[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
11 มิถุนายน 2567 11:36:40 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : สังคมแห่งภาวะฉุกเฉินสุดๆ  (อ่าน 1300 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5088


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 16:05:53 »


 
 
บทความที่ผู้เขียนได้เขียนในช่วงหลังๆ มานี้ ว่าเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นจริง จริงๆ แล้วผู้เขียนเชื่อว่ามันจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ภายในทศวรรษที่ 2010-2019 นี้ เพียงมากหรือน้อย ยาวนานเป็นหลายสิบปี หรือสั้นแค่ไม่กี่ปี ขึ้นกับขนาดของมันและความพร้อมของมนุษย์ พูดง่ายๆ ผู้เขียนเชื่อว่าเรากำลังเดินทางเข้าสู่ยุคที่เลวร้ายที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อนภายในสามสี่ปีนี้ หรือจะเขียนว่าเรา-มนุษยชาติ-กำลังย่างเท้าเข้าสู่ภาวะฉุกเฉินที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งหมดนี้ผู้อ่านจะต้องรู้ว่าไม่ใช่ผู้เขียนอยากให้เกิด เพราะความร้ายแรงของเหตุการณ์หรือภาวะฉุกเฉิน ความยากลำบากอย่างเหลือล้นแบบคิดไม่ถึงในครั้งนี้ มันจะกระทบกับประชาชนคนทั่วไปทั่วทั้งโลกก็ว่าได้ ไม่ได้จำกัดที่คนไทย คนทั่วไปที่ไม่ชอบได้ยินได้ฟัง หรือได้สัมผัสกับสิ่งอะไรก็ตามที่เป็นด้านลบของความรู้สึกไม่ชอบใจ ไปถึงสิ่งที่เราคิดว่าอาจไม่ปลอดภัยกับตนเอง น่ารังเกียจหรือน่าเกลียด หรือน่าขยะแขยง เช่น ความสกปรก กลิ่นเหม็น ขยะปฏิกูล ไล่ไปถึงความผิดปกติไปจากความเคยชิน หรือความมืดจนบางทีและบางคนจะพลอยไม่ชอบความดำ เนื่องจากตัวเองเอาไปสัมพันธ์กับความกลัว ความมืดที่มองไม่เห็น เพราะระวังและระแวงว่าตัวตนของตนเองจะไม่ปลอดภัย

ความปลอดภัยที่เป็นสัญชาตญาณของสัตว์-ที่รวมมนุษย์ในกระบวนการวิวัฒนาการทางกายภาพหรือชีววิทยา-ที่อยู่กับความสว่างของวันอันสว่างและมองเห็นและเคยชิน คาร์ล จี. จุง ถึงได้พูดว่า "คนเราไม่ชอบยอมรับความจริง" และผู้เขียนอยากขอเสริมเติมต่อไปว่า คนเรามักพอใจแต่สิ่งที่ตนชอบอย่างเดียวในเรื่องของ "หน้าที่และความรับผิดชอบ" นั้น จึงรับแต่ความชอบ แต่ไม่เคยเลยที่จะยอมรับความผิดของตน ส่วนคนที่จำเป็นต้องรับก็จะรับด้วยความไม่เต็มใจ

ก่อนหน้านี้ไปสองสามทศวรรษ ผู้เขียนอาจจะคิดเอาเองโดยความรู้สึกว่า โดยผิวเผินคนไทยเรามีนิสัยที่ทำให้มีพฤติกรรมค่อนข้างจะคล้ายๆ คนอเมริกันหลายอย่าง เช่น ชอบสนุก ชอบเที่ยว ชอบเสี่ยง มีเงินไม่ได้ จนเหมือนกันเป็นพิเศษคือ เป็นคนที่อยู่ว่างๆ ไม่เป็น-และถ้าหากมีรถ-ก็ต้องขับรถออกไปนอกบ้านเหมือนถูกใครบังคับ ตอนนั้นคิดว่าเพราะว่าทั้งสองชาติเป็นเสมือนเบ้าที่หล่อหลอมคนต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรม-คนรุ่นชั่วคนแรกๆ จำนวนมากที่เข้ามาอยู่ใหม่ๆ จึงยังไม่ซาบซึ้งในประวัติศาสตร์ความเป็นชนชาติวัฒนธรรมไทยหรืออเมริกัน จึงย่อมคิดได้แต่การหาเงินและความมั่งคั่งของตนเองก่อน เพราะสังคมนี้ชาตินี้ไม่ได้เป็นชุมชนของกู-กว่าที่ชั่วคนหลังๆ จะเป็นชนชาติเดียวกันและมีวัฒนธรรมผิวเผินเหมือนๆ กัน-มีเทคโนโลยีนิยม เงินนิยม และอดทนอดกลั้นความต่างกันระหว่างวัฒนธรรมที่ล้ำลึกนั้นๆ เหมือนๆ กัน ซึ่งทำให้ทั้งสองชาติสองชนชาติรักความอิสระเหมือนๆ กัน แต่ทุกวันนี้ความเติบโตก้าวหน้าและระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีที่มีเงินเพียงอย่างเดียวคือสรณะเบ็ดเสร็จ คนส่วนใหญ่มากๆ ในทุกๆ ประเทศชาติวัฒนธรรมจึงเดินไปฝันไป และมีแต่ระบบเศรษฐกิจอย่างว่าเพื่อเงินกับเงินและกับเงินเท่านั้น ส่วนระบบนิเวศธรรมชาติก็ช่างมันปะไร! แม้ว่าบัดนี้คนน้อยคนจะรู้อะไรที่เกี่ยวกับโลกธรรมชาติบ้างแล้ว แต่มันก็สายไปมาก และเราส่วนใหญ่มากๆ ก็ยังไม่รู้ตัวว่าอีกไม่กี่ปี หากว่าชาวโลกจะเหลือประชาโลกเพียง 1,000 ล้านคน ก็นับว่าโชคดีมากๆ แล้ว ขอให้เดินไปฝันไปเถิดและจงโชคดี

