[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
15 มิถุนายน 2568 10:53:43 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: Masanobu Fukuoka เกษตรกรผู้ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว  (อ่าน 7150 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2553 23:00:42 »


ฟังเพลง พี่แอ๊ดดดดด ก่อน แล้วค่อยอ่าน นะ ทั้งหมดอยูในเพลง แล้ว

ลุงฟาง Concert ทุ่งฝันตะวันรอน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2553 23:01:12 »




ฟางเส้นนี้ดูบอบบางและไร้น้ำหนัก และคนส่วนมากก็ไม่อาจรู้ว่าแท้จริงแล้วมันมีน้ำหนักมากขนาดไหน หากผู้คนรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของฟางนี้ การปฏิวัติของมนุษยชาติก็จะเกิดขึ้น เป็นการปฏิวัติที่ทรงพลังเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ และโลกทั้งโลกเลยทีเดียว"

- มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ, "ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว" สำนวนแปล รสนา โตสิตระกูล





ในบรรดาอาชีพทั้งหมด คงไม่มีอาชีพใดที่จำเป็นต่อความอยู่รอดของประชากรมนุษย์ซึ่งนับวันก็ยิ่งล้นโลกขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกคนอื่นดูแคลนหรือเย้ยหยันเท่ากับอาชีพเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยทุนน้อยผู้ต้องเผชิญกับปัจจัยความเสี่ยงมากมายที่ควบคุมไม่ได้ และไม่มีเงินพอที่จะซื้อวิธีป้องกันความเสี่ยงเหมือนกับบริษัทอุตสาหกรรมอาหารยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย

นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ประเทศกำลังพัฒนาแทบทุกประเทศในโลกได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อการส่งออกเป็นหลัก ตามรอย "เกษตรกระแสหลัก" ของประเทศโลกตะวันตก ซึ่งวิธีนี้แปลว่าเกษตรกรต้องละทิ้งวิธีการเพาะปลูกแบบโบราณโดยใช้วัตถุดิบตามธรรมชาติ เช่นปุ๋ยหมักและมูลสัตว์ หันมาใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเพื่อเพิ่มผลผลิตแทน ปัจจุบัน ผลเสียจากวิธีการเพาะปลูกที่เน้นการ "เอาชนะธรรมชาติ" ดังกล่าวได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในแทบทุกประเทศ การใช้สารเคมีจำนวนมากส่งผลให้ฮิวมัสในดิน (humus หมายถึงซากพืชและสัตว์ที่เน่าเปื่อยผุพังทับถมกันปะปนอยู่ในดิน ทำให้ดินมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ เหมาะแก่การเพาะปลูก) ถูกทำลายหมดไปภายในชั่วเวลาไม่กี่สิบปี คุณภาพดินเสื่อมลง ส่งผลให้พืชพันธุ์อ่อนแอและผลผลิตตกต่ำ ทำให้เกษตรกรยิ่งต้องพึ่งสารเคมีและเครื่องจักรมากกว่าเดิม

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ปัญหาก็ยิ่งปรากฏให้เราเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า แนวทางของเกษตรกรรมกระแสหลัก ซึ่งคิดขึ้นมาช่วยให้คนใช้แรงงานในการเพาะปลูกน้อยลง กลับกลายเป็นตัวบ่อนทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดินลงอย่างช้าๆ จนส่งผลให้เกษตรกรยิ่งถลำลึกลงในปลักแห่งความยากจนมากกว่าเดิม จากต้นทุนและภาระหนี้สินที่พุ่งสูงขึ้นจากความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพิงปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง

เมื่อปัญหาต้นทุนสูงและดินเสื่อมเกิดในพื้นที่ซึ่งไม่มีระบบการชลประทานที่ดีพอและทั่วถึง จนเกษตรกรต้องพึ่งดินฟ้าอากาศซึ่งมีความปรวนแปรและกำลังแย่ลงเรื่อยๆ จากปัญหาโลกร้อน ตลอดจนการกดราคาของผู้รับซื้อผลผลิตที่มีอำนาจในการต่อรองสูง จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเกษตรกรรายย่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะชาวนา จึงมีภาระหนี้สินรุงรังและแทบไม่มีเงินเก็บเลย โดยผลการสำรวจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในปี 2545 พบว่าการปลูกข้าวนาปีต้องใช้ต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 1,700 บาทต่อไร่ แต่ได้กำไรเพียง 23 บาทต่อไร่ หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนการลงทุนเพียงร้อยละ 1.35 เท่านั้น

ยังไม่นับอันตรายด้านสุขภาพที่ตามมาจากการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก ทั้งต่อเกษตรกรต้นทางและต่อผู้บริโภคปลายทาง

เกษตรกรส่วนใหญ่อาจยังมองไม่เห็นอันตรายของเกษตรกระแสหลัก หรือไม่ก็มองเห็นแต่คิดว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น แต่เกษตรกรจำนวนน้อยที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า วิถีเกษตรกรรมแบบ "อยู่ร่วม" แทนที่จะ "เอาชนะ" ธรรมชาติ โดยหันหลังให้กับเกษตรกระแสหลัก อาศัยกระบวนการอันซับซ้อนเกื้อกูลกันของธรรมชาติที่มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจอย่างถ่องแท้ แทนที่สารเคมีทุกชนิด ไม่เพียงแต่จะเป็นทางเลือกที่ "เป็นไปได้" เท่านั้น แต่ยังเป็นทางเลือกที่ "ดีกว่า" เกษตรกระแสหลักอีกด้วย ทั้งในแง่คุณภาพชีวิตของเกษตรกรและฐานะความเป็นอยู่ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคกำลังเรียกร้องผลิตภัณฑ์เกษตรที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบธรรมชาติล้วนๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

เราอาจเรียกเกษตรกรรมที่อยู่ภายใต้แนวคิดกว้างๆ นี้ ซึ่งมีรูปแบบและชื่อเรียกหลากหลาย ตั้งแต่ เกษตรผสมผสาน เกษตรยั่งยืน ไร่นาสวนผสม วนเกษตร เกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดสารพิษ เกษตรถาวร ตลอดจนแนวคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 คือเกษตรพอเพียง และเกษตร "ทฤษฎีใหม่" รวมกันว่า "เกษตรก้าวหน้า"

