[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 15:24:18 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บุคคล ๔ ประเภท โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)  (อ่าน 355 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1240


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 28 กันยายน 2567 16:06:57 »




บุคคล ๔ ประเภท
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ อ.อุบลราชธานี

         คณะครูบาอาจารย์ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทุกรูปทุกท่าน การที่เราทั้งหลายทั้งปวงได้มาเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า เรามาเพราะกรรมของตัวเราเอง คือทุกคนทุกท่านก็สร้างกรรมให้แก่ตนเอง คือกรรมที่นำเราไปสู่สถานที่ดีหรือไม่ดี ก็เป็นผลที่เกิดจากการกระทำที่เราได้สั่งสมอบรมมาตั้งแต่ภพก่อนชาติก่อน

         แต่ว่าเราเป็นผู้กระทำตัวของเราเอง ไม่มีผู้ใดกระทำให้เรานะ ความดีความชั่วนั้นเราเป็นเป็นผู้กระทำเอง บาปก็ดี บุญก็ดี เราเป็นผู้กระทำเอง กุศลกรรมหรืออกุศลกรรม เราเป็นผู้ทำเอง การให้ทาน การรักษาศีล เราก็เป็นผู้ทำเอง การเจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน เราก็เป็นผู้ทำเอง หรือว่าการบรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์ ก็เราเป็นผู้ทำเอง ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งทำให้เรานะ

         เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จึงตรัสว่า บุคคลที่ท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารทั้งหลายทั้งปวงนั้น ด้วยแรงแห่งการกระทำที่ตนเองกระทำสั่งสมไว้ เมื่อเราได้สร้างสมอบรมกรรมต่างๆ ไว้นั่นแหละ กรรมนี้มันก็จะซัดเราไปด้วยแรงแห่งบุญด้วยแรงแห่งบาปที่เรากระทำไว้ ไม่ใช่คนอื่นพาเราไปสถานที่ดีหรือไม่ดีนะ แรงกรรมที่เราสร้างนี่แหละ แรงบุญที่เราสร้างนี่แหละ เป็นตัวที่นำเราไปสู่สถานที่ภพภูมิต่างๆ

         คนเราเกิดมายากจน ไม่ควรที่จะน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะตัวของเราเองเป็นผู้สร้างตัวของเราเองขึ้นมา เราไม่รู้จักให้ทานแต่ภพก่อนชาติก่อน พอมาถึงภพนี้ชาตินี้เราจึงเป็นคนยากจน หรือว่าเราเป็นผู้ไม่มียศไม่มีเกียรติ ไม่มีฐานะอะไรต่างๆ ก็เราเป็นผู้สร้างตัวของเราเอง เราทำกรรมที่ไม่เคารพในพ่อในแม่ ไม่เคารพในครูบาอาจารย์ ไม่เคารพในบุคคลผู้แก่กว่าเราโดยคุณโดยชาติ เป็นต้น เราก็เกิดในตระกูลหรือว่าเกิดในสถานที่ที่ไม่มีคนเคารพนับถือ นี่มันเป็นผลแห่งการสร้างกรรมที่ตัวของเราเองสร้างไว้

         หรือว่าเราทำดีกับทุกคน แต่ว่าคนอื่นเขามองไม่เห็นค่าของความดีของเรา ทำดีกับสามี สามีก็ไม่เห็นคุณค่าความดีที่เราทำ ทำดีกับภรรยา ภรรยาก็ไม่เห็นคุณค่าความดีที่เราทำ ทำดีกับลูกกับหลาน ทำดีกับญาติพี่น้องต่างๆ ทำดีกับลูกศิษย์ลูกหา เป็นต้น พวกญาติพี่น้องทั้งหลายทั้งปวง ลูกศิษย์ลูกหา เป็นต้น ไม่ได้เห็นคุณงามความดี อันนี้ก็เป็นเพราะกรรมที่เราสร้าง เราสร้างไว้อย่างไร เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เราสร้างไว้กระทำไว้ เพราะเราเป็นผู้สร้างเอง

