[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
08 กรกฎาคม 2568 06:23:58 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ถึงจะไร้เหตุผล-ถ้าเป็นนักวิชาการก็ต้องฟัง  (อ่าน 1830 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 20:34:17 »




ถึงจะไร้เหตุผล-ถ้าเป็นนักวิชาการก็ต้องฟัง
 
ที่ยกเป็นหัวข้อของบทความของวันนี้ ขอให้ผู้อ่านคิดให้ถ้วนถี่ว่าเหตุผลที่เรามีเราใช้ ในการกำหนดและกำกับวิถีชีวิตของเราอยู่ทุกวันนั้น คืออะไร? และคิดว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวของโลกหรือไม่? คิดให้ดีแล้วถึงค่อยอ่านต่อให้จบ เพราะบทความวันนี้น่ากลัวแถมยังเป็นไปได้ และต้องรู้ว่าที่ยกมานั้นไม่ใช่คำพูดของผู้เขียน หากแต่เป็นของศาสตราจารย์ของโรงพยาบาลเคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด จิตแพทย์จอห์น อี. แม็ก ที่เสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนทั้งๆ ที่มีอายุเพียง 60 ปีต้นๆ ในคำนำหนังสือของเขา (John E. Mack: Abduction, 1995)-ซึ่งผู้เขียนได้นำเนื้อหามาเขียนลงในไทยโพสต์ในปีนั้น และปีต่อๆ มาสองหรือสามบทความ โดยเฉพาะข้อสงสัยของผู้เขียนที่เขียนลงในบทความชื่อว่า ทำไม? การลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาวถึงเกิดกับฝรั่ง-เพิ่งมารู้คำตอบในเว็บไซต์ www.abovetopsecret.com ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2008 นี่เองที่บอกว่า มนุษย์ต่างดาวมักจะลักพาตัวหรือเลือกคนที่มีเลือดเป็นชนิด Rh-negative โดยเฉพาะมาจากครอบครัวฝ่ายแม่ทั้งตระกูล ซึ่งคนฝรั่งมีหมู่เลือดเช่นนี้มากถึง 15% แต่คนเอเชียมีน้อยมาก คือมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า-ดังที่ได้เขียนมาตลอด-คนมองโกลอยด์รวมทั้งไทยเรามาจาก โฮโมอีเรกตัส ที่อพยพไปและวิวัฒนาการไปด้วยกัน-เป็นโฮโมซาเปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบัน-ที่เอเชียหรือทางตะวันออก แทนที่จะรอให้มีวิวัฒนาการที่แอฟริกาก่อนถึงจะอพยพในทีหลัง เช่น คอร์เคเซียนและนิโกร ซึ่งทำให้สามารถอธิบายกำเนิดการของมนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง (Java man and Peking man) ซึ่งเป็นโฮโมอีเรกตัสได้ทั้งหมด
 
กลับมาที่จอห์น อี. แม็ก อีกครั้ง ตอนนั้นหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ที่บ้านเราได้ลงข่าวหน้าหนึ่งในเรื่องหนังสือ (เรื่องที่ว่า) ของเขาหลังจากหนังสือวางตลาด เพราะอาจารย์ที่เป็นนักวิชาการได้ไปฟ้องอธิการบดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในตอนนั้นว่า หนังสือของเขาไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง อธิการบดีจึงตั้งคณะกรรมการ ส่วนมากเป็นนักวิทยาศาสตร์มาสอบสวน คณะกรรมการได้ทำการตรวจงานวิจัยอันเป็นที่มาของหนังสือดังกล่าว ปรากฏว่าคณะกรรมการต่างเห็นด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์ ว่างานวิจัยและหนังสือของเขาเป็น "วิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง" ทำให้อธิการบดีและคณะกรรมการต้องออกหนังสือเป็นทางการ พร้อมกับเดินทางไปพบจอห์น อี. แม็ก ถึงบ้านเพื่อขอโทษ และได้กลายเป็นข่าวใหญ่ที่หนังสือพิมพ์บ้านเราต้องเอามาลง
 
