นายแคล้ว ธนิกุล อมสมเด็จไว้ในปาก ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ขึ้นสวรรค์คนที่ทําเลวมาทั้งชีวิต ยังไงๆก่อนตาย จิตใต้สำนึกของเขาย่อมระลึกถึง สิ่งที่เขาทํามาให้เห็นเอง จะไปบังคับให้นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลสูงสุด คือ พระพุทธเจ้ามันจึงยากมากๆ มีโอกาสน้อยเต็มที แต่ไม่ใช่ไม่มีทางมีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้านะ มีทางระลึกถึง แต่อาจจะแค่ 1 ใน 100 เท่านั้น
เหมือนนายแคล้ว ธนิกุล ทำชั่วมามาก แต่ใครว่าเขาตกนรก เขาขึ้นสวรรค์นะครับ ลองฟังเรื่องนี้ดู ผมคัดจากหน้า 77 หนังสือ สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม
" กรณีของเจ้าพ่อเมืองหลวง
คุณแคล้ว ธนิกุล ซึ่งถูกกลุ่มมือปืนล้อมยิงจนเสียชีวิตคารถยนต์ ตามเนื้อข่าวนั้นที่ข้างตัวคุณแคล้วมีปืนสั้นตกอยู่หนึ่งกระบอก คาดว่าคุณแคล้วคงคิดจะต่อสู้ป้องกันตัว เมื่อคิดจะต่อสู้ป้องกันตัว ภาวะของจิตขณะนั้นน่าจะเป็นอย่างไร อกุศลไช่ไหม ในเมื่อมึงคิดจะฆ่ากู กูก็จะฆ่ามึง ชาติเสือต้องไว้ลาย ขณะที่คิดฆ่าเขาจิตเป็นอกุศลใช่ไหม
แต่ถ้าใครจำภาพข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ คุณแคล้วตายในขณะที่อมอะไรไว้ในปาก
อมพระสมเด็จวัดระฆัง จิตสุดท้ายยึดเหนี่ยวพระสมเด็จ(พระพุทธเจ้า)เป็นที่พึ่ง คุณแคล้วโชคดีมากที่มีพระสมเด็จติดตัวตลอด แม้จะเอาชีวิตไม่รอดแต่คุณแคล้วก็รอดครั้งสำคัญ คือ
รอดจากนรก เพราะหลังจากที่คุณแคล้วตายวันเดียว
เขาทราย กาแลคซี่ ขึ้นชกมวยป้องกันตำแหน่งไว้ได้ มีการมอบรางวัลบนเวที มีผู้เห็นคุณแคล้วปรากฎตัวอยู่บนเวทีผ่านจอโทรทัศน์ หลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวว่า มีผู้เห็นคุณแคล้วแต่ชุดสากลเดินเข้าไปในสมาคมมวยแห่งประเทศไทย แล้วถัดมาอีกหลายปี
หลวงปู่โง่น โสรโย เขียนหนังสือเรื่องพระพี่นางสุพรรณกัลยา ท่านเล่าว่า คุณแคล้วเอารถลีมูซีนมารับท่านไปส่งที่วัด นั่น....
ผีคุณแคล้ว เอารถลีมูซีนผี มารับท่านไปส่งถึงวัด เป็นการยืนยันว่า คุณแคล้วไม่ตกนรก แต่เป็นเทวดา เพราะว่าเทวดาเท่านั้นจึงจะแสดงฤทธิ์ สร้างกุศลเช่นนั้นได้ นี่อย่างไร ขณะจิตสุดท้ายที่เป็นกุศล ระลึกยึดเหนี่ยวในพระสมเด็จมีพุทธานุสสติ จึงมีสิทธิ์ที่จะเสวยผลจากข้อมูลที่เป็นบวกก่อนแต่ในลักษณะเช่นนี้ นานเท่าใดจึงจะใช้ข้อมูลที่เป็นกุศลนั้นหมดไป ก็กี่วินาทีที่ระลึกถึงพระสมเด็จ เพียงแค่หนึ่งวินาที จิตเกิดดับไปแล้ว สี่ล้านล้านขณะ หนึ่งวินาทีได้ตั๋วตั้งสี่ล้านล้านใบ (ท่านเปรียบเทียบกับการดูภาพยนต์...ป้าเม) ตั๋วหนึ่งใบดูหนังได้สองชั่วโมง (ท่านสมมติ...ป้าเม) ถามว่า
คุณแคล้วจะเป็นเทวดาได้นานแค่ไหน???ลองฟังคำตอบจากหลวงตาม้าเอาเอง:
คัดจาก หลวงตาม้าสอนศิษย์ > หลวงตา....ที่ผมรู้จัก
w.watthummuangna.com/board/archive/index.php/t-3145.htmlครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยถามหลวงตาท่านว่า...
หลวงตาค่ะ...ถ้าเรายังไม่ถึงระดับพระอริยบุคคล อย่างเช่นพระโสดาบัน เรายังตัดสังโยชน์ไม่ได้ ก็มีสิทธิ์ไปอบายภูมิได้ใช่ไหมค่ะ..
.....ไม่ได้...ถ้าเรายึดไตรสรณคมได้นะ...อบายภูมิไม่ใช่ที่ไปอ้าววว..งั้นถ้าคนเกิดมาแล้วทำเลวทั้งชาติ ตอนตายจับพระได้ก็ไม่ลงนรกซิค่ะ...หลวงตา
.....ใช่...ก็อย่าง***งัย ตอนตายจับพระได้ ตอนนี้ยังเป็นเทวดาอยู่เลยงั้นก็เป็นได้ไม่นานซิค่ะ..หลวงตา เพราะทำไม่ดีไว้มาก
.....นานนะ...ขึ้นอยู่กับบารมีของพระที่จับด้วยยังงั้นถ้าคนทำไม่ดีไว้ ตอนตายจับพระได้ จะไปใช้กรรมตอนไหนล่ะค่ะ
....ยังงัยก็ต้องชดใช้........สรุปพระพุทธเจ้าตรัสว่า
"
ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น
ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"
"ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"
"
ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้
ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"
“คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้
นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ”
มีพุทธพจน์รองรับเต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าจากพุทธดำรัส ใช้คำว่า
ผู้ถึงพระรัตนตรัย
ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว
ผู้ถือเอาพระรัตนตรัย
ไม่ใช่เป็นการนึกถึงเล่นๆแต่อย่างใด ต้องมีการใส่ใจ เอาใจลงไปใส่ลงใน
พระพุทธเจ้าและ
พระรัตนตรัย หรือศรัทธาเลื่อมใส เช่น นายแคล้ว ธนิกุล เขาทำอย่างนั้นอยู่เสมอมา วาระสุดท้ายก็อมสมเด็จไว้ เขาจึงไม่ตกนรก
..................................................................................................ถามว่า:
ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ทำจิตให้ผ่องใสได้ก็ไปสุคคติ โดยเฉพาะมีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า เขาจะได้ไปเกิดในสวรรค์ จริงหรือ?พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
"ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้
ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย"
พระนาคเสนทูลตอบว่า
"ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่"
" ไม่ได้ "
" ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่ "
" ก็ได้สิเธอ "
" ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย
มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็เป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน "
" สมเหตุสมผลละ "