[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
04 กรกฎาคม 2568 03:47:44 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : คิดว่าโลกจะดีกับเราตลอดรึ?  (อ่าน 1621 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:06:35 »


 
 
 
คิดว่าโลกจะดีกับเราตลอดรึ?
 
ผู้ป่วยวัยชราที่มีอายุราวๆ ใกล้ 90 ปีคนหนึ่งที่ศุขเวชเนิร์สซิงโฮมซึ่งผู้เขียนดูแลอยู่ เป็นคนสกลนครและเป็นอดีตผู้พิพากษา มีบุตรชายคนที่สองบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ไทย แต่อยู่ที่นครลอนดอน ประเทศอังกฤษ มานานโดยไปๆ มาๆ ผู้เขียนมักไปเยี่ยมผู้ป่วยรายนี้เสมอๆ เพราะบางวันได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่เทศน์ที่เป็นเจ้าอาวาสของวัดที่หนองคายในเทปฟังด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ วันหนึ่งที่ผู้เขียนไม่รู้ว่าไปไหน เลยไม่ได้ไปเยี่ยมท่านสักอาทิตย์กว่าๆ เห็นจะได้ เมื่อผู้เขียนโผล่เข้าไปในห้องก็ถูกต่อว่าทันทีว่า "หายไปไหนมา เพราะอยากพบมาตั้งหลายวันแล้ว" แล้วผู้ป่วยก็เล่าว่าท่านฝันว่าประเทศไทยจะเกิด "มิคสัญญี" อย่างหนักหน่วงรุนแรงภายในสองหรือสามปีข้างหน้านี้ นั่นทำให้ผู้เขียนรู้สึกตกใจและแปลกใจเป็นอย่างมาก ตกใจและแปลกใจในสองประการคือ หนึ่ง หัวข้อเรื่องทั้งหมด ตลอดถึงความฝันของผู้ป่วยนี้ เราไม่เคยได้ยินหรือได้พูดคุยมาก่อน เป็นครั้งแรกที่ผู้ป่วยที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้วที่เล่าเรื่องฝันของเขาขึ้นมาเป็นครั้งแรก จึงทำให้ผู้เขียนแปลกใจที่ผู้ป่วยเล่าความฝันที่ผู้เขียนไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยิน ประการที่สอง ทำไม? ผู้ป่วยถึงต้องคุยกับผู้เขียนด้วย? ทั้งๆ ที่เราไม่เคยพูดกันถึงเรื่องนี้มาก่อนแม้แต่หนเดียว และผู้ป่วยรู้ได้อย่างไร? ว่าผู้เขียนสนใจในเรื่องความเป็นไปได้ของความล่มสลายของโลกจากภูมิดาราศาสตร์ (Geoastronomical cataclysm) เหมือนกับว่าผู้เขียนคล้ายๆ กับจะเชื่อเรื่องการลงโทษและให้รางวัลของเทพเทวดาจากฟ้าหรือสวรรค์? นั่นทำให้ผู้เขียนนึกถึงหนังสือของผู้เขียนที่เขียนเมื่อร่วมสิบห้าปีก่อน เรื่อง "ฟ้าสั่งฆ่าไดโนเสาร์?" ซึ่งในหนังสือเล่มนั้นผู้เขียนยังทำนายว่า เป็นไปได้ที่จะมีอุกกาบาตวิ่งมาชนโลกในช่วงต้นๆ ของศตวรรษที่ 21 นี้ และเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ที่แท้จริงดังที่จะได้นำเสนอมาข้างล่างนี้
 
