[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
12 ธันวาคม 2568 16:02:52 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อบเชยเถา ขุมทรัพย์ใต้ดิน บำรุงสุขภาพและความงาม  (อ่าน 54 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2730


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2568 14:37:11 »



อบเชยเถา ขุมทรัพย์ใต้ดิน บำรุงสุขภาพและความงาม

มีสมุนไพรไม้เถาขนาดเล็กเรี่ยดิน แต่รากลึกใช้เป็นยา อาหาร เครื่องดื่มและเครื่องสำอาง บำรุงสุขภาพและความงามชนิดหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นสมุนไพรยอดฮิตติดเทรนในหลากหลายชื่อ เช่น ภาคเหนือชื่อ พญารากหอม กำหยาน ตำยาน และเครือเขาใหม่ ภาคอีสานเรียกจั่นดิน กู้ดิน และแฮงหอม นครสวรรค์เรียก เชือกเถา สุพรรณมีชื่อ ตำนานดิน ภาคกลางเรียก อบเชยเถาหรืออบเชยป่า เป็นต้น

จนอาจทำให้ผู้คนสับสนว่า เป็นสมุนไพรชนิดเดียวกันหรือมีหลายชนิดกันแน่ จึงต้องมาเฉลยกันให้ชัดเจน โดยอ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งของกองวิจัยและพัฒนาสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ศึกษาว่าสมุนไพรรากหอมในชื่อพื้นเมืองกลุ่มนี้ ล้วนสังกัดอยู่ในวงศ์เดียวกัน คือ วงศ์แอสเคลปเปียดาซี (ASCLEPIADACEAE)

ที่อาจจำแนกตามพฤกษอนุกรมวิธาน คือ การจัดพรรณพืชให้เข้าหมวดหมู่เป็นระเบียบ เพื่อสะดวกแก่การนำมาใช้ศึกษาได้มากกว่า 3 สายพันธุ์ มีชื่อพื้นเมืองในภาษาไทยเหมือนกัน แต่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์แตกต่างกัน ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะ 2 สายพันธุ์ที่พบมากในประเทศไทย แม้รากจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นเปลือกอบเชยต้นจากสารกลุ่มอะโรมาติกอัลดีไฮด์ (Aromatic Aldehyde) เหมือนกัน แต่สรรพคุณต่างกัน ดังนั้น จึงต้องรู้จักจำแนกอบเชยเถาอย่างถูกต้อง เพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์และสรรพคุณที่ต้องการ

อย่างไรก็ตาม การแยกแยะที่ง่ายที่สุดคือการสังเกตรูปลักษณ์ของใบที่แตกต่างกันอัน ได้แก่

1. อบเชยเถาสายพันธุ์ ที่แต่เดิมชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atherolepis pierrei Cost.var.glabra Kerr ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Finlaysonia pierrei (Costantin) Venter ตามที่สวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิวศึกษาไว้ และน่าดีใจที่บันทึกไว้ด้วยว่าพืชนี้ชาวพื้นเมืองไทยและเวียดนามรู้จักใช้กันดี เป็นพรรณไม้เถาใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 0.8-2.8 ซ.ม. และยาวประมาณ 2.5-6 ซ.ม. ผิวใบเรียบเป็นสีเขียวเข้มหรือสีน้ำเงิน ลายเส้นใบเป็นสีขาว มองเห็นได้ชัดเจน ใบมีกลิ่นเหม็นเขียว มียางสีขาวข้น ก้านใบมีความยาว 1- 2 ม.ม. และมีขน ส่วนหูใบนั้นจะสั้นมาก ใบอ่อนจะมีขนตามเส้นกลางใบและเส้นใบ แล้วขนนั้นจะค่อยๆ หลุดร่วงไปเมื่อใบแก่

สรุปคือ อบเชยเถาพันธุ์นี้มีรูปใบขอบขนานขนาดเล็ก ลายเส้นใบสีขาว จุดสังเกตเด่นชัดคือ ก้านใบสั้นมากจนเห็นติดกับเถา บางท้องถิ่นเรียกอบเชยเถาชนิดนี้ว่า ตำยานตัวเมีย มีสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ขับลม

