[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 23:03:46 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: The Bow รักเจ้าดึงรั้งดั่งคันศร ( คิม คี ดุ๊ก กำกับ )  (อ่าน 6930 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553 20:26:44 »

The Bow รักเจ้าดึงรั้งดั่งคันศร



 
The Bow
รักเจ้าดึงรั้งดั่งคันศร


พล พะยาบ

คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 9 เมษายน 2549

 
กลายเป็นผู้กำกับฯขาประจำของผู้เขียนไปแล้วสำหรับนักสร้างหนังชาวเกาหลีชื่อ คิม คี ดุก เมื่อไหร่มีงานใหม่ออกมาเป็นต้องขวนขวายมาชมให้ได้โดยไว และด้วยธรรมชาติของเขาซึ่งเป็นคนทำงานเร็ว จึงมีงานใหม่ออกมาแทบจะหัวปีท้ายปี

อันที่จริง อาการโปรดปรานงานของคิม คี ดุก ไม่ได้เกิดขึ้นแต่แรกเริ่ม ช่วงต้นที่งานยังวนเวียนอยู่กับความรุนแรงแบบซาโด-มาโซคิสม์ เช่นใน The Isle(2000) ชื่อของเขาถูกจัดอยู่ในจำพวกของแสลงที่ไม่น่าลิ้มลองอีก

กระทั่ง Spring, Summer, Fall, Winter... and Spring(2003) เรื่องราวอิงหลักศาสนาพุทธซึ่งวิจิตรงดงาม ละเมียดละไม จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นงานของคนที่เคยถูกสื่อต่างชาติประณามว่าเป็น “ปีศาจ” ทำให้ใครต่อใครมองเขาในแง่มุมใหม่ เปลี่ยนทัศนคติจากร้ายกลายเป็นดีแบบพลิกฝ่ามือ

หลังจากนั้น คิม คี ดุก มีงานต่อยอดความสำเร็จออกมาในปี 2004 ถึง 2 เรื่อง เริ่มจาก Samaritan Girl(2004) ซึ่งอ้างอิงจาก The Divine Comedy ของดังเต้ ที่ส่งให้เขาได้รางวัลผู้กำกับฯยอดเยี่ยมที่เบอร์ลิน ตามมาด้วย 3-Iron (2004) กับรางวัลสิงโตเงินที่เวนิซ

ทั้งสองเรื่องแม้ว่ายังมีร่องรอยของความรุนแรงอยู่ แต่ภาพรวมของหนังคือความรันทดงดงามที่ติดตรึงความรู้สึกอย่างยิ่ง

โดยไม่ต้องให้คอยนาน ปี 2005 คิม คี ดุก ปล่อยงานใหม่ชื่อ The Bow มาให้ดื่มด่ำกันต่อ

The Bow เป็นเรื่องของชายชราผู้ใช้ชีวิตตามลำพังบนเรือกลางทะเลกับเด็กสาววัย 16 ปี โดยตั้งใจไว้ว่าเมื่อเด็กสาวครบ 17 ปีเมื่อไร เธอจะกลายเป็นเจ้าสาวของเขา

ชายชราหาเลี้ยงชีพด้วยการพาคนจากฝั่งมานั่งตกปลาบนเรือ ผู้ชายรายแล้วรายเล่าต่างหมายเกี้ยวพาล่วงเกินเด็กสาว แต่ลูกธนูจากคันศรของชายชราที่พุ่งแหวกอากาศเฉียดร่างคนเหล่านั้นห่างไปไม่กี่นิ้ว ช่วยปราบพฤติกรรมต่ำทรามได้ชะงัด

นอกจากชายชราจะใช้ธนูเป็นอาวุธคู่มือแล้ว ยามฟ้าพลบหลังจาก “อาบน้ำ” ให้เด็กสาวแล้ว เขาจะนั่งบรรเลงเพลงไพเราะบนหัวเรือ โดยใช้คันศรนั้นดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรี

ที่ประหลาดกว่านั้นคือชายชราใช้ธนูนี้เป็นเครื่องมือดูดวงให้ลูกค้า ด้วยการยิงศรใส่เด็กสาวขณะนั่งไกวชิงช้าข้างลำเรือ สร้างความหวาดเสียวแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก

ช่วงเวลานับถอยหลังสู่วันวิวาห์ถึงคราวไม่ราบเรียบ เมื่อปรากฏเด็กหนุ่มนักศึกษาหน้าตาดีคนหนึ่งมาเป็นลูกค้าบนเรือ ว่าที่เจ้าสาวซึ่งยังไม่เคยพบเจอเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันจึงถูกตาต้องใจแต่แรกพบ เด็กหนุ่มมอบเครื่องเล่นเพลงพกพาแก่เด็กสาว เธอเฝ้าฟังมันไม่หยุดจนไม่สนใจชายชรา ไม่สนใจเพลงที่เธอเคยฟังยามพลบค่ำ

คล้ายว่าสวรรค์กลางทะเลของชายชรากำลังจะพังทลายลงต่อหน้าต่อตา...

