13 มิถุนายน 2567 17:40:55
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
กระบวนการ NEW AGE
.:::
ความทรงจำนอกมิติ : กาลจักรเก่า กับ จักรวาลวิทยาใหม่
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : กาลจักรเก่า กับ จักรวาลวิทยาใหม่ (อ่าน 2710 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5088
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0
ความทรงจำนอกมิติ : กาลจักรเก่า กับ จักรวาลวิทยาใหม่
«
เมื่อ:
13 มิถุนายน 2553 14:30:20 »
Tweet
ความทรงจำนอกมิติ : กาลจักรเก่า กับ จักรวาลวิทยาใหม่
ผู้เขียนได้อ่านและวิเคราะห์ข้อมูล ที่ค่อนข้างไม่น่าเชื่อ แปลก และน่าสนใจสำหรับสาธารณชนทั่วไป โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์
รวมทั้งผู้เขียน - ในฐานะที่เรียนและทำงานในด้านวิทยาศาสตร์แห่งชีวิตในระดับของเซลล์มานาน - นั่นคือข้อมูลที่ให้ความสอดคล้องต้องกันอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ระหว่างคัมภีร์กาลจักร (ผู้หมุนเวลา) ของวัชรญาณพุทธศาสนาของทิเบตกับจักรวาลวิทยาใหม่ ความสอดคล้องต้องกันระหว่างประสบการณ์ตรงจากภายในของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า - ตามคำบอกเล่าที่เชื่อกัน - เมื่อกว่า 2500 ปีก่อนกับความรู้ว่าด้วยจักรวาลวิทยาใหม่ที่เพิ่งได้มาใหม่ๆ เพียงเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ซึ่ง - สำหรับผู้เขียน - ข้อมูลที่พูดได้ว่าตรงกันโดยหลักการ - ได้ก่อความสงสัยอัศจรรย์ใจว่า ความจริงที่ได้มาจากทั้งสองเส้นทางในระยะเวลาที่ห่างกันหลายพันปี มันเกิดมาตรงกันในหลักการสำคัญๆ ได้อย่างไร? บทความวันนี้ จะพูดถึงข้อมูลที่ตรงกันที่ว่านั้น เพื่อให้ผู้อ่านนำไปคิดพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของการได้มาซึ่งความจริงแท้ที่เป็นหนึ่งเดียวกันที่มาจากภายในและจากความเป็นสัพพัญญูของพระพุทธองค์ - ที่ว่าไปแล้วก่อนตรัสรู้พระองค์ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง - กับความรู้ที่ได้มาจากภายนอก หรือวิทยาศาสตร์ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผู้เขียนมีความมั่นใจโดยปราศจากข้อสงสัยในสัทธรรมความจริงที่มีหนึ่งเดียวของพระพุทธองค์เอามาเขียนเล่าให้ผู้อ่านนำไปพิจารณาต่อ เหมือนที่ วิลลิส ฮาร์แมน อดีตศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และอมิต โกสวามี นักฟิสิกส์แควนตัมแห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอน - ต่างกรรมต่างวาระ - เอามาเขียนที่ผู้เขียนนำมาเขียนและอ้างอิงให้ไว้แล้วในคอลัมน์นี้จึงไม่อ้างซ้ำอีก ส่วนข้อมูลอื่นๆ ผู้เขียนได้มาจากหนังสือห้าเล่มจะอ้างอิงไว้ที่ท้ายของบทความนี้
คัมภีร์กาลจักรนั้นอ้างว่า หลังจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วหนึ่งปี ในกลางเดือนสาม พระองค์ได้ไปปรากฏที่เขาคิชกูฏและพร้อมกันนั้นก็ได้ส่งกายทิพย์ของพระองค์ไปที่มหาเจดีย์ของเมืองอมราวัตถี (มัทราส) ที่อินเดียตอนใต้เพื่อแสดงความสำคัญของโพธิวิมุตติด้วยระบบกาลจักราตันตระ ซึ่งต่อมาได้บันทึกไว้เป็นภาษาสันสกฤต และแพร่ไปถึงทิเบตโดยภิกษุชูลีปะจากนาลันธะ กับบัณฑิตที่ชื่อ นารถภัตชาวอินเดีย (ผู้มีชื่อเรียกหากันในทิเบตว่านาโรปะ) เมื่อปี พ.ศ.1026 ต่อมาคัมภีร์ที่เป็นภาษาสันสกฤตเล่มนั้นก็ถูกนำมาแปลเป็นภาษาทิเบตโดยโสมณะภัตที่เป็นศิษย์ของนาโรปะ
