[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มิถุนายน 2568 02:43:43 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มหามุทราอุปเทศ : คุรุติโลปะมอบให้แก่ท่านนาโรปะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา  (อ่าน 4635 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 20:54:01 »



* คุรุ สายประคำทอง  แห่งวัชรยาน นิกายกาคิวปะ เน้นฝึกมหามุทรา




มหามุทราอุปเทศ







คำสอนปากเปล่าเรื่องมหามุทรา ซึ่งท่านศรีติโลปะมอบให้แก่ท่านนาโรปะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา

แปลจากสันสกฤตสู่ภาษาธิเบตโดย ชอคยีโลโดร มารปะ คัมภีราจารย์










ขอคารวะต่อสหัชปัญญา




มหามุทรานั้นไม่อาจไขแสดงได้

ทว่าสำหรับเจ้าผู้อุทิศตนแล้วต่อคุรุ เจ้าผู้ซึ่งทรงไว้ซึ่งพรตจรรยา

และได้แบกรับซึ่งทุกข์ทรมาน นาโรปะผู้ทรงปัญญา

จงจดจำคำสอนนี้ไว้ในใจ ศิษย์ผู้มีชะตากรรมอันเป็นกุศล







ขอจงสดับ




มองดูที่สภาวธรรมของโลก

ความไม่เที่ยงแท้นั้นคล้ายดังภาพมายาหรือความฝัน

แม้แต่ภาพมายาหรือความฝันนั้นก็ไม่มีอยู่จริง

ด้วยเหตุนี้ เจ้าจงมุ่งสู่การสละละ

และปล่อยวางซึ่งสิ่งร้อยรัดทางโลก







จงปล่อยวางบริวารและญาติมิตร

อันเป็นเหตุแห่งความปรารถนา และความขุ่นข้อง

บำเพ็ญสมาธิเพียงลำพังในราวป่า ในวิเวกสถาน ในที่อันสงัด

ดำรงตนอยู่ในอสมาธิภาวะ

หากเจ้าเข้าถึงการไม่บรรลุถึง เจ้าจะได้ประสบพบมหามุทรา







สภาวธรรมแห่งวัฏสงสารนั้นไร้แก่นสาร

ก่อให้เกิดความปรารถนาและความขุ่นข้อง

สรรพสิ่งที่เราปั้นแต่งล้วนปราศจากความจีรัง

ด้วยเหตุนี้ จึงควรแสวงหาสัจธรรมอันล้ำค่า

สภาวธรรมของจิตนั้นไม่อาจเห็นค่าความหมายของอจิตได้

สภาวธรรมแห่งกรรมย่อมไม่อาจประจักษ์ในอกรรมได้







หากเจ้าต้องการจะบรรลุถึงอจิตและอกรรม

เจ้าย่อมตัดขาดรากเหง้าแห่งจิต

และปล่อยให้ดวงวิญญาณดำรงอยู่อย่างเปล่าเปลือย

จะปล่อยให้น้ำอันขุ่นข้นแห่งเจตสิกใสกระจ่าง

ไม่จำเป็นต้องระงับยับยั้งความรู้สึกนึกคิด

แต่ปล่อยให้มันสงบลงตามกาล

หากไร้ซึ่งการดึงดูดหรือผลักไส

เจ้าจะหลุดพ้นในมหามุทรา







เมื่อพฤกษาผลิใบและกิ่งก้าน

หากเจ้าบั่นรากมันเสีย ใบและกิ่งก้านย่อมร่วงโรยลง

เช่นเดียวกัน หากเจ้าตัดรากถอนโคนของจิต

ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายย่อมเสื่อมทรามลง







ความมืดมนที่ถูกสั่งสมมานานนับกัปกัลป์

จะถูกขับไล่ไปด้วยดวงประทีปเพียงหนึ่ง

เช่นเดียวกัน การได้ประจักษ์ถึงจิตอันสว่างไสวในพริบตา

จะละลายม่านหมอกมลทินแห่งกรรม

มนุษย์ผู้ด้อยปัญญาซึ่งอาจเข้าถึงสิ่งนี้