2. อบเชยเถาสายพันธุ์ Zygostelma benthamii Baill. เป็นพรรณไม้เถาใบเดี่ยวเหมือนพันธุ์แรก ต่างกันที่สายพันธุ์นี้มีใบเกลี้ยง ไม่มีขนบนเส้นใบ และลายเส้นใบไม่เด่นชัดอย่างพันธุ์แรก แต่มีแขนงใบจำนวนมากกว่า 8-10 คู่ ทั้งยังมีสัณฐานรูปใบขอบขนานที่ยาวและกว้างกว่าราว 2 ถึง 3 เท่า คือ ยาว 6-15 ซ.ม. กว้าง 3-4.5 ซ.ม. แต่จุดต่างที่เห็นชัดอีกข้อคือ ใบอบเชยเถาสายพันธุ์นี้มีก้านใบยาวราว 1- 1.5 ซ.ม. บางท้องถิ่นเรียกอบเชยชนิดนี้ว่า ตำยานตัวผู้ มีสรรพคุณ แก้ปวดเอว ปวดเมื่อยตัว แก้ปวดหัว ช่วยบำรุงกำลังเทียบชั้นกับโสมเกาหลีได้เลยทีเดียว

สามารถรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction) ได้ดีกว่าไวอากร้าที่ช่วยให้นกเขาขันได้ชั่วครู่

เนื่องจากอบเชยเถา 2 ชนิดนี้ รากมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกัน ชาวบ้านจึงนำมาบริโภคอย่างเหมารวม เข้าใจว่าเป็นสมุนไพรชนิดเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงถ้าจะใช้อบเชยเถาให้ได้สรรพคุณตรงตามความต้องการ จึงจำเป็นต้องรู้จักการสังเกตชนิดของอบเชยเถาให้ถูกต้น เช่น ถ้าต้องการบำรุงหัวใจ ขับลม ก็เลือกใช้รากอบเชยเถาหรือตำยานตัวเมีย ที่มีใบขอบขนานขนาดเล็ก แขนงเส้นใบสีขาวชัดและก้านใบสั้น แต่หากต้องการบำรุงกำลังและแก้เซ็กซ์เสื่อมก็ต้องใช้อบเชยเถาหรือตำยานตัวผู้ ที่มีรูปใบขอบขนานขนาดใหญ่กว่าชนิดแรก

อย่างไรก็ตาม การเตรียมและวิธีใช้สมุนไพร 2 ชนิด ในการปรุงยา อาหาร และเครื่องสำอางไม่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วนิยมเตรียมเป็นวัตถุดิบแห้งเพื่อเก็บได้นาน ด้วยการนำรากสดที่ล้างสะอาดแล้ว หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดราว 5 ม.ม. แล้วนำมาตากแดด อบแห้ง หรือคั่ว จนได้วัตถุดิบสมุนไพรแห้งที่มีกลิ่นหอม

จากนั้นนำไปปรุงเป็นยา อาหาร และเครื่องสำอางตามต้องการด้วยวิธีการต่างๆ ได้แก่

วิธีการต้ม ใช้อบเชยเถาแห้ง 25 กรัมและรากชะเอม (ชะเอมเทศหรือชะเอมไทยก็ได้) 5 กรัม ห่อถุงผ้าโปร่งหรือผ้าขาวบาง ต้มในน้ำสะอาด 500 ม.ล. ให้เดือดประมาณ 10-15 นาที ดื่มวันละ 1-3 แก้ว (แก้วละ 250 ม.ล.) ถ้าใช้อบเชยเถา ชนิด Finlaysonia pierrei (Costantin) Venter สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ ขับลม แก้ลมวิงเวียน หน้ามืดตาลาย หากต้องการชูสรรพคุณนี้ให้เด่นขึ้น สามารถเติมผงยาหอมตำรับที่ชื่นชอบ 1 ช้อนชา ละลายในน้ำยาต้มสำหรับดื่ม ถ้าใช้อบเชยเถา ชนิด Zygostelma benthamii Baill. ช่วยบำรุงกำลัง แก้ปวดเอว บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย รักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หากต้องการชูสรรพคุณมากขึ้นควรเพิ่มกระชายเหลือง (หรือกระชายขาว) 10 กรัม หรือจะใช้กรรมวิธีดองเหล้าขาว 40 ดีกรี ถ้าใช้เฉพาะอบเชยเถาแห้งอย่างเดียวหนัก 100 กรัมต่อเหล้าขาว 500 ม.ล. ดองอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ดื่มครั้งละ 15 ม.ล. วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อบำรุงกำลัง ไม่ควรดื่มมากกว่านี้