ชื่อภาษาอังกฤษว่า The Bow เป็นการเล่นกับความหมายหลากหลายของคำ โดยแต่ละความหมายต่างเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาเรื่องราวของหนัง

คำนี้ตามคำอ่านแบบหนึ่งแปลได้ 2 ความหมาย หนึ่งคือ “คันศร” และอีกความหมายคือ “คันชัก” ของเครื่องสาย อีกคำอ่านหนึ่งแปลได้ 2 ความหมายเช่นกัน นั่นคือ “หัวเรือ” และการ “ก้มศีรษะ” ซึ่งในเรื่องนี้น่าจะหมายถึงการยอมจำนน

ซึ่งทั้ง “คันศร” “คันชัก” “หัวเรือ” และ “การยอมจำนน” ล้วนแต่เชื่อมโยงกับชีวิตของชายชราทั้งสิ้น

หนังแสดงให้เห็นว่าชีวิตของชายชราผูกโยงยึดแน่นอยู่กับธนูเสมอ ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่ชายชราจัดเตรียมดัดแปลงคันศรเป็นเครื่องดนตรี ต่อมาเราจึงได้เห็นเขาใช้เครื่องดนตรีนี้บรรเลงเพลงเพื่อแสดงออกทางอารมณ์ทั้งยามสุขและทุกข์ นอกจากนี้ เขายังใช้ปกป้องเด็กสาวผู้เป็นที่รัก จนถึงฉากจบที่ธนูปรากฏต่างตัวชายชราในวันวิวาห์

ส่วนเรือซึ่งมีรูปทรงไม่ต่างจากคันศร นอกจากจะเป็นบ้านแห่งเดียวของชายชราแล้ว เหตุที่เกิดกับเรือลำนี้ยังแสดงถึงความเป็นไปของชายชราด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่เริ่มรวน หรือเมื่อมันค่อยๆ จมสู่ท้องทะเล

นั่นหมายถึงห้วงเวลาแห่งการยอมจำนนนั่นเอง

หนังงดงามด้วยภาพอันเปี่ยมสีสัน ทั้งสีเขียว สีแดง จากเสื้อผ้าของเด็กสาว สีฟ้าของท้องฟ้าและน้ำทะเล สีส้มของเรือ ผสานกับเสียงเพลงไพเราะที่ผสมระหว่างเครื่องดนตรีดั้งเดิมกับเครื่องดนตรีสากล กระทั่งเป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดของหนัง

หลายฉากกลายเป็นฉากที่น่าจดจำ เช่น ฉากเปิดเรื่อง ฉากไกวชิงช้าดูดวง ฉากงานวิวาห์ ฉากเหล่านี้ล้วนมีเสน่ห์ด้วยอารมณ์กึ่งจริงกึ่งฝันเชิญชวนให้ลุ่มหลง นอกจากภาพและเสียงที่งดงามในตัวเองอยู่แล้ว

ทุกความงดงามที่กล่าวมาทำให้เรื่องราวของชายวัยใกล้ฝั่งที่หวังครองรักกับเด็กสาว ซึ่งอาจจะดูผิดครรลองคลองธรรม แต่ในโลกเฉพาะของตัวละคร การกระทำของชายชราคือการแต้มเติมความงามให้กับทุกจังหวะชีวิต แม้ตนเองอยู่ในช่วงบั้นปลายแล้วก็ตาม

Han Yeo-reum นักแสดงวัย 23 ปี ที่เคยเล่นเป็นนักเรียนขายตัวใน Samariton Girl แสดงเป็นเด็กสาวได้อย่างเหมาะสม เธอคือศูนย์กลางของเรื่องราวที่มีแรงดึงดูดรุนแรง สีหน้าไร้เดียงสาที่ซ่อนความดื้อรั้นและร้ายกาจ กำหนดการกระทำของตัวละครอื่น ขณะเดียวกันก็กำหนดความเป็นไปของเรื่องราวทั้งหมด

คิม คี ดุก ยังคงเอกลักษณ์ที่เห็นบ่อยครั้งในงานของเขา นั่นคือ ใช้ตัวละครไม่กี่ตัว ไม่ระบุชื่อ พูดน้อย แต่เดินเรื่องได้หนักแน่นชัดเจน เป็นเรื่องราวกึ่งจริงกึ่งแฟนตาซีราวกับโลกที่ไม่มีอยู่จริง และเป็นอีกครั้งที่ปรากฏ “โลกกลางน้ำ” ในหนังของเขา ดังเช่นเรือนแพใน The Isle และสำนักสงฆ์ใน Spring, Summer, Fall, Winter... and Spring

The Bow อาจจะไม่ลึกซึ้งเท่า Spring ที่ว่ากันว่าเป็นมาสเตอร์พีซของเขา แต่เรื่องความงดงามนับว่าไม่ได้ด้อยกว่ากัน ซ้ำยังโดดเด่นยิ่งกว่าด้วยดนตรีประกอบอันอ่อนช้อยน่าอัศจรรย์ที่ใส่เข้ามาอย่างเหมาะเจาะลงตัว

ดูจบแล้วอยากค้อมคารวะในความเป็นศิลปินของคิม คี ดุก จริงๆ
 
 
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aloneagain&month=06-2006&date=20&group=1&gblog=31

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553 20:27:43 »

http://img361.imageshack.us/img361/2508/24hp.jpg
The Bow รักเจ้าดึงรั้งดั่งคันศร ( คิม คี ดุ๊ก กำกับ )


มีหลายซีน ประทับใจ ดูเอง งับ มีเพลง ปลากรอบ


Hwal - The Bow (2005) 활 (Trailer)


Scene from The Bow by Kim Ki-Duk


The Bow




บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2553 20:32:33 »




ผมหาหนัง โครตเลวในดวงใจ อยู แล้ว อืมมมมม ลงอีกเรื่อง ล่ะ น่าดู

คิม คี ดุ๊ก ฉายา ผู้กำกับโรคจิต หนังส่วนใหญ่ ชอบทำร้ายคนดู แต่ผมว่าไม่ ฮ่าๆๆๆๆๆ


cut of ending scene of Bow


Show


The Bow (Kim Ki-duk, 2005)
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.301 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 09 เมษายน 2567 14:52:15