จงเพ่งการกำหนดรู้ จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจของเจ้า

โดยอาศัยการเพ่งกสิณ และฝึกฝนฌานวิถี

จงขัดเกลาจิตใจของเจ้าจนมันสงบ ผ่อนพักตามธรรมชาติ







หากเจ้าได้รับรู้ที่ว่างอันเวิ้งว้างและความว่าง

ความคิดอันยึดติดอยู่กับศูนย์กลางและขอบเขตจักมลายไป

เช่นเดียวกัน หากจิตสามารถรับรู้ถึงตัวจิตได้

ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายจะยุติลง

เจ้าจะดำรงอยู่ในสภาวะที่ปราศจากความคิดคำนึง

และจะรับรู้ได้ถึง "โพธิจิต"







หมอกไอที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นกลับกลายเป็นเมฆ

และหายลับไปในผืนฟ้า

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพยับเมฆนั้นหายไปแห่งใดเมื่อมันสลายตัวลง

เช่นเดียวกัน คลื่นแห่งความคิดคำนึงที่อุบัติขึ้นจากจิต

ย่อมสูญมลายไปเมื่อจิตรับรู้ได้ถึงจิต







ที่ว่างนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง

ไม่อาจเปลี่ยนแปร ไม่อาจแต่งแต้มด้วยสีดำหรือสีขาว

เช่นเดียวกัน จิตอันสว่างไสวนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง

ไม่อาจแปดเปื้อนด้วยขาวหรือดำ กุศลหรืออกุศล







แก่นแท้อันบริสุทธิ์และสว่างไสวของดวงอาทิตย์

ไม่อาจถูกบดบังได้ด้วยความมืดมิด

ที่ถูกสั่งสมมานานนับพันกัลป์

เช่นเดียวกัน ความสว่างไสวอันเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของจิต

ย่อมไม่สามารถทำให้มัวหมองได้ด้วยวัฏสงสารอันยาวนานไม่สิ้นสุด







แม้เราจะกล่าวว่าอากาศธาตุนั้นเวิ้งว้างว่างเปล่า

และไม่อาจให้คำจำกัดความได้

เช่นเดียวกัน แม้เราจะกล่าว่าจิตนั้นสว่างไสว

แต่การให้นิยามนั้นหาได้พิสูจน์ไม่ว่ามันมีอยู่จริง

ที่ว่างนั้นสมบูรณ์พร้อมโดยปราศจากตำแหน่งแห่งหน

เช่นเดียวกันที่จิตแห่งมหามุทรานั้นหาได้ดำรงอยู่แห่งหนใดไม่







โดยปราศจากการแปรเปลี่ยน ดำรงตนอยู่ในภาวะแรกเริ่ม

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บ่วงร้อยรัดของเจ้าจะคลายลง

แก่นของจิตนั้นคล้ายดังความว่าง

ด้วยเหตุนี้ จึงหามีสิ่งใดอยู่นอกปริมณฑลของมันไม่

ปล่อยให้การเคลื่อนไหวของกายเป็นไปอย่างแท้จริง

ยุติความช่างจำนรรจา

ปล่อยให้ถ้อยวาจาของเจ้าเป็นดุจดังเสียงอุโฆษ

ไร้จิต ทว่าประจักษ์เห็นในศาสนธรรมอันสูงส่ง







กายนั้นเปรียบดังปล้องไผ่ ที่หามีแก่นในไม่

จิตนั้นเป็นเนื้อแท้แห่งความว่าง

ไม่มีแง่มุมใดให้ความคิดได้พักอาศัย

จงผ่อนคลายจิตของเจ้า ไม่กักขังหรือปล่อยให้ร่อนเร่

เมื่อจิตไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย นี่เองคือมหามุทรา

