[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
03 กรกฎาคม 2568 21:09:51 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ควอนตัมเม็คคานิกส์กับพุทธศาสนา  (อ่าน 1953 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 23 ตุลาคม 2554 10:52:32 »



ในบทความเมื่อสองอาทิตย์ก่อนผู้เขียนได้เขียนว่า ความสงสัยกังวลใจนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องหรือสอดคล้องกับความจริงแท้ หรือความจริงทางธรรมของพุทธศาสนา และนอกจากนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่มนุษย์จะอยู่กับเหตุผลที่เป็นความจริงทางโลกที่สำคัญมากๆ นั่นเพราะอะไรหรือ? ก็เพราะว่าเหตุผลสองประการคือ หนึ่ง เพราะความขี้สงสัยและเรื่องเหตุผลนั้นมนุษย์คิดขึ้นเอง (มนุษย์ที่มีอัตตา “ตัวกูของกู” ฉะนั้นจึงเข้าข้างกับมนุษย์ตลอดเวลา เมื่อใกล้เข้าไปจากนั้นก็จะเข้าข้างผิวพรรณตัวเอง ชาติประเทศตัวเอง ตระกูลตัวเอง ฯลฯ ตามลำดับจนถึงของกูและตัวกู ประการที่สอง เราเคารพเหตุผลเพราะว่ามันแสดงความรู้และสติปัญญาของเราเป็นเอกเทศจากคนอื่นๆ เราภาคภูมิใจในสติปัญญาและความรู้ ข้อนี้จึงคล้ายๆ ข้อหนึ่งแต่พ่วงเอาความรู้ (knowledge) และสติปัญญา (intelligence) ไปด้วย อันเป็นความจริงทางโลก และความเป็นสอง - ซึ่งส่วนใหญ่ - เกิดขึ้นมาจากความรู้และสติปัญญาที่ว่านั้น (ในพุทธศาสนานั้น ผู้เขียนคิดว่าคำว่าปัญญาเฉยๆ น่าจะหมายถึงภาวนามยปัญญา หรือปัญญาที่หมายถึงการระลึกได้ซึ่งก็คือสตินั่นเอง) ดังนั้นเรื่องของความสงสัยกับเรื่องของเหตุผลจึงไม่ถูกต้องไม่สอดคล้องกับความจริงแท้ของพุทธศาสนา เป็นความจริงทางโลกที่สำคัญมากๆ ที่ว่านั้น

เมื่อประมาณสามสี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับนักศึกษาปริญญาเอกด้านพุทธศาสนาของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่มาทำปริญญาโทในสาขาวิชาจิตตปัญญาศึกษาของมหาวิทยาลัยดังกล่าวนั้น ว่า พุทธศาสนาและควอนตัมฟิสิกส์เป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ใหม่พยายามจะอธิบายพุทธศาสนาในทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ทราบว่าทางนักศึกษาที่ว่านั้นจะคิดอย่างไร? เพราะว่าที่นักศึกษาผู้นั้นตอบผู้เขียนมาว่า “ผมพยายามจะเชื่อ” ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนควอนตัมฟิสิกส์มาอย่างลึกซึ้ง และยังเข้าใจว่าฟิสิกส์ใหม่คงไม่ต่างไปจากฟิสิกส์เก่าหรือนิวโตเนียนฟิสิกส์เท่าใดนัก

แต่นั่น - ผู้เขียนเข้าใจว่านั่นคือความผิดอันยิ่งใหญ่สำหรับนักวิทยาศาสตร์เก่าหรือนิวโตเนียนฟิสิกส์ ดังที่จอห์น อาร์ชิบาลด์ วีลเลอร์ และนักควอนตัมฟิสิกส์ใครต่อใครอีกหลายคนที่พูดคล้ายๆ กันว่า ฟิสิกส์ใหม่ช่างแตกต่างไปจากฟิสิกส์หรือวิทยาศาสตร์ยุคเก่ามากมายยิ่งนัก คือ เหมือนกับว่าวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ ได้ฉุดกระชากวิทยาศาสตร์เก่าหรือฟิสิกส์เก่าให้หกล้มทั้งยืนเลย

ในหนังสือความจริงทางควอนตัมของนิก โรเบิร์ตส์ (Nic Roberts : Quautum Reality, 1985) เขาได้อ้างถึงคำแปลความจริงทางควอนตัมที่การประชุมของนักฟิสิกส์ใหม่ที่กรุงโคเปนเฮเกน ที่มีนีลส์ บอห์ร และเวอเนอร์ ไฮเซนเบิร์ก เป็นหัวเรือใหญ่ที่เรียกว่า คำแปลความจริงทางควอนตัมของโคเปนเฮเกน (Copenhagen Interpretation) ซึ่งนิก โรเบิร์ตส์ ได้แยกแบ่งความจริงทางควอนตัมออกไปเป็นแปดความจริง หรือแปดข้อและโดยหลักการ ทั้งแปดข้อคือเส้นทางที่นำสู่ความจริงแท้ หรือความจริงทางธรรมในพุทธศาสนาทั้งสิ้น รวมทั้งข้อหนื่งที่เป็นจักรวาลวิทยาใหม่ที่เพิ่งเกิดยังไม่ถึงสิบปี จักรวาลวิทยาใหม่ที่เป็นที่ยอมรับของนักจักรวาลวิทยาปัจจุบันเพิ่มมากขื้นเรื่อยๆ ซึ่งตรงกับพุทธศาสนาและลัทธิพระเวทย์ว่า จักรวาลอันมีจำนวนที่ไม่สิ้นสุด (นะ อันโต นะ ชาติ) และผู้เขียนยังเชื่อว่าพลังงานมืด (dark energy) ก็คือพลังงานจิตนั่นเอง