         เพราะฉะนั้น เวลาเราประสบทุกข์ เราก็อย่าไปค่อนขอดตัวเอง อย่าไปตีอกชกกระหมับ อย่าไปดูถูกตนเอง เพราะสิ่งที่เราสร้างมาไว้แล้วนั้น เราไม่สามารถที่จะกลับไปแก้ไขอะไรได้ เราไปฆ่าเป็ดฆ่าไก่ฆ่าวัวฆ่าควาย เราไปโกหก เป็นต้น เราจะไปกลับให้ชีวิตแก่สัตว์เหล่านั้นก็ไม่ได้ เราจะไปกลับคำที่เราเคยโกหกก็ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะกาลเวลามันผ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นก็ได้ตายไปแล้ว คนที่เราโกหกเขาก็ไปสู่สถานที่อื่นๆ ไปแล้ว หรือบางครั้งเอาจจะตายไปแล้วก็ได้

         บาปกรรมบุญกรรมที่เราสร้างไว้เนี่ย เราไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ บาปกรรมบุญกรรมนั้นจึงเป็นสมบัติของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรากระทำกรรมด้วยความประมาทเลินเล่อ เพราะความโกรธ เพราะความโลภ เพราะความหลงมันครอบงำ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราสั่งสมบาปกรรมไว้เป็นสมบัติ อันจะนำเราไปสู่ความทุกข์ความลำบาก แต่ถ้าเวลาใดจิตใจของเรามันเกิดบุญเกิดกุศล รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้ทาน เป็นต้น คราวนั้นเราก็สั่งสมบุญสั่งสมกุศลไว้เป็นสมบัติติดตามเราไป ทำให้เราเกิดความสะดวกสบายในภพต่อไปในพายภาคหน้า ก่อนที่เราจะถึงซึ่งพระนิพพาน

         สิ่งเหล่านี้มันเป็นสมบัติที่เราสร้างขึ้นมาด้วยมือของเรา สร้างขึ้นมาด้วยวาจาด้วยใจของเรา บัณฑิตทั้งหลายทั้งปวงมีองค์สมเด็จพระสัมมาสพุทธเจ้าเป็นต้นจึงไม่ได้ทุกข์ระทมเพราะสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นมา แต่จะแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล เว้นจากบาปกรรมเหล่านั้น เช่น มีการรักษาศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่รักทรัพย์ อีกต่อไป รู้ว่าบาปกรรมเนี่ยมันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บัญญัติศีลขึ้นมา เพื่อที่จะห้ามคนทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่ให้ทำบาป การห้ามคนทั้งหลายทั้งปวงไม่ให้ทำบาปนั้น ก็เหมือนกับการให้คนทั้งหลายทั้งปวงนั้นได้ประสบกับความสุขอันยิ่งใหญ่ การห้ามคนไม่ให้ทำบาปนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าจู้จี้จุกจิกนะ แต่เป็นการเมตตาสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงไม่ให้เกิดความทุกข์ ไม่ให้เกิดความลำบาก เหมือนกับลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ครูบาอาจารย์แนะนำพร่ำสอนดุด่าว่าตักเตือน อย่าไปกระทำอย่างนั้นอีก ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ท่านไม่มีเมตตา ไม่ใช่นะ อย่างนั้นแหละเรียกว่าเมตตาอย่างเหลือล้นพ้นประมาณ เพราะท่านรู้ว่าลูกศิษย์ลูกหาเมื่อทำตามอำนาจของความโกรธ ความโลภ ความหลงแล้วเนี่ย กระทำบาปทำกรรมไปเนี่ย บาปกรรมทั้งหมดทั้งปวงที่ลูกศิษย์ลูกหากระทำไป ทางกาย ทางวาจา ทางใจเนี่ย บาปกรรมแม้นิดหน่อยที่จะไม่ให้ผลนั้นไม่มี เราจะทำบาปทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี บาปกรรมแม้นิดหน่อยที่เรากระทำลงไปแล้วเนี่ยจะไม่ผลนั้นไม่มี รอให้ผลอยู่ตลอดเวลา นี่มันรอให้ผลอยู่ตลอดเวลานะ

         เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงบัญญัติศีลขึ้นมา เพื่อที่จะห้ามไม่ให้เรากระทำบาป เมื่อห้ามเราไม่ให้ทำบาป ก็เหมือนกับให้เรานั้นประสบแต่ความสุขแต่ความเจริญ ไม่ให้ความทุกข์มันเกิดขึ้น ด้วยการเว้นจากบาปของเรา บาปมันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ท่านก็ให้เราเว้นจากบาปธรรม นี่หลักของพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้นะ ความเมตตาธรรมของพระพุทธเจ้าน่ะเมตตาอย่างเฉียบขาดนะ เมตตาอย่างมีปัญญา เมตตาอย่างมีเหตุมีผล เมตตาในลักษณะอย่างนี้แหละ