การบรรลุถึงสิ่งนี้คือการตรัสรู้อันสูงสุด







ธรรมชาติจิตนั้นสว่างไสว ปราศจากซึ่งธรรมารมณ์

เจ้าจะพบมรรคาของพระพุทธองค์

เมื่อปราศจากหนทางแห่งสมาธิภาวนา

โดยการภาวนาในอภาวนา เจ้าจะบรรลุถึงมหาโพธิ

นี่คือราชันย์แห่งสัมมาทิฏฐิ – ที่ไปพ้นการยึดติดและครอบครอง

นี่คือราชันย์แห่งสัมมาสมาธิ – ที่ปราศจากจิตใจอันสับสนฟุ้งซ่าน

นี่คือราชันย์แห่งสัมมากัมมันตะ – ที่ปราศจากความพยายาม

เมื่อไร้สิ้นซึ่งความกลัวและความหวัง เจ้าย่อมบรรลุถึงวิโมกษ์







ธรรมธาตุนั้นปราศจากอนุสัยและสิ่งมัวหมอง

จงผ่อนพักจิตในสภาวะแรกเริ่ม

อันไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสมาธิภาวะและหลังจากนั้น

เมื่อความรู้สึกนึกคิดได้ทำให้ธรรมแห่งดวงจิตอ่อนล้า

เราจะได้บรรลุถึงราชันย์แห่งญาณทัสนะ

เป็นอิสระจากขอบเขตทั้งมวล







การไร้ขอบเขตและความลึกซึ้งนั้น

เป็นองค์จักรพรรดิแห่งสัมมาสมาธิ

การตั้งมั่นในตนอย่างไร้แรงพยายามนั้น

เป็นองค์จักรพรรดิแห่งกรรม

การดำรงตนอย่างไร้การมุ่งหวังนั้น

เป็นองค์จักรพรรดิแห่งมรรคผล







ในยามเริ่มต้นนั้นจิตคล้ายดังแม่น้ำคลั่ง

ในยามกลางคล้ายตัวแม่น้ำคงคาที่ไหลเรื่อย

ในยามปลายกลับราบเรียบเป็นหนึ่ง

คล้ายดังการสวมกอดระหว่างมารดากับบุตร







ผู้เลื่อมใสในตันตระ ในปรัชญาปารมิตา

ในพระวินัย พระสูตร และในศาสนมรรคทั้งหลาย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยการเชื่อถือแต่ในตัวคัมภีร์และหลักปรัชญา

ย่อมไม่อาจหยั่งเห็นถึงมหามุทราอันสว่างไสวได้

ไร้จิต ไร้ความปรารถนา

สงบรำงับ ดำรงอยู่ด้วยตนเอง

เปรียบประดุจกระแสน้ำ

ความสว่างไสวนั้นจะถูกบดบังได้ก็ด้วยการอุบัติขึ้นของตัณหา







สมยาธิษฐานอันแท้จริงย่อมสิ้นสุดลงหากยึดมั่นในศีล

หากเจ้าทั้งมิได้ดำรงอยู่ รับรู้

หรือถอยห่างออกจากความจริงอันสูงสุด

เมื่อนั้น เจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกฝนที่แท้

เป็นดวงประทีปที่ขับไล่ความมืดมน

หากเจ้าปราศจากความปรารถนา

หากเจ้าไม่ดำรงตนอยู่ในความสุดขั้วใดๆ

เจ้าจะแลเห็นสภาวธรรมจากคำสอนทั้งมวล







หากเจ้าแน่วแน่อยู่ในความเพียรนี้

เจ้าจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้

หากเจ้าตั้งมั่นดังนี้

เจ้าจะแผดเผาม่านหมอกแห่งอกุศลกรรมให้สลายไป

ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงได้รับฉายาว่าเป็นดัง

"ประทีปสว่างไสวแห่งพระคำสอน"







