11 พฤศจิกายน 2567 02:49:02
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
นั่งเล่นหลังสวน
สุขใจ ใต้เงาไม้
.:::
"ความหวังก่อนตาย"
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: "ความหวังก่อนตาย" (อ่าน 2152 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ขม..ค่ะึึ
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1014
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.0.10
"ความหวังก่อนตาย"
«
เมื่อ:
22 มิถุนายน 2553 11:26:04 »
Tweet
"ความหวังก่อนตาย"
"ความหวังก่อนตาย"
โดย สรจักร ศิริบริรักษ์
ตาเคยเห็นรอยเลือดจางเป็นจุดที่ด้านในของยกทรงครั้งแรก เมื่อก่อนพ่อแม่จะตายเพียงสองวัน
จำได้ว่าตอนนั้นตกใจเล็กน้อย แม้จะอายุยี่สิบห้า แต่ตาก็ไม่รู้อะไรกับเรื่องทางสรีระมากนัก
คิดเอาเองประสาคนต่างจังหวัดที่มีโอกาสรับข่าวสารน้อยว่า คงเป็นอาการนมคัดอย่างที่เคยได้ยิน
ตาตั้งใจจะรอถามแม่ ซึ่งอยู่ระหว่างเร่ขายทุเรียนกวนตามงานวัด
ทั้งฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง โดยมีพ่อเป็นคนขับ ทั้งสองไปทีละหลายวันถึงสัปดาห์
ครอบครัวของตาประกอบด้วยพ่อ ซึ่งเป็นอดีตจ่าทหารเรือสัตหีบ
แม่เป็นลูกจ้างติดรถเร่ขายของตามงานวัด ทั้งสองแต่งงานกันง่ายๆแบบคนจนที่ดี
พ่อลาออกเอาเงินบำเหน็จซื้อที่ขนาดพองามลงเงาะ ทุเรียน มังคุดได้อย่างละแปลง
กลายเป็นไร่นาสวนผสมที่พอเลี้ยงชีพได้โดยอัตคัด
ตา เป็นพี่สาวคนโต มีหน้าที่หุงหาอาหาร ดูแลงานบ้าน
สามหน่อถัดจากตาเป็นผู้ชายสองและคนสุดท้ายเป็นผู้หญิง
ภาระในการเลี้ยงส่งลูกทั้งสี่หนักหนาสากรรจ์ ตาถูกให้ออกโรงเรียนหลังจบชั้นป.๗
เพราะไม่เห็นประโยชน์ว่าทำไมผู้หญิงต้องเรียนสูง
ความที่เคยอยู่รถเร่สมัยยังสาว แม่เห็นลู่ทางหารายได้โดยรับซื้อทุเรียนร่วงตามสวน
ทดลองกวนขาย ความที่เป็นทุเรียนแท้ไม่เติมแป้งทำให้ติดตลาด และทำรายได้เพิ่มน่าพอใจ
พ่อจึงเอา มอเตอร์ไซค์คู่กายมาต่อเป็นรถพ่วงขนวัตถุดิบ และพาแม่ไปขายทุเรียนกวนตามตลาดนัด
ส่วนจักรยานคันเก่า น้องเก๋คนสุดท้องใช้เป็นพาหนะไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่ห่างไปสิบกิโล
ด้วยความคิดแบบทหาร พ่อให้ความสำคัญกับลูกชาย และส่งเสียเล่าเรียนเต็มที่ในฐานะผู้สืบสกุล
พ่อมักพูดปลูกฝังลูกชายทั้งสองให้สอบเป็นนายร้อย ชดเชยความรู้สึกต่ำต้อยของพ่อ
