[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 12:22:12 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อย่าโต้แย้งว่า จิตปภัสสรไม่ใช่จิตหลุดพ้น โดยเพิ่มข้อความเข้าไปในพุทธพจน์  (อ่าน 2899 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2553 18:01:18 »

ข้อโต้แย้งว่า จิตประภัสสรไม่ใช่จิตหลุดพ้น โดยเขียนข้อความเพิ่มเข้าไปในพุทธพจน์...ใช้ไม่ได้ครับ

สรุปความเดิม :"จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส( นิพพาน  )"
   
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต  "ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่อาศัยของปลอม กล่าวคืออุปกิเลสที่สัญจรเข้ามาปกคลุมจึงทำให้หมดรัศมี ดุจพระอาทิตย์เมื่อเมฆบดบังฉะนั้น อย่าพึงเข้าใจว่าพระอาทิตย์เข้าไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตย์ต่างหาก"

พระพุทธเจ้า " ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เสื่อมปภัสสรแจ้งสว่างมาเดิม แต่อาศัยอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นอาคันตุกะสัญจรมาปกคลุมหุ้มห่อ จึงทำให้จิตมิส่องแสงสว่างได้"  คุณยังไม่เห็นหรือว่า จิตของพวกเราคือ พระอาทิตย์ ที่ถูกกิเลสมาบดบังแสงเอาไว้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)"
   
"ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา "

   ในเอกนิบาตอังคุตตรนิกาย อรรถกถา ภาค ๑ หน้า ๔๕ ข้อ ๕๐

หลักฐานมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่มีผู้โต้แย้งว่า:

naratip อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง
จิตประภัสสร ไม่ใช่นิพพานครับท่านทั้งหลาย
« เมื่อ: ตุลาคม 16, 2010, 03:28:30 PM »
      องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
   "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(  แต่ไม่ใช่ นิพพาน  )"
   
      "ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ"
   
   ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา "
   
    ตรงนี่แหละครับท่านทั้งหลาย 

   หลายๆท่านอาจคิดเดา และเหมา  ไปว่า จิตประภัสสรนี้ เป็นจิตหลุดพ้นแล้ว

   ในคำตรัสนี้ ไม่ต้องไปตีความมากมายหรอกครับ

   ก็หมายถึง หลุดพ้นจากอุปกิเลสที่จรมา  เป็นการชั่วคราว

   และก็ไม่ได้กล่าวถึง อุปกิเลส ที่นอนเนื่องอยู่    ไม่ได้จรมา
   
   
      ด้วยเหตุนี้  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, องค์พระศาสนาแห่งศาสนาพุทธ, เป็นผู้ตรัสเองว่า “จิตประภัสสรคือจิตที่ ยังไม่ปราศจากกิเลสสิ้นเชิง ยังไม่ใช่นิพพานครับ”

   
   พระพุทธองค์สรูปเหตุที่จิตวนเวียนอยู่ใน 3 ภพ และเหตุที่จิตจะหลุดพ้นเข้านิพพานไว้สั้นๆว่า
   
   [๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง
   ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ฯ
   [๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว
   จากอุปกิเลสที่จรมา ฯ
   
   จบวรรคที่ ๕
   เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๑๖๑ - ๒๐๙. หน้าที่ ๗ - ๙.
   http://www.84000.org/
   

   


"ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ"
   
  1. ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา "
  2. [๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ฯ
   3. [๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว จากอุปกิเลสที่จรมา ฯ

3 พุทธพจน์นี้  พุทธพจน์  [๕๐] และ [๕๑]  คุณบอกว่า "พระพุทธองค์สรุปเหตุที่จิตวนเวียนอยู่ใน 3 ภพ และเหตุที่จิตจะหลุดพ้นเข้านิพพานไว้สั้นๆ"  ส่วนพุทธพจน์  1 เรื่องจิตปภัสสร คุณกลับอกว่า "ในคำตรัสนี้ ไม่ต้องไปตีความมากมายหรอกครับ   ก็หมายถึง หลุดพ้นจากอุปกิเลสที่จรมา  เป็นการชั่วคราว"

ถามง่ายๆ  ในทั้ง 3 พุทธพจน์ มีข้อความไหนที่แสดงว่า การหลุดพ้นจาก อุปกิเลสที่จรมา เป็นการชั่วคราว และก็ไม่ได้กล่าวถึง อุปกิเลส ที่นอนเนื่องอยู่    ไม่ได้จรมา...อย่าอายซิครับ  กล้าพูดหน่อย  ไม่มี ใช่ไหมล่ะครับ   

สรุป

ข้อโต้แย้งว่า จิตประภัสสรไม่ใช่จิตหลุดพ้น โดยเขียนข้อความเพิ่มเข้าไปในพุทธพจน์...ใช้ไม่ได้ครับ  ผมจะบอกว่าสุดเลวโคตรชั่วเลย ก็เกรงใจ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2553 16:39:14 »

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย: ปภัสสร มิทัง ภิกขเว จิตตัง โดยธรรมชาติของจิตดั้งเดิมเป็นธรรมชาติประภัสสร แต่อย่าไปเข้าใจว่าจิตประภัสสร คือจิตหมดกิเลส ถึงพระนิพพาน ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นจิตสะอาด เพียงแค่สะอาด ไม่ถึงความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง

ตอบ

หลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา จำนวนมากยังปฏิบัติได้ไม่ถึงถึงอนาคามีและอรหันต์  ท่านก็ยังไม่รู้  แต่ถ้าหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้อ่านข้อเขียนของผม  ท่านจะเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น  เพราะชัดเจนเลย  ไม่สามารถแย้งได้

ถ้าคุณไม่เชื่อที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน  คุณควรอ่านคำสอนของพระอรหันต์หรือพระอริยะเจ้า ที่มีการรับรองจะดีกว่า