แม้กระทั่งชนผู้ขลาดเขลา

ที่ไม่ได้อุทิศตนให้กับหลักธรรมคำสอนนี้

ก็อาจได้รับการช่วยเหลือจากเจ้ามิให้จมดิ่งลงไปในสังสารวัฏ

น่าเศร้ายิ่งที่สรรพสัตว์จะต้องทนทุกข์เวทนาอยู่ในภูมิอันต่ำช้า

ผู้ที่ต้องการปลดปล่อยตนเองจากความทุกข์

จะต้องแสวงหาซึ่งคุรุผู้ทรงคุณ

ด้วยแรงอธิษฐาน จิตของผู้นั้นจะได้รับการปลดปล่อย







หากเจ้าแสวงหากรรมมุทรา เมื่อนั้นปรีชาญาณแห่งการผสานรวมของปีติและสุญญตาจะอุบัติขึ้น

การผสานรวมกันระหว่างอุบายและวิชชาจะนำมาซึ่งอานิสงส์

จงชักนำมันลงมาเพื่อก่อเกิดมณฑลให้สถิตอยู่ ณ จักรและแผ่ซ่านไปทั่วร่าง







เมื่อปราศจากความปรารถนามาข้องเกี่ยว

การผสานรวมกันของปีติและสุญญตาจะอุบัติขึ้น

ถึงซึ่งความเป็นผู้มีอายุยืนยาว ปราศจากผมหงอกขาว

เจ้าจะเต็มเปี่ยมดังดวงจันทร์

ทรงประภารัศมี อีกทั้งพละก็หาใดเปรียบมิได้

เจ้าจะบรรลุถึงสิทธิอำนาจโดยพลัน

และจะโคจรไปสู่ความเป็นมหาสิทธา

ขอให้คำสอนแห่งมหามุทรานี้

คงอยู่ในใจของสรรพสัตว์ผู้เปี่ยมโชค.

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 20:54:36 »


*ภาพ พระมหาไวโรจนะพุทธะ ( มหาสุริยะพุทธะ ) สำแดงหัตถ์ มุทรา ปริศนาธรรม
 
 
 
