[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 15:09:41 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การฟังธรรมทำให้บรรลุธรรมได้ โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)  (อ่าน 344 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1240


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 129.0.0.0 Chrome 129.0.0.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 10 ตุลาคม 2567 14:51:59 »




การฟังธรรมทำให้บรรลุธรรมได้
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี

            ต่อไปก็ขอให้คณะครูบาอาจารย์ญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงได้นั่งฟังธรรมไปด้วย แล้วก็กำหนดอารมณ์ของพระกรรมฐานไปด้วย การฟังธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า เป็นการปฏิบัติธรรมที่ทำให้คนทั้งหลายทั้งปวงนั้นได้เข้าถึงคุณธรรมมีการบรรลุมรรคผลพระนิพพานเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนสูตร ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทำให้พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ถือว่าเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนาของเรา ก็เพราะการฟังธรรม นอกจากนั้นพระองค์ก็ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร ทำให้ปัญจวัคคีย์ที่เหลืออีกทั้ง ๔ พร้อมด้วยพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็เพราะการฟังธรรม

         นอกจากนั้นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ยสกุลบุตรพร้อมด้วยภรรยา บิดามารดา สหายของยสกุลบุตร ได้ฟังธรรม ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ฟังธรรมรอบที่ ๒ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ นี่การฟังธรรมเนี่ยมีความสำคัญอย่างนี้นะ

         นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมแก่ภัททวัคคีย์กุมาร ๓๐ คน ที่แสวงหาหญิงงามเมือง ที่ขโมยเครื่องประดับไป ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กุมารทั้ง ๓๐ นั้นน่ะ อย่างต่ำก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน อย่างสูงก็บรรลุเป็นพระอนาคามี นี่เพราะการแสดงธรรมนะ นอกจากนั้นชฎิล ๓ พี่น้อง อุรุเวลากัสสปะ คยากัสสปะ นทีกัสสปะ รวมเป็นชฎิล ๑,๐๐๓ คน ฟังธรรม ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ทำลายกิเลสตายคลายกิเลสหลุด ผุดเป็นองค์แห่งพระอรหันต์ได้เพราะการฟังธรรม

         นอกจากนั้น บริวารของพระเจ้าพิมพิสาร ๑๑ หมื่น ฟังอนุบุพพิกถา เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน อีก ๑ หมื่น เป็นกัลยาณชน นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทให้ได้รุมรรคผลพระนิพพานมากมาย

         เพราะฉะนั้น การฟังธรรมนั้นจึงถือว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมไปด้วย แต่เป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมชั้นสูง คือในขณะที่เราฟังธรรมนั้น นิวรณ์ธรรม คือ กามฉันทะ ความยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัสต่างๆ มันไม่ครอบงำจิตใจของผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม พยาบาท ความโกรธความผูกอาฆาตต่างๆ ไม่ได้ครอบงำจิตใจของผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ตลอดถึงถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ไม่ได้ครอบงำจิตใจของผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านความรำคาญต่างๆ ไม่ครอบงำ วิจิกิจฉา ความลังเลความสงสัยต่างๆ ไม่ครอบงำจิตใจของผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม จิตใจของผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นมีอารมณ์อยู่กับเสียงของธรรมะ มีปีติเอิบอิ่มซาบซ่านไปทั่วจิตใจแล้ว จิตใจย่อมผ่องใส จิตใจย่อมสงบ จิตใจย่อมมีเอกัคคตารมณ์ จิตใจย่อมเป็นสมาธิ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานได้

         ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วก็ฟังธรรมไปด้วย จึงมีอานิสงส์ในลักษณะอย่างนั้น เพราะฉะนั้น การฟังธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เรามาอยู่วัดเก่าสันติสุข พระเดชพระคุณหลวงตาก็จะกล่าวว่าเป็นถิ่นบูรพาจารย์ เป็นถิ่นของหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ขาว เป็นต้น ที่มาบำเพ็ญบารมีมาขัดมาเกลามาฝึกมาฝนอบรมกายใจของท่าน ท่านก็เป็นคนธรรมดาธรรมดานี่แหละ หลวงปู่มั่นก็เป็นคนธรรมดา หลวงปู่เสาร์ก็เป็นคนธรรมดา หลวงปู่ขาวก็เป็นคนธรรมดา หลวงปู่ขาวก็เคยมีลูกมีเมียเหมือนกัน แต่ท่านละจากครอบละจากครัว ออกบวชในพระธรรมวินัย เอาตนธรรมดานี่แหละฝึกฝนอบรม จนทำให้ท่านได้กลายเป็นอริยบุคคล มีหลักฐานก็คือกระดูกของท่านเนี่ย อัฐิธาตุของท่านเนี่ย ได้กลายเป็นพระธาตุจากคนธรรมดานะ กลายเป็นพระธาตุ ท่านมาฝึกมาฝนมาอบมารมที่วัดเก่าสันติสุขของเรานี่แหละ

         แล้วเราทั้งหลายทั้งปวงก็ได้มาสู่สถานที่แห่งนี้แล้ว เราก็มาฝึกมาฝนมาอบมารม เจริญรอยตามปฏิปทาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านทำได้เราก็ต้องทำได้ มรรคผลนิพพานนั้น สมาธิสมาบัตินั้น ท่านกล่าวว่าไม่ได้อยู่ไกลเกินไป แล้วก็ไม่ได้อยู่ใกล้เกินไป ไม่ได้อยู่สูงเกินไป ไม่ได้อยู่ต่ำเกินไป ไม่ได้อยู่ลึกเกินไป ไม่ได้อยู่ตื้นเกินไป ไม่ได้อยู่หนาเกินไป ไม่ได้อยู่บางเกินไป มรรคผลนิพพานนั้นอยู่พอดีพอดีในมัชฌิมาปฏิปทานี่แหละ มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมาสมาธิ เป็นปริโยสาน เนี่ยมันอยู่กลางๆ นี้แหละ ในมรรคมีองค์ ๘ นี่แหละ

         เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายทั้งปวงที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ เราเดินจงกรม ขวาย่างหนอซ้ายย่างหนอ เรากำหนดพองหนอยุบหนอ เราเห็นต้นยกกลางยกสุดยก ต้นย่างกลางย่างสุดย่าง ต้นเหยียบกลางเหยียบสุดเหยียบ เราเห็นต้นพองกลางพองสุดพอง ต้นยุบกลางยุบสุดยุบ เวลาเราจะทำการงานใดๆ เรามีสติในการกำหนด ในการคู้การเหยียดการก้มการเงย มีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม การที่เรามีสติ การที่เรามีสัมปชัญญะนั่นแหละ เป็นตัวปฏิบัติ เป็นตัวทำ เป็นตัวให้เกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดวิปัสสนา เกิดมรรค เกิดผล เกิดพระนิพพาน ตัวที่เรามีสติมีสัมปชัญญะนั้นแหละ เรียกว่าตัวแห่งการปฏิบัติ

         เราจะยืน เราจะเดิน เราจะนั่ง เราจะนอน เราจะกิน เราจะดื่ม เราจะพูด เราจะคิด เราจะนิ่งอยู่ก็ตาม ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ กำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างนี้นะ ก็แสดงว่าเรานั้นอยู่ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการปฏิบัติธรรม ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการปฏิบัติธรรม เรียกว่า ชีวิตของเรานั้นล่วงการผ่านไปด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเราขาดสติ ขาดการกำหนด การประพฤติปฏิบัติธรรมมันก็ขาดไปด้วย การประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นอยู่ที่สติกับสัมปชัญญะของเรา ส่วนอิริยาบถนั้นเป็นเพียงแต่รูปลักษณะ

         บุคคลผู้ยืน ผู้เดิน ผู้นั่ง ผู้นอน เมื่อมีสติสัมปชัญญะอยู่ จึงชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนที่จะรู้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตลอดเวลานะ เป็นอกาลิโก แล้วก็ไม่จำกัดรูปลักษณะว่าเราจะยืน หรือเราจะเดิน หรือเราจะนั่ง เราจะนอน บุคคลนั้นสามารถที่จะรู้ธรรมได้ทั้งนั้น เพราะการรู้ธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณะ แต่อยู่ที่ความสมบูรณ์ของสติ ของสมาธิ