ความจนมักมากับความทุกข์ เมื่อน้องชายทั้งสองเรียนระดับอาชีวะ
เช้าวันหนึ่งรถสองแถวที่บรรทุกนักเรียนเข้าเมืองเกิดเทกระจาด
สองหนุ่มน้อยซึ่งแต่งตัวไปเรียนแต่เช้าถูกรถบรรทุกทับจนตายคาซากรถ
ทั้งบ้านร่ำไห้เหมือนจะขาดใจ
หลังจากพ่อแม่ทำใจกับการสูญเสียลูกชายได้
ตาจึงมีโอกาสหาความรู้ใส่ตนอีกครั้ง แต่ด้วยเรื้อโรงเรียนมานาน
เธอจึงเลือกเรียนเย็บผ้า ด้วยหวังทำรายได้เสริมยามว่างจากสวน
ส่วนน้องเก๋คนเล็กสุด และห่างจากเธอสิบปีได้รับการฟูมฟักเช่นไข่ในหิน
ให้เป็นหน้าตาของพ่อแม่ ตายังจำคำของพ่อได้ว่า
“ ดูแลน้องให้ดีนะลูก เคี่ยวเข็ญมันเข้า พ่อแม่ไม่มีปริญญาก็อยากเห็นลูกได้ปริญญาสักคน ”
ความตายของลูกชายเปลี่ยนนิสัยพ่อ จากที่ไม่เคยฟังใคร กลายเป็นพ่อที่อบอุ่น
สำหรับลูกสาวทั้งสอง พ่อมักพูดถึงความฝันของตัวเองให้ลูกฟังทุกวัน จนมันกลายเป็นภาระที่คน
ในครอบครัวจะต้องช่วยกันส่งเสริมสมาชิกคนเล็กสุด ให้ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจาก
มหาวิทยาลัยมีชื่อให้จงได้
ทุกข์ซ้ำกรรมซัด เสมือนเป็นคำสั่งเสีย
หลังจากพ่อแม่เดินทางไปขายของงานวัดที่ศรีราชาเพียงสี่วัน
ผู้มีพระคุณทั้งสองก็สังเวยชีวิตบนทางหลวง ขณะขับรถพ่วงข้างฝ่าลมหนาวกลับบ้าน
ร่างของพ่อกระเด็นไปติดไม้ใหญ่ ทุเรียนกวน กระจายเกลื่อนถนนปนกับเลือดสีแดงฉาน
จากร่างแม่ซึ่งขาดเป็นสองท่อน
ตาล้มพับทันทีที่เพื่อนบ้านวิ่งมาแจ้งข่าว ดวงตะวันดับแล้วพร้อมจันทรา
ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวที่ยังเหลืออีกหนึ่งชีวิต
ถ้าไม่ใช่เพราะความปรารถนาของพ่อตาก็ไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปทำไม
หลังพิธีศพผ่านพ้น หญิงสาวบอกตนเองว่า เธอมีภาระอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่งคือ
ส่งน้องเรียนปริญญาให้ได้ เมื่อเสร็จภารกิจ เธอจะปลงผมบวชตลอดชีวิต
แผนการชีวิตถูกวางตามกำลังสมองที่มี เธอตัดสินใจพาน้องเข้าเมืองหลวงด้วยความ
เชื่อว่าการอยู่เมืองหลวงจะทำให้น้องสาวฉลาด หูตากว้างไกล
หญิงสาวพบสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของพ่อมีเงินแปดพันกว่าบาท
อาจฟังดูเล็กน้อยสำหรับคนกรุง แต่มากโขสำหรับชาวบ้านธรรมดาที่อยู่ในสังคมเกษตร
หญิงสาวถือสมุดไปขอถอนเงินเพื่อใช้เป็นทุนเข้ากรุงเทพฯ ธนาคารปฏิเสธการจ่าย
