[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
05 กรกฎาคม 2568 02:05:08 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เปลี่ยนวิถีคิดฉับพลัน สงบเย็นฉับพลัน  (อ่าน 1650 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553 20:43:09 »


 
 
โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๑
 
คงเห็นทั่วกันแล้วว่า การคิดแบบเดิมๆ ออกจากสภาวะวิกฤตไม่ได้คือ การคิดแบบใครแพ้ใครชนะ ใครผิดใครถูก หรือแม้แต่การตัดสินโดยศาล ซึ่งอาจจะตัดสินได้แต่คลายความขัดแย้งไม่ได้ รัฐบาลจะปราบพธม.ก็ไม่ได้ พธม. จะเอาชนะรัฐบาลก็ไม่ได้

กองทัพจะทำรัฐประหารก็ไม่ได้ ทำน่ะทำได้แต่สลายความขัดแย้งไม่ได้ เพราะ นปก. ก็ทำแบบ พธม. ได้ จะเปลี่ยนขั้วทางการเมืองก็แก้ความขัดแย้งไม่ได้ ฯลฯ

นั่นคือการคิดแบบเดิม ๆ ถ้าคิดแบบเดิมๆ แล้วไม่มีทางออกหรือกลับรุนแรงมากขึ้น คงจะต้องการวิถีคิดใหม่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า "เราต้องการวิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้" (We Shall need a radically new manner of thinking, if mankind is to survive)

ตัวอย่างวิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง

๑. คิดเสียสละแทนที่จะคิดชนะ

ถ้าทุกฝ่ายคิดเสียสละ เช่น สมชายเสียสละ พธม.เสียสละ ทักษิณเสียสละ ทุกฝ่ายคิดเสียสละแทนที่คิดเอาชนะจะเกิดความสงบเย็นทันที การเสียสละเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ คนที่จิตใหญ่เท่านั้นจะทำได้ การเสียสละจะเปิดพื้นที่ในหัวใจ เมื่อเปิดพื้นที่ในหัวใจอะไรที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เป็นไปได้ การคิดเอาชนะเป็นการปิดพื้นที่ในหัวใจ

๒.คิดรวมกันแทนที่จะคิดแยกกัน

ตัวอะมีบ้าซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียว ยามปรกติมันจะแยกๆ กันอยู่ แต่ยามวิกฤตมันจะรวมตัวกันเป็นกระจุกเพื่อช่วยกันฝ่าวิกฤต เราเป็นคนอย่าให้แพ้อะมีบ้า ยามวิกฤตเราต้องรวมตัวกันเพื่อฝ่าวิกฤตให้ได้ แทนที่จะคิดเชิงขั้วตรงข้าม เช่น พปช. กับ ปชป. ร่วมกันได้ไหมถ้า พปช. ปชป. พธม. นปก. หรือเราทั้งหมดร่วมกัน บ้านเมือง่จะมีทางออกอย่างอัศจรรย์

นี่เป็นการเปลี่ยนมุมมองและวิถีคิดโดยสิ้นเชิง แทนที่จะมองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรู แท้ที่จริงเราล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์เป็นเพื่อนคนไทยด้วยกัน อาจมีผิดบ้างถูกบ้าง ชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้าง แต่สิ่งที่ใหญ่กว่าคือ ความเป็นเพื่อนมนุษย์ ความรักในเพื่อนมนุษย์

พระพุทธองค์ไม่ทรงเกลียดหรือโกรธมนุษย์ที่มีกิเลส ไม่ทรงเกลียดหรือโกรธองคุลีมาล ทรงสอนว่าเมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก เราป็นคนต้องมีเมตตาในหัวใจ เราจะใช้แต่เหตุผลเท่านั้นไม่พอ เพราะเหตุผลมักนำเราไปสู่การการแยกข้างแยกขั้วและความขัดแย้ง ความเมตตาจะเปิดพื้นที่ในหัวใจไปสู่การร่วมกันและการเยียวยา

๓.คิดเยียวยาแทนที่จะหาใครผิดใครถูก

ผมเป็นประธานคณะกรรมการกองทุนสมานฉันท์แห่งชาติ เพื่อการเยียวยาผู้ที่ได้รับความสูญเสียจากเหตุการณ์รุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เราเยียวยาโดยไม่เลือกข้าง ไม่ถามหาเหตุผล ไม่สนใจคามถูกผิด เยียวด้วยหัวใจมนุษย์ลูกเดียว พบว่าแนวคิดและการปฏิบัติเชิงเยียวยานั้นให้พลังแห่งการฟื้นฟูมาก

ที่เมืองซินซินาติ สหรัฐอเมริกา หลายปีมาแล้วตำรวจคนขาวไปตีคนดำแล้วเรื่องบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างคนขาวกับคนดำ เมื่อเรื่องมาถึงศาลผู้พิพากษากล่าวว่า "ผมตัดสินอย่างใด ๆ" พวกคุณก็ไม่หายขัดแย้งกัน คุณไปใช้ "กระบวนการ" คลายความขัดแย้ง ความยุติธรรมไม่ได้มีแต่การตัดสินลงโทษ แต่มีความยุติธรรมเชิงเยียวยา (Restorative Justice) อีกด้วยการลงโทษโดยใช้อำนาจบางทีก็คลายความขัดแย้งไม่ได้