         เราทั้งหลายทั้งปวงที่มาร่วมกันบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล มาสร้างสมอบรมคุณงามความดีเนี่ย ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้มองไปถึงเป้าหมายอันสูงส่ง ก็คือละบาป บำเพ็ญบุญ แล้วก็ทำจิตของตนให้สดใสให้ขาวผ่องให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เนี่ยเป็นหลักของพุทธศาสนาของเรา ผู้ใดละบาปได้มาก บุญก็เกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นมาก เมื่อบุญเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นมาก ก็จะทำให้จิตของบุคคลนั้นผ่องใส ประภัสสร จิตใจก็จะบริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยอำนาจของมรรคพลพระนิพพานเป็นที่สุด

         เราทั้งหลายทั้งปวงผู้เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า จะเป็นพระก็ดี เป็นเณรเป็นเถรก็ดี เป็นแม่ชีก็ดี เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ดี เป็นญาติเป็นโยมก็ดี ถ้าผู้ใดสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จะเป็นพระเป็นเณรเป็นเถรเป็นชีเป็นญาติเป็นโยมก็ตาม บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นลูกของพระพุทธเจ้า เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นผู้ชายก็เป็นโอรสของพระพุทธเจ้า โอรสนั้นหมายถึงว่าบุคคลผู้ที่เกิดขึ้นจากอกของพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นมาจากอกก็คือเกิดขึ้นมาจากหัวใจเกิดขึ้นมาจากธรรมที่พระองค์ทรงตรัสไว้ บุคคลนี้บรรลุธรรมจึงชื่อว่าโอรสของพระพุทธเจ้า เรียกว่าเป็นบุคคลผู้เกิดจากอกของพระพุทธเจ้า

         แต่ถ้าผู้ใดมารักษาศีล มาให้ทาน มาเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเป็นต้น บุคคลทั้งหมดทั้งปวงเหล่านั้นเรียกว่าศิษย์ของพระตถาคต เรียกว่าเป็นลูกศิษย์ของพระตถาคต ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นโอรส หรือยังไม่ชื่อว่าเป็นบุตรของพระพุทธเจ้านะ

         บุคคลผู้ที่เข้ามาในพุทธศาสนาเนี่ย เข้ามาด้วยกรรมที่ตนเองสร้างไว้ต่างกัน บางภพบางชาตินี่นะ เราเป็นคนขี้โกรธ เราอาจจะไปฆ่าสัตว์เบียดเบียนคนอื่นด้วยกายด้วยวาจาอะไรต่างๆ นั้นมากมาย บางชาติเนี่ย เราอาจจะหลงในรูป หลงในเสียง หลงในสามี หลงในภรรยา หลงในกามคุณเป็นต้น เราก็กระทำบาปต่างๆ นานา กอบโกยเอากามคุณที่เราต้องการ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นบาเป็นบุญก็ไม่รู้ เราก็กอบโกยเอาสิ่งที่เราต้องการ

         บางครั้งเราก็ทำบาปทำกรรมด้วยความโลภมากมาย นี่บางครั้งเราก็ทำบาปทำกรรมไปด้วยความหลง ในแต่ละภพในแต่ละชาติ  เพราะฉะนั้นคนที่มาอยู่รวมกันนั้นจึงมาต่างเผ่าพันธุ์แห่งกรรม

         พระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสบุคคลที่มาจากสถานที่ต่างๆ นั้นเป็นบุคคล ๔ ประเภท

         ประเภทที่ ๑ พระองค์ทรงตรัสว่า ตโมตมปรายโน ตโม ก็แปลว่ามืด ตมะ ก็แปลว่ามืด ปรายโน แปลว่าเป็นที่ไปในเบื้องหน้า มืดมาแล้วก็มืดไป ตโมตมปรายโน มืดมาแล้วก็มืดไป บุคคลประเภทที่ ๑ ที่ว่ามืดมาแล้วก็มืดไป หมายถึง เขามาจากภพชาติที่ไม่ค่อยจะดีนัก อย่างเช่น มาจากความเป็นสัตว์นรก มาจากความเป็นเปรต มาจากความเป็นสัตดิรัจฉานเป็นต้น