ความจริงทางควอนตัมที่เป็นคำแปลของโคเปนเฮเกนนั้น - ตามที่นิก โรเบิร์ตส์ ได้แบ่งออกเป็นแปดข้อนั้นล้วนแล้วแต่ตรงกันกับความจริงทางธรรมในพุทธศาสนาทุกข้อดังกล่าว - ที่นอกจากจะตรงกับพุทธศาสนาแล้ว ยังไปตรงกับหลักการของศาสนาเต๋าด้วย - แต่ไม่ตรงกับฟิสิกส์เก่าหรือนิวโตเนียนฟิสิกส์แม้แต่ข้อเดียว นั่น - สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์ที่ให้เหตุผลแก่มนุษยชาติ โดยตอบความจริงของรูปกายมานานกว่า 500 ปี จะมีความเปลี่ยนแปลงไปอธิบายความจริงทางจิต - เฉกเช่นวิวัฒนาการทางกายภาพที่มีวิวัฒนาการทางกายก่อนที่จะมีวิวัฒนาการทางจิต (ที่กำลังมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณอยู่ในขณะนี้) - ดังที่ผู้เขียนได้พูดได้เขียนมาตลอดเวลา - ฉะนั้น ผู้เขียนจึงเชื่อว่าด้วยการค้นพบทฤษฎีควอนตัมหรือควอนตัมเม็คคานิกส์ ที่ - ดังที่ได้พูดว่าสอดคล้องต้องกันกับความจริงที่แท้จริง หรือความจริงทางธรรมของศาสนาพุทธและศาสนาเต๋า เช่น ในเซน พุทธศาสนาที่เป็นศาสนานำในจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ อยู่ในขณะนี้ ทั้งหมดทำให้คิดว่าความสอดคล้องต้องกันระหว่างกันและกันในครั้งนี้ มันจะต้องมีความหมายเฉพาะบางอย่าง

ผู้เขียนจึงเชื่อว่า นอกจาก - การค้นพบควอนตัมฟิสิกส์ที่คิดว่าสอดคล้องต้องกันกับความจริงที่แท้จริง หรือความจริงทางธรรมโดยเฉพาะของพุทธศาสนาแล้ว ภายใต้ความเชื่อนี้เรายังได้พบว่า วิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หรือทฤษฎีควอนตัมนี้ - ที่แตกต่างไปจากวิทยาศาสตร์เก่าอย่าง “สิ้นเชิง” - ยังสามารถตอบคำถามหรืออธิบายอย่างอื่นได้ด้วย เช่น ความเป็นสอง หรือจักรวาลวิทยาใหม่เป็นอย่างดี ในขณะที่วิทยาศาสตร์เก่าไม่สามารถอธิบายได้เลย ความเป็นสองคือความแตกต่างกันของความจริงทั้งสองความจริง อันได้แก่ ความจริงทางโลก กับ ความจริงทางธรรม หรือความจริงที่แท้จริงซึ่งพุทธศาสนาได้ค้นพบ (ทางจิต) และอธิบายไว้เมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว และดังที่ผู้เขียนได้เขียนมาตลอด ที่ทั้งหมดคือการพิสูจน์ความจริงด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ที่อีกไม่ช้าไม่นาน จะเป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์ "ทุกคน" ว่าเป็นความจริงที่แท้จริงแทนที่วิทยาศาสตร์ยุคเก่าที่ให้ความจริงน้อยกว่าจนเทียบไม่ได้ (เป็นหมื่นๆ เท่า) ความเป็นสองที่ทางพุทธศาสนา และวัฒนธรรมพระเวทย์เน้นย้ำเป็นนักเป็นหนา และเรียกความจริงทางโลกว่า “มายา” หรือภาพลวงตา ความเป็นสองที่เป็นความเชื่อของชาวตะวันออก และตรงกับความจริงทางควอนตัมฟิสิกส์ที่เรียกว่าโลกที่มองเห็นเป็นสองของเวอเนอร์ ไฮเซนเบิร์ก (duplex world of Heisenberg) ส่วนจักรวาลวิทยาใหม่ซึ่งเพิ่งมีขึ้นมาจะบอกว่า จักรวาลของเราจักรวาลนี้เป็นเพียงหนึ่งในจักรวาลที่มีจำนวนอันไม่มีที่สิ้นสุดที่ตรงกันกับทั้งควอนตัมฟิสิกส์ (multiworlds theory) และกับพุทธศาสนาที่บอกว่า จักรวาลนั้นมีจำนวนอันไม่มีที่สิ้นสุดจนไม่มีปัญญาที่ไหนจะรู้ได้