         เราทั้งหลายทั้งปวงผู้มาประพฤติปฏิบัติ โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงตาของเรานั้นได้จัดประพฤติปฏิบัติธรรมในวันขึ้นปีใหม่ ขึ้นปีใหม่ผ่านไปได้ ๒ วัน ๓ วัน วันที่ ๓ หลวงตาก็เอามาฝึกมาฝนมาอบมารม เพื่อที่จะให้ศิษยานุศิษย์ตลอดถึงสาธุชนทั้งหลายทั้งปวงนั้นได้เริ่มชีวิตที่ถูกต้อง ด้วยหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่สิ่งสุดวิสัยของมนุษย์ ๔ เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ทุกคนมีความผิดพลาดเป็นของธรรมดา โดยเฉพาะปีใหม่

ปีใหม่นั้น มีไว้ดี กว่าปีเก่า
พืชมีเหง้า ครบปี ทวีหัว
ทั้งขนาด และจำนวน ล้วนเกินตัว
แต่คนชั่ว กลับถอยถด ลดดีลง

         ปีใหม่นั้นเราต้องมีไว้ดีกว่าปีเก่า เพราะอะไร เพราะว่าการที่เราทั้งหลายทั้งปวงได้ผ่านมาถึงปีใหม่นี้ แสดงว่าเรานั้นมีอายุแก่ขึ้นมาอีก ๑ ปี เมื่อเรามีชีวิตแก่ขึ้นมาอีก ๑ ปี คุณงามความดีมีการให้ทานรักษาศีลไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ต่างๆ เราก็ต้องแก่ขึ้นมาด้วย ไม่ใช่แก่แต่กาย บุญกุศลคุณงามความดี คุณธรรมของเราต้องแก่ด้วย เพราะกาลเวลานั้น เมื่อมันล่วงเลยผ่านไปแล้วเนี่ย ไม่ใช่ว่ามันล่วงเลยผ่านไปเฉพาะวันเดือนปีเท่านั้น แต่มันกลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงไปด้วย กลืนกินอายุของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงไปด้วย

         เราเสียทรัพย์ จะเป็นเสียเงินเสียทองเนี่ย บางครั้งเราเสียเงินเสียทองไป เรามีโอกาสทำมาค้าขายหาอยู่หากิน เรายังพอที่จะหาเงินที่เราเสียไปนั้นกลับคืนมาได้ บางครั้งอาจจะได้มากกว่าที่เราทำให้มันเสียหายไป อาจจะได้เยอะกว่าเดิมก็ได้ แต่เวลาที่มันสูญเสียไปเนี่ย เราจะเอามาไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวนะ เวลาที่เสียไปเนี่ย เอามาไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว การสูญเสียเวลาจึงเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ไม่ควรที่จะให้มันผ่านพ้นไปโดยเปล่าประโยชน์

         องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า

ขโณ โว มา อุปจฺจคา

“ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปโดยปล่าประโยชน์”

ท่านกล่าวอย่างนั้น เวลามันกลืนกินชีวิตของพวกเราไปอยู่ทุกขณะทุกขณะ แต่ถ้าเราประมาทมัวเมา หลงระเริงในการทำมาหากิน หลงในความร่ำรวย หลงในยศถาบรรดาศักดิ์ หลงในความมั่งมี หลงในความสนุกสนานต่างๆ กาลเวลาก็จะกลืนกินชีวิตของเรานะ กาลเวลามันกลืนกินชีวิตของบุคคลผู้ประมาทอย่างนั้น