ขั้วโลกเหนือของสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตั้งแต่ปี ค.ศ.1831 เมื่อเราเริ่มวัด และการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะไม่แน่ไม่นอน โดยการย้ายที่ในครั้งหนึ่งๆ อาจจะทำให้ขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโสกเคลื่อนที่ไปด้วยราวๆ 60 กิโลเมตรต่อครั้งได้ โดยตอนนี้ขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโลก (ที่ทำให้เข็มทิศชี้ไปทางเหนือ) ได้ย้ายที่จากแคนาดาตะวันออกมาอยู่ที่ไซบีเรีย และการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กของอาทิตย์ และการย้ายที่ของขั้วแม่เหล็กโลกจากที่ในคราวต่อไปอาจจะทำให้อุกกาบาตชื่อว่า "อะโปฟิส" ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบครึ่งกิโลเมตร (ประมาณ 2,000 ฟุต คือเล็กกว่าอุกกาบาตที่ฆ่าไดโนเสาร์ไปทั้งเผ่าพันธุ์กว่ายี่สิบเท่า แต่ก็ใหญ่พอที่จะก่อความล่มสลายหายนะให้กับโลกได้อย่างใหญ่หลวง) ความล่มสลายใหญ่นี้เกิดจากอุกกาบาตที่จะวิ่งเฉียดฉิวโลกในปี 2029 ไปรอบๆ ดวงอาทิตย์และหวนกลับมาชนโลกในปี 2036 นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย (คาดว่าด้วยความร่วมมือของอียู สหรัฐและจีน) จะมีการประชุมลับๆ ของสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของรัสเซียในเร็ววันนี้ ดังที่อินเตอร์แฟกซ์และข่าวจากเสียงแห่งรัสเซียแถลงเมื่อสี่เดือนมานี้ ข่าวดังกล่าวนี้ ประธานสภาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของรัสเซียชื่อ อนาโตลี เพอมานอฟ ได้คาดว่าโลกจะจัดส่ง "อุปกรณ์อวกาศ" ไปล่องลอยอยู่ในอวกาศ มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือผลักดันให้วิถีโคจรของอุกกาบาตให้พ้นไปจากโลกเสีย "มันจะไม่มีการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์เลย...และแผนการจะเป็นไปตามกฎแห่งฟิสิกส์ธรรมดาทั้งหมด"
 
มนุษย์โลกในฐานะของสิ่งที่มีชีวิต หรือทางวิทยาศาสตร์กายภาพแห่งชีวิต หรือที่เรียกว่าชีววิทยานั้น จริงๆ แล้วสามสี่ร้อยก่อนหน้านี้เราเรียกวิทยาศาสตร์ทั้งหมดทุกสาขาเลยว่าวิทยาศาสตร์เฉยๆ ซึ่งเริ่มโดยฟิสิกส์ก่อนเพื่อนที่พัฒนาจากองค์ความรู้ที่มนุษย์คิดค้นและพยายามแสวงหาคำตอบของธรรมชาติรอบๆ ตัวด้วยเหตุผลกับประสบการณ์ที่เรียกว่า ปรัชญาธรรมชาติ (natural philosophy) ธรรมชาติที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู หรือรับรู้ด้วยอวัยวะประสาทสัมผัสภายนอกทั้งห้าว่าคือความจริงแท้จริง แล้วผลิตสร้างทฤษฎีความเชื่อว่าความจริงแท้จริงต้องเป็นไปตามนั้น แถมสมัยก่อนยังลงโทษผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงอย่างกาลิเลโอ นั่นคือทฤษฎีของความรู้ที่ตะวันตกและเราทั่วทั้งโลกมีอยู่แม้ในปัจจุบัน และห้ามใครเถียง จนฟิสิกส์ลงไปถึงอะตอมที่เชื่อกันว่าไม่สามารถที่จะแยกออกอีกต่อไปได้ ซึ่งความรู้ที่ทีแรกเป็นแต่ความเชื่อจึงได้กลายเป็นวิทยาศาสตร์สาขาแรกหรือฟิสิกส์ในเวลาต่อมา กระทั่งเราขึ้นไปถึงโมเลกุลและการรวมตัวกันของธาตุต่างๆ ที่เรียกว่าเคมี ต่อมาจวบจนประมาณ 150 ปีที่แล้วเป็นต้นมา เราจึงได้ขึ้นไปถึงระดับของเซลล์กับชีวิตที่เรียกว่าชีววิทยาดาร์วินิซึ่ม ความรู้และประสบการณ์ที่มีเหตุผลเป็นระบบที่ทำซ้ำได้หรือสังเกตได้และยอมรับกันโดยผู้รู้หรือปัญญาชน ถึงได้เรียกว่าวิทยาศาสตร์เฉยๆ จึงมีสามสาขาใหญ่ๆ มาตั้งแต่นั้น และแม้จะมีซิกมันด์ ฟรอยด์ และมีจิตจริงๆ วิทยาศาสตร์ก็ยังเชื่อว่าเป็นแต่เพียงจิตรู้ ที่ทางพุทธเราเรียกว่ามโนวิญญาณ หรือเป็นวิญญาณขันธ์ที่ทางวิทยาศาสตร์คิดว่ามาจากการทำงานของสมอง (epiphenomenon) แม้กระทั่งจะมีฟิสิกส์ใหม่ ควอนตัมฟิสิกส์แล้ว นักวิทยาศาสตร์เฉยๆ ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาใหม่ๆ ก็ยังเชื่อแต่หูและตาของตัวเองว่าเป็นความจริงแท้ที่ตนเรียนมาตั้งแต่ปีมะโว้ แต่นักวิทยาศาสตร์ อย่างน้อยที่เมืองนอก (ตะวันตก) ของปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไปเชื่อฟิสิกส์ใหม่หรือควอนตัมเม็คคานิกส์ - ที่ผู้เขียนคิดว่าทำงานเหมือนกับจิต แต่จิตละเอียดกว่าคลื่นอนุภาคขณะอยู่ในสภาพควอนตัม (quiff) มาก - อย่างรวดเร็วยิ่งนัก
 