ที่เอาเรื่องทั้งหมดมาลงที่นี่ ก็เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์หัวเก่าไม่ว่าที่ไหนรวมทั้งบ้านเรา ที่จอห์น อี. แม็ก เรียกว่า คนที่อยู่ในยุควัตถุนิยมจ๋า (material paradigm) ที่กำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนมาสนับสนุนวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่-ซึ่งส่วนใหญ่มากๆ กลับเป็นตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์เก่าเดิม ซึ่งให้ความจริงน้อยกว่ามากนัก-โดยที่วิทยาศาสตร์ใหม่จะให้ความจริงที่เหมือนกับความจริงทางศาสนาที่เกิดขึ้นมาจากทางตะวันออก ซึ่งไม่มีเหตุผลดังที่นักฟิสิกส์ใหม่หลายๆ คนบอกเรื่องที่ปราศจากตรรกะและไร้เหตุผลอย่างนี้ ก็เหมือนกับคำทำนายของศาสนาและลัทธิความเชื่อในวัฒนธรรมต่างๆ เช่นเรื่องของความล่มสลายระดับโลกในปี 2012 ตามปฏิทินของชาวมายาที่อเมริกากลางบอกไว้ (the crash of 2012!) ซึ่งตรงกับปีมะโรง พ.ศ.2555 อันเป็นปีที่พระเถระอาวุโสมากหลายในพุทธศาสนาและของศาสนาใหญ่ต่างๆ แทบจะทุกศาสนาเตือนให้ชาวโลกระวังไว้เหมือนๆ กัน ทั้งยังตรงกับผู้เขียนอายุครบ 84 ปี ซึ่งที่ผู้เขียนได้บอกกับเพื่อนๆ หลายคนว่าผู้เขียนน่าจะตายในปีมะโรงนั้น จริงๆ แล้วไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะไม่มีตรรกะและเหตุผล มองไม่เห็น อันเป็นที่มาของเหตุผล ไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือไม่เกิดของเหตุการณ์นั่น ทั้งยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งในพุทธศาสนา และทั้งในทางฟิสิกส์ใหม่หรือควอนตัมเมคานิกส์ ซึ่งทั้งสองวินัยที่บอกไว้เหมือนๆ กันว่า เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นศักยภาพของความ "น่าจะเป็นไปได้" หรือทางเลือกของผู้สังเกต (choice) หรือจิตของเรา (Henry Stapp: Mind, Matter and Quantum Mechanics, 2004; Arthur Zajonc editor: New Physics, Cosmology and Buddhism (dialogue with Dalai Lama), 2004) เนื่องจากภาวะล่มสลายของสภาพความเป็นคลื่น (wave-function collapse)
 
เพราะฉะนั้น ตรงนี้เราต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากคำทำนาย ไม่ได้หมายความว่าผู้ทำนายอย่างผิดๆ หรือคาดการณ์เอาเอง แต่โดยที่ทางเลือกของความ "น่าจะเป็นไปได้" มีหลายๆ อย่างทำให้เหตุการณ์ ซึ่งเกิดจากการเลือกหรือความล่มสลายของคลื่นไปเป็นอย่างอื่น อย่าลืมว่าควอนตัมเมคานิกส์นั้นไม่มีทั้งตรรกะและเหตุผลเช่นในคลาสิคัลฟิสิกส์ของนิวตัน ที่เป็นความจริงทางโลกแห่งกายวัตถุโลกที่เรามองเห็นหรือรับรู้ อันเป็นที่มาของตรรกะและเหตุผล (ซึ่งเป็นไปเพื่อใช้กับมนุษย์ด้วยกันเอง) การเกิดของเหตุที่ก่อผลซึ่งทำนายได้ (cause and effect; and determinism) ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของมนุษย์ในโลกแห่งกายวัตถุที่มีเหตุผล และกฎแห่งคลาสิคัลฟิสิกส์กำหนด ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับควอนตัมเมมานิกส์ ดังที่ เดวิด ฟิงเกลสไตน์ นักฟิสิกส์มีชื่อจากเอ็มไอที (MIT) ที่กล่าวว่า "เราจะหาตรรกะเหตุผลในควอนตัมเมคานิกส์ไม่ได้หรอก ต้องหาตรรกะทางควอนตัมถึงจะได้" (cited by Nick Roberts: Quantum Reality, 1985)
 
