[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
14 มิถุนายน 2568 21:34:24 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ชีววิทยาใหม่กับความรู้สึกที่จำเป็นของการมีชีวิต  (อ่าน 2075 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2553 10:53:55 »




ผู้เขียนได้ยินคำว่าชีววิทยาใหม่ในปี พ.ศ. 2545 จาก ดร.บรูซ ลิพตัน นักวิจัยมีชื่อแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่มาพูดที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีสมาชิกจิตวิวัฒน์ได้เข้านั่งฟังด้วยอยู่กว่าครึ่งหนึ่ง เพราะมีสมาชิกของชมรมคนหนึ่งเป็นผู้แปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย (คุณหมอโกมาตร) นั่นคือ  5 ปีเต็มๆ หลังจากวิชาใหม่วิชานี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1996 ทีมหาวิทยาลัยเท็มเปิล ฟิลาเดลเฟีย และต่อมายักษ์ใหญ่ในวงวิชาการผู้หนึ่งที่ล่วงลับไปแล้ว อดีตศาสตราจารย์วิลลิส ฮาร์แมน แห่งสแตนฟอร์ดเหมือนกัน ได้เอาข่าวนี้มาเขียนเป็นบทความในเชิงสนับสนุนในวารสารไอออนส์ (Ions) ผู้เขียนเข้าใจว่านักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ทางจิตน่าจะได้ข่าวเรื่องวิชาชีววิทยาใหม่นี้มาจากวิลลิส ฮาร์แมน มากกว่ามาจากที่อื่นๆ ในช่วง 15 ปีมานี้ ชีววิทยาใหม่ได้เจริญเติบโตขึ้นมามาก ทั้งๆ ที่ในทีแรกผู้เริ่มต้นก่อตั้งที่มีนักชีววิทยาที่มีชื่อเสียงบางคนได้รับรางวัลโนเบลได้มีมติเสียงข้างมากให้วิชาชีววิทยาเก่าๆเดิมๆซึ่งเป็นการสังเกตอย่างเป็นระบบสิ่งที่มีชีวิตของชาร์ลส์  ดาร์วินที่ต่อมาเรียกกันว่า ทฤษฏีดาร์วินิซึ่ม ทฤษฏีที่มีช่องโหว่มากมาย   ตายไปจากโลกวิชาการเอง - เนื่องจากดาร์วินิซึ่มมันผิดไปจากฟิสิกส์ใหม่ หรือควอนตัม ฟิสิกส์ที่จนกระทั่งบัดนี้ ไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดแม้แต่คนเดียวสงสัยเลยทั้งๆที่ควอนตัมเม็คคานิกส์ได้ผ่านการทดสอบมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีวิทยาศาสตร์ใดๆเคยได้รับการทดสอบมาก่อน - ดาร์วินิซึ่มคือชีววิทยาเก่าๆเดิมๆนั้น