เพราะ เธอไม่ใช่เจ้าของบัญชี เธอคู้ตัวไหว้แล้วไหว้อีกจากโต๊ะนี้ไปโต๊ะโน้น
ทุกคนตอบห้วนๆว่าผิดระเบียบ จนถึงผู้จัดการใหญ่ซึ่งอธิบายว่า
มรณบัตรของพ่อแม่ไม่ช่วยให้ธนาคารฝ่าฝืนระเบียบได้
มีทางเดียวคือเธอต้องร้องต่อศาล ขอเป็นผู้จัดการมรดกของบิดามารดา
คนจนไม่มีอำนาจต่อกร เธอหมดปัญญาเอาความกับธนาคาร จำต้องทิ้งเงินไป
หญิงสาวตัดใจขายที่สวนในราคาไร่ละห้าพันบาท ได้เงินแปดหมื่น พาน้องสาวเข้า
เรียนต่อที่กรุงเทพฯ
เป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องได้สัมผัสกรุงเทพฯด้วยตนเอง อากาศเหม็นแสบจมูก เต็ม
ด้วยฝุ่น ผู้คนมากมายล้วนหน้าดำคร่ำเครียด เดินขวักไขว่เหมือนมดปลวก
เพื่อนสมัยเรียนด้วยกันที่ระยองมารับเธอตามที่มีจดหมายบอก
สองพี่น้องเช่าห้องเล็กๆ ชานกรุงเทพฯใกล้บ้านเช่าของเพื่อนเป็นที่ซุกหัวนอน
หญิงสาวแบ่งเงินซื้อจักรมือสองรับงานเย็บผ้าจากโรงงาน รายได้ไม่มากแต่พอดำรง
ชีวิตให้ผ่านคืนวันไปได้ และด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นเธอก็พาน้องไปสอบเรียนต่อม.๔
อันที่จริงการเรียนของเก๋ก็อยู่ในระดับดีมากตามมาตรฐานต่างจังหวัด
แต่ที่นี่ เด็กสาวติดอันดับสำรองเกือบสุดท้าย
ตาเป็นคนพาน้องสาวไปกราบตักครูใหญ่เพื่อขอความกรุณา
น้ำตาแห่งความทุกข์ยากราดรดโคนต้นไม้แห่งความปรานีในหัวใจครูใหญ่ จนผลิดอกออกผล
ในท้องฟ้าอับโชค บางครั้งเมฆขาวก็ลอยผ่านมาพอได้เห็น
อาการเลือดออกจากหัวนมของตายังเกิดเป็นระยะ แต่ไม่มีอะไรร้ายแรง
นอกจากเจ็บตึงเป็นบางครั้งและมีตกขาวร่วมด้วย เธอเคยปรารภกับเพื่อนแบบอายๆ
"สงสัยว่าจะเกิดจากการถีบจักรวันละสิบสี่ชั่วโมง"
วันรุ่งขึ้นเพื่อนรักเอายาแคปซูลมาให้สามชุด กินแล้วไม่ดีขึ้น
หลังจากนั้นเพื่อนมักแวะเวียนเอายารูปร่างแปลกๆมาฝากเสมอ
ส่วนเก๋นั้นเป็นเด็กดี แต่งตัวไปเรียนแต่ก่อนสว่าง
กลับบ้านช่วยพี่สาวเย็บผ้า ซักเสื้อผ้า ทำกับข้าว ดูแลความสะอาดห้องขนาดสี่คูณสี่เมตร
ว่างจากนั้นก็ท่องตำราทำการบ้าน ตลอดสามปีที่ย้ายมากรุงเทพฯ
สองพี่น้องไม่เคยพักผ่อน ดูหนัง ดูละคร
อาหารหลักที่ทำไว้กินครั้งละหลายๆ วันก็คือแกงส้มหรือไม่ก็ต้มจับฉ่าย
เก๋ทำหน้ายุ่งยากทุกครั้งที่พี่สาวถามเรื่องผลการเรียน เธอไม่อยากทำให้พี่สาวผิดหวังในตัวเธอ