หนึ่งใน "เกษตรกรก้าวหน้า" ผู้มีอิทธิพลมหาศาลคือเกษตรกรอดีตนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ (Masanobu Fukuoka) เขาได้เล็งเห็นปัญหาของเกษตรกระแสหลักตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1930 ค้นคว้าทดลองจนพบทางออก เชื่อมั่นว่าแก่นสารของทางออกนั้นมีความเป็นสากลที่นำไปปรับใช้ได้ทั่วโลก และเรียบเรียงทางออกนั้นออกมาเป็นหนังสือชื่อ "ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว" (The One-Straw Revolution) ในปี 1975 ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดยคุณรสนา โตสิตระกูล และวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่ปี 1987

ก่อนที่เราจะซาบซึ้งกับแนวคิดของฟูกูโอกะได้ และก่อนที่จะเข้าใจได้ว่าแนวคิดนั้นเป็นมากกว่า "ทฤษฏีการเกษตร" หากเป็นปรัชญาในการดำรงชีวิตอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจกับวิธีการของเกษตรกระแสหลักนั้นเสียก่อน ซึ่งในประเด็นนี้ คุณเดชา ศิริภัทร ผู้ก่อตั้งมูลนิธิข้าวขวัญและ "โรงเรียนชาวนา" จ.สุพรรณบุรี ผู้ประมวลและสังเคราะห์แนวทาง "เกษตรยั่งยืน" ออกมาเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ เขียนอธิบายที่มาและปัญหาของเกษตรกระแสหลักไว้อย่างน่าสนใจในคำนิยมฉบับภาษาไทยของ "ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว" ดังต่อไปนี้:

"…ในด้านการเกษตรนั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดที่อาจถือได้ว่าเป็นการปฏิวัติก็คือ "การปฏิวัติเขียว" (The Green Revolution) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 ...โดยเริ่มต้นจากเทคโนโลยีการผลิต เช่น การผสมพันธุ์พืชสัตว์ที่ให้ผลผลิตสูง การใช้สารเคมีชนิดต่างๆ เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ และการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร เป็นต้น ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านอื่น ๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรม ตลอดจนสุขภาพอนามัยและระบบนิเวศวิทยาของโลก

จุดเด่นของการปฏิวัติเขียวอยู่ที่การนำเอาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เละเทคโนโลยี มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรอย่างได้ผลชััดเจนดังเช่นการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ของพันธุ์ข้าว "มหัศจรรย์" ต่าง ๆ เป็นต้น แต่จุดอ่อนของมันก็คือละเลยต่อผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาซึ่งมีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง

โดยอาศัยเงื่อนไขต่างๆ เช่น ผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในที่สุด ระบบการเกษตรในแนวทาง "การปฏิวัติเขียว" ก็กลายเป็นนโยบายหลักของแทบทุกประเทศ และประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะเกษตรกรต่างถูกชักจูงให้ยอมรับระบบการเกษตรดังกล่่าวด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งผ่านระบบการศึกษาและสื่อสารมวลชนนานาชนิด จนกระทั่งกลายเป็นกระแสหลักของระบบการเกษตรในปัจจุบัน

กล่าวโดยสรุป ระบบการเกษตรปัจจุบันตั้งอยู่บนหลักการใหญ่ๆ เพียง 2 ประการคือ ความมักง่ายและความรุนแรง

"ความมักง่าย" แสดงออกโดยการมองทุกสิ่งอย่างแยกส่วน เช่น มองเห็นดินเป็นเพียงพื้นที่สำหรับพืชอาศัยยืนต้นและเป็นแหล่งธาตุอาหารเท่านั้น เมื่อดินขาดความอุดมสมบูรณ์ก็เพียงแต่ใส่ธาตุอาหารลงไปโดยตรงในรูปของปุ๋ยเคมี ซึ่งในที่สุดก็พัฒนามาจนไม่ต้องปลูกพืชบนดินก็ได้ กล่าวคือ ปลูกบนกกรวดทรายที่มีสารละลายของธาตุอาหารหล่อเลี้ยงอยู่แทน (Hydroponic)

ส่วน "ความรุนแรง" จะเห็นได้จากการแก้ปัญหาศัตรูพืช เช่น โรครา แมลง วัชพืชหรือสัตว์อื่นๆ เช่นหนูนา โดยการฆ่าหรือทำลายโดยตรงด้วยสารเคมีพิษชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยากำจัดเชื้อรา ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช หรือยาเบื่อหนูก็ตาม

ระบบการเกษตรปัจจุบันพยายามแยกตัวออกจากธรรมชาติ โดยใช้วิธีการควบคุมและบังคับธรรมชาติไปในทิศทางที่มนุษย์ต้องการ เพียงเพื่อสนอง "ความต้องการเทียม" ของคนกลุ่มน้อยที่มีกำลังซื้อ ตัวอย่างเช่น การปลูกพืชเมืองร้อนในประเทศเขตหนาว หรือปลูกพืชเมืองหนาวในประเทศเขตร้อน รวมทั้งการบังคับให้ต้นไม้ออกผลนอกฤดูกาล เป็นต้น

รูปธรรมอันเป็นผลจากระบบการเกษตรดังกล่าวที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน ก็คือ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของกิจการกลุ่มบรรษัทผลิตสารเคมีและเครื่องจักรกลที่ใช้ในการเกษตร การล่มสลายของเกษตรกรรายย่อย หนี้สินต่างประเทศของประเทศเกษตรกรรม ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยา ปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนทั่วไปในฐานะผู้บริโภคผลผลิตจากระบบการเกษตรนี้

และเมื่อวิเคราะห์ลึกลงไปอีกก็พบว่าแท้จริงแล้ว ระบบการเกษตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้กลับมิได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นดังที่กล่าวอ้างกันมาแต่ต้น หากแต่เป็นระบบที่ด้อยประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากการผลิตอาหารให้ได้พลังงาน 1 แคลอรี่นั้น จะต้องใช้พลังงานในการผลิตถึง 7 แคลอรี่ ในขณะที่ระบบการเกษตรดั้งเดิมนั้นใช้พลังงานการผลิตเพียง 1 แคลอรี่ แต่ผลิตอาหารได้พลังงานถึง 50 แคลอรี่ ดังนั้น ระบบการเกษตรในปัจจุบันจึงใช้ทรัพยากรของโลกอย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดและไม่อาจหมุนเวียนกลับมาใช้้ใหม่ได้อีก เช่น น้ำมันดิบ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติและแร่ธาตุต่างๆ เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดของเของเสียซึ่งเป็นพิษต่อดิน น้ำ อากาศ ตลอดจนปนเปื้อนมากับอาหารที่ผลิตได้ เป็นพิษภัยต่อผู้บริโภคอีกด้วย"