         บุคคลผู้มาจากนรกเนี่ย จะเป็นคนโทสะ เพราะว่าบุคคลผู้ที่มีโทสะแล้วตายไปแล้วจะไปเกิดในนรกกันส่วนมาก เพราะนรกนั้นมีสภาพเหมือนกับโทสะ โทสะนั้นมีสภาพเหมือนกับนรก เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็จะเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่เหมือนกับปีศาจคลุกฝุ่นอะไรทำนองนี้ ผิวพรรณต่างๆ ก็จะไม่ได้สวยงาม มีผิวพรรณหยาบกร้าน มีผิวพรรณขรุขระ ไม่น่าดูน่าชมเป็นต้น เศษกรรม วิบากกรรมจะเกิดขึ้นมาในลักษณะอย่างนั้นนะ

         บุคคลผู้ที่เคยเกิดเป็นเปรตมาก่อนหลายภพหลายชาติ พอเกิดมาชาตินี้เนี่ย จิตใจก็จะหาช่องที่จะเอาเงินเอาทอง หาช่องที่จะเอาข้าวเอาของ จะเป็นของวัดของวาของสงฆ์ของใครก็เอาหมด มดมนอนธการด้วยความโลภที่ตนเองเคยสั่งสมมาหลายภพหลายชาติ ได้ของนิดๆ หน่อยๆ ก็เอา ยอมจะไปเกิดเป็นเปรตอีก เพราะอะไรเพราะว่าความโลภที่เคยประพฤติมาเนี่ย มันครอบคลุมจิตใจ มันเป็นนิสัย มันเป็นสันดาน นิสัยก็คือสิ่งที่เราสั่งสมไว้นานนะ สันดานก็คือสิ่งที่เรากระทำไว้ยาวนานแล้ว มันสั่งสมไว้ในจิตในใจของเรา คำว่าสันดานในที่นี้ไม่ใช่คำหยาบนะ เป็นสิ่งที่เราสั่งสมไว้นานจึงเป็นปกติของเราเรียว่าสันดานของเราอะไรทำนองนี้

         บุคคลเหล่านี้ก็จะโลภมากในสิ่งที่คนอื่นเขามองเห็นมันก็เกิดความน่าอาย แต่บุคคลเหล่านี้จะไม่อาย บุคคลเมื่อเกิดความโกรธ ขึ้นแล้วจะไม่อาย บุคคลเกิดความโลภขึ้นแล้วจะไม่อาย บุคคลเกิดราคะครอบงำจิตใจแล้วก็จะไม่อายนะ ทำสิ่งต่างๆ ได้โดยที่ไม่ยำเกรง ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ คนเหล่านี้มาเกิดมันก็จะลำบากนะ มือใครยาวสาวได้สาวเอา ปลาใหญ่กินปลาน้อย เบียดเบียนกันไป เวลาเกิดขึ้นมาแล้วก็มีความทุกข์ เพราะความโลภมันครอบงำจิตใจ ตายไปแล้วก็อาจจะไปเกิดเป็นเปรตอีกก็ได้ นี่บุคคลผู้มืดมาแล้วก็มืดไป ตนเองไม่เคยให้ทาน ก็ไม่คิดจะให้ทานอีก ไม่มีศรัทธาในการให้ทาน หรือว่าตนเองไม่เคยรักษาศีล ก็ไม่อยากรักษาศีล ไม่มีศรัทธาในการรักษาศีล ไม่คิดจะรักษาศีล ตนเองไม่เคยเจริญภาวนาเป็นต้น ก็ไม่คิดจะเจริญ ไม่อยากจะเจริญ ลักษณะอย่างนี้ เรียกว่ามืดมาแล้วก็มืดไป ตนเองมีความเห็นผิดอย่างไร ก็ไม่อยากจะไปฟังเทศน์ฟังธรรม ก็ให้มันเห็นผิดอย่างนั้นแหละ  เหมือนครูทั้งหกเป็นต้น