การถ่ายทอดคำสอนหรือการอภิเษก
 
 
หลังจากที่ได้เตรียมตัวทุกขั้นตอนแล้ว ในที่สุดคุณก็พร้อมที่จะให้กำเนิดโพธิจิต สิ่งที่คุณต้องทำ
ต่อไป คือ ไปหาคุรุหรือครูที่จะอบรมสั่งสอน เพื่อให้ท่านชี้ทางของภาวะแห่งการตื่นขึ้นให้คุณ
เหมือนกับว่าท่านเป็นผู้ที่ครอบครองสมบัติของคุณเอาไว้ เหมือนกับใครสักคนเก็บของของคุณ
ไว้ แล้วคุณไปขอให้เขามอบมันคือให้คุณ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพียงแต่ว่าเราต้องผ่านพิธี
กรรมอะไรบางอย่าง เมื่อคุณขอแล้ว ครูอาจารย์ก็จะแนะนำสั่งสอน นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า '' การถ่าย
ทอด " คือว่า " การถ่ายทอด " หรือ " อภิเษก " นี้ ใช้กันเฉพาะในคำสอนวัชรญาณและพุทธฝ่าย
โยคะเท่านั้น เป็นคำที่ใช้กันมากในนิกายฝ่ายทิเบตและนิกายเซน การถ่ายทอดไม่ได้หมายความ
ว่า อาจารย์หยิบยื่นความรู้หรือการค้นพบของท่านให้คุณ นั่นเป็นไปไม่ได้เลย กระทั่งพระพุทธเจ้า
ก็ทรงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ประเด็นทั้งหมดอยู่ที่ว่าเราหยุดสั่งสมบุญกรรมทั้งหลาย แล้ว
พยายามที่จะละวางสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใจเราให้มันหมดไปให้ได้ และเพื่อหลีกเลี่ยงการสั่งสมกรรม
ใหม่ หลีกเลี่ยงการเพิ่มพลังให้อัตตา จำเป็นที่เราจะต้องขอคำแนะนำบางอย่าง จากผู้อื่น เพื่อเรา
จะได้มีความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างถูกมอบให้เรา เราจะได้ไม่เห็นว่ามันเป็นสมบัติของตัวที่ผู้อื่น
นำมาคืนให้ แต่เป็นสิ่งที่มีค่ามาก ๆ ของคนคนนั้น เพราะเหตุนี้เราจึงต้องสำนึกในพระคุณของครู
อาจารย์ และนั่นเป็นเกราะอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยป้องกันเราจากอัตตา เพราะคุณไม่ได้มองว่ามันเป็น
สิ่งที่คันพบได้ภายในตัวคุณเอง แต่เป็นสิ่งที่คนอื่นมอบให้คุณ ท่านมอบของกำนัลชิ้นนี้แก่คุณ แม้
ในความเป็นจริง การถ่ายทอดไม่ใช่สิ่งที่จะหยิบยื่นให้แก่กันได้ดังที่กล่าวไปแล้ว แต่เป็นสิ่งที่ค้นพบ
ได้ภายในตัวเองเท่านั้น ทั้งหมดที่ครูทำได้ก็คือสร้างสถานการณ์ขึ้นมา ท่านจะสร้างสถานการณ์ที่
เหมาะสมขึ้น และด้วยสถานการณ์กับปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสมนี้เอง จิตของศิษย์ย่อมจะอยู่ใน
ภาวะที่เหมาะสม เพราะตัวของศิษย์ก็อยู่ที่นั่นแล้ว เหมือนกับการไปโรงละคร ทุกอย่างได้รับการจัด
สร้างไว้ให้คุณแล้วไม่ว่าจะเป็นที่นั่งเวที หรือ อุปกรณ์ อื่น ๆ ฉะนั้น เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปในโรงละ
คร เราจึงรู้สึกโดยอัตโนมัติว่าเรากำลังเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์บางอย่าง เมื่อไหร่ก็ตาม
ที่เราเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งหรือเข้าร่วมในกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของกิจกรรมนั้น เพราะว่าปัจจัยแวดล้อมถูกสร้างไว้แล้ว สำหรับกรณีของการอภิเษก สถานการณ์
อาจจะต่างออกไป แต่กระนั้นก็ยังมีปัจจัยแวดล้อมเฉพาะอย่างหนึ่ง อาจารย์อาจจะไม่พูดอะไรเลย
หรืออาจจะอธิบายหลักธรรมอย่างยืดยาว หรืออาจประกอบพิธีกรรมบางอย่าง หรือไม่ก็ทำในสิ่ง
ที่ดูน่าขันไร้สาระไปเลยก็ได้
 