……

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2553 23:02:34 »




จากความตื่นรู้ สู่เกษตรกรรมแบบ "ไม่กระทำ"

เส้นทางสู่เกษตรธรรมชาติของฟูกูโอกะ เริ่มต้นเมื่อเขามีอายุเพียง 25 ปี ในแผนกวิจัยพืชของกรมศุลกากรแห่งเมืองโยโกฮาม่า งานแรกของเขาหลังจากจบปริญญาสาขาจุลชีววิทยา (microbiology) โดยสาขาที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษคือ พยาธิสภาพของพืช งานหลักของฟูกูโอกะในฐานะนักวิทยาศาสตร์ในห้องแล็บ คือการตรวจสอบหาแหล่งที่เป็นพาหะของโรคพืชจากพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่จะนำเข้าและส่งออก แต่หลังจากที่เริ่มงานนี้ได้ไม่นาน วันหนึ่งระหว่างที่ฟูกูโอกะกำลังชื่นชมกับภาพความงดงามของธรรมชาติยามเช้า เขาก็ฉุกคิดได้ว่า "ธรรมชาติที่แท้" นั้น สลับซับซ้อนและลึกซึ้งจนมนุษย์ไม่มีวันเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้วยการศึกษาธรรมชาติทีละส่วนได้ ในภาษาของฟูกูโอกะ – "ผมแลเห็นได้ว่าบัญญัติ (concepts) ทั้งหลายแหล่ที่ผมเคยยึดถือ ความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับความมีอยู่ โดยตัวมันเอง ล้วนเป็นโครงอันว่างเปล่า"

ถ้ามนุษย์ไม่มีวันเข้าถึง "ธรรมชาติที่แท้" ได้โดยสมบูรณ์ ก็หมายความว่ามนุษย์ไม่มีทางพยากรณ์ผลกระทบที่เกิดจากการปรับเปลี่ยน ทำลาย หรือควบคุมกระบวนการในธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ ฟูกูโอกะจึงมองว่า บทบาทของเกษตรกรที่ควรจะเป็นคือ "ผู้สังเกต" ระเบียบกฎเกณฑ์ของธรรมชาติในพื้นที่เพาะปลูก และทำตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่ใช่ "ผู้แทรกแซง" ระเบียบกฎเกณฑ์เหล่านั้น เราไม่มีทางที่จะมีความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศน์ภายในชั่วข้ามคืน และความรู้นี้ก็หาไม่ได้จากหนังสือ ดังนั้น เราจึงต้องพยายามสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่งของระบบนิเวศน์ เพื่อให้ธรรมชาติสามารถปรับตัวเข้ากับการเพาะปลูกของมนุษย์

ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่ตรงข้ามกับเกษตรกระแสหลักอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

วันรุ่งขึ้น ฟูกูโอกะยื่นใบลาออกจากที่ทำงาน เดินทางกลับบ้านนาของพ่อที่ชนบท ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ เป็นเกษตรกรเต็มเวลานับจากนั้นเป็นต้นมา โดยใช้แนวทางที่สอดคล้องกับความเชื่อของเขา นั่นคือ แทนที่จะพยายามตอบคำถามตามแบบฉบับเกษตรกระแสหลักว่า "ลองใช้สารเคมี X / เทคโนโลยี X / เทคนิค X" ดีหรือไม่ ฟูกูโอกะกลับพยายามตอบคำถามว่า "ลองไม่ใช้สารเคมี X ได้ไหม? ลองไม่ใช้เทคนิค X ได้ไหม?" ถ้าคำตอบคือ "ได้" ฟูกูโอกะก็จะเลิกใช้ประดิษฐกรรมของมนุษย์ชิ้นนั้น ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้จัดการ แต่ทั้งนี้ วิธีการของฟูกูโอกะไม่ได้เป็นการเพาะปลูกแบบปล่อยไปตามยถากรรม หรือไม่ทำอะไรเลย เพียงแต่เป็นการงดเว้นกิจกรรมที่ไม่จำเป็นทุกชนิด และไม่พึ่งพาปัจจัยการผลิตจากภายนอก

ความคิดพื้นฐานปรากฏแก่เขาในวันหนึ่ง ขณะที่เขาเดินผ่านทุ่งนารกร้างแห่งหนึ่งที่ดินไม่เคยถูกไถพรวนมาเป็นเวลาหลายปี ที่นั่นเขาแลเห็นต้นข้าวที่แข็งแรงแทงยอดออกมาท่ามกลางกอหญ้าของวัชพืช จากนั้นเป็นต้นมา เขาเลิกกักน้ำไว้ในนาเพื่อที่จะปลูกข้าว เขาเลิกหว่านเมล็ดข้าวในฤดูใบไม้ผลิ แต่เปลี่ยนมาหว่านเมล็ดในฤดูใบไม้ร่วงแทน และหว่านเมล็ดลงไปบนท้องนาโดยตรงซึ่งเมล็ดเหล่านั้นจะตกลงไปบนผืนดินโดยธรรมชาติ แทนที่จะไถพรวนดินเพื่อกำจัดวัชพืช เขาเรียนรู้ที่จะควบคุมมันโดยการใช้พืชคลุมดินจำพวกถั่ว เช่นไวท์โคลเวอร์ และฟางข้าว เมื่อเขาแลเห็นว่าสภาพเช่นนั้นมีแนวโน้มที่เป็นประโยชน์ต่อพืชผลของเขา ฟูกูโอกะจะเข้าไปแทรกแซงพืชผลรวมทั้งชุมชนของสัตว์ในไร่นาของเขาน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ - "ปฎิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว" สำนวนแปล รสนา โตสิตระกูล

