
*ภาพ พระมหาไวโรจนะพุทธะ ( มหาสุริยะพุทธะ ) สำแดงหัตถ์ มุทรา ปริศนาธรรม
การถ่ายทอดคำสอนหรือการอภิเษก หลังจากที่ได้เตรียมตัวทุกขั้นตอนแล้ว ในที่สุดคุณก็พร้อมที่จะให้กำเนิดโพธิจิต สิ่งที่คุณต้องทำต่อไป คือ ไปหาคุรุหรือครูที่จะอบรมสั่งสอน เพื่อให้ท่านชี้ทางของภาวะแห่งการตื่นขึ้นให้คุณเหมือนกับว่าท่านเป็นผู้ที่ครอบครองสมบัติของคุณเอาไว้ เหมือนกับใครสักคนเก็บของของคุณไว้ แล้วคุณไปขอให้เขามอบมันคือให้คุณ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพียงแต่ว่าเราต้องผ่านพิธีกรรมอะไรบางอย่าง เมื่อคุณขอแล้ว ครูอาจารย์ก็จะแนะนำสั่งสอน นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า '' การถ่ายทอด " คือว่า " การถ่ายทอด " หรือ " อภิเษก " นี้ ใช้กันเฉพาะในคำสอนวัชรญาณและพุทธฝ่ายโยคะเท่านั้น เป็นคำที่ใช้กันมากในนิกายฝ่ายทิเบตและนิกายเซน การถ่ายทอดไม่ได้หมายความว่า อาจารย์หยิบยื่นความรู้หรือการค้นพบของท่านให้คุณ นั่นเป็นไปไม่ได้เลย กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ทรงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ประเด็นทั้งหมดอยู่ที่ว่าเราหยุดสั่งสมบุญกรรมทั้งหลาย แล้วพยายามที่จะละวางสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใจเราให้มันหมดไปให้ได้ และเพื่อหลีกเลี่ยงการสั่งสมกรรมใหม่ หลีกเลี่ยงการเพิ่มพลังให้อัตตา จำเป็นที่เราจะต้องขอคำแนะนำบางอย่าง จากผู้อื่น เพื่อเราจะได้มีความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างถูกมอบให้เรา เราจะได้ไม่เห็นว่ามันเป็นสมบัติของตัวที่ผู้อื่นนำมาคืนให้ แต่เป็นสิ่งที่มีค่ามาก ๆ ของคนคนนั้น เพราะเหตุนี้เราจึงต้องสำนึกในพระคุณของครูอาจารย์ และนั่นเป็นเกราะอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยป้องกันเราจากอัตตา เพราะคุณไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งที่คันพบได้ภายในตัวคุณเอง แต่เป็นสิ่งที่คนอื่นมอบให้คุณ ท่านมอบของกำนัลชิ้นนี้แก่คุณ แม้ในความเป็นจริง การถ่ายทอดไม่ใช่สิ่งที่จะหยิบยื่นให้แก่กันได้ดังที่กล่าวไปแล้ว แต่เป็นสิ่งที่ค้นพบได้ภายในตัวเองเท่านั้น ทั้งหมดที่ครูทำได้ก็คือสร้างสถานการณ์ขึ้นมา ท่านจะสร้างสถานการณ์ที่เหมาะสมขึ้น และด้วยสถานการณ์กับปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสมนี้เอง จิตของศิษย์ย่อมจะอยู่ในภาวะที่เหมาะสม เพราะตัวของศิษย์ก็อยู่ที่นั่นแล้ว เหมือนกับการไปโรงละคร ทุกอย่างได้รับการจัดสร้างไว้ให้คุณแล้วไม่ว่าจะเป็นที่นั่งเวที หรือ อุปกรณ์ อื่น ๆ ฉะนั้น เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปในโรงละคร เราจึงรู้สึกโดยอัตโนมัติว่าเรากำลังเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์บางอย่าง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งหรือเข้าร่วมในกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนั้น