เวลานี้คนไทยแตกแยกกันอย่างรุนแรงเพราะวิธีคิดแบบแยกข้างแยกขั้ว เราจะต้องออกจากสภาพอย่างนี้ไปสู่การเยียวยาซึ่งกันและกัน ไปสู่ความเมตตา ไปสู่การรวมตัว ไปสู่การเสียสละ ด้วยวิถีคิดใหม่

๔.วิถีคิดใหม่เชิงพุทธและวิทยาศาสตร์ใหม่

วิถีคิดเก่าคือวิถีคิดเชิงอำนาจ แบบแยกข้างแยกขั้ว แบบเอาชนะคะคาน ชาวตะวันตกวิถีคิดแบบแยกข้างแยกขั้วมากกว่าชาวตะวันออก วิทยาศาสตร์เก่าก็มองธรรมชาติแบบสรรพสิ่งแบบตายตัว ซึ่งนำไปสู่การแยกส่วน สุดโต่ง และรุนแรง อารยธรรมวัตถุนิยมบริโภคนิยมเงินนิยมได้พาไปสู่การคิดเชิงอำนาจและความแตกแยกมากขึ้น

วิถีคิดแบบพุทธไม่มองแบบตายตัว (นิจจัง) แต่มองเล่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจังคือเชื่อมโยง เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัย ไม่แยกข้างขั้วเข้าไปสู่สภาวะสุดโต่ง คำว่า "ส่วนสุด" หรืออันตา เป็นคำที่น่ารังเกียจในพุทธวิถี ดังพระพุทธดำรัสว่า "ตถาตคไม่เข้าใกล้ส่วนสุดทั้งสอง ตถาคตจะสอนทางสายกลาง วิทยาศาสตร์ใหม่ได้ค้นพบความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าค้นพบมากว่า ๒๕๐๐ ปี ว่าสรรพสิ่งล้วนชื่อมโยงและเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่มีตัวตนที่คงที่

เราถลำเข้าไปสู่วิถีคิดแบบตายตัวแยกส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ จนวิกฤตไม่มีทางออก วิถีคิดแบบนี้นำไปสู่ความบีบคั้น แตกแยก รุนแรง องค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมืองราชการ การศึกษา ธุรกิจ และศาสนา ล้วนอยู่บนฐานวิถีคิดแบบเก่าจึงนำไปสู่ความบีบคั้น แตกแยก รุนแรง ถึงเวลาที่คนไทยจะทำความเข้าใจวิถีคิดแบบทางสายกลาง และวิทยาศาสตร์ใหม่อย่างจริงจังเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (transformation) ใน ๓ ระดับ คือ ระดับตัวบุคคล ระดังองค์กร และระดับสังคม เราจึงจะพ้นวิกฤต

๕. ออกจากภพภูมิเก่าไปสู่ภพภูมิใหม่

วิกฤตเศรษฐกิจโลกขณะนี้ควรจะเป็นโอกาสให้คนไทยมีวิถีคิดใหม่ ถ้าเราตามเขาไปเรื่อยๆ เราก็จะวิกฤตจนตกเป็นทาส ความจริงประเทศไทยมีเศรษฐกิจจริงที่แข็งแรง เพราะเราผลิตอาหารได้เหลือกินทำอย่างไร ๆ เขาก็ไม่อดตายถ้าเราอยู่กับฐานความจริง วิกฤตเศรษฐกิจโลกเกิดจากเศรษฐกิจมายาคติในเรื่องเงิน

ถ้าเราอยู่ในมายาคติกับเราด้วยเราจะถูกเขาปล้นไปหมดจนตกเป็นทาส คนไทยต้องรักกัน รวมตัวกัน พัฒนาจากฐานความจริงด้วยปัญญา เราสามารถสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมที่คนไทยทุกคนเป็นพลเมืองชั้น ๑ คือมีศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นคนเท่าเทียมกัน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่เกิดความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ ทางสังคม และทางกฎหมาย ทุกคนต้องสามารถเข้าถึงการใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรม

วิถีคิดใหม่จะนำเราไปสู่สังคมใหม่ สังคมที่เป็นอารยะประชาธิปไตยที่คนไทยทุกคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเป็นพลเมืองชั้น ๒ ต่อเมื่อคนไทยทุกคนเป็นพลเมืองชั้น ๑ สังคมไทยจึงจะลงตัว เกิดศานติสุข จนอาจบรรลุยุคศรีอาริยะได้

คนไทยต้องมีความฝันอันใหญ่ร่วมกัน ว่าคนไทยพ้นทุกข์ร่วมกันได้ เราสามารถสร้างสังคมไทยที่มีความร่มเย็นเป็นสุขได้ ถ้าเราออกจากวิถีคิดเก่า ๆ ไปสู่พุทธวิถีแห่งทางสายกลางและวิทยาศาสตร์ใหม่
โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
ตีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันพุธที่ 3 ธันวาคม 2551


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.904 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 24 พฤศจิกายน 2567 04:50:02