ทักษะและวินัยด้านวิทยาศาสตร์การทดลองที่เขาร่ำเรียนและฝึกปรือจนชำนาญ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ฟูกูโอกะสามารถค้นพบหลักการเกษตรธรรมชาติที่เขาขนานนามว่า "เกษตรกรรมไม่กระทำ" ผ่านการลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน เพราะถ้าปราศจากขั้นตอนการทดลอง เก็บข้อมูล และประเมินผลแบบนักวิทยาศาสตร์แล้ว ฟูกูโอกะก็คงไม่สามารถประมวลผลการทดลองของเขาออกมาเป็น "ชุดหลักการ" ได้ เพราะเกษตรกรรมมีปัจจัยเกี่ยวข้องนับร้อยนับพันรายการที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง

หลักการ "เกษตรกรรมไม่กระทำ" ของฟูกูโอกะ หรือที่เราอาจเรียกให้ทันสมัยว่า minimalist farming มี 4 ข้อ ซึ่งเขาอธิบายใน "ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว" ดังต่อไปนี้:

"หลักการประการแรก ไม่มีการไถพรวนดิน เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่เกษตรกรเชื่อว่าการไถเป็นสิ่งจำเป็นต่อการปลูกพืช อย่างไรก็ตาม การไม่ไถพรวนดินคือพื้นฐานของเกษตรกรรมธรรมชาติ พื้นดินมีการไถพรวนตามธรรมชาติด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว โดยการแทรกซอนของรากพืช และการกระทำของพวกจุลินทรีย์ทั้งหลาย สัตว์เล็กๆ และไส้เดือน

หลักการประการที่ 2 ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี หรือทำปุ๋ยหมัก คนเรามักจะเข้าไปวุ่นวายกับธรรมชาติ และเขาก็ไม่สามารถแก้ไขผลเสียที่เกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร วิธีการเพาะปลูกที่เลินเล่อสะเพร่าทำให้สูญเสียหน้าดินอันอุดมสมบูรณ์ไป และดินก็จะจืดลงทุกปี แต่ถ้าปล่อยดินอยู่ในสภาพของมันเองดินจะสามารถรักษาความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติเอาไว้ได้ ซึ่งเป็นไปตามวงจรชีวิตของพืชและสัตว์อย่างมีระเบียบ

หลักการประการที่ 3 ไม่มีการกำจัดวัชพืชไม่ว่าโดยการถางหรือใช้ยาปราบวัชพืช วัชพืชมีบทบาทสำคัญในการสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินและช่วยให้เกิดความสมดุลในสิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา ตามหลักการพื้นฐาน วัชพืชเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม แต่ไม่ต้องกำจัด การใช้ฟางคลุม และปลูกพืชคลุมดินจำพวกถั่วปนไปกับพืชผล ตลอดจนการปล่อยน้ำเข้านาเป็นครั้งคราว เป็นวิธีควบคุมวัชพืชได้อย่างดีในนาของผม

หลักการประการที่ 4 ไม่มีการใช้สารเคมี เมื่อพืชอ่อนแอลงเพราะผลจากการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ อันได้แก่การไถพลิกดิน การใช้ปุ๋ยเป็นต้น ความไร้สมดุลของโรคพืช และแมลงก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ในการเกษตรธรรมชาตินั้นหากปล่อยไว้ตามลำพังจะอยู่ในสภาพสมดุล แมลงที่เป็นอันตรายและโรคพืชมักมีอยู่เสมอ แต่ไม่เคยเกิดขึ้นในธรรมชาติจนถึงระดับที่ต้องใช้สารเคมีที่มีพิษเหล่านั้นเลย วิธีการควบคุมโรคและแมลงที่เหมาะสม ก็คือการปลูกพืชที่แข็งแรงในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์"

เกษตรธรรมชาติของฟูกูโอกะให้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ลาร์รี่ คอร์น (Larry Corn) ผู้แปล "ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว" เป็นภาษาอังกฤษ เปรียบเทียบเกษตรธรรมชาติกับเกษตรแนวอื่นไว้ในบทนำของหนังสือว่า: "การเพาะปลูกทั้ง 3 วิธี (ธรรมชาติ พื้นบ้าน และใช้สารเคมี) ให้ผลผลิตที่ไม่แตกต่างกัน แต่จะให้ผลแตกต่างต่อดินที่ทำการเพาะปลูกอย่างเห็นได้ชัด ดินในที่นาของฟูกูโอกะดีขึ้นในแต่ละฤดูกาล ตลอดระยะ 25 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เขาเลิกไถพรวนดิน ที่นาของเขาดีขึ้นทั้งในแง่ความอุดมสมบูรณ์ โครงสร้างของดิน และความสามารถในการกักเก็บน้ำ สำหรับวิธีเพาะปลูกแบบพื้นบ้านนั้น สภาพของดินที่ผ่านการเพาะปลูกเป็นเวลาหลายปีจะคงสภาพเดิม ชาวนาจะได้ผลผลิตตามสัดส่วนของปุ๋ยหมักกับมูลสัตว์ที่เขาใส่ในนา แต่ดินในที่นาที่ใช้สารเคมีจะไร้ชีวิต และความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติจะถูกผลาญไปในระยะเวลาอันสั้น"

เกษตรธรรมชาติของฟูกูโอกะ "...ทำให้ข้าวเจ้าและพืชผลที่ให้ผลผลิตสูงสามารถเติบโตงอกงามในพื้นที่ที่เกษตรกรไม่เคยคิดฝันว่าจะปลูกได้ ที่ดินลาดชันและที่ดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์สามารถนำมาใช้เพาะปลูกได้ โดยปราศจากอันตรายจากการชะล้างพังทลายของหน้าดิน เกษตรกรรมธรรมชาติสามารถช่วยฟื้นฟูสภาพดินที่ถูกทำลายจากวิธีการเพาะปลูกอันโง่เขลา และจากสารเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

…….