         แต่ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ มาเดินจงกรมนั่งภาวนา เหมือนกับคณะครูบาอาจารย์ ญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงนี้นี่ เรากลืนกินเวลานะ ไม่ใช่เวลากลืนกินเรานะ เรากับกลืนกินเวลา ด้วยความเพียรของเรา นี่เราเดินจงกรมนั่งภาวนา อดตาหลับขับตานอน หมั่นกำหนดบทพระกรรมฐาน ถึงมันจะหนาว ถึงมันจะง่วง ถึงมันจะเหน็ดเหนื่อย อะไรต่างๆ แต่ทุกขบวนการทั้งหมดนั้นเนี่ย เป็นการฝึกจิตฝึกใจของเรานะ เป็นการฝึกฝนองค์แห่งสติ องค์แห่งสมาธิ องค์แห่งวิปัสสนา องค์แห่งมรรคผลพระนิพพาน มันฝึกอย่างนี้แหละ

         ในครั้งพุทธกาล ที่สาวกทั้งหลายออกบวชได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ก็ฝึกอย่างนี้แหละ ฝึกเหมือนกับที่เราทั้งหลายทั้งปวงกำลังฝึกอยู่นี่แหละ แม้เราอยากจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เหมือนกับอริยสาวกที่ล่วงมาแล้วในสมัยพุทธกาล เราก็ต้องฝึกเหมือนที่เราทั้งหลายทั้งปวงกำลังฝึกอยู่นี้แหละ ไม่ว่ากาลไหนๆ เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนอบรมอย่างนี้แหละ เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นของเฉพาะตน บรรลุแทนกันไม่ได้ นิพพานนั้นเป็นหนทางของบุคคลผู้ไปให้ถึงด้วยตัวของตนเอง เราจะกอดคอกันไปนิพพานไม่ได้ มรรคผลนิพพานของแต่ละคนแต่ละท่านเกิดแต่ละขณะไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างไป แต่ถึงพระนิพพานอันเดียวกัน รสพระนิพพานก็อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น ให้เรานั้นกลืนกินเวลา อย่าให้เวลากลืนกินเรา ด้วยการกระทำความเพียร เหมือนกับพณครูบาอาจารย์ญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงกำลังกระทำอยู่นี้แหละ

         นอกจากนั้นบุคคลผู้เกิดมาแล้วเนี่ย พอถึงปีใหม่ ผู้ไม่ได้สดับรับฟังธรรมนี้ ก็ดีอกดีใจ คิดว่าปีใหม่นั้นเป็นวันใหม่ แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่ มันก็วันเก่านั่นแหละ แต่คนสมมุติว่ามันเป็นปีใหม่เฉยๆ ก็เลยมีการฉลองเฮฮากัน นี่กาลเวลามันเป็นอย่างนี้ มันหลอกเรา มันสมมุติเฉยๆ บุคคลผู้มีความสุข เวลามันจะผ่านไปเร็ว บุคคลผู้มีความสุขด้วยรูปด้วยเสียงด้วยกลิ่นด้วยรสด้วยสัมผัสต่างๆ มันจะเพลิน คล้ายๆ กับว่าเวลา ๑ วันมันแป๊บเดียว เวลา ๒ วันมันแป๊บเดียว เวลา ๓ วัน เวลา ๑ เดือน ๒ เดือน มันแป๊บเดียว เพราะอะไร เพราะมันมีความสุข มันก็เลยเพลิน เวลาวันหนึ่งเนี่ยมันแป๊บเดียวก็สว่างแล้ว

         แต่ถ้าบุคคลมีความทุกข์ เช่น มีการปวดฟัน มีการปวดท้อง เกิดอาการอาพาธอย่างใดอย่างหนึ่ง อาการป่วยอย่างใดอย่างหนึ่งเนี่ย กว่าที่มันจะผ่านไปแต่ละนาที กว่าที่มันจะผ่านไปแต่ละชั่วโมง กว่าที่มันจะผ่านไปแต่ละวัน โอ๊ย มันทุกข์เหลือเกิน มันนานเหลือเกิน เพราะอะไร เพราะว่าคนเราไม่ปรารถนาความทุกข์ เวลาเจอความทุกข์มันเหมือนกับว่า มันคิดไม่ออกบอกไม่ถูก มันทรมานเหลือเกิน เวลามันจะผ่านไปแต่ละวันแต่ละวันแต่ละชั่วโมง มันก็นานเหลือเกิน แต่บุคคลผู้มีความสุขนี่ มันผ่านไปไวนี่ คนที่มีความสุขกับความทุกข์เนี่ย กาลเวลามันต่างกันอย่างนี้นะ