เดี๋ยวนี้มีการใช้น้ำต้มอบเชยเถาสำหรับหุงข้าวได้กลิ่นหอมกรุ่นน่ารับประทาน และมีคุณค่าในทางบำรุงสุขภาพ เมนูอาหารพื้นบ้านยังนำอบเชยเถาใช้เป็นเครื่องปรุงที่สำคัญ น้ำอบเชยเถายังพัฒนาเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรและขนมสุขภาพประเภทวุ้นอีกด้วย ในด้านเครื่องสำอางชาวบ้านบางท้องถิ่นรู้จักนำผงรากอบเชยเถาทำแป้งผัดผิวหน้าให้กระจ่างใสนวลและช่วยรักษาสิวฝ้าลบรอยจุดด่างดำ

ต่อมามีการค้นพบว่าในรากอบเชยเถาทั้ง 2 ชนิด มีสาร 2-ไฮดรอกซี-4 เมธ็อกซี เบนซัลดีไฮด์ (2-Hydroxy-4methoxy benzaldehyde) ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง (Tyrosinase Inhibitor) ลดรอยด่างดำบนผิวหนัง จึงมีสถาบันวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชนบางแห่งนำสารสกัดรากอบเชยเถามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภท LIGHTENING ที่จะมาช่วยยับยั้งการเกิดเมลานินซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดผิวหมองคล้ำ ช่วยผลัดผิวให้ผ่องใสนวลละอองยองใยอย่างเป็นธรรมชาติ

แต่ไม่ทำให้ผิวขาวเว่อร์เหมือนการใช้เครื่องสำอางประเภท WHITENING

ด้วยสรรพคุณอันโดดเด่นทำให้รากหอมของอบเชยเถาทั้ง 2 ชนิด กลายเป็นขุมทรัพย์สุขภาพใต้ดินที่ผู้คนทั้งชนบทและในเมืองแสวงหา จึงไม่แปลกเลยที่ปัจจุบันรากพรรณไม้ที่เคยพบเห็นดาษดื่นเหมือนวัชพืช จะมีสนนราคาสูงลิ่วตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นบาทต่อกิโลกรัมแห้ง ขนาดต้นกล้าของอบเชยเถาสูงแค่ 2 นิ้ว ถ้าสั่งซื้อตอนนี้ก็มีราคา 150-200 บาท สามารถเพาะเมล็ดหรือทาบเถาขายเป็นอาชีพได้เลย ยิ่งถ้ามีความรู้ในการจำแนกสายพันธุ์ก็จะช่วยให้จัดหาสมุนไพรตรงตามสรรพคุณที่ลูกค้าต้องการได้

จะดีกว่าไหม มาช่วยกันฟื้นระบบนิเวศของดินและป่าเพื่อต้อนรับให้พืชพรรณที่ทนทายาทนี้กลับมาเติบโตแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติได้อีก และเป็นขุมทรัพย์บำรุงสุขภาพใกล้ตัวที่ไม่ต้องซื้อหาในราคาแพงอีกต่อไป •





ที่มา สมุนไพรเพื่อสุขภาพ | โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง มติชนสุดสัปดาห์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.299 วินาที กับ 27 คำสั่ง