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2553 23:03:56 »




เปลี่ยนทะเลทรายเป็นสีเขียวด้วยเกษตรธรรมชาติ


เมื่อฟูกูโอกะได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกาในปี 1979 และเห็นทะเลทรายในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เขาคิดว่าแนวทางเกษตรธรรมชาติน่าจะช่วยทำให้ทะเลทรายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมได้ เขาเดินทางไปพูดคุยกับชุมชนเกษตรกรหลายแห่ง และผลจากคำแนะนำของฟูกูโอกะก็คือ ทะเลทรายสามารถกลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกเขียวชอุ่มได้จริงๆ ความสำเร็จครั้งนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ฟูกูโอกะออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเปลี่ยนทะเลทรายที่อื่นๆ ให้เป็นสีเขียว ตั้งแต่จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ กรีซ กลุ่มประเทศอเมริกาใต้ และกลุ่มประเทศแอฟริกา รวมทั้งโซมาเลียและเอธิโอเปีย สองประเทศในกลุ่มประเทศยากจนที่สุดในโลก ทุกแห่งที่เขาไปให้คำแนะนำประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม

แม้ว่าความสำเร็จของเกษตรธรรมชาติต้องใช้เวลานานหลายปี ไม่มีทางเกิดได้ใน "ชั่วพริบตา" เมื่อเทียบกับเกษตรกระแสหลัก ความสำเร็จนั้นเกิดแน่ๆ อย่างแน่นอนและส่งผลยั่งยืนถึงชั่วลูกชั่วหลาน

เคล็ดลับที่สำคัญประการหนึ่งของแนวทางเกษตรธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการเปลี่ยนทะเลทรายเป็นสีเขียวด้วย คือการที่ฟูกูโอกะคิดค้นวิธีใส่เมล็ดพืชผสมน้ำเข้าไปในก้อนดิน แล้วปั้นจนแน่นให้เป็นก้อนกลมๆ และตากแห้ง 3-4 วัน ก่อนจะหว่านก้อนเมล็ดนั้นลงไปในดิน เพราะเขาสังเกตเห็นว่าเมล็ดพืชที่ไม่มีอะไรห่อหุ้มนั้นมักตกเป็นเหยื่อของนก ก้อนดินห่อเมล็ดอุ้มน้ำนี้ช่วยป้องกันให้เมล็ดไม่ถูกนกกิน ไม่แห้งเร็ว และสันฐานกลมก็ช่วยไม่ให้แตกง่ายอีกด้วย

ก้อนดินห่อเมล็ดของฟูกูโอกะเหมาะกับการเพาะปลูกในทะเลทรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ต้องใช้การรดน้ำหรือปุ๋ยใดๆ แถมยังมีราคาถูกแสนถูก ทำให้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในทุกประเทศที่ฟูกูโอกะเดินทางไปสาธิตเกษตรธรรมชาติ แม้ว่าปัจจุบันฟูกูโอกะ ในวัย 94 ปีที่ดูแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ จะ "เกษียณ" ตัวเองจากชีวิตเกษตรกร ใช้ชีวิตเรียบง่ายในบ้านพักของเขา ขบวนการเปลี่ยนทะเลทรายเป็นสีเขียวที่เขาริเริ่ม ก็ยังดำเนินต่อไปในหลายประเทศทั่วโลก

……

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2553 23:04:36 »




ปัญหาและความเข้าใจผิดของวิทยาศาสตร์แบบแยกส่วน


นอกเหนือจากการค้นคว้าวิจัยเรื่องเกษตรธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ฟูกูโอกะยังเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งอีกด้วย ทั้งนี้เพราะเขาเริ่มจากการตระหนักรู้ถึงสัจธรรมของธรรมชาติ ก่อนที่จะพยายามแปรสัจธรรมนั้นออกมาเป็นวิธีปฏิบัติที่มี "ความเป็นสากล" สูง (อย่างน้อยก็สำหรับพื้นที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ที่ยังไม่สายเกินเยียวยาด้วยเกษตรธรรมชาติ) ไม่ใช่เริ่มจากวิธีปฏิบัติแล้วค่อยพัฒนาปรัชญาให้สอดคล้องกัน

ฟูกูโอกะใช้พื้นที่พอสมควรใน "ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว" ในการครุ่นคิดว่าเหตุใดประโยชน์ของเกษตรธรรมชาติจึงไม่แพร่หลายออกไปหรือได้รับความนิยมในวงกว้าง เขาคิดว่าสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งคือ วิธีคิดแบบ "แยกส่วน" มากขึ้นเรื่อยๆ ของโลกปัจจุบัน ฟูกูโอกะอธิบายตัวอย่างหนึ่งของปัญหาวิธีคิดแบบนี้ดังต่อไปนี้:

"...โลกเราในปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นโลกของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากเกินไป จนผู้อื่นไม่อาจจะจับสาระของสิ่งใดสิ่งหนึ่งในฐานะแห่งความเป็นองค์รวมอันสมบูรณ์ของสิ่งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านป้องกันโรคแมลงศัตรูพืชผู้หนึ่งจากศูนย์ทดลองการเกษตรที่จังหวัดโคชิได้มาที่นาและถามผมว่า ทำไมจึงมีเพลี้ยจักจั่นข้าว (rice leaf hopper) น้อยมากในนาของผม ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงเลย จากการสังเกตสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนาข้าว เขาพบว่าความสมดุลระหว่างแมลงชนิดต่างๆ และศัตรูตามธรรมชาติของแมลงเหล่านั้น รวมทั้งอัตราการขยายตัวของแมงมุม และอื่นๆ ทำให้เพลี้ยจักจั่นข้าวในนาของผมมีน้อยกว่าที่พบในแปลงทดลองของศูนย์ ทั้งๆ ที่แปลงทดลองดังกล่าว ได้ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงพิษร้ายแรงสารพัดชนิดอย่างนับครั้งไม่ถ้วนด้วยซ้ำ

ศาสตราจารย์ผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ในขณะที่แมลงศัตรูพืชมีน้อย แต่ศัตรูตามธรรมชาติของแมลงกลับมีอยู่มากมายในนาข้าวของผม ยิ่งกว่าทีมีอยู่ในแปลงทดลองที่ได้พ่นยาปราบศัตรูพืชไว้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้ว่าสภาพเช่นนี้คงอยู่ได้ด้วยความสมดุลตามธรรมชาติที่เกิดจากชุมชนแมลงทีมีอยู่หลากหลายในที่นา เขาได้คำตอบว่า หากวิธีการของผมมีการนำไปปฏิบัติอย่างกว้างขวางแล้ว ปัญหาความเสียหายของพืชผลที่เกิดจากเพลี้ยทั้งหลายก็จะสามารถแก้ไขได้ จากนั้นเขาก็รีบกลับขึ้นรถและกลับไปที่โคชิทันที