         ครูทั้งหกนั้นรู้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสรู้แล้ว พุทโธ อุปปันโน พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว ธัมโม อุปปันโน พระธรรมอุบัติขึ้นแล้ว สังโฆ อุปปันโน พระสงฆ์อุบัติขึ้นแล้ว ครูทั้งหก มีปูรณกัสสปะ มักขลิโคศาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร ทั้งหกคนเนี่ย รู้แจ่มแจ้งว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อุบัติแล้ว แต่ไม่ละมิจฉาทิฐิของตนเอง พระสารีบุตร พระโมคลานะ ไปเป็นลูกศิษย์ของ สัญชัยเวลัฏฐบุตร ก็ไปลาอาจารย์ บอกว่า อาจารย์ พระพุทธเจ้า พระธรรม  พระสงฆ์ อุบัติแล้ว ขออาจารย์ไปหาพระพุทธเจ้าเถิด สัญชัยเวลัฏฐบุตรก็ถามโกลิตมาณพและอุปติสสมาณพว่า คนโง่กับคนฉลาดน่ะ อะไรมากกว่ากัน อุปติสสมาณพและโกลิตมาณพก็เรียนอาจารย์บอกว่า คนโง่น่ะมันมากกว่าคนฉลาด คนโง่เหมือนกับขนโค คนฉลาดเหมือนกับเขาโค สัญชัยเวลัฏฐบุตรก็กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น คนฉลาดก็จงไปหาพระสมณะโคดมเถิด คนโง่ทั้งหลายทั้งปวงจงมาหาเราเถิด เพราะคนโง่ทั้งหลายทั้งปวงมาหาเราแล้ว เราจะได้ลาภได้สักการะมากมาย ไม่ยอมละทิฐิมานะของตนเองนะ

         ถ้าคนใดรู้ว่าตนเองมากด้วยความโกรธ มากด้วยความโลภ มากด้วยความหลง มากด้วยมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้แล้วเนี่ย ไม่กลับทิฐิใหม่ ตายไปแล้วก็ต้องไปเกิดในนรกแน่นอนนะ ความชั่วเนี่ยไม่ต้องบอกว่าทำกันหลายครั้งนะ ทำครั้งเดียวก็พาไปตกนรกได้ เหมือนกับนางมัลลิกา ไม่ได้ทำความชั่วอะไรนะ ทำอสทิสทาน รักษาศีลมาโดยดีโดยตลอด มีความพลั้งพลาดยินดีในการสัมผัสของสุนัขเพียงครั้งเดียวก็ตกนรกได้แล้วนะ พระติสสะนี้ก็ดีมาตลอดนะ แต่ก่อนที่จะตายนั้นมีความยินดีในจีวรเท่านั้นเอง ก็ไปเกิดเป็นเล็นนะ เนี่ยความชั่วไม่ได้ทำหลายครั้งนะ

         บุคคลผู้เป็นประเภทมืดมาแล้วก็มืดไปเนี่ย คติของเขานั้นก็ต้องไปสู่อบายภูมิ นรก เปรต  อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานนะ

         ประเภทที่ ๒ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ว่า ตโมโชติปรายโน คือมืดมาแล้วก็สว่างไป คล้ายๆ กับว่าเขาเกิดมาในภพภูมิที่ไม่ดี อย่างเช่น สัตว์เดรัจฉานอย่างนี้ เช่น นกเค้าฟังธรรม งูเหลือมฟังธรรม ค้างคาวฟังธรรม แม่ไก่ฟังธรรม เป็นต้น อันนี้ในลักษณะของมืดมานะ เป็นสัตเดรัจฉาน แต่มีความยินดีในธรรมเนี่ย ตายไปแล้วจากแม่ไก่ก็ไปเป็นมนุษย์ เป็นลูกของพระมหากษัตริย์ ตายจากลูกมหากษัตริย์แล้วก็ไปเกิดในพรหมโลก ตายจากพรหมโลกก็มาเกิดเป็นลูกพ่อค้า เป็นต้น นี่ในลักษณะของมืดมาแล้วก็สว่างไป

         เป็นค้างคาวอยู่ในถ้ำโน้น ภิกษุไปสวดอภิธรรม  มีความยินดีในการฟังพระสวดอภิธรรม เหมือนกับเราตั้งใจฟังธรรมอยู่นี่แหละ แต่ค้างคาวนั้นฟังไม่รู้เรื่องนะ  แต่ว่ามีความเคารพในการฟังธรรมเท่านั้นแหละ ตายไปแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ แล้วก็มาเกิดในมนุษย์ ไปเกิดในสวรรค์ ไปเกิดในมนุษย์ อยู่อย่างนั้นแหละ ตลอด ๑ พุทธันดร ไม่รู้จักอบายภูมิเลยว่าอบายภูมิมันเป็นอย่างไร เกิดในมนุษย์แล้วเกิดในสวรรค์อยู่ตลอดพุทธทันดรหนึ่ง แล้วก็มาเกิดในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ในที่สุดค้างคาวทั้ง ๕๐๐ นั้นก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ นะ นี่มันเป็นความอัศจรรย์นะ มืดมาสว่างไปอย่างนี้นะ