คัมภีร์กาลจักรเล่าว่า จักรวาลนั้นจริงๆ แล้วเป็นอนันต์ (infinity) ไม่มีการเกิดการดับแต่จะให้ลูกหลานจากการพองๆ ยุบๆ เรื่อยไป นั่นหมายถึงไม่มีเหตุที่ก่อผล ขณะที่จักรวาลที่มีโลกและสัตว์โลกอาศัยอยู่แห่งนี้ เป็นเพียงหนึ่งของจักรวาลที่มีนับจำนวนไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตและมนุษย์ รวมทั้งสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเกิดมาจากธาตุห้าธาตุ คือดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศธาตุ (อากาศธาตุถูกแยกเป็นสองธาตุในบาลีไตรปิฎกของเถรวาทเป็นที่ว่างหรือเรียกซ้ำว่าอากาศธาตุกับวิญญาณธาตุ) โดยมีดิน น้ำ ไฟ ลมที่ล้วนวิวัฒนาการขึ้นมาจากอากาศธาตุ (space element) เป็นความว่างเปล่า หรือสุญตาเป็นพื้นฐานที่มา คัมภีร์กาลจักรบอกว่าอากาศธาตุนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นความว่างที่ไม่มีอะไรเลย หากจะประกอบด้วย "อนุภาคว่างเปล่า" (empty particles or space particles) ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ให้กำเนิดแก่สสารอนุภาคที่รวมตัวกันเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม โดยที่อนุภาคว่างเปล่าเองก็ประกอบด้วยอนุภาคที่มีความละเอียดอย่างยิ่ง - ละเอียดจนประหนึ่งเป็นความว่างเปล่า - อีกที และเป็นอนุภาคว่างเปล่านี้เองที่ให้วิวัฒนาการ (ของลม ไฟ น้ำ ดิน) และวิวัฒนาการย้อนกลับ (สลายด้วยการดูดซึมกลับสู่ความว่างเปล่าของดิน น้ำ ไฟ ลม) ที่ประกอบเป็นรูปกายและพลังงานของจักรวาล (นี้) รวมทั้งชีวิตทั้งหลายทั้งปวง หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า อากาศ (space) และอนุภาคว่างเปล่า (space particles) คือที่มาของกระบวนการทั้งหมดของจักรวาล คำว่าอนุภาคนั้น - ในระบบกาลจักร - ให้ความหมายที่ไม่ได้แปลว่าเป็นสสารเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงศักยภาพ (potentialities) ของความเป็นสสารหรือพลังงานด้วย
ฟิสิกส์จักรวาลวิทยาใหม่ให้ข้อมูลที่อาจชี้บ่งว่า จักรวาลมีจำนวนเป็นอนันต์ (infinity or multiverses) โดยงอก (budding) หรือให้ลูกหลานออกจากจักรวาลแม่ตลอดเวลา ที่ไร้สาเหตุ (non-local) สสารและ/หรือพลังงานรวมชีวิตและมนุษย์วิวัฒนาการขึ้นมาจากอนุภาคเทียม (virtual particles) - ไร้มวลไร้พลังงานชั่วคราวที่ประกอบเป็นความว่างของที่ว่าง (และเวลา) - ที่มีศักยภาพให้อนุภาคจริงๆ ได้
ระบบกาลจักรบอกว่าการเกิดและการสลายของจักรวาลมีลักษณะเป็นวงจรหรือวัฏจักรที่ประกอบด้วยสี่ระดับหรือสี่ช่วงระยะคือ หนึ่ง การเกิดของจักรวาล สอง การตั้งอยู่และการเปลี่ยนแปลงไป สาม การสลายตัวของจักรวาล และสี่ ระดับหรือช่วงระยะแห่งความว่างเปล่าเมื่อดิน น้ำ ไฟ ลม สลายและถูกดูดซึมกลับสู่ความว่างและแล้วจักรวาลใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาจากซากของจักรวาลเก่าที่ซ่อนเร้นอยู่ในอนุภาคว่างเปล่านั้น
จักรวาลวิทยาใหม่ชี้บ่งว่าจักรวาลเกิดจากการสั่นสะเทือน (quantum fluccuation) ของพลังงานหลงเหลือจากการสลายตัวของจักรวาลเก่าสู่สภาพว่างทางแควนตัม (quantum vacuum) โดยเริ่มต้นด้วยอนุภาคเทียม ที่จะกลายเป็นอนุภาคจริง (real particle) หรือสสารทีหลัง โดยนักฟิสิกส์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า กระบวนการที่เป็นวงจรของจักรวาลวิทยาใหม่ (ขึ้นอยู่กับการหากฎแห่งความเป็นเอกภาพที่ยิ่งใหญ่ grand unified theory or GUT ที่รวมกฎทั้งหมดทางฟิสิกส์ให้พบ) จะประกอบด้วยสี่ช่วงระยะคือ หนึ่ง ซิงกูลาริตี้เมื่อกฎและสมการทางคณิตศาสตร์ล่มสลายไปทั้งหมดและเกิดการระเบิดที่เรียกกันว่าบิ๊กแบง จากการสั่นสะเทือนของพลังงานหลงเหลือที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าทางแควนตัมที่ว่านั้น สอง การดำรงอยู่ของจักรวาลที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สาม การสลายตัวของจักรวาลบิ๊กครันช์หรือบิ๊กฟรีซ (big crunch or big freeze) โดยการรวมตัวกันของหลุมดำที่อยู่ในใจกลางของกาแล็กซีหรือที่อี่นใด และสี่ ความว่างเปล่าทางแควนตัม เมื่อสสารและพลังงาน (ซากของจักรวาลเก่า) ถูกดูดซึมกลับสู่ความว่างนั้น