ประชากรของโลกเพิ่งมีครบ 1,000 ล้านคนเมื่อ 170 ปีมานี้เอง และตอนนั้นนักวิชาการเชื่อว่าโลกสามารถรองรับประชากรโลกได้เพียง 1,000 ล้านคนเท่านั้น จึงบางประเทศได้จัดให้มีนโยบายที่จำกัดจำนวนประชากรของประเทศของตนลงมา ตามลัทธิ "มัลธุสอิสม์" ของโรเบิร์ต มัลธุส ที่มีว่าโลกจะต้องมีประชากรไม่เกินนั้น ซึ่งต่อมาเนื่องจากเทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ธัญพืชและปุ๋ยเคมี (green revolution) ได้ทำให้เราจึงมีการเพิ่มของประชาการโลกจนมีการ "ระเบิดของประชากรโลก" ไปแล้วในประมาณกลางศตวรรษยี่สิบหรือราวๆ ห้าสิบปีมานี้เอง

ผู้เขียนเชื่อว่าจำนวนประชากรในโลก หรือไบโอสเฟียร์ที่มีความจำกัดในทุกๆ ด้านเป็นเรื่องหนึ่ง ในขณะที่ความพอเพียงพอดีสมภาคสมดุล ที่เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนเรานั้นโดยวิวัฒนาการทางชีววิทยา มองว่าคนทำอะไรถูกทั้งหมดเพราะเราเก่ง เราฉลาด และเราพร้อมในทุกๆ ด้านกว่าชีวิตทั้งหลายทั้งปวง เราจึงหยิ่งผยองและทะนงตน (anthropocentric) เพราะว่ามีแต่มนุษยชาติเท่านั้นทีมีวิวัฒนาการของอีโก (ego) เหนือกว่าชีวิตใดๆ ทั้งหมด (ซึ่งจะเล่าต่อข้างล่างนี้) ดังนั้นเราจึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น-โดยระดับจิตที่มีวิวัฒนาการระดับที่เราส่วนใหญ่มีอยู่-เราจึงไม่คิดให้ถ้วนถี่รอบคอบ เป็นต้นว่าเรื่องของธรรมชาติมันก็ย่อมต้องไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเชื่อมโยงกันของทั้งหมด แต่เรามักลืมการเชื่อมโยงติดต่อกันกับทั้งหมด เราเพียงคิดว่าถ้าหากผู้ชายนอนกับผู้หญิงที่ทั้งคู่ถึงวัยแล้วและไม่เป็นหมัน การที่หญิงจะมีท้องและมีลูกต้องเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เราไม่คิดต่อไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างสัมพันธ์กับทั้งหมด มันมีธรรมชาติของโลกที่ขยายไม่ได้พองโตไม่ได้ พอเพียงพอดีสำหรับจำนวนของประชากรในระดับหนึ่ง มันมีธรรมชาติของคนที่ต้องกินต้องใช้ไปตามลำดับ มันมีธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำและอาหารที่พอเพียงพอดีที่หมดได้ มันมีกฎของธรรมชาติที่ควบคุมโลก ควบคุมความพอเพียงพอดีที่ว่านั้น ฯลฯ หากว่าเราทำอะไรตามใจตัวเองเป็นปัจเจก หรือแม้แต่คิดว่าเป็นเรื่องของสังคมประเทศกูชาติของกู มึงไม่เกี่ยว! กฎธรรมชาติในระดับที่สูงกว่าใหญ่กว่าก็ควบคุมไม่ได้ ความพอเพียงพอดีก็เป็นไปไม่ได้ โลกก็พัง จักรวาลก็เดือดร้อน ทั้งหมดก็เดือดร้อน ดังที่เรากำลังประสบอยู่เดี๋ยวนี้ และจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นต่อๆ ไปเช่นบทความของวันนี้