         เหมือนกับเรานั่งสมาธินี่แหละ บุคคลผู้เกิดปีติเกิดสมาธินั่งเพลินเลย หลวงตาของเราเทศน์ชั่วโมงหนึ่ง ชั่วโมงครึ่งนี่ มันแป๊บเดียว เพราะว่าจิตมันเพลินในสมาธิ มันเพลินในปีติ มันเพลินในปัสสัทธิ ฟังไปเรื่อยเพราะไปเรื่อย ฟังไปเรื่อยจิตใจมันดิ่งลงไปเรื่อย ฟังไปเรื่อยขนลุกขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหลไปเรื่อย ฟังไปฟังไปมันเพลินไปเหมือนกับนั่งอยู่บนสวรรค์ เพราะมันเพลินในธรรม แต่บุคคลผู้ที่ไม่ได้สมาธิ ไม่เข้าใจหลักธรรมคำสั่งสอน ไม่มีจิตใจมุ่งมั่นต่อการฟังธรรม ฟังแล้วก็เจ็บตรงโน้นปวดตรงนี้ เกาตรงโน้น คิดอย่างนั้นอย่างนี้ไป โอ๊ย หลวงตาทำไมเทศน์นานเหลือเกิน ๕ นาทีกว่าที่จะผ่านไป ๑๐ นาทีกว่าที่จะผ่านไป มันนานเหลือเกิน ในจิตของบุคคลผู้มีทุกข์มันเป็นอย่างงั้นนะ จิตของคนผู้มีสุขมันก็ต่างกันอย่างนั้นแหละ

         แต่จิตใจของผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เหมือนกับพวกเราทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย มันทุกข์เราก็กำหนดทุกข์หนอทุกข์หนอ มันสุขเราก็กำหนดสุขหนอสุขหนอ เวลามันจะไม่สั้นไม่ยาวนะ ถ้าจิตเราไม่ติดมั่นอยู่ในสุขในทุกข์ เมื่อจิตมันไม่ติดอยู่ในสุขในทุกข์ เวลามันก็สักแต่ว่าเวลา มันจะไม่สั้นไม่ยาว แต่ถ้าเราติดดอยู่ในสุข ติดอยู่ในทุกข์ เวลานั้นมันก็สั้นยาวตามอุปาทานของเรานั่นแหละ แต่บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น ไม่ติดอยู่ในสุขในทุกข์ เวลามันก็ไม่สั้นไม่ยาว มันเป็นไปตามธรรมดาของมัน ในผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมมันเป็นอย่างนั้นนะ

         ความสุขความทุกข์เนี่ย มันก็อยู่ที่จิตใจดวงเดียวนี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่อื่นนะ ความสุขความทุกข์เนี่ย มันอยู่ที่จิตดวงเดียวนี้แหละ ทำบุญ ทำบาป มันก็จิตดวงเดียวนี้แหละ ไปเกิดในนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มาเกิดเป็นมนุษย์ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นองค์อินทร์ องค์จักรพรรดิ ต่างๆ ก็จิตดวงเดียวนี่แหละ จิตดวงที่อยู่กับเรานี่แหละ มันพาเราร่อนเร่พเนจรไปในสังสารวัฏ ด้วยอานุภาพแห่งตัณหาต่างๆ มีกามตัณหาเป็นต้น บางครั้งมันทำบุญ รักษาศีล ก็มาเกิดเป็นมนุษย์ ไปเกิดเป็นเทวดา เจริญฌาน ฌานไม่เสื่อม ก็ไปเกิดในพรหม คราวใดเมื่อจิตมันประมาท ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีความละอายในการทำบาป อะไรต่างๆ ก็ตกจากมนุษย์ ตกจากสวรรค์ ไปเกิดในอบายภูมิได้ ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานได้ ก็จิตดวงเดียวนี้แหละ