ความฝันสูงสุดคือได้เห็นน้องสาวขึ้นรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อแม่คงมองเห็นจากสวรรค์เบื้องบน
ตาอ่านใบแจ้งผลการเรียนไม่เข้าใจ เพราะสมัยที่เธอเรียนใช้ระบบเปอร์เซนต์ เธอนำไปปรึกษาเพื่อน
“ วิชาอื่นก็ดีหรอกนะ เว้นแต่ภาษาอังกฤษ น้องเธอตกภาษารู้ไหม ? เด็กต่างจังหวัด
ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ ลูกคนกรุงเทพฯดูเคเบิ้ลทีวี ดูหนังฝรั่ง ฟังเพลงฝรั่ง พวกเราสู้เขาไม่ได้หรอก ”
เพื่อนสาวแนะนำอย่างคนเห็นโลกมามาก
“ ถ้าเรียนพิเศษเพิ่มจะดีไหมนะ ? ” ตาขมวดคิ้ว ใบหน้าผอมเต็มไปด้วยริ้วรอย
กังวล ดูเผินๆเหมือนอายุสี่สิบ
โอ๊ย ! ดีอยู่แล้ว แต่เงินล่ะ จะเอาเงินมาจากไหน ? เดือนละสามสี่พันเชียวนะเธอ
อย่านึกว่าขี้ไก่ เก็บเงินไว้ซื้อเนื้อซื้อปลากินเองเถอะ ผอมจะเป็นผีดิบอยู่แล้ว ”
สามปีในกรุงเทพฯ สุขภาพของหญิงสาวทรุดโทรมลงอย่างมาก อาจเป็นเพราะ
อากาศสกปรกหรือความอับทึบของห้องเช่า หรือมุงานเกินไป
ระยะหลังนอกจากจะมีก้อนแข็งในเต้านมแล้ว เธอยังมีระดูขาวออกกะปริบกะปรอยถี่ขึ้น
กลิ่นเหม็นคาวสกปรกตาเจียดเงินฝากเพื่อนซื้อยาต้ม “ มุตกิดระดูขาว ”
เธอบอกเพื่อนเช่นนั้น เพื่อนแนะนำให้ไปหาหมอ เธอปฏิเสธเพราะค่ายาคงหลายร้อย
“ พี่เป็นอะไร ? ” เก๋ถามเมื่อได้กลิ่นสมุนไพรจากหม้อต้มยาน้ำดำ
“ ตกขาว ” เธอไม่เคยบอกน้องเรื่องความผิดปกติมากกว่านั้น
“ ไปหาหมอดีกว่านะ หลังๆนี้พี่ดูซูบจังเลย ”
“ ไม่หรอก....เสียดายเงิน อยากเก็บไว้ให้เก๋เรียนพิเศษมากกว่า อีกสองเดือนก็สอบไล่แล้วนี่ ”
เก๋ปฏิเสธไม่ยอมเรียนพิเศษ ไม่ว่าจะบังคับอย่างไร
เว้นแต่ว่าพี่สาวจะยอมไปหาหมอที่โรงพยาบาล
การไปหาหมอเป็นเรื่องใหญ่ ค่ารักษา รายได้ที่ต้องเสียจากการหยุดงานทั้งวัน
และความรู้สึกอับอายที่ต้องเปลื้องผ้าให้หมอตรวจตรงนั้น ตาแทบทำใจไม่ได้
ขณะนั่งรอแพทย์ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนสิบโมง ผู้คนขวักไขว่นั่งนอนยืนเดินบนทางเดินแคบๆ
บางคนผอมเหมือนตายซาก มี น้ำหนองเฟะที่แผล กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเหม็นแทบเป็นลม
เธออยากลุกวิ่งหนีออกมาจากสถานที่แห่งความหดหู่ หญิงสาวมิได้อาทรสุขภาพของตนเอง
เธอยอมมาโรงพยาบาลเพื่อน้อง
พยาบาลเรียกเธอเข้าไปในห้อง หมอหนุ่มถามเธอด้วยคำถามน่าอับอาย
มีสามีหรือยัง ?มีเพศสัมพันธ์กับใครบ้าง ? ไม่มีเลยหรือ ? จริงหรือ ?