แต่ถ้าคุณถามว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านความอุดมสมบูรณ์ของดิน และผู้เชี่ยวชาญด้านพืชผลของศูนย์ทดลองนั้นเคยมาที่ไร่นาของผมหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่เลย พวกเขาไม่เคยมา และหากว่าคุณจะพยายามเสนอแนะในที่ประชุมว่าวิธีการเช่นนี้ หรือน่าจะเรียกว่าวิธีที่ปราศจากวิธีการ สมควรจะนำไปทดลองปฏิบัติในระดับกว้างแล้วละก็ ผมเดาได้เลยว่าเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ของศูนย์ทดลองจะกล่าวว่า "เสียใจครับ มันเร็วเกินไปที่จะทำเช่นนั้น ก่อนอื่นเราต้องทำวิจัยเกี่ยวกับแง่มุมต่าง ๆ ให้รอบด้านที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ก่อนที่จะมาถึงการอนุมัติขั้นสุดท้าย และมันต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่จะได้ข้อสรุปออกมา" …"

นอกจากปัญหาที่เกิดขึ้นจากการมองแบบแยกส่วนของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ไม่เข้าใจองค์รวม ฟูกูโอกะยังอธิบายถึงความหลงผิดของคนส่วนใหญ่ที่คิดว่าสารเคมีและเทคโนโลยีใหม่ๆ กำลังช่วย "พัฒนา" เกษตรกรรม ทั้งๆ ที่ส่วนมากเป็นการ "แก้ปัญหา" ที่มนุษย์เป็นคนสร้าง:

"...การเข้าไปแทรกแซงของมนุษย์ก่อให้เกิดสิ่งที่ผิดพลาดขึ้น และถ้าความเสียหายดังกล่าวถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แก้ไข จนผลร้ายนั้นสะสมมากเข้า คนเราก็จะต้องทุ่มเทความพยายามทั้งมวลเพื่อเข้าไปแก้ไขมัน หากการแก้ไขลุล่วงไปด้วยดี พวกเขาก็จะคิดว่าวิธีการเหล่านี้เป็นความสำเร็จอันงดงาม คนเรามักทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็เหมือนกับคนโง่ที่ปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านแล้วทำกระเบื้องบนหลังคาแตก พอฝนตกลงมา เพดานก็เริ่มเปื่อยและปล่อยน้ำฝนรั่วลงมา เขาก็จะรีบปีนขึ้นไปซ่อมหลังคา จากนั้นก็ดีอกดีใจที่เขาได้ค้นพบวิธีการแก้ปัญหาที่วิเศษมหัศจรรย์

เหตุผลที่เทคนิคใหม่ ๆ ของมนุษย์ดูจะมีความจำเป็น ก็เพราะว่าธรรมชาติได้สูญเสียความสมดุลไปมากแล้วจากเทคนิคทั้งหลายก่อนหน้านั้น จนทำให้ต้องพึ่งพิงและขึ้นอยู่กับเทคนิคพวกนั้น

เหตุผลข้อนี้ไม่เพียงแต่ใช้ได้กับเกษตรกรรมเท่านั้น แต่รวมถึงแง่มุมอื่น ๆ ของสังคมมนุษย์ด้วย แพทย์และยากลายเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อคนเราก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เจ็บป่วยขึ้นมา การศึกษาในระบบโรงเรียนไม่มีคุณค่าที่แท้จริงแต่กลายเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อคนเราสร้างเงื่อนไขให้คนต้องเป็นผู้ "มีการศึกษา" ขึ้นมา"

เกษตรกรไทยฟังสองเรื่องนี้แล้วคงรู้สึกคุ้นหูมากทีเดียว

……

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2553 23:05:26 »




เกษตรธรรมชาติในฐานะเกษตรเพื่อการค้า


เนื่องจากฟูกูโอกะเชื่อว่า "เป้าหมายสูงสุดของเกษตรกรรมไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือการบ่มเพาะความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์" เขาจึงไม่เคยตั้งใจจะพัฒนาเกษตรธรรมชาติในเชิงพาณิชย์ เพื่อให้สามารถใช้วิธีนี้ทดแทนเกษตรเชิงเดี่ยว (ซึ่งโดยมากหมายถึงการเพาะปลูกเพื่อส่งออกเป็นหลัก) ได้ อย่างไรก็ตาม ความกังวลของผู้บริโภคเรื่องอันตรายจากสารเคมีที่ใช้ในการเพาะปลูก ประกอบกับการโหมประชาสัมพันธ์เรื่องพืช GMO อย่างต่อเนื่องโดยสื่อมวลชนและองค์กรสุขภาพระหว่างประเทศ ตลอดจนวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์เป็นตลาดที่มีมูลค่าสูง และเติบโตในอัตราเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 20 ต่อปี โดยมีมูลค่าตลาดทั่วโลกกว่า 800,000 ล้านบาท โดยลำพังตลาดผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์สหรัฐอเมริกามีมูลค่ากว่า 500,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 60 ของมูลค่าตลาดโลก

ความต้องการอาหารที่สะอาดและปลอดสารพิษของผู้บริโภคที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นในราคาเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะสูงกว่าอาหารปกติประมาณร้อยละ 28 เกษตรกรไทยก็เริ่มมีการส่งออกผลผลิตเกษตรอินทรีย์บ้างแล้ว เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน สมุนไพร และรัฐบาลเองก็มีโครงการเกษตรอินทรีย์นำร่องอย่างต่อเนื่อง เช่น ในจังหวัดสุพรรณบุรี ปี 2548 มีการนำพืชหลัก 3 ชนิด คือ ผัก (คะน้า ข้าวโพดหอม ฟักทอง ฯลฯ) เห็ด และข้าว มาปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ สามารถขายข้าวอินทรีย์ได้ในราคากิโลกรัมละ 30 บาท สูงกว่าราคาข้าวหอมมะลิเกรดดีซึ่งอยู่ที่ 18 บาท/กก. เกือบสองเท่า

