[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 มิถุนายน 2568 08:01:46 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมเรียก'พระสันตะปาปา' ว่า 'โป๊ป' ?  (อ่าน 1068 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ฉงน ฉงาย
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 9
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 453


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 87.0.4280.141 Chrome 87.0.4280.141


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 24 มกราคม 2564 14:32:27 »



ทำไมเรียก'พระสันตะปาปา' ว่า 'โป๊ป' ?

https://readthecloud.co/wp-content/uploads/2019/12/pope-8-750x500.jpg
ทำไมเรียก'พระสันตะปาปา' ว่า 'โป๊ป' ?


     เหตุที่ทำให้พระสันตะปาปาได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในพระประมุขแห่งศรัทธาที่ทรงอำนาจเช่นนี้ จำต้องสืบย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคการสถาปนาคริสต์ศาสนาเลยทีเดียว  หลังจากที่พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ) ได้เสด็จสู่สรวงสวรรค์แล้ว เหล่าอัครสาวกหรืออัครทูต (The Apostles) ทั้งสิบสองคนของพระเยซูได้รวมตัวกันและประกาศสถาปนาคริสตจักร (Church) แห่งแรกขึ้นที่กรุงเยรูซาเล็ม (Jerusalem) เมืองหลวงแห่งแคว้นจูเดีย (Judea) หรือประเทศอิสราเอลในปัจจุบันเมื่อปี ค.ศ. 33 เพื่อทำการเผยแพร่พระวจนะและหลักคำสอนของพระองค์ไปยังชนทุกชาติ   บรรดาคริสตจักรในยุคเริ่มแรกที่เหล่าอัครสาวกได้ไปก่อตั้งนั้นคือกรุงเยรูซาเล็ม , อันติโอค (Antioch) ในซีเรีย , อเล็กซานเดรีย (Alexandria) ในอียิปต์ และกรุงโรม (Rome) โดยผู้ที่ก่อตั้งคริสตจักรแห่งโรมนั้นก็คือคือ ซีโมน เปโตร (Simon Pedro) หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'อัครสาวกนักบุญปีเตอร์' (St.Peter the Apostle) ผู้เป็นหัวหน้าของเหล่าอัครสาวกทั้งสิบสองของพระเยซูนั่นเอง เหล่าผู้นำคริสตจักรและชาวคริสตชนในยุคต้นๆ ต่างถือว่าท่านเปโตรเป็น 'มุขนายก' หรือ 'บิชอป' (Bishop) แห่งโรมคนแรกในประวัติศาสตร์ พร้อมกับการให้เกียรติท่านเปโตรและเหล่ามุขนายกผู้ปกครองคริสตจักรแห่งโรมสืบมานั้นเป็นผู้ปกครองที่มีเกียรติสูงสุดในบรรดาผู้ปกครองคริสตจักรทั้งปวงด้วยเช่นกัน  และด้วยเหตุที่มุขนายกแห่งโรมได้รับการยกย่องอย่างสูงเช่นนี้ จึงทำให้ตำแหน่งมุขนายกแห่งโรมกลายมาเป็นที่มาของตำแหน่งพระสันตะปาปาในภายหลัง

     อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราชสำนักโรมันจะหันมายอมรับคริสต์ศาสนาในศตวรรษที่ 4 แต่ราชสำนักโรมันก็ยังคงยึดถือจารีตดั้งเดิมว่าจักรพรรดิทรงเป็นพระประมุขในทางโลกและทางธรรม จึงทำให้เหล่ามุขนายกไม่มีอำนาจมากไปกว่าผู้นำทางศาสนาเท่านั้น แต่เมื่อครั้นจักรวรรดิโรมันเริ่มอ่อนแอลงจากการแบ่งจักรวรรดิออกเป็นจักรวรรดิตะวันตก (Western Empire) และจักรวรรดิตะวันออก (Eastern Empire) ประกอบกับการรุกรานของเหล่าอนารยชน จึงทำให้ราชสำนักโรมันตะวันตกจำต้องย้ายเมืองหลวงไปยังกรุงราเวนนา (Ravenna) ทางตอนเหนือของอิตาลี เพื่อรับมือพวกอนารยชน  ฝ่ายมุขนายกแห่งโรมจึงได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจในทางโลกในฐานะเจ้าผู้ครองกรุงโรมไปโดยปริยาย และเมื่อจักรวรรดิตะวันตกถึงกาลล่มสลายลงแล้ว คริสตจักรแห่งโรมยังสามารถโน้มน้าวและเกลี้ยกล่อมให้เหล่ากษัตริย์อนารยชนเผ่าต่างๆ ในยุโรปหันมาเข้ารีตได้ด้วยเช่นกัน จึงยิ่งทำให้มุขนายกแห่งโรมกลายมาเป็นมุขนายกในคริสต์ศาสนาเพียงหนึ่งเดียวที่มีอำนาจในทางโลกและทางธรรมอย่างเต็มรูปแบบ

