครัด) ที่ห้ามอย่างเด็ดขาด คือ ไข่กับเกลือ หรือเครื่องปรุงที่มีรสเค็มและหวานจัดทุกชนิด-ทั้งๆ ที่นักท่องเที่ยวเหล่านั้นไม่ได้มีโรคความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง หรือโรคที่แพทย์แผนปัจจุบันในช่วงนั้นห้ามกิน-ครั้นในปี พ.ศ.2533-34 ที่เมืองนอกเกิดค้นพบอาหารสี่หมู่ที่คนควรกินประจำ ได้แก่ อาหารจำพวกแป้ง เช่นข้าวประเภทต่างๆ เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ และนมกับผลิตภันฑ์จากนม เช่นเนยแข็ง แต่ยังต้องระวังเนยธรรมดา ไขมันอิ่มตัว รวมทั้งไข่ที่มีโคเลสเตอรอลสูง (อาทิตย์ละไม่เกินสี่ฟอง) และเครื่องปรุงหรืออาหารที่มีรสเค็มและหวานจัดทุกชนิดในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนมีอายุทุกๆ คน มีหรือไม่มีโรคประจำตัวก็ตาม เช่น โรคความดันเลือดสูงก็ตาม นอกจากนี้ยังให้ระวังน้ำตาลให้มากๆ ด้วย ในปี 2541 หรือปี 1996-7 ได้มีการวิจัยเรื่องอาหารกันมาก และได้มีหนังสือพีระมิดของกลุ่มอาหารที่ทางการอเมริกาแนะนำ (dietary pyramid guide) ซึ่งมีอาหารอยู่ห้าหมวดหมู่ โดยจะเน้นหนักที่ผักและผลไม้ ซึ่งนอกจากไม่ต้องระวังไม่ห้ามเลยแล้ว (นอกจากผลไม้ที่หวานจัด) ยังยุให้กินมากๆ เสียด้วย และเป็นครั้งแรกที่ให้ระมัดระวังการกินอาหารที่มีโปรตีนสูง (จากเนื้อสัตว์ ยกเว้นปลา) และบรรดาฟาสต์ฟู้ดทั้งหลาย ซึ่งเรารู้และใช้กันในปัจจุบัน ที่ไม่มีการห้ามให้ผู้ป่วยไม่ว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ หรือเส้นเลือดแดงใหญ่แข็งที่มักพบเสมอๆ ในคนแก่หรือไม่ คือไข่ที่อย่างน้อยต้องกินวันละฟอง แต่ยังคงห้ามกินไขมันอิ่มตัวและอาหารเค็มจัดในคนทั่วไปโดยเฉพาะคนมีความดันสูง ห้ามหรือให้ระวังน้ำตาลเป็นพิเศษไม่ว่าจะอายุเท่าไร? หรือมีโรคหรือไม่? มีอย่างหนึ่งที่น่าสังเกตคือ แพทย์แผนปัจจุบันจะระมัดระวังอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตก่อน และต่อมาเป็นเรื่องของไขมัน
 
ต่อมาอีกเป็นเรื่องของเนื้อสัตว์ ส่วนวิตามินจะถูกห้ามมาตลอด-ไม่ให้กินมากกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน-จนกระทั่งช่วงสี่ห้าปีมานี้เอง ที่วิตามินส่วนใหญ่โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในน้ำ รวมทั้งวิตามินซี บีคอมเพล็กซ์ หรือแม้แต่วิตามีนอี ซึ่งแม้จะละลายในน้ำมันและกินเกินกำหนดก็แทบไม่มีความเป็นพิษเลย
 