 
น่าสงสารมนุษย์มากนักที่มองอะไรไกลตัวไม่เป็น แถมยังเชื่อง่ายอีกด้วย (ดูทฤษฎีความเชื่อกับทฤษฎีควาามรู้ในพารากราฟข้างบนอีกที) ที่เราไม่สนใจอะไรที่อยู่ไกลตัวไม่เป็นมีอยู่สองเหตุผล คือ ภายนอกกับภายใน หรือกายหรือวิทยาศาสตร์ กับจิตศาสตร์ของศาสนาหรือจิต ซึ่งเมื่อไล่ต่อไปแล้ว ทั้งทางศาสนาและวิทยาศาสตร์ก็คือจิตหรือตัวรู้นั่นเอง (cognize) นั่นคือเรา - โดยเฉลี่ย - รู้สึกสบายและปลอดภัยมานานจากความเคยชิน เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังผู้ใหญ่หรือใครเล่าว่า โลกกับมนุษยชาติรวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราว่า มันก็มีโอกาส - ไม่ว่าโอกาสนั้นจะมีน้อยนิดสักเพียงใด - แต่มันมีอยู่อย่างแน่นอนที่โลกจะต้องพัง หรือมนุษยชาติและธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทั้งหลายจะต้องล่มสลายหายนะไม่มากก็น้อย อย่างฉับพลันทันทีจากแอคซิเดนท์ทางภูมิดาราศาสตร์ที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งประวัติศาสตร์ได้บอกแก่เราตลอดมา ซึ่งเราไม่เห็น ไม่รู้ ไม่เคยชิน หรือไม่มีสามัญสำนึก เพราะว่าในยุคที่เราอยู่นี่ - ยุคของอินเตอร์เกลเชียนนี - มันไม่เคยมีเลย ความเคยชินของโอกาสที่มีสุดแสนจะน้อยนิดจนเราที่เป็นคนปกติมักจะไม่นึกถึง แต่นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพยากรณ์ศาสตร์และนักจิตนักศาสนศาสตร์ อาจจะพูดถึงเพื่อเตือนสติให้เราอย่าได้ประมาทเรื่องของดิน มนุษย์ ฟ้า เพราะเรานั้นมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาทางกายภาพโดยคำว่าบังเอิญอย่างเดียว อย่างที่นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นแมตทีเรียลลิสต์ (materialist) เชื่อ ซึ่งก็เป็นแต่ความเชื่ออย่างหนึ่ง คือเชื่อเฉพาะที่ตาของ "มนุษย์" - เท่านั้น - เห็นว่าเป็นความจริงที่แท้จริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว แต่หลายต่อหลายคนยังเชื่อว่าเราอาจจะอยู่ใต้การควบคุมบังคับบัญชา - ของความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ "มนุษย์" ธรรมดาๆ และสิ่งมีชีวิตมองไม่เห็น แต่ทว่าจิตมองเห็น - เช่น จิตของผู้บรรลุธรรม หรือจิตร่วมของจักรวาลหรือฟ้าหรือสวรรค์อีกด้วย ซึ่งก็เป็นแต่ความเชื่ออีกอย่างหนึ่ง แต่มันก็มีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง คือนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ อย่างน้อยก็ในประเทศทางตะวันตกตั้งแต่เรามีฟิสิกส์ใหม่ มีควอนตัมเม็คคานิกส์ และมีจักรวาลวิทยาใหม่ขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อมากมีผู้นับถือมากๆ พากันละทิ้งความเป็นแมตทีเรียลลิสต์ของตนอย่างรวดเร็ว แล้วหวนกลับไปเชื่ออีกอย่างหนึ่งแทน (2007 Shift Report, Evidence of a World Transforming)
 