         เหมือนกับกบฟังธรรมนั้นแหละ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ที่พระเชตวัน กบมันก็ฟังธรรม เพราะเสียงของพระพุทธเจ้าเป็นเสียงที่ประกอบไปด้วยเมตตา สัตว์สาวาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้ยินแล้วก็เกิดอยากฟัง กบมันฟังไม่รู้เรื่อง แต่ว่ามันตั้งใจฟัง เด็กเลี้ยงควายเนี่ยพาฝูงควายไปหาอยู่หากินแล้วก็กลับเข้ามาสู่บ้านสู่เรือน ถือไม้เท้าไล่วัวไล่ควายไม่ระวัง ก็ทำไม้เท้านั้นไปถูกกบตาย ขณะที่ฟังธรรมอยู่ดีๆ นั้นถูกไม้เท้าแล้วก็ตายไปในขณะนั้น เรียกว่าเกิดอุบัติเหตุ นะเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายก็ไม่ได้ตั้งใจนะ พอตายไปแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชื่อว่ามัณฑูกเทพบุตร แปลว่า เทพบุตรกบ มืดมาแล้วก็สว่างไปอย่างนี้นะ

         เราทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย เราจะเกิดมาจากเปรตก็ดี จากสัตว์นรกก็ดี จากสัตว์เดรัจฉานก็ดี เราจะเกิดมาจากมนุษย์ก็ดี เราจะเกิดมาจากเทวดา เราจะเกิดมาจากพรหมก็ดี ก็ให้เราสังเกตจิตสังเกตใจของเรานั่นแหละ ถ้าเราไม่มีเหตุผลบ่อยๆ นะ ก็เหมือนกับว่าเรามาจากสัตว์เดรัจฉานนะ ถ้าเราไม่มีเหตุผลบ่อยๆ นะ ถ้าเราขี้โกรธขี้โมโหนี่ก็มาจากนรกนะ แต่ถ้าเราอยากได้อยู่เป็นประจำ เล็กๆ  น้อยๆ ก็ฉ้อราษฎร์บังหลวง บางครั้งบางคราวก็คิดว่าคนอื่นไม่รู้แต่เขารู้ทั่วบ้านทั่วเมืองทั่ววัดทั่ววาก็มีนะ อันนี้เรียกว่าความโลภนี่มันเกิดขึ้นมาเนี่ย ไม่รู้สึกตัวในลักษณะอย่างนี้

         หรือว่าบุคคลใดเคยเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย ก็จะมั่นในศีล ๕ นะ ศีลนั้นก็ไม่อยากให้ขาดไม่อยากให้ทะลุนะ อันนี้คนเคยเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์อีก จะพยายามรักษาศีลให้ดี จะพิเศษกว่าคนอื่น คนอื่นอาจจะประมาทเลินเล่อ แต่ว่าคนที่เคยเป็นมนุษย์แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย จะไม่ค่อยประมาท จะพยายามรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าผู้ใดเคยเป็นเทวดาแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ จะชอบชอบงาม ชอบประดับประดาตกแต่ง เสื้อผ้าอาภรณ์  การร้องการรำ การขับการประโคม การดนตรี อะไรต่างๆ เนี่ยจะเป็นพิเศษ จิตของบุคคลเหล่านั้นก็จะเป็นหังสจิต เป็นจิตที่ชอบในการรื่นเริง ในลักษณะอย่างนั้น  เพราะอะไร เพราะไปเกิดเป็นเทวดานั้นก็มีเสียงทิพย์อันบรรเลงอยู่ตลอดเวลา มีการขับกล่อมมีการร้องรำทำเพลง มีการชมสวน มีการสนุกสนานอยู่ตลอดเวลา  เพราะเป็นการเสวยผลแห่งบุญที่ตัวเองสร้างไว้