อย่าโกหกหมอนะ และยังสั่งให้เธอถอดเสื้อผ้า ตรวจภายใน
เธอน้ำตาไหลพราก เมื่อหมอใช้มือคลำหน้าอก รู้สึกว่าเอาความเป็นหญิงที่สงวนมาตลอด
ชีวิตถูกช่วงชิงไปเสียแล้วโดยชายแปลกหน้าที่อ้างตัวว่าเป็นหมอ
พยาบาลเรียกเธอขึ้นนอนบนเตียงมีขาหยั่ง เจ็บแปล๊บเมื่อถูกตัดชิ้นเนื้อขนาดเม็ดถั่วไปตรวจ
เธอไม่เข้าใจ และไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดอธิบายให้เธอเข้าใจ
ในสัปดาห์ต่อมา เมื่อโหนรถเมล์ไปฟังผลการตรวจตามที่หมอนัด เธอก็พบกับหมอ
ที่เคยตรวจและหมอผู้หญิงแก่ๆอีกคน ทั้งสองมีสีหน้าไม่สู้ดี สบตากันก่อนจะบอกเธอว่า
เธอเป็นมะเร็งลุกลามทั่วตัวแล้ว
การใช้ยาบำบัดอาจช่วยต่อชีวิตไปได้ ๕๐% ทั้งสองพูดอะไรอีกบางอย่าง เช่นว่า
หากมารักษาแต่เนิ่นๆ ก็หายขาดได้ แต่ตาไม่ได้ยิน ในสมองอื้ออึงเหมือนมีพายุพัด
ตาไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไร
ไม่มีน้ำตาของความเจ็บปวด เธอเจ็บปวดมามากพอแล้ว
ในสมองก้องด้วยคำว่า “ มะเร็งระยะลุกลาม ”
หมอบอกค่ายาเข็มละห้าร้อยบาท ต้องฉีดทุกสัปดาห์เพียงเพื่อยืดเวลาชีวิตไปอีกระยะ
เมื่อลงรถเมล์ หญิงสาวก้าวข้ามถนนไปยังโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่หรูหรา
พนักงานชุดฟอร์มสีม่วงมองการแต่งกายของเธอด้วยสายตาเหยียด
อากาศเย็นยะเยือกจากแอร์ทำให้ร่างผอมสั่นสะท้าน
เธอกำมัดเงินที่เตรียมไว้เป็นค่ายาจนชุ่มด้วยเหงื่อ
มีเพียงสองทางเลือกสำหรับคนจนอย่างเธอ...ตัวเองหรือน้อง ?
“ สมัครติววิชาให้น้องค่ะ ” เธอตัดสินใจเด็ดขาด
การที่เก๋ได้ติวภาษาอังกฤษและอื่นๆ กลับยิ่งทำให้เธอขาดความมั่นใจ
ที่โรงเรียนมีผู้คนมากมาย เด็กส่วนใหญ่มีรถขับมาเรียน แต่งกายสวยงาม พูดไทยปนอังกฤษ
เพื่อนร่วมชั้นพากันหัวเราะเมื่อได้ยินเธออ่านออกเสียงภาษาอังกฤษหน้าชั้น
เก๋เครียด ภาระที่พ่อสั่งเสียหนักนัก เธอพยายามตั้งใจเรียน แต่ไม่อาจฝ่าข้ามขีดจำกัดของตนเองได้
โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ
เก๋เชื่ออย่างฝังใจว่า
"ถ้าเธอทำคะแนนทดสอบเอนทรานซ์แบบจำลองที่สถาบันแห่งนี้จัดทำได้ถึงครึ่ง
เธอก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และในทางกลับกันถ้าเธอไม่ผ่านการทดสอบ
เธอก็หมดโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยปิดที่ทุกคนคาดหวัง"
หากพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เธออาจร้องขอความเห็นใจ แต่นี่...ประตูปิดตายแล้ว
เหลืออีกเพียงสี่เดือนก็ถึงเวลาสอบเอนทรานซ์ เก๋ทุ่มตัวสอบเต็มที่กับการทดสอบ