ผู้เขียนเป็นคนที่ชอบกินไข่ กินเค็มจัด และอาหารที่ค่อนข้างหวานเป็นพิเศษ โดยเฉลี่ยจะกินไข่วันละสองฟองและกินเค็มจัดมากๆ วันหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่าสี่หรือห้ากรัมหรือมากกว่านั้น พูดง่ายๆ ไม่มีน้ำปลาเกินกว่ามื้อละอย่างน้อยหนึ่งช้อนโต๊ะไม่ได้ ส่วนน้ำตาลนั้นพูดได้เลยว่าไม่ใช่กินกาแฟต้องใส่น้ำตาล หากแต่กินน้ำตาลผสมกาแฟจะถูกกว่า และกินเช่นนี้มาอย่างน้อยก็หกสิบกว่าปี โดยไม่มีโรคประจำตัวที่ต้องระมัดระวังอาหารแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อย แต่นั่นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
 
เมื่อเร็วๆ นี้เองถึงได้รู้ว่า เกลือแกงหรือเกลือที่ใส่ขวดเล็กๆ ที่วางบนโต๊ะอาหาร (table salt) คู่กับขวดพริกไทยนั้น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันคือสารอาหารที่มีความสามารถต่อต้าน หรือฆ่าเชื้อโรคที่เหนือชั้นยิ่งกว่าสารใดๆ ที่มีในวงการแพทย์ (แต่ต้องปรับให้เป็นกรดเสียก่อน) อาจเรียกว่าสารอาหารวิเศษมหัศจรรย์ (miracle mineral supplement) อย่างยิ่ง เหนือกว่าสารหรือยาใดๆ ก็ได้ (Walter Last: Miracle Mineral Supplement-Integrated Therapy, Nexus Jun.-Aug. 2009) วอลเตอร์ ลาสต์ เป็นนักชีวเคมี นักวิจัย และแพทย์ทางเลือกที่มีชื่อเสียงของเยอรมนี สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เขาบอกว่าการค้นพบยาปฏิชีวนะถือว่าเป็นการค้นพบที่ใหญ่ยิ่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแพทย์แผนปัจจุบัน แต่เขาเชื่อว่าการค้นพบและการใช้สารในการรักษาโรคติดเชื้อของเกลือที่ทำให้เป็นกรดแล้ว (MMS) ต้องถือว่ามีความยิ่งใหญ่ยิ่งกว่ามากนัก เพราะนอกจากใช้ฆ่าแบคทีเรียแล้ว (แปลก-ที่มันไม่ทำอะไรกับแบคทีเรียที่มีประโยชน์และอยู่ภายในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ เช่นพวกแลคโตบาซิลลัส) มันยังทำลายพวกพาราไซต์ เช่นเชื้อมาลาเรีย ใช้ฆ่าแบคทีเรียในเลือดหรือการติดเชื้อในเลือด แม้แต่เชื้อไวรัสบางชนิด เช่นตับอักเสบ กระทั่งเอชไอวี/เอดส์ นอกจากนี้ยังรักษามะเร็งบางชนิดได้ด้วย โดยเฉพาะมะเร็งของต่อมน้ำเหลือง
 
การค้นพบว่าเกลือแกง (ที่ทำให้เป็นกรดหรือโซเดียมคลอไรด์ (NaClO))-ที่จะให้ก๊าซคลอรีนไดออกไซด์ (ClO2) อันเป็นออกซิแดนต์ (จึงต้องกินอาหารที่มีแอนติออกซิแดนต์สูงมากๆ หรือกินวิตามินซีวันละ 10,000 มิลลิกรัม) ก๊าซที่เชื่อว่าสามารถฆ่าจุลชีพที่เป็นเชื้อโรค รวมทั้งไวรัสหรือพาราไซต์ได้ดีที่สุด-เป็นการค้นพบของแพทย์ทางเลือกที่ชื่อว่า จิม ฮัมเบิล (J.V. Humble: MMS Therapy for Malaria and Other Diseases; Nexus 15(2), 2008) ซึ่งสามารถรักษาผู้ป่วยที่ป่วยเป็นมาลาเรียจำนวนถึง 75,000 คน ให้หายจากโรคโดยสิ้นเชิงภายในวันเดียว!! ทำให้บรรดาบริษัทยายักษ์ใหญ่ทั้งหลายพยายามยับยั้งปิดข่าว หรือไม่ก็ทำเฉยเมยต่อข่าวที่ดังยังกับโลกแตกเช่นนี้กันหมด
 
