การอธิบายเบญจขันธ์อีกแนว
เบญจขันธ์ หมายถึง สังขารร่างกายของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ถือกำเนิด ณ ภพภูมิต่าง ๆ สัตว์บางเหล่าก็ได้เบญจขันธ์หยาบ สัตว์บางเหล่าก็ได้เบญจขันธ์ละเอียด สัตว์บางเหล่าก็ถือกำเนิดด้วยเบญจขันธ์ครบทั้ง ๕ แต่สัตว์บางเหล่าก็ถือกำเนิดไม่ครบขันธ์ทั้ง ๕ อาจมีแต่รูปขันธ์ หรืออาจมีแต่นามขันธ์ก็ได้ สัตว์ที่ถือกำเนิดไม่ครบทั้ง ๕ ขันธ์ ก็มักจะเป็นสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรทางจิต ณ มนุษย์โลกแล้วไปถือกำเนิดในภพภูมิที่ละเอียดด้วยอำนาจฌาน เช่น พระพรหมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นรูปพรหม ทั้งที่เป็นอรูปพรหม ทั้งที่เป็นพระอริยบุคคล หรือยังมิได้บรรลุอริยธรรม ตลอดถึงอสัญญีสัตว์ผู้อาภัพด้วย รูปธรรม นามธรรม
เบญจขันธ์สามารย่อลงได้เป็น ๒ พวก คือ รูปขันธ์ หรือ รูปธรรม กับ นามขันธ์ หรือ นามธรรม ดังนี้
รูป ย่อลงใน รูปขันธ์ หรือ รูปธรรม
เวทนา ย่อลงใน นามขันธ์ หรือ นามธรรม
สัญญา ย่อลงใน นามขันธ์ หรือ นามธรรม
สังขาร ย่อลงใน นามขันธ์ หรือ นามธรรม
วิญญาณ ย่อลงใน นามขันธ์ หรือ นามธรรม
สัญญา วิญญาณ ปัญญา
พระเดชพระคุณได้กล่าวไว้ในหนังสือพุทธธรรม หน้าที่ ๒๒ ว่า
“สัญญา วิญญาณ และปัญญา เป็นเรื่องของความรู้ทั้ง ๓ อย่าง แต่เป็นองค์ธรรมต่างข้อกัน และอยู่คนละขันธ์ สัญญาเป็นขันธ์หนึ่ง วิญญาณเป็นขันธ์หนึ่ง ปัญญาอยู่ในสังขารก็อีกขันธ์หนึ่ง สัญญาและวิญญาณได้พูดมาแล้วพอเป็นพื้นเข้าใจ
ปัญญา แปลกันมาว่า ความรอบรู้ เติมเข้าไปว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริง หรือรู้ตรงตามความเป็นจริง.... เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดี รู้ชั่ว....แปลกันอย่างง่าย ๆ พื้น ๆ คือ ความเข้าใจ (หมายถึง เข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้)...”
ความสัมพันธ์ระหว่างขันธ์ต่าง ๆ
ขันธ์ทั้ง ๕ อาศัยซึ่งกันและกัน รูปขันธ์เป็นส่วนกาย นามขันธ์ทั้งสี่เป็นส่วนใจ มีทั้งกายและใจจึงจะเป็นชีวิต กายกับใจทำหน้าที่เป็นปกติและประสานสอดคล้องกัน ชีวิตจึงจะดำรงอยู่ได้ด้วยดี
นามขันธ์ทั้ง ๔ มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและส่งอิทธิพลเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกว่า “เพราะผัสสะ (ตา หู ฯลฯ รูป เสียง ฯลฯ วิญญาณ) เป็นปัจจัย การเสวยอารมณ์ (เวทนา) จึงมี; บุคคลเสวยอารมณ์ใด ย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น (สัญญา), หมายรู้อารมณ์ใด ย่อมตริตรึกอารมณ์นั้น (สังขาร)...” (ม.มู. ๑๒/๒๔๘/๒๒๕)
เบญจขันธ์ หรือ ขันธ์ ๕ กับ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นอันเดียวกัน
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเกี่ยวกับเบญจขันธ์ไว้หลายแห่งในพระไตรปิฎก ทรงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อุปาทานขันธ์ ๕” ปรากฏในพระไตรปิฎก ดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕ เธอทั้งหลายจงฟัง”
“ขันธ์ ๕ เป็นไฉน ? รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลหรือใกล้ก็ตาม...เหล่านี้ เรียกว่า ขันธ์ ๕”
“อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน ? รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลหรือใกล้ก็ตาม ที่ประกอบด้วยอาสวะ เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน...เหล่านี้ เรียกว่า อุปาทานขันธ์ ๕” (สํ.ข. ๙๕-๙๖/๕๘-๖๐)
“ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน และตัวอุปาทาน เธอทั้งหลายจงฟัง”
“รูป...เวทนา ...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ คือธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน ฉันทราคะ (ความชอบใจจนติด หรืออยากอย่างแรงจนยึดติด) ในรูป...เวทนา...สัญญา...วิญญาณ นั้นคือ อุปาทานในสิ่งนั้น ๆ”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระคาถานี้ว่า........................
ทางนี้เท่านั้น คือ มรรคมีองค์ ๘ เพื่อความหมดจดแห่งทัสสนะ คือ มรรคและผล
ทางอื่นไม่มีเพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงดำเนินตามทางนี้เพราะทางนี้
เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลงด้วยว่าท่านทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้ว
จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้เราทราบทางเป็นที่สลัดลูกศรคือ{กิเลส}แล้วจึงบอกแก่
ท่านทั้งหลายท่านทั้งหลาย พึงทำความเพียรเครื่องเผากิเลส{พระตถาคต}ทั้งหลาย
เป็นแต่ผู้บอกชนทั้งหลายผู้ดำเนินไปแล้ว มีปกติเพ่งพินิจอยู่ ย่อมหลุดพ้นจาก
เครื่องผูกของมารกล่าวคือ{วัฏฏะ}................................
.................จากพระไตรปิฏก....................