เคยพูดมาแล้วและเคยเขียนมาแล้วทั้งที่นี่และที่อื่นๆว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้นกับชีววิทยาหรือดารวินิซึ่มจริงๆ เพียงแต่ผู้เขียนคิดเอาเองว่าชีววิทยาไม่ใช่วิทยาศาสตร์สายหลักที่แท้จริงเพราะมันดูเหมือนขึ้นกับการสังเกตอย่างเดียว และทำซ้ำๆไม่ได้ หรือไม่ได้ทั้งหมด ทั้งทฤษฏีก็มีช่องโหว่ที่พิสูจน์ไม่ได้ เป็นต้นว่า เราหาฟอสซิลของชีวิตในระหว่างชั้นหรืออันดับของสายพันธุ์ต่างๆไม่พบ เช่น เชื่อว่านกอาจจะมาจากไดโนเสาร์แต่หลักฐานที่พิสูจน์เช่นนั้นมีไม่พอที่จะทำให้นักวิทยาศาสตร์ทุกคนเห็นพ้องต้องกันได้ แม้แต่จนบัดนี้ชีวิตหรือเซลล์มาจากไหน? หรือผนังของเซลล์มีขึ้นเมื่อไหร่? เราก็ไม่รู้ ทั้งนี้อาจจะยกเว้นชีววิทยาโมเลกุลที่มีชีวิตหรือไม่มีก็ไม่สำคัญ ที่ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากโลกนี้ไม่มีชีววิทยาเพราะคิดว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล (anthropocentric) หลักการวัตถุนิยมกับหลักการแยกส่วนคงจะมีน้อยกว่านี้ ปัจจุบันนี้ เราเอาเรื่องของพันธุกรรมโดยเฉพาะการตัด-ต่อยีนส์พันธุกรรมหรือวิศวพันธุกรรมไว้แล้วเรียกทั้งหมดนี้ว่านีโอ-ดารวินิซึ่มซึ่งมีหลักการสำคัญ -โดยเชื่อตามชาร์ลส์ ดาร์วินที่น่าจะคิดเอาเองทำให้ผู้ศึกษาวิชานี้ส่วนมากเชื่อตามด้วยความศรัทธาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง - เรียกว่าวิวัฒนาการ นักชีววิทยาวิวัฒนาการจะบอกว่าวิวัฒนาการทางชีววิทยาคือหัวใจของชีวิตทั้งหมดเลย แต่นักชีววิทยาวิวัฒนาการก็มุ่งศึกษาเฉพาะแต่ด้านกายสภาพเพียงด้านเดียว เป็นต้นว่า รูปร่าง โครงสร้าง หน้าที่ซึ่งในที่นี้คือพฤติกรรม (ทั้งที่รู้และไม่รู้หรืออัตโนมัติ) เรามักอ้างเอาการสืบพันธุ์เป็นหลักของการนิยามคำว่าชีวิตแต่เราไม่สนใจอย่างแท้จริงเลยว่าชีวิตนั้นแตกต่างไปจากการดำรงไว้ซึ่งชีวิต (life and living) ยิ่งนัก เราจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าการดำรงไว้ซึ่งชีวิตหรือที่เกิดเป็นมนุษย์ซึ่งในพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดในภพภูมิสุคติ (เพราะเป็นหนทางเดียวที่เรามีหนทางเลือกเส้นทางสูธรรมะสู่ภาวะจิตวิญญาณและนิพพานอันเป็นยอดปรารถนาของทุกๆคนที่รู้พุทธศาสนาดีพอ) แต่การเกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะต้องมีความทุกข์ที่ทุกคนจะต้องเผชิญอย่างไม่มีการยกเว้น - หากไม่ใช่ทางกายก็ทางจิตหรือทั้งสองทาง - และทุกคนจะต้องเรียนรู้ความทุกข์นั้น และการเรียนรู้ความทุกข์นั้นไม่ใช่เรื่องของความเจ็บปวดหรือความทรมาน ไม่ใช่เรื่องของการจำพรากและร้องไห้อันเป็นพฤติกรรมทางกายอย่างเดียว แต่หากเป็นเรื่องของจิตใจหรือจิตที่ทำให้เรารู้ หรือจิตสำนึกอันเป็นเรื่องภายในเป็นเรื่องของเวทนาหรือความรู้สึกที่นักชีววิทยาไม่สนใจที่เป็นฐานรากสำคัญของสติ (awareness) ของพุทธศาสนา

ทางพุทธศาสนาจะนำเอาเรื่องของเวทนา - ความรู้สึกเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดซึ่งสำหรับผู้เขียนในฐานะเป็นแพทย์จะมองว่าวิชาการเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับการเข้าใจในพุทธศาสนาทางด้านวิทยาศาสตร์ของอริยสัจสี่อันเป็นเรื่องของทุกข์ทั้งหมด  ผู้เขียนไม่ใช่และไม่ได้เป็นนักจิตนิยมที่งมงายใกล้ๆกับไสยศาสตร์สุดๆที่คนไทยและคนตะวันออกไกลส่วนใหญ่เดิม มักจะถือว่าพุทธศาสนาต้องเป็นนิกายเถรวาท สายสังกาวงศ์จึงจะถูกต้องที่สุด และดีที่สุดเพราะผู้เขียนเชื่อมั่นในพระพุทธองค์ว่าเป็นสัพพัญญูและเป็นนักจิตวิทยาที่มีเหตุผลอย่างแท้จริง และทุกสิ่งทุกอย่างก็พระพุทธเจ้านั่นแหละที่เป็นคนสอน หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าพระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ที่รวมเอาควอนตัมฟิสิกส์ และทฤษฏีสัมพันธภาพไว้ทั้งหมดเลย ซึ่งสำหรับผู้เขียนที่เรียนและค้นคว้าวิทยาศาสตร์มาชั่วชีวิตจะเอาพุทธพจน์ของพระองค์เป็นตัวตั้งแล้วเอาควอนตัมเม็คคานิกส์ตามพิสูจน์ - ทั้งสองอย่างนั้นไปตามที่ผู้เขียนรู้มา - เป็นตัวเปรียบเทียบ หรือพิสูจน์ และพิสูจน์ได้แทบทั้งหมดเลยโดยเฉพาะฟิสิกส์ดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาใหม่ที่มีมาไม่ถึงสิบปี