 
มีเรื่องของท่านนาโรปะ ปราชญ์ชาวอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ หรือเรียกว่ามหาบัณฑิต หรือดุษฎีบัณฑิตแห่ง
มหาวิทยาลัยนาลันทา ท่านเป็นหนึ่งในสี่ของมหาบัณฑิตที่มีชีวิตอยู่ในช่วงหนึ่งของพุทธศาสประวัติ
ท่านเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นมหาบัณฑิตในอินเดียหรือในสกลจักรวาลเลยก็ว่าได้ ท่านสามารถสาธยาย
พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้อย่างขึ้นใจ ท่านรอบรู้ในปรัชญาและสรรพวิชาทั้งปวงแต่ก็ยังไม่พอ
ใจในตัวเอง เพราะท่านได้แต่แสดงสิ่งที่เรียนรู้จากตำราออกมาแค่นั้นเอง ไม่เคยได้ศึกษาแก่นแท้ของ
สิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งจริงจัง ฉะนั้น วันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังเดินอยู่บนระเบียงอาคารในมหาวิทยาลัย
ท่านได้ยินขอทานกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันอยู่ข้างประตูทางเข้า ขอทานพวกนั้นพูดว่ามีโยคีผู้สามารถท่าน
หนึ่งนามว่า ติโลปะ เมื่อได้ยินชื่อเท่านั้น ท่านก็มั่นใจว่านั่นเป็นคุรุที่ตนแสวงหา จึงตัดสินใจออกเดิน
ทางเพื่อค้นหาติโลปะ ท่านกำนัลพวกขอทานด้วยอาหารแล้วถามว่าติโลปะอาศัยอยู่ที่ใหน พวกขอ
ท่านก็บอกสถานที่ให้ แต่กระนั้นท่านยังต้องใช้เวลาถึงสิบสองเดือนในการแสวงหา ทุกครั้งที่คิดว่า
ได้พบสถานที่ดังกล่าวแล้ว ท่านก็ถูกบอกให้ไปที่อื่นอีก ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ
แห่งหนึ่ง ท่านถามว่าโยคีผู้ยิ่งใหญ่นามติโลปะอยู่ที่ใหน ชาวประมงผู้หนึ่งตอบว่า " เอ ! ข้าพเจ้า
ไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับ ' โยคีผู้ยิ่งใหญ่ "หรอก แต่มีติโลปะคนหนึ่งอาศัยอยู่ริมแม่น้ำโน่น เป็นคน
เกียจคร้านยิ่งนัก กระทั่งปลาก็ไม่ยอมหาเอง ได้แต่อาศัยหัวปลาเศษไส้พุงปลาที่ชาวประมงคนอื่น ๆ
เขาโยนทิ้งเป็นอาหารยังชีพ " นาโรปะก็ไปตามคำบอกทาง แต่สิ่งที่ท่านเห็นเมื่อไปถึงมีเพียงขอทาน
ท่าทางอ่อนโยนคนหนึ่ง ที่ดูท่าว่ากระทั่งจะเอ่ยปากพูดก็เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ท่านได้ก้มลงกราบ
พร้อมกับเอ่ยขอคำแนะนำสั่งสอน เป็นเวลาสามวันที่ติโลปะไม่พูดอะไรเลย แต่ในที่สุดก็ผงกศรีษะรับ
นาโรปะเข้าใจว่าท่านได้ยอมรับตนเป็นศิษย์แล้ว แล้วติโลปะก็กล่าวว่า " ตามฉันมาสิ " นาโรปะก็ติด
ตามติโลปะไปเป็นเวลานานถึงสิบสองปี ต้องฟันฝ่าอุปสรรคความยากลำบากนานัปการตลอดช่วง
เวลานั้น ครั้งหนึ่ง ติโลปะ ออกปากว่าตนหิวมาก ( ข้าพเจ้าเล่าเรื่องนี้เพราะทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของ
การถ่ายทอดคำสอน คุณเห็นไหมว่าท่านกำลังสร้างเหตุปัจจัยแวดล้อมที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่ )
ติโลปะจึงขอให้นาโรปะไปหาอาหาร ทีนี้ นาโรปะ เป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยมาก " เพราะเกิดในครอบ
ครัวพราหมณ์ " แต่ต้องมาใช้ชีวิตเช่นนี้เพื่อทำตามอย่างของติโลปะ ท่านจึงเข้าไปในหมู่บ้านที่ชาว
บ้านกำลังฉลองพิธีสมรสหรืองานฉลองอะไรสักอย่าง ตอนแรกก็พยายามขอบิณฑบาต แต่การขอ
บิณฑบาตในงานฉลองเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ห้ามทำ ท่านเลยแอบคลานเข้าไปในครัวแล้วขโมยซุปมาถ้วย
หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งอ้าวเพื่อเอาซุปไปถวายแก่ท่านอาจารย์ ติโลปะดูท่าจะพออกพอใจมากที่เดียว นี่
เป็นครั้งแรกที่นาโรปะได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของท่าน นาโรปะก็คิดว่า
" แหม ! ดีจริง ๆ เราจะกลับไปขโมยซุปอีกถ้วย " ติโลปะแสดงอาการเห็นดีเห็นงามพร้อมทั้งกล่าว
ว่าตนอยากจะได้ซุปอีกสักถ้วย แต่คราวนี้พวกชาวบ้านจับตัวนาโรปะได้และรุมทุบตีท่านจนแขน
ขาหัก เสร็จแล้วก็ปล่อยให้นอนครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่กับพื้นนั่นเอง สองสามวันต่อมา ติโลปะมาพบ
และกล่าวว่า " อ้าว ! นั่นเจ้าเป็นอะไร ทำไมไม่กลับมา " ดูท่านท่าทางฉุนเฉียวมาก นาโรปะ จึงตอบ
ว่า " ข้าพเจ้ากำลังจะตาย " แต่ติโลปะกลับพูดว่า " ลุกขึ้น ! เจ้ายังไม่ตายหรอก และเจ้ายังจะต้อง
ติดตามเราไปอีกหลายปี " นาโรปะเลยลุกขึ้น แล้วก็รู้สึกหายเจ็บปวดเป็นปลิดทิ้ง กลับเป็นปรกติ
อย่างน่าอัศจรรย์
 