         เราอยู่ในภพนี้ เราลำบากเพราะการอยู่การกิน ลำบากเพราะความแก่ ความเจ็บ ต่างๆ ที่มันมาเบียดเบียนกายใจของเรา ลำบากเพราะการที่เราปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ลำบากเพราะเราต้องทนต่อการบริหารร่างกายต่างๆ เราลำบากกับสิ่งเหล่านี้ในภพนี้อย่างไร ในภพหน้าก็อย่างนั้นเหมือนกันนะ เราอย่าคิดว่าเราไปเกิดในภพหน้าแล้วเราจะไม่แก่ไม่เก็บไม่ตายนะ เราก็แก่เราก็เก็บเราก็ตายเหมือนกัน เราก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเหมือนกัน แล้วภพหน้ามันจะดีกว่าภพนี้ได้อย่างไร เมื่อเรามีความเข้าใจอย่างนี้แล้วเนี่ย เราควรที่จะกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ตั้งแต่ภพนี้แหละ ไม่ต้องรอภพหน้า ไม่ต้องรอชาติหน้า เรากระทำความเพียรด้วยความตั้งจิตตั้งใจในการเดินจงกรมนั่งภาวนานี้ เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมที่ญาติโยมตลอดถึงคณะครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกท่านกำลังประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่นี้เนี่ย เป็นไปเพื่อสมาธิสมาบัติ เป็นไปเพื่อวิปัสสนาญาณ เป็นไปเพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพานอย่างแน่นอน

         แต่ว่าเราทั้งหลายทั้งปวงจะมีความเพียรไหม ถ้าเรามีความเพียร มีบุญวาสนาบารมีที่สั่งสมอบรมไว้ เราภาวนาพองหนอยุบหนอ เดินจงกรมขวาย่างหนอซ้ายย่างหนอนี้เนี่ย สามารถยังปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานให้เกิดขึ้นมาได้ ถ้าเราได้สั่งสมอบรมบารมีสมควรแล้ว หรือวิปัสสนาญาณ มีนามรูปปริจเฉทญาณเป็นต้น มีปัจจเวกขณญาณเป็นปริโยสานก็ตาม วิปัสสนาญาณทั้ง ๑๖ ขั้น เกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน หรือการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์ สามารถเกิดขึ้นมาจากการเดินจงกรมนั่งภาวนาที่คณะครูบาอาจารย์ทั้งหลายทั้งปวงได้บำเพ็ญอยู่นี้อย่างแน่นอน

         เพราะฉะนั้น ขอให้คณะครูบาอาจารย์ญาติโยมทุกท่านทุกคนที่มาร่วมกันประพฤติปฏิบัติธรรม อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ลำบากเมื่อหนุ่มดีกว่ากลุ้มใจตอนแก่ ลำบากในขณะนี้ดีกว่าเราจะร่อนเร่พเนจรไปลำบากในภพต่อๆ ไป เพราะการท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นสิ่งที่มีภัยรอบด้าน ครั้งหนึ่งมีภิกษุรูปหนึ่งเนี่ย ท่านประพฤติปฏิบัติธรรม ก็เกิดนิมิตขึ้นมา เกิดนิมิตขึ้นมาว่าไปนอนอยู่บนแม่น้ำศรีสงคราม คือจะมีสะพานทอดไปในกลางแม่น้ำศรีสงคราม แม่น้ำนั้นสงบนิ่ง มีสีครามสวยงาม ลมพัดเย็นสบายน่ารื่นรมย์ แต่พอมองลงไปใต้น้ำ น้ำนั้นก็มีสิ่งที่น่ากลัวมาก มีจระเข้ มีปลาร้าย มีอสุรกาย มีอะไรเต็มไปหมด ในแม่น้ำศรีสงคราม นี่คล้ายๆ ว่า โอฆะ คือห้วงน้ำเนี่ย ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงได้เวียนว่ายตายเกิดเนี่ย มันมีภัยรอบด้าน ภัยเหล่านี้มันก็เกิดขึ้นมาจากกรรมที่เราสร้างนี่แหละ กรรมที่เราสั่งสมไว้นี่แหละ มันก่อให้เกิดภัยต่างๆ ขึ้นมา เพราะฉะนั้น เราควรที่จะรีบตัดความทุกข์ความลำบากนั้นให้มันสั้นลง การที่เรารีบประพฤติปฏิบัติธรรมให้บรรลุมรรคผลนิพพานนั้นเนี่ย เราตัดความทุกข์ให้มันมันสั้นลงนะ เราไปเกิดใหม่เราก็เสวยความทุกข์นั่นแหละ มันไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่าความทุกข์หรอก เกิดเป็นเทวดาก็ทุกข์ เกิดเป็นพรหมก็ทุกข์ เกิดเป็นมนุษย์ก็ทุกข์ ถ้าไปเกิดในอบายภูมิไม่ต้องกล่าวถึงนะ เพราะฉะนั้น มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นแหละ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาแล้วนั้น ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะฉะนั้น พึงตัดทอนความทุกข์ให้สั้นลงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ด้วยการกระทำความเพียร ถ้าเรากระทำความเพียรให้เต็มที่แล้วเนี่ย ก็ถือว่าเรานั้นกระทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดแล้ว ส่วนการเกิดขึ้นของสมาธิ ส่วนการเกิดขึ้นของวิปัสสนา ส่วนการเกิดขึ้นของมรรคผลนั้น เป็นไปตามบุญวาสนาบารมี