     กระทั่งในศตวรรษที่ 7 คริสตจักรแห่งโรมจึงได้ประกาศเปลี่ยนพระยศจากมุขนายกหรือบิชอปไปเป็นตำแหน่ง “ปาปา” (Papa) หรือตำแหน่งพระสันตะปาปาอย่างเต็มตัวในที่สุด โดยที่มาของคำว่าปาปานี้เป็นภาษาละตินที่แปลงมาจากคำว่า 'ปาปาส' (πάππας) ในภาษากรีกที่แปลว่า “บิดา” (Father) โดยชาวคริสต์ในยุคแรกก็มักจะเรียกเหล่าพระราชาคณะและมุขนายกในคริสตจักรด้วยความเคารพว่าปาปาสหรือปาปากันอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมุขนายกแห่งโรมก็มีความต้องการที่จะขยายอิทธิพลไปเหนือเหล่าคริสตจักรตะวันออก (Eastern church) ที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine empire) ด้วย จึงทำให้คริสตจักรแห่งโรมจึงได้ประกาศให้การขานนามว่าปาปาสหรือปาปานี้เป็นสิทธิ์ขาดของผู้นำคริสตจักรแห่งโรมแต่เพียงผู้เดียว เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าคริสตจักรแห่งโรมมีอำนาจเหนือเหล่าคริสตจักรและมุขนายกทั้งปวงนั่นเอง

    นอกจากการขยายอิทธิพลทางการเมืองในทางธรรม พระสันตะปาปาก็ยังคงขยายอิทธิพลทางการเมืองในทางโลกด้วย เพราะนอกจากการได้ครอบครองดินแดนในเขตภาคกลางของอิตาลีที่เรียกว่า 'รัฐพระสันตะปาปา' (Papal state) แล้ว พระสันตะปาปายังพยายามแสดงอำนาจทางการเมืองเหนือเหล่ากษัตริย์และจักรพรรดิในยุโรปตะวันตกอย่างเปิดเผย จนนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคริสตจักรและราชอาณาจักรอยู่หลายครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 11 – 13 นั้น พระสันตะปาปาก็บรรลุอำนาจในทางโลกขั้นสูงสุดจนสามารถบัญชาให้เหล่ากษัตริย์ ขุนนางและปวงชนทั้งยุโรปเข้าร่วมรบในสงครามครูเสด (Crusade) เพื่อแย่งชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (Holy Land) ในแถบซีเรียและปาเลสไตน์กับพวกมุสลิม