เรื่องของอีโกอหังการที่ติดค้างผู้อ่านไว้ จะขอนำมาเล่าเพียงคร่าวๆ ซึ่งเป็นดังที่นักวิจัย ฌอง เปียเจต์ ได้ค้นพบและถือว่าเป็นดุจตำราของการศึกษา เรา-ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ อายุแค่สองถึงสามขวบจึงค่อยๆ ยกตนแยกส่วนเป็นตัวตนของตนเอง (self) ออกจากสิ่งอื่นหรือธรรมชาติทั้งหมด เป็น "ผู้อื่น" จนกระทั่งสามารถมีวิวัฒนาการของจิตรู้และอารมณ์ สามารถแยกตัวตนออกจากชีวิตอื่นๆ ได้ อีโกอหังการจึงได้โผล่ปรากฏออกมา ผู้เขียนคิดว่าอหังการหรืออีโกนั้น เกิดขึ้นหลังจากจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาลที่มีหนึ่งเดียว (จิตหนึ่ง) ได้เข้ามาอยู่ในสมองแล้ว ตัวตน (self) ถึงได้อุบัติขึ้น ความสำคัญของตัวตนของตัวเองคือความสำคัญของความเป็นปัจเจก (individuality) ซึ่งผู้เขียนคิดเอาเอง โดยเชื่อว่าจิต-ความเป็นของคนปัจเจกนั้น ประกอบขึ้นด้วยหรือมีที่มาจากสองแหล่ง คือ หนึ่ง-จากจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาล (จิตหนึ่ง) กับสอง-จากจิตรู้หรือจิตสำนึก-ผลิตผลของการบริหารหรือวิวัฒนาการที่สมอง หรือจิตปัจเจกก่อนตายของผู้ที่ตายไปนั้นๆ ที่มีกฎแห่งกรรมโดยแรงกรรม (พลังงานจิต) เป็นตัวขับเคลื่อน-ก่อนที่ตัวตนของเด็ก (ใหม่) จะมีอีโกอหังการ-ช้าหรือเร็วไม่เหมือนกัน หรือใช้อายุเวลาไม่เท่ากัน-และสมองได้มีวิวัฒนาการแล้ว จนสามารถบริหารจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาลได้เป็นจิตใจ (จิตรู้หรือจิตสำนึก) ได้แล้ว และมีอารมณ์สามารถแยกแยะสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่ไม่ใช่ชีวิตกับธรรมชาติที่มีชีวิตได้แล้ว

ภาวะฉุกเฉินสุดๆ ที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงภายในทศวรรษนี้ (ค.ศ.) หรือใกล้ๆ นี้-ไม่ว่าประชากรโลกจะเหลือน้อยประมาณไม่ถึง 20% อย่างที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ใหญ่ของโลกบอกหรือไม่-มันก็ต้องมีประชากรทั้งหมด 1,000 ล้านคนขึ้นไป ไม่มากก็น้อย หรือประชากรโลกใกล้ๆ ปี 1900 ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ผู้ที่มีวิวัฒนาการสู่ระดับจิตวิญญาณแล้ว ที่ต่อให้ผู้ที่ใกล้จะหลุดพ้นแล้วไม่ตายในความล่มสลายหายนะในครั้งนี้ ประชากรที่มีระดับจิตวิญญาณสูงๆ นี้คงมีไม่ถึง 100 ล้านคน ส่วนที่เหลือราวๆ เกือบ 1,000 ล้านคน หรือมากน้อยกว่านั้น จำต้องรอคอยให้มีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ (noosphere) เสียก่อน ดังที่เขียนลงที่นี่เมื่อเร็วๆ นี้ เพราะประชากรโลกพวกนี้เองที่กำลังรอจิตวิวัฒนาการให้ได้-นั่นคือสาระ

-พลังงาน:- เนื่องจากมนุษยชาติเรากว่าจะรู้ กว่าจะตื่น และหาพลังงานทดแทน หรือพลังงานทางเลือก มันก็สายไปเสียแล้ว ขอบอกตามตรงไม่ว่าเราจะทำอะไร รณรงค์แค่ไหน ออกรายการโทรทัศน์-หนังสือพิมพ์ยังไง มันก็สายไปทั้งนั้น ถ้าหากเป็นสิบกว่าปีก่อนเราตื่นเช่นวันนี้ แม้จะสายไปก็ยังช่วยได้บ้าง แต่ตอนนี้...ไม่ช่วยเลย แต่เราจำต้องทำเพราะมนุษย์เมื่อรู้แล้วต้องพยายามที่จะทำไม่อย่างหนึ่งก็อย่างใด ช่วยได้หรือช่วยไม่ได้เป็นคนละประเด็น