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับยาปฏิชีวนะ การใช้โซเดียมคลอไรด์ที่ได้มาจากเกลือแกงหรือโซเดียมคลอไรด์ ในการฆ่าเชื้อโรคจุลชีพต่างๆ ก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ถ้าหากไม่ให้แอนติออกซิแดนต์ตามไปด้วย เช่น วิตามินซี หรือบีคอมเพล็กซ์ โคเอนไซม์ เอหรือวิตามินอีเยอะๆ ไปด้วยกัน แต่ต้องเว้นช่วงเวลาให้ห่างกันสามชั่วโมง
 
ข้อเสียคือ การกินเกลือมากหรือแม้แต่เอ็มเอ็มเอส (MMS ที่ประกอบด้วยเกลือแกงถึง 20% (น้ำทะเลมีความเค็มเพียงราวๆ 3-4%) จึงมักจะทำให้ผู้ป่วยอาเจียนแทบทุกราย ปกติที่วอลเตอร์ ลาสต์ แนะนำคือ ใช้แค่ห้าหยดของเอ็มเอ็มเอสไดยผสมน้ำส้มสายชู (citric acid) ห้าเท่าหรือห้าหยดต่อเอ็มเอ็มเอสหนึ่งหยด โดยดื่มน้ำสักครึ่งแก้วก่อนกินยา แต่น้ำจะต้องไม่มีแอนติออกซิแดนต์ เช่น วิตามีนซี สำหรับโรคที่มีการติดเชื้อรุนแรงและเฉียบพลัน อาจจะเพิ่มขนาดยาเป็นสองหรือสามเท่า (10-15 หยดของเอ็มเอ็มเอส) คือปล่อยให้คนไข้อาเจียนถ้าจำเป็น หรือใช้เพียง 6 หยดของเอ็มเอ็มเอส ตามด้วย 6 หยดอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา แม้ว่าจิม ฮัมเบิล จะเคยใช้การให้ทางหลอดเลือดดำแต่ก็อันตราย ซึ่งวอลเตอร์ สาสต์ บอกว่าไม่จำเป็นและไม่แนะนำให้ทำ
 
ตอนนี้เอ็มเอ็มเอสที่มีความสามารถต้านเชื้อโรคที่แรงที่สุดที่การแพทย์รู้ แต่คนทั่วไปไม่รู้ ตราบใดที่การแพทย์ที่พึ่งบริษัทยา คือการแสวงหาผลประโยชน์หรือกำไร ดังนั้น การหายาที่ถูกและมีประสิทธิผลแท้จริงจึงจำเป็น เอ็มเอ็มเอสมีเพียงสองแห่งในโลกติดต่อได้ทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ผู้สนใจหาได้จากวารสารแพทย์ทางเลือกเนกซัส
 
ผู้เขียนคิดอย่างไตร่ตรอง และเชื่อมั่นในธรรมชาติกับมัชฌิมาปฏิปทา แต่ไม่เชื่อในมาตรฐานสายกลาง หรืออะไรก็ตามที่บุคคลคิดขึ้นใช้ชี้วัดที่หาทางสายกลางไม่ได้ เพราะมันเป็นปัจจัตตัง ทุกคนไม่เท่ากัน จริงกับไม่เหมือนกันจริง ตอนนี้ก็เหลือแต่ความหวาน (ไม่ใช่น้ำตาลที่เครื่องจักรทำขึ้น) ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเปลี่ยนไปกับเขาบ้าง?


http://www.thaipost.net/sunday/221109/13903

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.534 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 16 พฤศจิกายน 2567 11:23:26