น่าคิดมากๆในเรื่องสองเรื่องที่นักชีววิทยาหรือนักวิทยาศาสตร์กายภาพที่ส่วนมากมักเป็นแม็ตทีเรียลลิสต์มักพูดว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือรีบเดินหนีไม่ยอมตอบเพราะตอบไม่ได้  เรื่องที่หนึ่งคือ โลกเรามีตรรกะและเหตุผลมาเป็นทางการก่อนยุคฟื้นฟูศิลปะและวรรณคดี (renaissance) นั่นคือ มีมาตั้งแต่  600 ปีก่อน และมีวิทยาศาสตร์เฉยๆที่นิวตันที่ค้นพบ  -   และใช้อธิบายการเคลื่อนที่ของสสารหรือมวลสารใดๆในโลกว่าสัมพันธ์กับ - แรงดึงดูดของโลกซึ่งนั่นก็กว่า 450 ปีมาแล้ว นั่นคือ กำเนิดการของวัตถุ-หลักการภาวะวิสัย (objectivism) กำเนิดการของการมีเหตุที่ก่อผลที่ทำนายได้ (determinism) นั่นคือหลักการทีนำไปสู่หลักการสำคัญที่ใหญ่กว่าหรือความเป็นสอง (dualism) ที่ผิดธรรมชาติทั้งสองระดับผิดความจริงแท้อย่างที่สุด ที่สำคัญคือผิดทั้งพุทธศาสนากับควอนตัมฟิสิกส์ที่ถูกต้องแม่นยำกว่าฟิสิกส์ของนิวตันเป็นไหนๆ พูดง่ายๆ   เรื่องที่หนึ่งนี้ก็คือ  เหตุผลที่เราคิดว่าถูกต้องแล้ว (600 ปี) กับวิทยาศาสตร์ของนิวตันที่เราคิดว่าเป็นความจริงที่สุด (450 ปี) กลับกลายเป็นไม่จริงหรือมายาที่ลวงตาในพุทธศาสนากับควอนตัมเม็คคานิกส์ ถ้าหากพุทธศาสนากับควอนตัมถูกต้องอย่างว่า ทำไม? เราถึงได้มารู้ความจริงแท้เมี่อมันสายเกินไปสำหรับมนษย์ส่วนใหญ่?? เรื่องที่สอง เป็นกลุ่มใหญ่ที่พบว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกายวัตถุนั้นผิดธรรมชาติทั้งสองระดับทั้งหมดเลย แต่กระนั้นเรายังทำเป็นเฉยๆและยังใช้มันประหนึ่งว่าอะไรที่ทั้งสองอย่างบอกนั้นจะต้องถูกต้องเป็นจริงโดยเฉพาะชีววิทยาที่คิดเฉพาะด้านกายภาพเฉพาะด้านที่ตาเห็นเพียงสถานเดียว เป็นต้นว่า เรื่อง โคลนนิ่ง เรื่องอาหารเทียมจีเอ็มฟู๊ดที่ตอนนี้การต่อต้านชักจะราลงแล้วเพราะรัฐบาลทั่วทั้งโลกทำเฉยๆเพราะบรรษัทข้ามโลกกับเงิน และการมองไม่เห็นโทษที่ต้องรอนับร้อยปีถึงจะเห็น เราต้องคิดว่าถ้าหากว่าหลักการวิวัฒนาการของดารวินิซึ่มตามที่นักชีววิทยาเชื่อมั่นว่าเป็นความจริง - นั่นคือวิวัฒนาการก็คือ ความบังเอิญอย่างหนึ่ง (random or chances) กับความจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง (necessity) - ดาร์วินิซึ่มหรือธรรมชาติของชีวิตรวมทั้งมนุษย์แต่ละคนและทุกๆคนก็จะต้องไม่มีความหมายและไร้จุดมุ่งหมาย ประเทศหรือสังคมโดยรวมก็ต้องไม่มีความหมายและไร้จุดมุ่งหมายไปด้วย นั่นผิดธรรมชาติอย่างแรงไม่เชื่อลองตะโกนใส่ใครหรือประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่ไม่มีความหมายดู แต่นั่นไม่ใช่วิทยาศาสตร์หรือธรรมชาติ วิทยาศาสตร์นั้น  ความบังเอิญที่ว่าเป็นเรื่องของสัตว์แต่ละตัวหรือคนแต่ละคนเป็น และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเร็ว ส่วนความจำเป็นของธรรมชาติหรือการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องของส่วนรวมหรือส่วนใหญ่ของสัตว์ที่เป็นทุกๆเผ่าพันธุ์ในละแวกนั้นซึ่งช้าแสนช้าเป็นพันเป็นหมื่นๆปี ซึ่งทั้งสองเรื่องเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง ต่อไปเป็นเรื่องของนีโอ-ดาร์วินิซึ่มที่แยกส่วนมากๆ นีโอ-ดาร์วินิซึ่มนั้นจะพูดแต่เรื่องเดียวเป็นส่วนใหญ่ นั่นคือ การกำหนดผลของหน่วยพันธุกรรมที่ทำนายได้อย่างแน่นอน (genetic determination) ไม่ว่าหน่วยของชีวิตนั้นๆเป็นระดับไหน    จีนส์หรือยีนส์ก็ควบคุมและบริหารเบ็ดเสร็จได้ทั้งนั้น ตั้งแต่เซลล์ทิสชูเนื้อเยื่อ อวัยวะ รวมทั้งร่างกายของสัตว์ทุกๆตัวหรือคนทุกๆคน ไม่ว่ามดแมลงช้างและปลาวาฬหรือคน  กำหนดการที่แน่นอนที่สามารถทำนายผลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น เปอร์เซ็นต์ได้ลดลงเรื่อยๆเพราะการวิจัยที่มากขึ้นและวิธีการและเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ความบังเอิญของมิวเตชั่นของแต่ละตัวโดยรวมทั้งหมดของชีวิตที่เป็นคนละเรื่องอยู่แล้วก็ยิ่งเข้ากันไม่ได้เลย นอกจากนั้นกำหนดการโดยยีนส์ที่ว่าแน่นอน ก็ไม่แน่นอนเสียแล้วจากหลักฐานของการวิจัยใหม่ๆถึงสามประเด็นหรือแทบทั้งหมดคือหนึ่ง มีหลักฐานแน่นอนแต่บางส่วนของการมีสิ่งเหนือยีนส์ (epigenetic) สอง มีหลักฐานแน่ชัดว่าโมเลกุลของโปรตีนหรือดีเอ็นเอไม่สามารถจะบริหารจิตหรือจัดการกับเวทนา ความหมาย ความคิด ฯลฯ สาม ปกตินั้น วิทยาศาสตร์ทุกสายจะดูฟิสิกส์เป็นมาตรฐาน แต่หลักสำคัญหลักหนึ่งของฟิสิกส์ หรือความแน่นอนที่ทำนายผลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ (determinism) ลำหรับวัตถุนั้น ในรายละเอียดจริงๆ (อนุภาค) มันเป็นคลี่น หรือจะให้ถูกต้อง คือคลื่นแห่งความเป็นไปได้และจะให้มันเป็นอนุภาคหรือเป็นวัตถุได้โดยควอนตัมฟิสิกส์ก็ต้องสลายสภาพความเป็นคลื่นก่อน นั่นคือ จิตไร้สำนึกจะถูกบริหารด้วยสมองให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้ก็ต้องสลายความเป็นคลื่น (wave function collapse) คือเรามีโอกาสเลือก “ความหมาย”(choice) เลือกวัตถุหรือปรากฏการณ์นั้นๆจากความเป็นไปได้ต่างๆของคลื่นได้ พูดง่ายๆคือเราเองเลือก“ความหมาย” ได้ด้วยการเลือกกระทำ (กรรม) ของเราเอง