         สมมุติว่าเราเดินจงกรม ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอนี่ แหละ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะทันรูปทันนามนะ เราภาวนาพองหนอยุบหนอเนี่ย เรามีสติทันรูปทันนาม ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรามาในทางสมถกรรมฐาน จิตใจของเรามันก็จะดิ่งลงสู่อารมณ์ของสมาธิ มันเป็นเองของมันตามธรรมชาตินะ เราไม่ได้บังคับให้มันเข้าฌานนะ แต่มันเป็นไปเองตามธรรมชาติของมัน มันจะดิ่งลงไปดิ่งลงไป อารมณ์ของเราจะโน้มไปน้อมไปโอนไปเอนไป แล้วก็ดิ่งลงไปตามบุญตามเหตุที่เราสร้างสมอรมไว้ ขอให้เรามีความเพียรในเบื้องต้น

         แต่ถ้าเรามีบุญวาสนาบารมีในทางวิปัสสนากรรมฐาน จิตใจของเราก็จะพิจารณาเห็นรูปนามมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอ้ ตั้งแต่พื้นเท้าถึงปลายผม จากปลายผมถึงพื้นเท้า อัตภาพอันยาววาหนาคืบกว้างศอกเนี่ย มองดูไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนสักอย่าง ดูผมก็เป็นอนิจจัง ดูหูดูเท้าดูมือ ดูอวัยวะ ๓๒ ประการ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในอัตภาพอันยาววาหนาคืบ หาสิ่งที่เที่ยงแท้สักอย่างหนึ่งไม่ได้เลย มองเห็นตั้งแต่พื้นเท้าถึงปลายผม เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้สักอย่าง เกิดความสลดสังเวช เกิดความเบื่อหน่าย เกิดความคลายกำหนัด สำรอกกิเลส ในการประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา นี่ถ้าผู้ใดมีบารมีทางวิปัสสนาเป็นอย่างนั้นนะ ยืนอยู่ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่งอยู่ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรๆ ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลุงป้าน้าอา คนทั้งหลายทั้งปวงที่มาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มองเห็นโลกทั้งโลกเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คิดดูสิ มันจะเบื่อหน่ายขนาดไหน แล้วมันจะอยากเกิดอีกไหม

         เพราะฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติธรรม ถ้าเรากระทำตามปฏิปทาพ่อแม่ครูบาอาจารย์แล้วเนี่ย บุญที่เราสร้างสมอบรมไว้ก็จะเป็นเรือแก้วสำเภาทอง ทำให้จิตใจของเราโน้มโอนเอนไปสู่ปฏิปทาที่เราสั่งสมอบรมไว้แล้วนั่นแหละ หลังจากนั้นมาก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามบุญวาสนาบารมีของตนของตน.

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.455 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 24 กุมภาพันธ์ 2568 07:56:11