นอกจากนี้ ขบวนการเคลื่อนไหวระดับโลกซึ่งทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" ให้กลุ่มเกษตรกรรายย่อยในประเทศกำลังพัฒนาได้ขายผลิตภัณฑ์เกษตรโดยตรงต่อผู้บริโภคในประเทศพัฒนาแล้ว ในราคาที่ "เป็นธรรม" เช่น Fairtrade Label ก็เป็นกำลังสำคัญในการขยายตลาดและโฆษณาประโยชน์ของเกษตรอินทรีย์ ทำให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น สมาชิกสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ กองทุนข้าวสุรินทร์ หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า "Rice Fund Surin" ซึ่งมีสมาชิก 588 ครัวเรือน เป็นผู้ผลิตไทยรายหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการ Fairtrade Label ปัจจุบันส่งข้าวเกษตรอินทรีย์ออกไปขายในยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่ายี่สิบปีที่แล้ว นำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปซื้อโรงสีสำหรับชุมชน สอนเทคนิคการปลูกข้าวแบบเกษตรอินทรีย์ให้กับเพื่อนชาวนา มีเงินพอส่งลูกหลานวัยเรียนไปโรงเรียน และปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคภายในชุมชน

แนวคิดเกษตรธรรมชาติของฟูกูโอกะ เป็นแนวคิดค่อนข้าง "สุดขั้ว" ในแง่ที่ไม่พึ่งพาปัจจัยนอกธรรมชาติใดๆ เลย ไม่เว้นแม้แต่แรงงานมนุษย์และสัตว์ ทำให้ใช้ได้จริงเฉพาะในพื้นที่ที่ธรรมชาติยังค่อนข้างบริสุทธิ์อยู่ เหมือนกับไร่นาของเขา แปลว่าหลักการหลัก 4 ข้อของเกษตรธรรมชาติไม่สามารถนำมาใช้ตรงๆ กับประเทศอื่นได้ โดยเฉพาะประเทศที่คุณภาพดินและความหลากหลายทางชีวภาพได้ถูก "ทำลาย" อย่างย่อยยับจนต้องใช้เวลารื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ก่อนที่จะใช้แนวทางเกษตรธรรมชาติได้จริง

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น

ปัญหาดินเสื่อมและความหลากหลายทางชีวภาพถูกทำลายอาจทำให้เกษตรกรไทยใช้วิถีของฟูกูโอกะไม่ได้ทั้งหมด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเกษตรกรไทยควรทำเกษตรกระแสหลักต่อไปเรื่อยๆ เพราะผลเสียของเกษตรกระแสหลักนั้นชัดเจน และเห็นชัดว่าไม่ได้ทำให้เกษตรกรรายย่อยของไทยมีฐานะดีขึ้นแต่อย่างใด ซ้ำยังกลับจนลงและเป็นหนี้มากกว่าเดิม เพราะโครงสร้างการผูกขาดในตลาดยังไม่ได้รับการแก้ไข และยังต้องเผชิญกับปัญหาการแข่งขันสูงในตลาดโลก และผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดีย จีน และเวียดนาม

ณ สิ้นปี 2548 ประเทศไทยมีเกษตรกร 5.8 ล้านครัวเรือน (22.2 ล้านคน) ในจำนวนนี้ทำเกษตรในเนื้อที่ของตนเองร้อยละ 74 (มีโฉนดร้อยละ 60.7) ที่เหลือทำเกษตรในเนื้อที่ที่ไม่ใช่ของตนเอง หรือทั้งของตัวเองและของคนอื่น ยังไม่นับลูกจ้างเกษตรและลูกจ้างในชนบทอีก 2.7 ล้านครัวเรือน เกษตรกรกว่าร้อยละ 53 ทำนา ส่วนใหญ่คือร้อยละ 60 ทำฟาร์มขนาดเล็ก มีที่ดินไม่ถึง 20 ไร่ต่อครัวเรือน

แม้ว่าประเทศไทยจะยังรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 28-30 อินเดียและเวียดนาม (ส่วนแบ่งร้อยละ 16 และ 14 ตามลำดับ) ผลผลิตต่อไร่ของไทย ที่ประมาณ474 กิโลกรัมต่อไร่ในปี 2548 ก็ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งรายสำคัญทุกประเทศ และต่ำกว่าผลผลิตต่อไร่ของเวียดนาม ญี่ปุ่น และจีน เกือบสองเท่าหรือสูงกว่า

นอกเหนือจากการปลูกพืชผิดประเภทและการใช้สารเคมีที่ทำให้ดินเสื่อมลง อีกสาเหตุหลักที่ทำให้ผลผลิตข้าวนาปีต่ำมากคือ พื้นที่ร้อยละ 76 ของพื้นที่เกษตรทั้งหมดของไทย อยู่นอกเขตชลประทาน

ชาวนาในจังหวัดอุบลราชธานีผู้หนึ่งเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ชาวบ้านแถวนี้ขาดแคลนแหล่งน้ำชลประทานเพราะอยู่ในที่สูง ต้องรอฝนตกอย่างเดียว หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าน้ำรายเดือนให้กับเอกชนเจ้าของคลองชลประทาน เพราะกรมชลประทานไม่เคยมาสร้างคลองให้ ชาวบ้านหลายคนไม่มีเงินเก็บพอจ่ายค่าน้ำ 30 บาทต่อเดือน แถมเวลานี้ค่าน้ำมันแพงกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้ค่าขนส่งข้าวไปขายให้โรงสีพุ่งสูงขึ้น โรงสีเองก็รู้ดีว่าถ้าชาวนาต้องขนข้าวกลับไปโดยไม่ได้ขาย จะเสียค่าขนส่งสูงมากจนไม่คุ้มเที่ยว เลยกดราคารับซื้อ ชาวนารู้ทั้งรู้ว่าถ้าขายราคานี้จะขาดทุน แต่ถ้าไม่ขาย ขนข้าวกลับไปก็จะขาดทุนมากกว่า ก็เลยต้องจำใจขายในราคานั้น

"คิดซะว่าผีถึงป่าช้าแล้ว" ลุงชาวนาแค่นเสียงพูด

......