เวทนาความรู้สึกนั้น อมิต โกสวามีนักควอนตัมฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยโอเรกอนบอกว่ามีสองทาง คือ ภายนอก คือ  รีเฟล็ดซ์  (physical mind) เช่น ถูกตี-เฆี่ยน ถูกต่อย กับ ภายใน (vital mind) เช่น ความจำ ความเคียดแค้นชิงชัง ความอิจฉาผิดหวัง เกิดที่จักรา (chakra) ซึ่งผู้เขียนมีความรู้ค่อนข้างจำกัดจึงขอไม่พูดจะดีกว่า พลังภายในไวตัลนี้จะมาก่อนอารมณ์เล็กน้อย และอารมณ์นั้นจะต้องแปลให้เป็นความหมายหรือจิตรู้หรือจิตสำนึกได้ อมิต โกสวามีบอกว่าต้องไปที่สมองเพื่อรวมกับจิตสำนึกภายหลังจากที่ได้แปลเป็นความหมายแล้ว การบริหารจิตไร้สำนึกจักรวาลนั้นผู้เขียนเชื่อว่าสมอง (นีโอ-คอร์เกซ) เป็นผู้บริหาร แต่ อมิตโกสวามีบอกว่าจักราที่มีเจ็ดจักราที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ (รวมทั้งสองจักราที่อยู่ที่สมอง) เป็นผู้บริหาร อย่าลืมว่าจิตไร้สำนึกกระทั่งจิตสำนึกนั้นแยกออกจากพลังงานหรือปราณหรือชี่ (vital mind)ไม่ได้ส่วนอารมณกับความหมาย จะมาก่อนความคิดและความจำระยะยาว//





http://www.thaipost.net/sunday/281110/30731

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
▄︻┻┳═一
SookJai.com
นักโพสท์ระดับ 9
****

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 795


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 7.0.517.44 Chrome 7.0.517.44


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2553 13:38:27 »

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.241 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 28 มีนาคม 2568 08:55:27