เอนทรานซ์แบบจำลองของสถาบันติววิชา
ตาสังเกตเห็นความเครียดของน้องสาว
ซึ่งเชื่อมั่นอย่างไม่มีทางโน้มน้าวให้เป็นอย่างอื่น
“ ถ้าหนูทำแบบทดสอบของสถาบันไม่ได้ หนูก็จะไม่สอบเอนทรานซ์ เพราะ
อาจารย์บอกว่าไม่เคยมีใครที่ตกการทดสอบที่นี่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ”
ก่อนทดสอบ ๑ วันเก๋แทบไม่นอน คืนนั้นเด็กสาวนั่งท่องตำราจนตีสอง และตื่นตีสี่
กว่าอ่านหนังสือต่อ เห็นชัดว่าเธอเครียดมาก ดูมันยิ่งใหญ่กว่าการสอบเอนทรานซ์จริงๆเสียอีก
เธอออกจากบ้านไปสอบที่สถาบันหน้าปากซอยตั้งแต่หกโมงเช้า
ค่ำวันนั้นเธอกลับมาด้วยอาการกะปลกกะเปลี้ย ไม่พูดจา
ตาเปิดพัดลมไล่อากาศอบอ้าว ปล่อยให้น้องนอนนิ่งๆโดยไม่กวนใจ
หลังจากนั้นนับชั่วโมงเธอจึงพูดเบาๆ แล้วสะอื้น “ ไม่มีทางหรอกพี่ หนูทำไม่ได้ ”
ตากอดน้องสาว รู้ดีว่าการทดสอบครั้งนี้สำคัญมากเพียงใด
หลังจากวันนั้น เก๋มักจะนั่งเหม่อลอย รอผลการทดสอบซึ่งจะส่งมาให้ทางไปรษณีย์
สายวันหนึ่ง ขณะที่เก๋ไปโรงเรียน บุรุษไปรษณีย์ก็นำจดหมายจากสถาบันกวดวิชามาส่ง
ตาออกไปรับ เธอเปิดอ่านผลการทดสอบด้วยมือสั่นเทา ร่างของเธอซวนเซเล็กน้อย
ครู่หนึ่ง ตาก็แต่งตัวออกจากบ้านตกเย็นเมื่อเก๋กลับมาถึงบ้าน ตายื่นจดหมายให้
มันคือจดหมายฉบับเมื่อเช้า เก๋เปิดอ่านด้วยท่าทีลังเลและกลัวเนื้อความในจดหมาย
เธอพึมพำน้ำตาไหล “ ไม่น่าเชื่อเลยพี่ หนูคิดว่าตัวเองทำได้ไม่ถึงครึ่ง ”
หลัง วันนั้นเก๋เกิดความเชื่อมั่นอย่างมาก เธอมุมานะดูหนังสือจนสอบผ่านอย่างสวยงาม
ช่วงนั้นเองที่ตาเป็นลมแน่นิ่งคาจักรเย็บผ้า เพื่อนบ้านจับขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไปส่งโรงพยาบาลหมอรับไว้ทันที
แม้จะมีปณิธาน อันแรงกล้า ที่จะสนับสนุนน้องสาวให้บรรลุความสำเร็จในชีวิตอย่างที่พ่อปรารถนา
แต่ตาไม่อาจฝืนสังขาร มะเร็งแพร่กระจายไปที่มดลูก ปอด ตับ และกะโหลกศีรษะ
เธอยังดำรงสัมปชัญญะไว้ได้ โดยมีความหวังเท่านั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
เก๋ร้องไห้โฮเมื่อทราบความจริง เธอย้ายมากินนอนที่โรงพยาบาลเฝ้าพี่สาว
ด้วยความอนุเคราะห์ของสมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย
ทำให้สองพี่น้องไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว
“ พี่ตาไม่ตายนะ พี่ต้องอยู่เป็นกำลังใจให้เก๋ ” เด็กสาวกอดพี่ร้องไห้
ตารู้สึกผิดที่ทำให้น้องเสียกำลังใจ เธอสัญญาว่าจะอยู่ต่อไป