เพราะว่าปัจจัยแวดล้อมถูกสร้างไว้แล้ว สำหรับกรณีของการอภิเษก สถานการณ์อาจจะต่างออกไป แต่กระนั้นก็ยังมีปัจจัยแวดล้อมเฉพาะอย่างหนึ่ง อาจารย์อาจจะไม่พูดอะไรเลยหรืออาจจะอธิบายหลักธรรมอย่างยืดยาว หรืออาจประกอบพิธีกรรมบางอย่าง หรือไม่ก็ทำในสิ่งที่ดูน่าขันไร้สาระไปเลยก็ได้ มีเรื่องของท่านนาโรปะ ปราชญ์ชาวอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ หรือเรียกว่ามหาบัณฑิต หรือดุษฎีบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยนาลันทา ท่านเป็นหนึ่งในสี่ของมหาบัณฑิตที่มีชีวิตอยู่ในช่วงหนึ่งของพุทธศาสประวัติท่านเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นมหาบัณฑิตในอินเดียหรือในสกลจักรวาลเลยก็ว่าได้ ท่านสามารถสาธยายพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้อย่างขึ้นใจ ท่านรอบรู้ในปรัชญาและสรรพวิชาทั้งปวงแต่ก็ยังไม่พอใจในตัวเอง เพราะท่านได้แต่แสดงสิ่งที่เรียนรู้จากตำราออกมาแค่นั้นเอง ไม่เคยได้ศึกษาแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งจริงจัง ฉะนั้น วันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังเดินอยู่บนระเบียงอาคารในมหาวิทยาลัยท่านได้ยินขอทานกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันอยู่ข้างประตูทางเข้า ขอทานพวกนั้นพูดว่ามีโยคีผู้สามารถท่านหนึ่งนามว่า ติโลปะ เมื่อได้ยินชื่อเท่านั้น ท่านก็มั่นใจว่านั่นเป็นคุรุที่ตนแสวงหา จึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อค้นหาติโลปะ ท่านกำนัลพวกขอทานด้วยอาหารแล้วถามว่าติโลปะอาศัยอยู่ที่ใหน พวกขอท่านก็บอกสถานที่ให้ แต่กระนั้นท่านยังต้องใช้เวลาถึงสิบสองเดือนในการแสวงหา ทุกครั้งที่คิดว่าได้พบสถานที่ดังกล่าวแล้ว ท่านก็ถูกบอกให้ไปที่อื่นอีก ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆแห่งหนึ่ง ท่านถามว่าโยคีผู้ยิ่งใหญ่นามติโลปะอยู่ที่ใหน ชาวประมงผู้หนึ่งตอบว่า " เอ ! ข้าพเจ้าไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับ ' โยคีผู้ยิ่งใหญ่ "หรอก แต่มีติโลปะคนหนึ่งอาศัยอยู่ริมแม่น้ำโน่น เป็นคนเกียจคร้านยิ่งนัก กระทั่งปลาก็ไม่ยอมหาเอง ได้แต่อาศัยหัวปลาเศษไส้พุงปลาที่ชาวประมงคนอื่น ๆเขาโยนทิ้งเป็นอาหารยังชีพ " นาโรปะก็ไปตามคำบอกทาง แต่สิ่งที่ท่านเห็นเมื่อไปถึงมีเพียงขอทานท่าทางอ่อนโยนคนหนึ่ง ที่ดูท่าว่ากระทั่งจะเอ่ยปากพูดก็เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ท่านได้ก้มลงกราบพร้อมกับเอ่ยขอคำแนะนำสั่งสอน เป็นเวลาสามวันที่ติโลปะไม่พูดอะไรเลย แต่ในที่สุดก็ผงกศรีษะรับนาโรปะเข้าใจว่าท่านได้ยอมรับตนเป็นศิษย์แล้ว แล้วติโลปะก็กล่าวว่า " ตามฉันมาสิ " นาโรปะก็ติดตามติโลปะไปเป็นเวลานานถึงสิบสองปี ต้องฟันฝ่าอุปสรรคความยากลำบากนานัปการตลอดช่วงเวลานั้น ครั้งหนึ่ง ติโลปะ ออกปากว่าตนหิวมาก ( ข้าพเจ้าเล่าเรื่องนี้เพราะทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดคำสอน คุณเห็นไหมว่าท่านกำลังสร้างเหตุปัจจัยแวดล้อมที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่ ) ติโลปะจึงขอให้นาโรปะไปหาอาหาร ทีนี้ นาโรปะ เป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยมาก " เพราะเกิดในครอบครัวพราหมณ์ " แต่ต้องมาใช้ชีวิตเช่นนี้เพื่อทำตามอย่างของติโลปะ ท่านจึงเข้าไปในหมู่บ้านที่ชาวบ้านกำลังฉลองพิธีสมรสหรืองานฉลองอะไรสักอย่าง ตอนแรกก็พยายามขอบิณฑบาต แต่การขอบิณฑบาตในงานฉลองเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ห้ามทำ ท่านเลยแอบคลานเข้าไปในครัวแล้วขโมยซุปมาถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งอ้าวเพื่อเอาซุปไปถวายแก่ท่านอาจารย์ ติโลปะดูท่าจะพออกพอใจมากที่เดียว นี่เป็นครั้งแรกที่นาโรปะได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของท่าน นาโรปะก็คิดว่า" แหม ! ดีจริง ๆ เราจะกลับไปขโมยซุปอีกถ้วย " ติโลปะแสดงอาการเห็นดีเห็นงามพร้อมทั้งกล่าวว่าตนอยากจะได้ซุปอีกสักถ้วย แต่คราวนี้พวกชาวบ้านจับตัวนาโรปะได้และรุมทุบตีท่านจนแขนขาหัก เสร็จแล้วก็ปล่อยให้นอนครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่กับพื้นนั่นเอง สองสามวันต่อมา ติโลปะมาพบและกล่าวว่า " อ้าว ! นั่นเจ้าเป็นอะไร ทำไมไม่กลับมา " ดูท่านท่าทางฉุนเฉียวมาก นาโรปะ จึงตอบว่า " ข้าพเจ้ากำลังจะตาย " แต่ติโลปะกลับพูดว่า " ลุกขึ้น ! เจ้ายังไม่ตายหรอก และเจ้ายังจะต้องติดตามเราไปอีกหลายปี " นาโรปะเลยลุกขึ้น แล้วก็รู้สึกหายเจ็บปวดเป็นปลิดทิ้ง กลับเป็นปรกติอย่างน่าอัศจรรย์ อีกครั้งหนึ่ง ครูกับศิษย์เดินทางไปถึงคลองแห่งหนึ่งซึ่งมีน้ำลึกและเต็มไปด้วยปลิง ติโลปะบอกว่าท่านต้องการจะข้ามไปอีกฟากฝั่งหนึ่งและขอให้นาโรปะนอนขวางคลองเพื่อเป็นสะพานให้ท่านข้ามไป นาโรปะ ก็นอนลงในน้ำ เมื่อติโลปะเดินเหยียบไปบนลำตัว นาโรปะพบว่าร่างกายของตนถูกปลิงเป็นร้อย ๆ ตัวรุมดูดเลือด และเป็นอีกครั้งที่นาโรปะถูกทิ้งให้นอนอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นตลอดเวลากระทั่งในที่สุดวันหนึ่งในเดือนสุดท้ายของปีที่สิบสอง จู่ ๆ ติโลปะซึ่งกำลังนั่งอยู่กับนาโรปะก็ถอดรองเท้าข้างหนึ่งของท่านออกมาตบหน้านาโรปะ ขณะนั้นเองที่คำสอนแห่งมหามุทราซึ่งหมายถึงสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ได้ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันในใจของนาโรปะแล้วท่านก็เข้าถึงความรู้แจ้งจากนั้นก็มีงานฉลองใหญ่ ติโลปะบอกกับนาโรปะว่า " นี่คือทั้งหมดที่เราสามารถสั่งสอนชี้แนะเจ้าได้ บัดนี้เราได้ถ่ายทอดคำสอนทั้งหมดให้เจ้าแล้ว ในวันข้างหน้า หากมีผู้ต้องการดำเนินตามวิถีมหามุทรา เขาผู้นั้นต้องร่ำเรียนและรับคำสั่งจากนาโรปะ นาโรปะเปรียบเหมือนราชันองค์ที่สองต่อจากเรา " หัลงจากได้กล่าวดังนั้นแล้ว ติโลปะจึงอธิบายคำสอนนั้นให้นาโรปะฟังโดยละเอียด นั่นเป็นตัวอย่างหนึ่งของ " การถ่ายทอดคำสอน " แน่นอนว่าในสมัยนั้นผู้คนอดทนมากกว่าและสามารถที่จะให้เวลานาน ๆ และก็พร้อมที่จะทำเช่นนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่านาโรปะได้รับคำสอนเฉพาะเวลาที่ถูกรองเท้าตบหน้าเท่านั้น ทว่ากระบวนการดังกล่าวดำเนินไปตลอดสิบสองปีที่ท่านใช้เวลาอยู่กับครู ความยากลำบากและขั้นตอนทั้งหลายที่นาโรปะต้องฝ่าฟันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดคำสอน มันเป็นเรื่องของการเสริมและสร้างบรรยากาศ ในทำนองเดียวกันพิธีกรรมการถ่ายทอดคำสอนหนึ่ง ๆ หรือพิธีอภิเษกถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างปัจจัยสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมถึงสถานที่ ตัวบุคคล และการเปล่งวาจาว่า " เราจะสั่งสอนเจ้าภายในเวลาสามวัน และการอภิเษกจะเริ่มขึ้นในตอนนั้น " ด้วยวิธีนี้ ศิษย์จะเปิดใจของตนออก เมื่อเปิดตัวออกแล้ว ครูจะพูดอะไรสักเล็กน้อยซึ่งอาจไม่มีความหมายอะไรนัก หรือบางทีก็ไม่พูดอะไรเลย สิ่งสำคัญคือการสร้างสถานการณ์ที่เหมาะสมทั้งในฝ่ายของครูและศิษย์ และเมื่อสถานการณ์ที่เหมาะสมถูกสร้างขึ้นแล้วทันใดนั้นก็ไม่มีครูกับศิษย์อีกต่อไป ครูทำหน้าที่เหมือนประตูทางเข้าทางหนึ่งและศิษย์เป็นทางเข้าอีกทางหนึ่ง เมื่อประตูทั้งสองบานเปิดออก ก็จะมีความว่างเปล่าที่สมบูรณ์ มีความเป็นหนึ่งเดียวกันที่สมบูรณ์ระหว่างสองสิ่ง นี่เป็นศัพทืทางเซนเรียกว่า " การพบกันของใจสองดวง " เมื่อฝ่ายหนึ่งไขปริศนาเซนได้ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายจะนิ่งเงียบ ปรามาจารย์เซนจะไม่พูดว่า " เธอทำถูกต้องแล้ว " หรือ" เธอคนพบคำตอบแล้ว " แต่ท่านจะหยุดและศิษย์ก็เพียงหยุดนิ่ง ชั่วขณะของความเงียบจะเกิดขึ้นนั่นคือการถ่ายทอด - การสร้างสถานการณ์ที่เหมาะสม - นั่นคือที่สุดที่ครูผู้สอนสามารถทำได้ และคือที่สุดที่คุณจะทำได้เช่นกัน การถ่ายทอดคำสอนเป็นเพียงการเปิดใจของทั้งสองฝ่าย เปิดทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น เราเปิดใจอย่างสิ้นเชิงชนิดที่ว่า แม้จะเป็นการเปิดใจเพียงไม่กี่วินาที มันก็มีความหมายอย่างยิ่งยวด นั่นไม่ได้หมายความว่าเราได้ไปถึงพระนิพพานแล้ว แต่เราได้เห็นประพิมพ์ประพายของสิ่งที่เป็นสัจธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นหรือน่าตระหนกตกใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นประสบการณ์ที่มีผลต่อความรู้สึกมากนัก มันเป็นเพียงแค่การเปิดออก เป็นแสงวาบประกายหนึ่งแค่นั้นเอง แม้เราจะอ่านเจอในตำราต่าง ๆ ที่ได้บรรยายถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยคำศัพท์และชื่อเรียกต่าง ๆนานาไม่ว่าจะเป็น " บรมสุข " หรือ " มหามุทรา " หรือ " ภาวะที่ตื่นขึ้นของจิต " หรือ " การตรัสรู้อย่างฉับพลัน " ก็ตาม แต่ถึงกระนั้น ตัวประสบการณ์อันแท้จริงนั้นก็แสนจะเรียบง่ายสามัญและตรงยิ่งนักมันเป็นเพียงการพบกันของใจสองดวง สองใจกลายเป็นหนึ่งเดียว จาก หนังสือ ภาวนาคือชีวิต โดย เชอเกรียม ตรุงปะ