ที่ผู้เขียนบอกว่าไม่ว่าเราจะทำอย่างไรก็ไม่ช่วยนั้น ก็เพราะมันไม่ทันการณ์ คิดดูเรารู้ว่าน้ำมันจะหมดตลาดมากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่แม้ปีนี้ปีหน้าปีหน้าโน้นกว่า 95% ของรถยนต์ เรือ หรือเครื่องบินที่ผลิตทั่วทั้งโลกก็ยังใช้น้ำมันหรือก๊าซ เรารู้โดยหลักการว่า พลังงานสามารถได้มาด้วยแสงแดด ด้วยพลังลม น้ำ คลื่น ฯ มาตั้งแต่ปีมะโว้ แต่ถึงวันนี้แม้แต่เดนมาร์ก อินเดีย ญี่ปุ่น เยอรมนี ฯลฯ ก็ใช้พลังงานทางเลือกไม่ถึง 1% ของทั้งหมดของประเทศ และตอนนี้ทั้งโตโยต้าและฮอนด้า ก็ยังเรียกคืนรถยนด์ไฮบริดกันเป็นพัลวัน อย่าลืมว่าเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษยชาติมีความสุข (กาย) สนุกสะดวกสบายแต่เพียงเผ่าพันธุ์เดียว ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยพลังงานทั้งนั้น เราจะรอถึงไหนหรือกี่ปีไม่ทราบ? เราอยู่กับความหวังและบนบานว่าธรรมชาติคงจะรอเรา?

-การเมือง:- คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ที่ประเทศต่างๆ จะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ-เป็นภูมิภาค โดยรัฐบาล ทหารหรือตำรวจ และข้าราชการทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ก็เพราะประชาชนทุกๆ คน ทุกๆ อาชีพต่างก็เดือดร้อน และเรียกร้องความยุติธรรมไม่มีโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญคือภาษีเก็บไม่ได้และเงินหมดคลัง

-เศรษฐกิจ:- ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี เอื้อให้คนรวย-ชุมชนที่รวย-ประเทศชาติที่รวย-ได้เปรียบได้โอกาส จะพังและพังและพังไม่เหลือแม้แต่เงา ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆ งวดเข้าและงวดเข้า กับเล็กลงและเล็กลง-ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ-BAU หรือ business as usual จะไม่มีอย่างเด็ดขาด ทั้งหมดจะค่อยเป็นค่อยไป โดยขึ้นกับพลังงานก๊าซและน้ำมันที่จะน้อยลงๆ ไปเรื่อยๆ อย่าลืมว่าเทคโนโลยีแทบทุกประเภทนั้นใช้พลังงานทั้งนั้น ที่สุดทุกประเทศก็ต้องพึ่งการผลิตอุตสาหกรรมผลิตอาหารเพียงอย่างเดียว

-สังคม:- เมืองหรือนครใหญ่ๆ จะหายไปทั้งหมด แต่การหายไปจะค่อยๆ เป็นไปที่จะขึ้นกับงาน การขนส่ง และสาธารณูปโภคต่างๆ ที่จะน้อยลงและเล็กลง ประชาชนจะมีความขัดแย้งแตกแยกมากขึ้น เพราะความไม่เป็นธรรมที่จะค่อยๆ ไม่มีไปเรื่อยๆ และความอิจฉาตาร้อนกัน ความอดอยากหิวโหยจะขับไล่ให้คนไปชนบทและทำงานเกษตรมากขึ้น

จะมีสงครามแย่งน้ำแย่งอาหารกัน ทั้งภายในระหว่างท้องถิ่นภูมิภาค หรือระหว่างประเทศไปถึงกลุ่มประเทศ และสงครามนิวเคลียร์จึงเป็นไปได้

ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เป็นเรื่องของการดำรงชีวิตของมนุษย์ที่อยู่กับรูปกายวัตถุที่มองเห็นแล้วเอามาแยกส่วนทั้งหมด ต่อไปนี้เราต้องอยู่กับจิตหรือจิตวิญญาณที่ชี้นำพฤติกรรมทางกายและจิตรู้ของเรา ต่อไปนี้เราจะมีจิตวิวัฒน์เพี่อให้มีจิตสำนึกใหม่และความเป็นทั้งหมดที่เชื่อมโยงกันเสียที.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/140210/17902

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2530 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2820 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2116 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2060 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2117 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.361 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 24 มีนาคม 2567 06:30:51