 
อีกครั้งหนึ่ง ครูกับศิษย์เดินทางไปถึงคลองแห่งหนึ่งซึ่งมีน้ำลึกและเต็มไปด้วยปลิง ติโลปะบอกว่า
ท่านต้องการจะข้ามไปอีกฟากฝั่งหนึ่งและขอให้นาโรปะนอนขวางคลองเพื่อเป็นสะพานให้ท่านข้าม
ไป นาโรปะ ก็นอนลงในน้ำ เมื่อติโลปะเดินเหยียบไปบนลำตัว นาโรปะพบว่าร่างกายของตนถูกปลิง
เป็นร้อย ๆ ตัวรุมดูดเลือด และเป็นอีกครั้งที่นาโรปะถูกทิ้งให้นอนอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน เหตุ
การณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นตลอดเวลากระทั่งในที่สุดวันหนึ่งในเดือนสุดท้ายของปีที่สิบสอง จู่ ๆ ติโลปะ
ซึ่งกำลังนั่งอยู่กับนาโรปะก็ถอดรองเท้าข้างหนึ่งของท่านออกมาตบหน้านาโรปะ ขณะนั้นเองที่คำสอน
แห่งมหามุทราซึ่งหมายถึงสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ได้ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันในใจของนาโรปะแล้วท่าน
ก็เข้าถึงความรู้แจ้งจากนั้นก็มีงานฉลองใหญ่ ติโลปะบอกกับนาโรปะว่า " นี่คือทั้งหมดที่เราสามารถ
สั่งสอนชี้แนะเจ้าได้ บัดนี้เราได้ถ่ายทอดคำสอนทั้งหมดให้เจ้าแล้ว ในวันข้างหน้า หากมีผู้ต้องการ
ดำเนินตามวิถีมหามุทรา เขาผู้นั้นต้องร่ำเรียนและรับคำสั่งจากนาโรปะ นาโรปะเปรียบเหมือน
ราชันองค์ที่สองต่อจากเรา " หัลงจากได้กล่าวดังนั้นแล้ว ติโลปะจึงอธิบายคำสอนนั้นให้นาโรปะ
ฟังโดยละเอียด
 