         แต่ถ้าผู้ใดเป็นพรหมแล้วมาเกิดในมนุษย์เนี่ย ก็จะเป็นผู้ที่มักน้อยสันโดษ ชอบสงบชอบเสงี่ยม ไม่ชอบคลุกคลีกับคนอื่น ชอบสนทนาปราศรัยน้อย ๆ ชอบสงบ แล้วก็ชอบเจริญฌาน ชอบอยู่ในสถานที่หลีกเร้น ไม่ชอบคบกับบุคคลมาก ไม่ชอบสนทนากับบุคคลมาก ในลักษณะนี้เรียกว่าอุปนิสัยแห่งพรหมมันติดตามบุคคลนั้นมา เนี่ยเราจะรู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหนเราก็สังเกตในลักษณะอย่างนี้แหละ

         บุคคลผู้เป็นประเภท ตโมโชติปรายโน ก็คือมืดมาแล้วก็สว่างไป

         ประเภทที่ ๓ ท่านกล่าวว่า โชติตมปรายโน คือสว่างมาแล้วก็มืดไป คือบุคคลผู้ที่มาโดยชาติโดยกำเนิดสูง อย่างเช่นพระเทวทัตเนี่ย พระเทวทัตมีศักดิ์สูงกว่าพระพุทธเจ้าของเรานะ พระพุทธเจ้าเป็นน้องเขยนะ พระเทวทัตนั้นเป็นพี่ของนางพิมพา มีชาติอันสูงส่ง แต่ว่าเวลาประพฤติประพฤติไม่ดีเนี่ย ก็ไปเกิดในอเวจีมหานรกได้นะ เรียกว่า โชติตมปรายโน ในลักษณะอย่างนั้นนะ

         เหมือนกับพระเจ้าสุปปพุทธะเนี่ย ที่ขวางทางบิณฑบาต อันนี้ก็เป็นโชติตมปรายโนนะ สว่างมาแล้วก็มืดไป หรือว่านันทมาณพที่ข่มขืนนางอุบลวรรณาเถรี อันนี้ก็เป็นสว่างมาแล้วก็มืดไปนะ เป็นลูกของเศรษฐี เป็นผู้มีชื่อเสียงมีหน้ามีตานะ หรือเรื่องของเศรษฐีที่เป็นสามีภรรยาที่เราฟังเป็นประจำ มีเงิน ๘๐ โกฏิ ๒ หน รวมกันก็เป็น๑๖๐ โกฏิ แต่ไปติดสุราติดการร้องรำทำเพลง ใช้เงินใช้ทองไปกับสุรากับการกินการเที่ยวการเคล้านารีอะไรต่างๆ หมดไปกับสิ่งเหล่านี้ ในที่สุด ๒ เศรษฐีก็ไม่มีบ้านที่จะอยู่ บ้านก็ขาย ของในบ้านก็ขายหมด ผลสุดท้าย ๒ เศรษฐีนั้นเมื่อเงินหมดนั้นน่ะ อายุก็ปาเข้าไปกว่า ๘๐ ปี ๙๐ ปีแล้ว ร่างกายก็หมดสภาพ เสื้อผ้าก็ไม่มีที่จะนุ่งจะห่ม บ้านเรือนก็ไม่มีที่จะอยู่ ต้องไปอาศัยฝาเรือนของคนอื่นอยู่ ข้าวที่จะกินก็ไม่มี ต้องไปหาขอข้าวกินตามบ้านของเศรษฐีใจบุญต่างๆ อันนี้เรียกว่าสว่างมาแล้วก็มืดไป เป็นลักษณะอย่างนี้นะ

         เพราะฉะนั้น บุคคลใดที่เกิดในตระกูลสูงแล้วก็ประพฤติไม่ดีเนี่ย เรียกว่าสว่างมาแล้วก็มืดไป หรือบุคคลผู้ที่เคยให้ทาน เคยรักษาศีล เคยเจริญสมถะ เคยเจริญวิปัสสนา แต่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เคยเจริญเป็นประจำประจำ แต่อยู่ต่อมาต่อไปก็ไม่ให้ทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ไม่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน นี่เรียกว่า สว่างมาแล้วก็มืดไปนะ คนเคยดูแลพ่อแม่ เคยดูแลพี่น้อง เคยช่วยเหลือสังคม ต่อมาไม่ได้ดูแลพ่อแม่ ไม่ได้ช่วยเหลือสังคม อันนี้เรียกว่าสว่างมาแล้วก็มืดไปนะ เพราะฉะนั้นต้องระวัง ว่าเราเป็นบุคคลผู้สว่างมาแล้วก็มืดไปไหม