 
จริงๆ แล้วผู้เขียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าปีนี้คือปี ค.ศ.2010 แล้ว เป็นปีที่ไม่ห่างไกลจากปีมะโรง 2012 นัก ปี 2012 นั้น ผู้เขียนไม่รู้ว่ารู้มาจากไหน แต่รู้ว่ามันมีอยู่สองเรื่องที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างมากที่จะไม่เกิดขึ้น อย่างหนึ่ง เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับใคร ดังที่เคยเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์คอลัมน์นี้ ว่าน่าจะเป็นปีที่ผู้เขียนมีอายุครบ 84 ปี และคงเป็นไปตามที่ผู้เขียนบอกไว้ อีกเรื่องเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับโลกทั้งโลกจากแอคซิเดนท์และภัยธรรมชาติ - ปัจจัยทางภูมิดาราศาสตร์ซึ่งได้พูดไปแล้วเช่นกัน โดยกล่าวว่า ดิน มนุษย์ ฟ้า นั้นเป็นผลของกรรมร่วมของจักรวาลที่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์โดยรวมต้องเป็นไปตามเป้าหมายของจิตจักรวาลที่มนุษย์โดยรวมต้องค้นพบ นั่นคือวิวัฒนาการ (ทั้งกายและจิต) ที่จะต้องเป็นไปตามเป้าหมายนั้น ซึ่งมีหลักฐานหรือเหตุผลพร้อม โดยจะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกปรากฏการณ์ในจักรวาลจะต้องมีวิวัฒนาการทั้งนั้น คิดว่าปฏิจจสมุปบาทในศาสนาพุทธเป็นสิ่งเดียวกับการอุบัติ การสืบเนื่อง การเปลี่ยนแปลง การเสื่อม และการดับ ซึ่งพูดไว้ ต่างกรรมต่างวาระกัน ในลัทธิพระเวท เป็นสิ่งเดียวกับวิวัฒนาการทางชีววิทยา (กาย) กับจิตวิทยา (จิต) เช่น จิตวิทยาธรรมดาๆ ของจิตรู้หรือจิตสำนึกและพฤติกรรม และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต (สัตว-พืช) จิตวิทยาของการเจริญเติบโตของเด็ก (developmental psychology) จิตวิทยาของวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ (spiritual psychology) ฯลฯ และเป็นสิ่งเดียวกับโมตูรานาและคอฟแมนที่เรียกว่าการจัดองค์กรตัวเอง (self-organizing system) ส่วนกรรมในพุทธศาสนาและลัทธิพระเวทนั้น ซึ่งจะมีทั้งอกุศลกรรมและกุศลกรรม หรือภาวะล่มสลายของสังคมโลกโดยรวม พร้อมกับการมีวิวัฒนาการของมนุษย์ที่เหลือไม่มากนักทั่วโลก อันจะเป็นวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality)
 
 
ผู้เขียนเชื่อว่าโลกและจักรวาล หากมองจากด้านกายภาพของฝรั่งตะวันตกและนักปราชญ์ชาวกรีก โดยเฉพาะอริสโตเติลผู้มีเหตุผลและอิทธิพลต่อความคิดของชาวตะวันตกที่แพร่กระจายความเป็นตะวันตกและความเป็นอเมริกันไปทั่วทั้งโลกในวันนี้ จริงๆ แล้วผู้เขียนคิดว่าเป็นมูลเหตุของความผิดอันมหันต์ ซึ่งได้แก่ ระบบสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา ฯลฯ ของประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกในปัจจุบัน ที่ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นสาเหตุของอกุศลกรรมที่มนุษยชาติจะได้รับการลงโทษที่สำคัญในไม่ช้านี้ ซึ่งกรรมโดยรวมนี้ มนุษยชาติส่วนใหญ่จะต้องรับกรรมอันเกิดจากความหลงใหลในวัตถุกับความโลภอย่างสาสม กรรมและความล่มสลายหายนะของโลกจากภัยธรรมชาติ ซึ่งนักพยากรณ์ศาสตร์ได้ทำนายไว้ว่าจะต้องเกิดขึ้นในทุกๆ ทศวรรษเลยตั้งแต่มนุษย์เริ่มทำร้ายและทำลายธรรมชาติอย่างหนักหน่วงรุนแรง ซึ่งเริ่มในทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา อาทิ ในทศวรรษ 1970 จะมีผลพวงจากดาวพฤหัสฯ (Jupiter effect) ในทศวรรษที่ 1980 จะมีสิ่งที่สื่อทุกประเภทของโลกตะวันตกล้อเลียนพวกที่พากันหวั่นสภาพล่มสลายโลกว่าพวกบ้าคลั่งไร้สมอง (moronic convergence) พอขึ้นทศวรรษ 1990 ดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี่ก็แตกออกเป็น 21 ชิ้น และวิ่งชนดาวพฤหัสฯ ให้เราเห็นจะจะประหนึ่งเชือดคอไก่ให้เราดู ขึ้นสหัสวรรษใหม่เรามี 5-5-2000 กับการเข้าแถวเรียงของดาวเก้าดวงเหมือน 1980 แต่โลกก็รอดมาได้ ปี 2012 ดูให้ดีว่าโลกจะดีกับเราตลอด-หรือไม่?
 
http://www.thaipost.net/sunday/130610/23473

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.399 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 19 ธันวาคม 2567 18:33:24