ที่ผู้เขียนพูดมาทั้งหมดนั้นแสดงสองสิ่งสองอย่างที่เกี่ยวกับบทความนี้ คือ หนึ่ง เป็นความต้องการของผู้เขียนที่จะบอกว่าโดยพื้นฐานแล้ว ผู้เขียนเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ในฐานะที่เป็นแพทย์แผนปัจจุบันหรือเป็นหมอ แต่โดยพื้นฐานที่อยู่ลึกยิ่งกว่านั้น ผู้เขียนมีความใกล้ชิดกับพุทธศาสนาที่มี “ปัญญา” เป็นแก่นแกนโดยจะต้องผ่านการทำ “สมาธิ” -  และที่สำคัญ ผู้เขียนยังมีความใกล้ชิดกับศาสนาอื่นๆ อย่างลึกล้ำ - จึงมีลักษณะนิสัยที่ค่อนข้างจะเป็นตรงกันข้ามกับการเป็นศาสนานิยม หรือเป็นนักจิตนิยมสุดโต่ง แต่ทว่าผู้เขียนจะมีความสนใจอย่างยิ่งยวดกับสภาวะจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้ง เพราะว่าผู้เขียนมีความใกล้ชิดกับศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาเต๋าโดยผู้ใกล้ชิด ทั้งยังได้ศึกษาศาสนาอื่นๆ มาพอสมควร สอง ผู้เขียนคิดและเชื่อว่า ควอนตัมเม็คคานิกส์หรือวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่นั้น เป็นการค้นพบวิทยาศาสตร์ (ควอนตัมฟิสิกส์) โดยเจตนาของจักรวาล หรือวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณไปตามสเปกตรัมซึ่งสอดคล้องความจริงทางธรรมของกับพุทธศาสนาจริงๆ

ดังนั้น ความมุ่งหมายของผู้เขียนที่พูดกับนักศึกษาจิตตปัญญาศึกษาในวันนั้น จึงหมายความว่าผู้เขียนมองเห็นว่าวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่นั้น มีความสอดคล้องต้องกันกับความจริงทางธรรม หรือจะพูดว่า “ควอนตัมเม็คคานิกส์ได้ตามพิสูจน์พุทธศาสนาในทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นความจริงที่แท้จริงก็ได้” ซึ่งสำคัญมากสำหรับนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการทั้งหลายของโลก และผู้เขียนเองยังคิดว่าเป็นสาเหตุให้นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการเหล่านั้น เข้าใจในความเป็นวิทยาศาสตร์ของศาสนาพุทธรวมทั้งศาสนาอื่นๆ ทางตะวันออกมากขึ้น บางคนถึงกับหันไปนับถือพุทธศาสนากับศาสนาดังกล่าวมากขึ้น และสำหรับผู้ที่ยังยากที่จะเลิกเชื่อว่ามีพระเจ้า ต่างก็หันไปนับถือลัทธิพระเวทย์ซึ่งสำหรับผู้เขียนโดยส่วนตัวแล้ว จุดสำคัญอยู่ที่เราจะเชื่อมั่นในความจริงที่แท้จริงอย่างไร? ถ้าหากเชื่อมั่นว่ามันคือความสำคัญที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงคิดว่าเรื่องของการมีหรือไม่มีพระเจ้าจึงได้ตกมาเป็นรอง จงอย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้ปฏิเสธพรหมมัน (Brahman) ว่าคือความจริงที่แท้จริง พรหมมันที่เริ่มปรากฏในอุปานิษัทในฉบับแรกๆ ในยุคที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีชีวิตอยู่เป็นต้นมา อุปานิษัทที่พระองค์ได้ศึกษามาก่อนที่พระองค์จะบรรลุนิพพาน
บทความบทนี้ นอกจากจะบอกอย่างจริงๆ ว่า วิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หรือควอนตัมเม็คคานิกส์นั้น ให้ความจริงที่แท้จริงอันถูกต้องยิ่งกว่าฟิสิกส์ยุคเก่าหรือนิวโตเนียนฟิสิกส์นับหมื่นเท่าแสนเท่าแล้ว สำหรับผู้เขียน ควอนตัมเม็คคานิกส์ยังเป็นวิทยาศาสตร์ที่ทั้งให้และตามพิสูจน์ความเป็นวิทยาศาสตร์ “ที่แท้จริง” ให้กับพุทธศาสนาด้วย//

http://www.thaipost.net/sunday/231011/46984

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.335 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 25 มิถุนายน 2568 11:28:53