คัมภีร์กาลจักรยังบอกต่อไปด้วยว่า แม้ว่าจักรวาลนี้เองก็มีความกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง โดยใช้คำว่าพันล้านเท่าของจำนวนโลก หรือจำนวนของโลกที่คาดคิดไม่ได้ยกกำลังสอง (square untold) ในมัชฌิมจักรวาล (กาแล็กซี) ของเราเองก็มีระบบดาวที่เกิดใหม่และระบบดาวที่ตายไปตลอดเวลา และระบบสุริยะของเราก็เกิดมาด้วยกระบวนการนั้น ดาวทั้งหมดรวมทั้งดาวเคราะห์หรือโลกล้วนมีลักษณะทรงกลมแขวนโคจรอยู่ในที่ว่างของอวกาศ (empty space) ฉะนั้น จากคัมภีร์ที่มีในช่วงแรกๆ ของพุทธศาสนาจึงไม่เพียงแต่กล่าวถึงระบบโลกที่มีมากมาย (multiple world systems) หรือมีมากยิ่งกว่าเม็ดทรายที่เรียงรายอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาเท่านั้น หากยังระบุว่าระบบดาวแต่ละระบบมีการเกิดใหม่และมีการดับสลายตลอดเวลา โดยผ่านวัฏจักร (a cycle of an aeon) สี่ช่วงระยะ หรือสี่ยุค (era)
ว่าไปแล้ว โดยหลักการรวมทั้งบางครั้งแม้ในรายละเอียด จักรวาลวิทยาของพุทธศาสนาโดยเฉพาะที่บันทึกไว้ในกาลจักราตันตระนั้น ไม่ได้มีความแตกต่างจากจักรวาลวิทยาที่ตั้งบนฟิสิกส์ใหม่หรือวิทยาศาสตร์ใหม่ในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ นั่นคือจักรวาลทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่มีการเกิดและการดับอย่างสิ้นสูญไปจริง มีแต่การไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงไปไม่รู้จบ นักฟิสิกส์ยุคใหม่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ มักเชื่อในหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างที่มิชิโอะ กากุ ที่อ้างอิงถึงข้างท้ายของบทความนี้ว่า จักรวาลมีความเป็นอนันต์ (multiverses) - เกิดใหม่และดับสลายไป - แบบไม่มีความจบสิ้น โดยมีจักรวาลของเราเฉพาะจักรวาลที่มนุษย์เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้เป็นหนึ่งในนั้น ยิ่งไปกว่านั้น มิชิโอะ กากุ ยังกล่าวต่อไปว่าพุทธศาสนาบอกว่าจักรวาลไม่มีเกิดไม่มีดับเป็นวัฏจักรของวิวัตตาและสังวิวัตตา - มีบิ๊กแบงที่ไม่มีการจบสิ้น - นั้น ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะพุทธศาสนาหมายถึงจักรวาลที่เป็นทั้งหมด (multiverses) จึงไม่มีความจบสิ้น ส่วนศาสนาอื่น เช่น คริสต์ศาสนาที่บอกว่ามีการสร้างจักรวาลนั้น ก็เป็นเรื่องถูกต้องอีกเหมือนกัน เพราะเป็นการกล่าวถึงเฉพาะจักรวาลนี้ หรือจักรวาลของมนุษย์ที่มีการสร้างขึ้นหลังจากที่มีการระเบิดบิ๊กแบงเพียงครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากจักรวาลแห่งรูปกายและปรากฏการณ์ ที่ดูจะตรงกันระหว่างข้อมูลของกาลจักราตันตระกับข้อมูลจักรวาลวิทยาใหม่ในทางวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องจากหลักการและวิธีการของวิทยาศาสตร์ต้องจำกัดตัวเองโดยการพิสูจน์ในห้องทดลองและ/หรือสนับสนุนด้วยสูตรและสมการทางคณิตศาสตร์ผ่านประสาทสัมผัสภายนอกที่รับรู้ด้วยจิตรู้อีกที ดังนั้น วิทยาศาสตร์จึงต้องทิ้งเรื่องของจิต (consciousness) หรืออย่างดี สามารถแตะได้เพียงบางส่วนบางตอน (ของ mental pathway) ที่เล็กน้อยเท่านั้น ทำให้เรื่องของจิตส่วนใหญ่โดยเฉพาะเรื่องจิตวิญญาณจะดำรงอยู่นอกวิทยาศาสตร์ในขณะที่ศาสนา รวมทั้งระบบกาลจักร อธิบายเรื่องของจิตจากประสบการณ์ภายในของผู้ปฏิบัติศาสนาถึงระดับวิมุตติ ประสบการณ์ที่สาธารณชนคนทั่วไปจะต้องเลือกว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อฉะนั้นเอง เรื่องของจิตทั้งกระบิ สติ เวทนา สัญญา - รวมทั้งจิตรู้ ที่ประกอบเป็นความคิด มโนทัศน์ทั้งหลายทั้งปวงที่ส่วนหนึ่งวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาหรืออธิบายดังที่กล่าวมาข้างบน - และเรื่องของจิตไร้สำนึก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก หรือเป็นเรื่องจิตเหนือสำนึกที่เป็นธรรมจิต จึงเป็นประสบการณ์ที่ได้จากเส้นทางภายใน หรือศาสนา
พุทธศาสนาและกาลจักราตันตระล้วนพูดถึงความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกำเนิดของจักรวาล (นี้) กระทั่งวิวัฒนาการของโลกแห่งสสารและโลกแห่งชีวิต - สัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวงรวมทั้งมนุษย์ - กับวิวัฒนาการของจิต หรืออีกนัยหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาบอกว่า กำเนิดของจักรวาล (นี้) มีขึ้นมาได้ก็เพื่อให้สัตว์โลกและมนุษย์สามารถวิวัฒนาการตามขึ้นมาได้ และวิวัฒนาการทางกายภาพมีขึ้นมาก็เพื่อให้จิตเข้าไปอาศัยอยู่และเรียนรู้โลก เรียนรู้ตัวเองและความสัมพันธ์ระหว่างกัน และรวมทั้งการเรียนรู้จักรวาลหรือสัทธรรมความจริงได้ ซึ่งตรงกับจักรวาลวิทยาใหม่ที่อธิบายว่าจักรวาลนี้มีขึ้นมาก็เพื่อมนุษย์สามารถมีขึ้นมาได้ และสุดท้ายก็สามารถเรียนรู้ตัวเองรู้จักรวาลได้ (cosmological anthropic principle) เพราะฉะนั้นเอง จักรวาลวิทยาของพุทธศาสนาจึงพูดถึงกฎหรือกลไกที่บริหารและควบคุมวิวัฒนาการของจักรวาลโลกและภพภูมิต่างๆ รวมทั้งสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์และสังคมของมนุษย์ว่า มีอยู่ด้วยกันสองกฎหรือสองกลไก ซึ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กันและกัน นั่นคือ กฎแห่งกรรม กับกฎแห่งการเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน หรือ อิทัปจยตา ในขณะที่จักรวาลวิทยาที่เป็นวิทยาศาสตร์ จะรู้จักและเน้นเฉพาะประเด็นหลังประเด็นเดียว (self - organizing principle).
(Dalai Lama : The Universe in a Single Atom, 2006; Jeffrey Hopkins : Kalchakra Tantra, 1989; Francisco Valera,ed.The New Physics and Cosmology, 2003; Michio Kaku : Parallel Worlds, 2005; Brian Greene : The Fabric of Cosmos, 2004)
จาก
http://board.agalico.com/showthread.php?t=9274
บันทึกการเข้า
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ
เริ่มโดย
ตอบ
อ่าน
กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก
0
2535
21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย
มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก
0
2827
08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย
มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก
0
2120
05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย
มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก
0
2069
18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย
มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก
0
2121
03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย
มดเอ๊ก
กำลังโหลด...