         ประเภทที่ ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า โชติโชติปรายโน คือสว่างมาแล้วก็สว่างไป หมายถึงบุคคลผู้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนาแล้วก็ให้ทาน รักษาศีล ไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ เจริญภาวนา สั่งสมอบรมคุณงามความดีให้ยิ่งขึ้นไป ทำบุญของเราให้มากขึ้นไป

         ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระระองค์ทรงตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพวกเธออย่ากลัวบุญเลย เพราะว่าบุญบุญนี้เป็นชื่อของความสุข คือสั่งสมอบรมไว้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่มีโทษนะบุญนะ มีแต่คุณ ถึงบุคคลจะยึดมั่นถือมั่นในบุญ แต่บุญก็ไม่ให้โทษแก่บุคคลนั้นนะ ให้แต่คุณแก่บุคคลนั้นนะ เหมือนกับนางวิสาขา นางวิสาขาเนี่ย ท่านกล่าวไว้ว่า นางเป็นผู้ยินดีในการเกิดนะ เป็นผู้ยินดีในภพ แทนที่นางจะมีบุญวาสนาบารมีบรรลุเป็นพระอรหันต์นิพพานในชาติปัจจุบัน แต่นางไม่ยอมบรรลุเป็นพระอรหันต์นะ บรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นยามา แล้วก็เกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี แล้วก็ไปเกิดในพรหมปโรหิตา ไปเกิดในมหาพรหมมา ก็ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปเกิดในสุทธาวาสพรหม แล้วก็ไปนิพพานอยู่ในพรหมโลกชั้นอกนิษฐพรหม คิดดูสิว่านางวิสาขาจะอายุยืนขนาดไหน ไปเกิดในเทวดาชั้นดาวดึงส์นี้ก็มีอายุยืนมากแล้วนะ ไปเกิดในเทวดาชั้นยามาก็มีอายุยืนมากแล้ว กว่าที่จะตายจากเทวดาชั้นดาวดึงส์ ตายจากเทวดาชั้นดาวดึงส์ก็ไปเกิดในชั้นยามา กว่าที่จะหมดอายุขัยในชั้นยามาแล้วไปเกิดในชั้นดุสิต กว่าที่จะหมดอายุขัยในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วก็ไปเกิดในชั้นนิมมานรดี กว่าที่จะหมดอายุขัยในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี กว่าที่จะหมดอายุขัยของสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีแล้วไปเกิดในชั้นพรหมปโรหิตา กว่าที่จะหมดอายุขัยของพรหมปโรหิตาแล้วไปเกิดในชั้นมหาพรหมมา กว่าที่จะหมดอายุในชั้นมหาพรหมมา ไล่ไปเนี่ย ลองนึกดูซิ พระพุทธเจ้าจะเป็นกี่ร้อยองค์กี่พันองค์ กว่าที่นางจะถึงนิพพานเนี่ย มันยาวนานมากนะ ท่านึงกล่าวว่านางวิสาขานั้นเป็นผู้ยินดีในภพ นี่ในลักษณะอย่างนี้นะ แต่นางจะไม่ลงมาสู่มนุษย์อีกนะ  ขึ้นไปเรื่อย สูงขึึ้นไปเรื่อย ในลักษณะอย่างนี้นะ เรียกว่าสว่างมาแล้วก็สว่างไป จะไม่ลงมาอีกนะ สว่างมาแล้วก็สว่างไป

         เหมือนกับพระพุทธเจ้าของเรา เหมือนกับนางพิมพา เหมือนราหุล เหมือนกับพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เป็นต้น สว่างมาแล้วก็สว่างไป

         เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้ใคร่ครวญพิจารณาว่า เรากำลังอยู่ในประเภทอะไร ตโมตมปรายโน มืดมาแล้วก็มืดไป หรือเป็นประเภทตโมโชติปรายโน มืดมาแล้วก็สว่างไป หรือเราจะเป็นประเภทโชติตมปรายโน สว่างมาแล้วก็มืดไป หรือว่าเราจะเป็นโชติโชติปรายโน สว่างมาแล้วก็สว่างไป ให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้พิจารณา แล้วก็ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท สั่งสมอบรมคุณงามความดีให้ได้มากเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อเราจะได้เข้าสู่มรรคผลนิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุข วันนี้อาตมภาพได้กล่าวธรรมมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.08 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 25 กุมภาพันธ์ 2568 14:55:50