เธอไม่ปริปากถึงอาการเจ็บในช่องท้องที่ลุกลาม เหมือนมีหนอนนับพันกัดกินภายใน
เธออ้อนวอนขอให้น้องทำให้ดีที่สุด เพื่อเป็นของขวัญให้กับพ่อแม่และตัวเอง
เก๋ไม่มีทางดิ้น ถ้าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
อาจเป็นกำลังใจที่จะช่วยให้พี่ต่อสู้กับโรคร้าย
ด้วยพลังความรักที่มีเธอใช้เวลาอันสงบในโรงพยาบาลดูหนังสือเต็มที่
นั่นนำความสุขใจมาสู่พี่สาวเป็นอย่างยิ่ง
มะเร็งลุกลามถึงระยะสุดท้าย หมอต้องให้มอร์ฟีนระงับปวด ดูเผินๆจึงคล้ายกับว่า
การตั้งใจสอบของเก๋ทำให้พี่สาวอาการดีขึ้น เธอจึงยิ่งมุมานะเพื่อความอยู่รอดของพี่สาว
ดังนั้นทุกครั้งที่ตาลืมตาตื่น จะเห็นน้องสาวก้มหน้าอยู่กับกองหนังสือมากมาย
การสอบเอนทรานซ์ผ่านไป เก๋กลับจากสอบด้วยสีหน้าเชื่อมั่น “ หนูต้องสอบได้อยู่แล้ว
เพราะทำทดสอบผ่านคะแนนดีด้วย ” พี่สาวยิ้มระโหย แต่เห็นชัดว่าสุขใจ
วันสุดท้ายในชีวิตหญิงผู้อาภัพมาถึง ตรงกับวันประกาศผลเอนทรานซ์
เธอตื่นแต่เช้ากินอาหารได้มากเป็นพิเศษ ม่านตาขยายกว้างและแจ่มใส
พูดคุยนานและไม่มีอาการหอบ เก๋ดูแลพี่จนรับยาเรียบร้อย
จึงขอตัวไปดูผลการสอบเอนทรานซ์ด้วยหัวใจเบิกบาน พี่สาวเธอดูดีขึ้นมาก
แต่เมื่อกลับมาถึง หัวใจที่พองโตของเก๋พลันสลาย ตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ขอบตาลึกโหล ริมฝีปากซีดเซียว นัยน์ตาไร้ประกาย
เก๋ทิ้งผลไม้ในมือ ร้องไห้โฮ วิ่งไปกอดพี่สาว ประคองศีรษะแนบอก
“ พี่จ๋า พี่อย่าทิ้งเก๋ไปนะ เก๋ทำให้พี่ทุกอย่างแล้ว ”
หญิงสาวเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ มุมปากกระตุกยิ้มเหน็ดเหนื่อย
“ ผลการสอบเป็นอย่างไร ? ”
“ เก๋ติดพยาบาลอย่างที่พ่อแม่และพี่อยากให้เป็น เก๋ทำทุกอย่างแล้วนะ พี่ทิ้งเก๋ไปไม่ได้นะ
เก๋สอบได้แล้ว พี่ได้ยินไหม ? เก๋สอบได้...”
น้ำตาอุ่นไหลตามร่องแก้ม ตกบนหน้าผากหญิงสาวผู้อาภัพ
“ ถ้าพี่ตายเก๋จะอยู่กับใคร...โฮ...พี่จ๋า...เก๋จะเป็นพยาบาลรักษาไข้พี่เอง ได้ยินมั้ย ? ”
เธอตะโกนด้วยเสียงแผ่วหวิว ปิ่มว่าจะขาดใจ
“ น้องพี่ ” ตากระซิบแหบระโหย “ น้องต้องอยู่ต่อไป ทำชื่อเสียงให้พ่อแม่
น้องต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง ” เธอปิดเปลือกตาลง หายใจหอบ “
พี่มีเวลาไม่มากแล้ว จงฟังพี่ให้ดี น้องเป็นคนมีความสามารถแต่ขาดความมั่นใจ
น้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เพราะเชื่อว่าตัวเองผ่านการทดสอบ
พี่ดีใจและมีความสุขใจอย่างที่สุด มันเป็นของขวัญล้ำค่าก่อนตาย น้องเอ๋ย....