    แต่ด้วยผลจากการกำเนิดของแนวคิดรัฐชาติ (Nation state) ในช่วงศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมาที่ทำให้เหล่าเจ้าผู้ปกครองทั่วทั้งยุโรปเริ่มมีอำนาจทางการเมืองที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการกำเนิดของนิกายโปรเเตสแตนท์ (Protestant) ทำให้พระสันตะปาปาไม่อาจจะใช้อำนาจทางการเมืองเข้าชี้นำรัฐต่างๆ ได้อย่างเต็มที่อีกต่อไป และยังส่งผลให้อำนาจของพระสันตะปาปาเริ่มเสื่อมถอยลง กลายเป็นเพียงพระประมุขแห่งศรัทธาในนิกายโรมันคาทอลิกเท่านั้น  ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรคาทอลิกกับประเทศไทยนั้น ปรากฎหลักฐานในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่าเคยมีการเรียกพระสันตะปาปาว่า "สังตอปาพา" ในจดหมายของเจ้าพระยาศรีธรรมราช (ปาน) หรือ โกษาปาน ส่งไปถึงบาทหลวง เดอ ลาแชส ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยสันนิษฐานได้ว่า คำว่าสังตอปาพานี้คงจะมาจากคำว่า "ซังโต ปาปา" (Santo papa) ซึ่งเป็นคำเรียกพระยศของพระสันตะปาปาในภาษาโปรตุเกสที่มีความหมายว่า "บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์" (holy father) นั่นเอง"

   จนกระทั่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงมีปรากฏหลักฐานการขานพระยศของพระสันตะปาปาใหม่ว่า 'โป๊ป' หรือ 'พระโป๊ป' ดังที่มีปรากฏในจดหมายส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ที่เคยเสด็จต่างประเทศมาก่อน ซึ่งการเรียกพระสันตะปาปาว่าโป๊ปเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการเรียกในแบบภาษาอังกฤษมาก่อนทั้งสิ้น   เมื่อล่วงมาถึงยุคสมัยปัจจุบันแล้ว สำนักราชบัณฑิตยสภาจึงนำคำว่า 'ซังโต ปาปา' ในภาษาโปรตุเกสมาแปลงใหม่แล้วบัญญัติเป็นคำว่า 'พระสันตะปาปา' ในภาษาไทยอย่างเป็นทางการ

    ดูเหมือนว่าปัจจุบันพระสันตะปาปาจะทรงเหลือสถานภาพเพียงผู้นำในทางธรรมของนิกายคาทอลิกเท่านั้น แต่หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II) ได้สิ้นสุดลงแล้ว ศาสนจักรโรมันคาทอลิกก็ได้เลือกที่จะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเพียงผู้ธำรงรักษาและสืบทอดหลักแห่งศรัทธาที่ประทับอยู่แต่ในนครวาติกัน ด้วยการก้าวออกมาจากกรุงโรม เพื่อเป็นผู้สร้างความเป็นเอกภาพและสันติภาพให้กับโลกสมัยใหม่ มิเป็นเพียงการเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดานานาประเทศที่มิใช่ชาติคริสต์ศาสนาในนิกายโรมันคาทอลิก ผ่านการเสด็จไปเจริญสัมพันธไมตรีและเยี่ยมเยียนบรรดาคริสตชนคาทอลิกในประเทศต่างๆเท่านั้น แต่พระสันตะปาปายังเป็นผู้นำด้านสันติภาพด้วยการเรียกร้องเรื่องสันติภาพและหลักมนุษยธรรมตามหลักจริยธรรมของคริสต์ศาสนาต่อสังคมโลกด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพระดำรัสเรื่องการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยสงคราม การจุนเจือผู้ยากไร้อันเป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ไร้ขอบเขต การต่อต้านการทำแท้งที่ถูกกฎหมายซึ่งยังคงเป็นข้อถกเถียงอยู่ในทุกวันนี้ ฯลฯ

    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราก็เห็นได้แล้วว่าพระสุรเสียงของพระสันตะปาปาที่ทรงมีต่อชนชาวโลกนั้นก็ยังคงแสดงถึงสถานภาพของผู้นำที่ยิ่งใหญ่เสมอมาอย่างที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ และด้วยความสำเร็จของพระสันตะปาปาและคริสตจักรโรมันคาทอลิกในการปรับตัวไปตามแต่กาลยุคสมัยนี้เอง ทำให้บรรดานานาประเทศหรือแม้แต่ศาสนิกชนอื่นๆ ล้วนให้ความเคารพพระองค์ในฐานะพระประมุขทางศาสนาที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก.


เรื่อง:ภาสพันธ์ ปานสีดา
ภาพประกอบ:เพ็ญนภา บุปผาเจริญสุข

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.843 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 15 เมษายน 2568 01:10:13