เพราะฉะนั้น คำทำนายในศาสนาใหญ่ๆ ต่างๆ รวมทั้งคำทำนายของนอสตราดามุส เอดการ์ เคซี รวมทั้งปฏิทินชาวมายาในเรื่อง 2012 และเรื่องการย้ายแผนที่โลกหรือย้ายขั้วโลก (geographical reversal & pole shift) ก็คล้ายๆ กับเรื่องของ 5-5-2000 ที่ดาวมาเข้าแถวกันถึง 7 ดวง ซึ่งในวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไร แต่เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิดขึ้นในวันและเวลานั้นๆ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการทำนายที่ผิด แต่จะเป็นไปตามกฎทางเลือกแห่งควอนตัมที่อธิบายว่าความ "น่าจะเป็นไปได้" ที่กล่าวมาข้างบนนั้น อย่าลืมว่าศาสดาอรหันต์ หรือเซนต์นะบี หรือนักบุญในศาสนาต่างๆ นั้น ต่างก็รับรู้เหตุการณ์ทั้งหลายในสมาธิหรือเป็นญาณหยั่งรู้ (intuition) ในขณะที่จิตของผู้สังเกตเผชิญกับทางเลือกหลายๆ อย่างพร้อมกัน แต่ละคนที่เป็นศาสดาอรหันต์หรือเซนต์นะบี หรือนักบุญนั้นๆ ย่อมเห็นหรือรับรู้เหมือนๆ กัน แต่การสลายคลื่นศักยภาพของความน่าจะเป็นไปได้ (wave-function collapse) ขึ้นกับจิตในขณะนั้น และยังขึ้นกับสิ่งแวดล้อมขณะนั้นด้วย แต่ผู้ทรงศีลหลายคนรวมทั้งผู้ที่มีความสามารถต่างก็เห็นหรือรับรู้เช่นเดียวกัน แม้เวลาจะต่างกัน เช่น ปรากฏการณ์ที่จะเกิดในปี 2012 หรือปีมะโรง 2555 จึงมีความน่าจะเป็นไปได้สูงมากกว่าปกติ ที่นักวิชาการจะต้องฟังเพื่อเตรียมบอกประชาชนว่า จงอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด
 
ริชาร์ด มูลเลอร์ (Richard Muller: Nemesis, 1988) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กเลย์ คิดว่าดวงอาทิตย์ของเราเป็นหนึ่งของดาวคู่แฝด (binary-star system) ที่มีวงโคจรที่ดวงอาทิตย์ทั้งสองจะปรากฏให้เราเห็นในท้องฟ้า ว่าเรามีดวงอาทิตย์สองดวงในทุกๆ 26-30 ล้านปี ที่พ้องกันกับเหตุการณ์ล่มสลายของโลก (mass extinction) ที่เกิดจากอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งมาชนโลกเพราะดาวใหญ่จะเกี่ยวมา เช่น ที่เกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีก่อนพร้อมๆ กับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ และในยุคอีโอซีน พร้อมๆ กับการสูญพันธุ์ของแมมมอสยักษ์เมื่อราวๆ 30 ล้านปีก่อน จริงๆ แล้วภายใน 250-260 ล้านปีที่แล้ว โลกเราเกิดสภาวะล่มสลายทั้งหมดสิบครั้ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คิดว่าเกิดจากอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งมาชน สังเกตได้จากช่วงเวลาที่พบอิริเดียมในชั้นดินแต่ละครั้งล้วนห่างกัน 26-30 ล้านปีทั้งนั้น ยกเว้นสองครั้งที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้ (periodic extinction) คาดว่าอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งเฉียดเฉี่ยวโลกไป (Raup and Salowski) เรื่องที่ริชาร์ด มูลเลอร์ กับหนังสือของเขา (Nemesis, (ผู้ล้างแค้น) 1988) นี้ ผู้เขียนได้เขียนเป็นบทความลงในไทยโพสต์ไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ที่สำคัญคือ ทฤษฎีของริชาร์ด มูลเลอร์ เรื่องของดวงอาทิตย์คู่แฝดที่มีวงโคจรทำให้สองดวงต้องมาเจอกันในท้องฟ้าทุกๆ 26-30 ล้านปีที่เล่ามานี้-ซึ่งนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อ-ไม่เพียงแต่ตรงกับสภาพล่มสลายโลกเป็นประจำ (periodic extinction) จากแรงโน้มถ่วงของดาวที่ไปเกี่ยวกับอุกกาบาต-ดาวหางให้มาชนโลกของสองคนดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังไปตรงกับรายงานของนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ปีเตอร์ วอร์โลว์ (Peter Warlow: Pole Flipping and Earth Magnetism, New Scientist, 1978) ที่คิดว่าการย้ายแผนที่โลก (geographical upheaval) ต่างหากที่เป็นสาเหตุของการสลับขั้วแม่เหล็ก ดวงอาทิตย์กับโลกในทุกๆ 26-30 ล้านปี ไม่น่าใช่ตามที่นักคอมพิวเตอร์ขององค์กรนาซาคิด นอกจากทางวิทยาศาสตร์แล้วยังตรงกับคำทำนายของศาสนาใหญ่ๆ เช่น พุทธ คริสต์ หรืออิสลาม และของนอสตราดามุส กับปฏิทินมายาที่เลิกไปในปี 2012
 