พี่มีเงินฝากในธนาคาร เหลือจากการขายที่สวนหกหมื่น ขอให้น้องเบิกมาใช้เป็นทุน...”
แม้จะหอบหายใจแรง หน้าตายังอาบแต้มด้วยความสุขอันยิ่งใหญ่
“ น้องจ๋า พี่ต้องขอโทษ พี่ได้ทำสิ่งไม่สมควร พี่แอบอ่านและปลอมแปลงจดหมาย
ผลการทดสอบของน้อง พี่รู้ว่ามันสำคัญ แต่ถ้าพี่ไม่ทำ เราคงไม่มีวันนี้
พี่ดีใจและ...ขอบ...คุณ..”ตาสิ้นใจตายอย่างสงบ
หลังจากหาวัดตั้งศพพี่สาวได้ เก๋จึงไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงินจัดการงานศพ
แต่เธอไม่สามารถเบิกเงินได้เพราะไม่ใช่เจ้าของบัญชี เว้นแต่จะมีคำสั่งศาล
ซึ่งเธอก็หมดปัญญาจ้างทนายเด็กสาวจำต้องขายจักรเย็บผ้า สมบัติชิ้นเดียวของพี่สาว
เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในพิธีศพ
หลังพิธีผ่านพ้น
เก๋ตัดสินใจโกนหัวบวชชีให้พ่อแม่และพี่สาวเพื่อทดแทนคุณ
และเป็นการขอขมาลาโทษที่โกหกพี่สาวก่อนตายว่า ตนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
จนทุกวันนี้เด็กสาวยังบวชเป็นชี เธอมักถามตัวเองว่า
การที่พี่สาวผู้อาภัพ ผู้ซึ่งไม่เคยได้รับความสุขใดๆในชีวิต
แม้ก่อนตายยังถูกน้องสาวโกหก เพียงเพื่อให้ได้รับความสุขลวงๆ นั้นนะ..ถูกหรือผิด ?
บันทึกการเข้า
"มิตรภาพที่แสนดี..ทำให้ทุกวินาทีมีความหมายเสมอ"
AMM
บุคคลทั่วไป
Re: "ความหวังก่อนตาย"
«
ตอบ #1 เมื่อ:
30 มิถุนายน 2553 17:27:48 »
ยิ่งอ่านยิ่งร้องไห้ เรื่องมันเศร้าจัง
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ
เริ่มโดย
ตอบ
อ่าน
กระทู้ล่าสุด
แกนโลกพลิก กลับขั้ว " Pole Shift " ในปี 2012 และการช่วยเหลือจาก UFO
รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
หมีงงในพงหญ้า
1
5406
18 ธันวาคม 2552 15:28:26
โดย AMM
"ในหลวง" ทรงขอบใจยื่นจดสิทธิบัตร"ยีนความหอมข้าวไทย"
สุขใจ ห้องสมุด
ไอย
0
3108
30 ธันวาคม 2552 12:07:44
โดย
ไอย
คำเตือน !! "เซ็กส์เสื่อม" ของแถม จาก "ออฟฟิศซินโดรม" (มนุษย์บ้างานระวังให้ดี)
สุขใจ อนามัย
หมีงงในพงหญ้า
1
4383
13 เมษายน 2553 07:47:53
โดย
PETER
หนังสั้น "ราตรีสวัสดิ์" เรียกน้ำตาอีกแล้ว (Shortfile - "GoodNight")
หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
Sweet Jasmine
0
3116
29 เมษายน 2553 14:49:08
โดย
Sweet Jasmine
จาก"แอตแลนติส" สู่ "อียิปต์" : พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
หมีงงในพงหญ้า
2
9738
10 มิถุนายน 2553 18:53:51
โดย
หมีงงในพงหญ้า
กำลังโหลด...