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2553 23:06:18 »




เกษตรธรรมชาติคือความหวังของมนุษยชาติ


เกษตรกรรมไม่มี "สูตรสำเร็จ" ที่ใช้ได้กับทุกพื้นที่ ทุกครัวเรือน เกษตรกรทุกคนควรหมั่นสังเกตและขยันทดลองเหมือนฟูกูโอกะ นำบางส่วนจากแนวคิดเกษตรธรรมชาติหรือรูปแบบอื่นของเกษตรก้าวหน้ามาประยุกต์หรือผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อลดภาระ แต่ควรพยายามใช้สารเคมีให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนทัศนคติเดิมๆ ที่ส่วนหนึ่งต้องโทษรัฐบาลในฐานะผู้ปลูกฝัง

ปัจจุบัน เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังทำเกษตรเชิงเดี่ยวซึ่งมีความเสี่ยงสูงมากและแทบไม่ได้กำไร ทั้งความเสี่ยงจากสภาพดินฟ้าอากาศ การถูกนายทุนโรงสีกดราคา ภาระหนี้สิน ต้นทุนค่าสารเคมี ค่าขนส่ง ยังไม่นับผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ทั้งๆ ที่มีตัวอย่างให้เห็นมากมายว่า แนวทางเกษตรก้าวหน้าสามารถปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้นได้และปลอดหนี้สินอย่างถาวร ดูจากพ่อคำเดื่อง ภาษี ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธ์ ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม และปราชญ์ชาวบ้านอีกมากมาย

ในระดับเกษตรเพื่อการค้า การเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ และความสำเร็จที่ผ่านมาของเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย ก็ชี้ให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องทำเกษตรเชิงเดี่ยวก็ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ได้

รัฐควรส่งเสริมเกษตรก้าวหน้าในฐานะ "ทางเลือก" หนึ่งที่เป็นไปได้ และใช้ได้จริง เลิกยึดติดกับความเชื่อผิดๆ ว่าจะต้องส่งเสริมให้เกษตรกรใช้วิถีเกษตรกระแสหลักเพียงอย่างเดียว เพราะที่ผ่านมา บทเรียนราคาแพงได้สอนเราแล้วว่า การทำเช่นนั้นรังแต่จะทำให้เกษตรกรจนลง สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม และสุขภาพของคนในสังคมทรุดโทรมลงเรื่อยๆ

รัฐควรอธิบายให้เกษตรกรที่ยังไม่เชื่อมั่นในแนวคิดเกษตรอินทรีย์ (เพราะมองว่าการใช้ปุ๋ยเคมีให้ผลผลิตมากกว่า) เข้าใจว่าเกษตรอินทรีย์อาจให้ผลผลิตต่ำกว่าจริง แต่ก็ขายได้ราคาดีกว่า ทำให้กำไรตกถึงมือเกษตรกรมากกว่า ทำได้อย่างยั่งยืนกว่า และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

รัฐควรออกมาตรการให้เงินสนับสนุนค่าครองชีพและรายได้ที่หายไป ต่อเกษตรกรที่แสดงความจำนงว่าจะเปลี่ยนวิถีชีวิต ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ต้องใช้ในการฟื้นฟูหรือพักฟื้นหน้าดินที่ถูกทำลาย ก่อนที่จะเปลี่ยนวิถีการเกษตรมาเป็นเกษตรก้าวหน้าได้

นอกจากนั้น รัฐก็ควรเริ่มใช้กรมธรรม์ประกันภัยแล้ง (rainfall insurance) แทนที่จะรับประกันราคาพืชผลหรือรับซื้อเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ไม่บิดเบือนกลไกตลาด หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการปลูกพืชผิดประเภทเพื่อขอรับค่าประกันราคา (ปัญหา moral hazard) มีต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำเพราะดัชนีน้ำฝนเป็นข้อมูลที่โปร่งใสและไร้การบิดเบือน (objective) และมีตลาดรองรับ ผ่านบริษัทรับประกันภัยต่อ (reinsurer) รายใหญ่ๆ ระดับโลก

……

มรดกที่มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ มอบให้แก่โลก นอกเหนือจากบทพิสูจน์อันยิ่งใหญ่ถึงพลังแห่งการอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ อาจเป็นปรัชญาชีวิตซึ่งเสนอทางออกให้กับวิกฤตของมนุษย์ ในหนังสืออันยอดเยี่ยมที่เป็นมากกว่า "บันทึก" ของเกษตรกรคนหนึ่ง ดังที่สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง สรุปความไว้อย่างดีเยี่ยมในคำนำของฉบับภาษาไทย ดังต่อไปนี้:

"ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว เป็นเรื่องของชาวนาผู้หนึ่งซึ่งได้ผ่านการปฏิวัติทางทัศนคติอย่างถึงรากฐาน เป็นการปฏิวัติอันเนื่องจากฟางข้าว ซึ่งได้แสดงให้เขาประจักษ์ว่า ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่กว่าสารเคมีและประดิษฐกรรมทางวิทยาศาสตร์ทั้งปวง การค้นพบดังกล่าวมิเพียงแต่จะมีความหมายต่อเกษตรกรรม ซึ่งกำลังมาถึงจุดอุดตัน มันเป็นผลจากการปฏิวัติเขียวที่เห็นเทคโนโลยีเป็นคำตอบเท่านั้น หากยังมีความหมายต่ออารยธรรมมนุษย์อย่างสำคัญ ในยุคสมัยที่มนุษย์ทั้งมวลกำลังประสบกับความอับจนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ชนิดที่อาจมีผลทำลายมนุษยชาติให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปนั้น มาซาโนบุ ฟูกูโอกะได้บอกให้เรารู้ว่า ฟางข้าวนั้นสามารถปฏิวัติยุคสมัยให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ไปได้ การปฏิวัติดังกล่าวก็คือการปฏิวัติทางทัศนคติ ที่มีความตระหนักและสำนึกในคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ซึ่งดูเผินๆ แล้วเหมือนว่าไร้ค่า ดังที่เราทั่วไปมักมองเช่นนั้นกับฟางข้าวในท้องทุ่ง

นี่แหละคือการปฏิวัติที่แท้จริงที่ยุคสมัยของเรากำลังต้องการอย่างยิ่งยวด.



http://www.onopen.com/2007/02/1538
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7886


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 01 ธันวาคม 2553 00:03:25 »

ขอบคุณครับ อ.มด เนื้อหายังแน่นปึ้กเหมือนเดิม

 อายจัง อายจัง อายจัง
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.274 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 23 ชั่วโมงที่แล้ว