นอสตราดามุสเขียนในโคลง 2:41 ว่า
 
"ดาวใหญ่ดวงหนึ่งจะแผดเผาอยู่เจ็ดวัน
 
เมฆจะทำให้ดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นสองดวง"
 
และโคลงที่ 1:84 ที่มีว่า
 
"ดวงจันทร์จะเกิดความมืดอย่างที่สุด
 
พี่ชาย (ดวงอาทิตย์) ผ่านสิ่งที่มีสีแดงคล้ำเช่นสีเลือด
 
ดาวใหญ่ที่ซ่อนตัวมานาน
 
ทำให้เหล็ก (อาวุธ) ของเขาอุ่นชุ่มในฝนสีเลือด"
 
คำแปลโคลงของนอสตราดามุสโดย แอลเลน วอห์น (Alan Vaughn: Patterns of Prophecy, 1976) ได้แปลส่วนหนึ่งของคำทำนายในโคลงของนอสตราดามุส (2:41 and 1:84) ว่า "จะมีดาวใหญ่สีเลือดดวงหนี่ง (อีกดวง) ปรากฏให้เห็นซึ่งลุกไหม้อยู่เจ็ดวัน และเมฆจะทำให้เห็นดวงอาทิตย์มีสองดวง" แอลเลน วอห์น บอกว่าดวงอาทิตย์ที่มีสองดวงนั้น "เป็นเรื่องที่เหลวไหล" ทางด้านของดาราศาสตร์ แต่ก็จะอธิบายโคลง 1:84 ได้ (โคลงของนอสตราดามุสทั้งหมดไม่เคยเรียงลำดับก่อน-หลังกันเลย) (John White: Pole Shift, 1994)
 
ผู้เขียนได้เรื่องที่น่าคิดและน่ากลัวยิ่งนี้ ก็มีความลังเลใจว่าจะเขียนดีหรือไม่เขียนดี เพราะวันนี้เวลานี้ไม่เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนที่ผู้เขียนยังเรียนรู้น้อยกว่านี้ และผู้เขียนก็อายุมากขึ้นด้วย แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้เขียนคิดว่าวิทยาศาสตร์คือวินัยที่หาความจริง ทั้งเรื่องเช่นนี้ยังสนับสนุนชาวโลกให้มีการเปลี่ยนแปลงสู่ระดับจิตวิญญาณที่สูงกว่านี้ได้ จึงตัดสินใจเขียน อาจารย์อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา พูดให้ที่ประชุมจิตวิวัฒน์ฟังว่าปี 2013 มนุษยชาติจะมีระดับจิตสูงกว่าเดี่ยวนี้ แต่ไม่บอกว่าประชากรโลกเหลือเท่าไร? หรือจะเป็นอย่างที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์การ์เดียนเมื่อต้นปีนี้ว่า โลกจะเหลือคนเพียง 18% หรือราวหนึ่งในห้าคนเท่านั้น.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/120709/7634

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.382 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 05 ธันวาคม 2567 18:11:15