 
นั่นเป็นตัวอย่างหนึ่งของ " การถ่ายทอดคำสอน " แน่นอนว่าในสมัยนั้นผู้คนอดทนมากกว่าและ
สามารถที่จะให้เวลานาน ๆ และก็พร้อมที่จะทำเช่นนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่านาโรปะได้รับคำ
สอนเฉพาะเวลาที่ถูกรองเท้าตบหน้าเท่านั้น ทว่ากระบวนการดังกล่าวดำเนินไปตลอดสิบสองปี
ที่ท่านใช้เวลาอยู่กับครู ความยากลำบากและขั้นตอนทั้งหลายที่นาโรปะต้องฝ่าฟันนั้นเป็นส่วนหนึ่ง
ของการถ่ายทอดคำสอน มันเป็นเรื่องของการเสริมและสร้างบรรยากาศ ในทำนองเดียวกันพิธี
กรรมการถ่ายทอดคำสอนหนึ่ง ๆ หรือพิธีอภิเษกถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างปัจจัยสิ่งแวดล้อม
ซึ่งรวมถึงสถานที่ ตัวบุคคล และการเปล่งวาจาว่า " เราจะสั่งสอนเจ้าภายในเวลาสามวัน และการ
อภิเษกจะเริ่มขึ้นในตอนนั้น " ด้วยวิธีนี้ ศิษย์จะเปิดใจของตนออก เมื่อเปิดตัวออกแล้ว ครูจะพูด
อะไรสักเล็กน้อยซึ่งอาจไม่มีความหมายอะไรนัก หรือบางทีก็ไม่พูดอะไรเลย สิ่งสำคัญคือการสร้าง
สถานการณ์ที่เหมาะสมทั้งในฝ่ายของครูและศิษย์ และเมื่อสถานการณ์ที่เหมาะสมถูกสร้างขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นก็ไม่มีครูกับศิษย์อีกต่อไป ครูทำหน้าที่เหมือนประตูทางเข้าทางหนึ่งและศิษย์เป็นทางเข้า
อีกทางหนึ่ง เมื่อประตูทั้งสองบานเปิดออก ก็จะมีความว่างเปล่าที่สมบูรณ์ มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ที่สมบูรณ์ระหว่างสองสิ่ง นี่เป็นศัพทืทางเซนเรียกว่า " การพบกันของใจสองดวง " เมื่อฝ่ายหนึ่งไข
ปริศนาเซนได้ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายจะนิ่งเงียบ ปรามาจารย์เซนจะไม่พูดว่า " เธอทำถูกต้องแล้ว " หรือ
" เธอคนพบคำตอบแล้ว " แต่ท่านจะหยุดและศิษย์ก็เพียงหยุดนิ่ง ชั่วขณะของความเงียบจะเกิดขึ้น
นั่นคือการถ่ายทอด - การสร้างสถานการณ์ที่เหมาะสม - นั่นคือที่สุดที่ครูผู้สอนสามารถทำได้ และ
คือที่สุดที่คุณจะทำได้เช่นกัน การถ่ายทอดคำสอนเป็นเพียงการเปิดใจของทั้งสองฝ่าย เปิดทุกสิ่งทุก
อย่างจนหมดสิ้น เราเปิดใจอย่างสิ้นเชิงชนิดที่ว่า แม้จะเป็นการเปิดใจเพียงไม่กี่วินาที มันก็มีความ
หมายอย่างยิ่งยวด นั่นไม่ได้หมายความว่าเราได้ไปถึงพระนิพพานแล้ว แต่เราได้เห็นประพิมพ์ประ
พายของสิ่งที่เป็นสัจธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นหรือน่าตระหนกตกใจ ไม่จำเป็นต้องเป็น
ประสบการณ์ที่มีผลต่อความรู้สึกมากนัก มันเป็นเพียงแค่การเปิดออก เป็นแสงวาบประกายหนึ่ง
แค่นั้นเอง แม้เราจะอ่านเจอในตำราต่าง ๆ ที่ได้บรรยายถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยคำศัพท์และชื่อเรียกต่าง ๆ
นานาไม่ว่าจะเป็น " บรมสุข " หรือ " มหามุทรา " หรือ " ภาวะที่ตื่นขึ้นของจิต " หรือ " การตรัสรู้อย่าง
ฉับพลัน " ก็ตาม แต่ถึงกระนั้น ตัวประสบการณ์อันแท้จริงนั้นก็แสนจะเรียบง่ายสามัญและตรงยิ่งนัก
มันเป็นเพียงการพบกันของใจสองดวง สองใจกลายเป็นหนึ่งเดียว
 
 
จาก หนังสือ ภาวนาคือชีวิต โดย เชอเกรียม ตรุงปะ
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 5.338 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 2 ชั่วโมงที่แล้ว