จิตปภัสสร โดย พระอรหันต์และพระอริยะเจ้า


จิตปภัสสร โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

 จิต ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุ เกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ จิตเป็นของประสัสสร คือมันผ่องใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา อาคันตุกกิเลสต่างหาก มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา นี่พูดเรื่อง จิต ให้คิดดูว่า หากจิตเดิมเป็นของเศร้าหมองแล้ว ใครจะทำให้บริสุทธิ์ได้ ไม่มี เลย

เหตุนั้นท่านจึงว่า ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ จิตเป็นของประภัสสรตลอดเวลา ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าจิตประภัสสร จิตกับใจเข้ามารวมกันแล้ว คราวนี้มารวมกันเข้าเป็นใจ เมื่อมันเป็นประภัสสรมันรวมกันเป็นใจ ประภัสสรนั้นหมายความถึงจิตไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง จึงจะเห็นจิต เรียกว่าใจ ถ้าหากยังคิดนึกปรุงแต่งอยู่มันเศร้าหมอง ถ้าจิตผ่องใสแท้มันต้องสะอาดปราศจากความคิดความนึกความปรุงความแต่งจึงเรียกว่าใจ

จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลส ออกหมด มันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ คราวนี้จะไม่เรียกว่าจิต จะเรียกว่าใจ เราเรียกธรรมชาติของที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ว่าใจ
ในขณะที่เราทำความเพียรภาวนา ทำใจให้เป็น กลางๆ เฉยๆ สบาย มันก็ถึงใจ ความสบาย นั่นแหละเป็นใจ ความเฉยๆ นั่นแหละ เป็นใจ ไม่มีอดีตอนาคต ไม่มีบาปไม่มีบุญ ตัวเฉยๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรทั้งหมด ความคิดความนึกความปรุงความแต่ง มัน ออกไปจากใจ เรียกว่าจิต จิตคือผู้คิดนึก ปรุงแต่ง จิตเป็นคนสั่ง สารพัดทุกอย่างในโลก ส่วนใจสงบคงที่


จิตปภัสสร โดย หลวงปู่มั่น ในมุตโตทัย


๑๐. จิตเดิมเป็นธรรมชาติใสสว่าง แต่มืดมัวไปเพราะอุปกิเลส

             ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ
 ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เสื่อมปภัสสรแจ้งสว่างมาเดิม แต่อาศัยอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นอาคันตุกะสัญจรมาปกคลุมหุ้มห่อ จึงทำให้จิตมิส่องแสงสว่างได้


......กิเลสทั้งหลายไม่ใช่ของจริง เป็นสิ่งสัญจรเข้ามาในทวารทั้ง ๖ นับร้อยนับพัน มิใช่แต่เท่านั้น กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้นก็จะทวียิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในเมื่อไม่แสวงหาทางแก้

ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่อาศัยของปลอม กล่าวคืออุปกิเลสที่สัญจรเข้ามาปกคลุมจึงทำให้หมดรัศมี ดุจพระอาทิตย์เมื่อเมฆบดบังฉะนั้น อย่าพึงเข้าใจว่าพระอาทิตย์เข้าไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตย์ต่างหาก


จิตปภัสสร โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


และจิตนี้ก็ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่าเป็นธรรมชาติปภัสสร ที่แปลว่าผุดผ่อง แต่เศร้าหมองไปด้วยเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา อันเรียกว่าอุปกิเลส คือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา แต่ว่าจิตนี้เมื่อได้ปฏิบัติทำจิตตภาวนา คืออบรมจิต ตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็วิมุติหลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามานี้ได้ เมื่อเป็นดั่งนี้จิตจึงกลับเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง ปรากฏตามธรรมชาติของจิต จิตที่ผุดผ่องนี้เอง เมื่อขอยืมเอาคำของดอกบัวมาใช้ คือบาน ก็คือจิตที่บาน และเพื่อให้ได้คำที่สละสลวย จึงได้ใช้คำว่าเบิกบาน ก็คือจิตที่เบิกบานนั้นเอง เพราะฉะนั้น จิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง ก็คือจิตที่เบิกบาน หรือจิตที่เบิกบาน ก็คือจิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง
เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงควรทำความเข้าใจว่า พระจิตของพระพุทธเจ้านั้น วิมุติหลุดพ้น จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามาทั้งหมด

ตลอดจนถึงกิเลสอย่างละเอียดที่เป็นอาสวะอนุสัยนอนจมหมักหมมอยู่ในจิต ทรงได้วิมุติคือความหลุดพ้นจากกิเลสเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่มีกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นเหมือนดอกบัวที่เบิกบานเต็มที่แล้ว ด้วยต้องแสงอาทิตย์คือแสงธรรม คือพระปัญญาที่ตรัสรู้พระธรรมนั้นเอง เพราะฉะนั้น จิตของพระองค์จึงเป็นจิตที่ผุดผ่องเต็มที่ เบิกบานเต็มที่ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วด้วยประการทั้งปวง ไม่มีเครื่องเศร้าหมองเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่เบิกบานแล้ว


สรุปด้วยพระสูตรบทนี้


"ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา "

ทวนข้อสำคัญอีกครั้ง

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี - จิตเป็นของประสัสสร คือมันผ่องใสสะอาด  หากจิตเดิมเป็นของเศร้าหมองแล้ว ใครจะทำให้บริสุทธิ์ได้ ไม่มี เลย

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต- ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ดุจพระอาทิตย์  กิเลสที่ปกคลุมคือ เมฆที่มาบดบัง

สมเด็จพระสังฆราช -  จิตที่เบิกบาน ก็คือจิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง พระจิตของพระพุทธเจ้านั้น วิมุติหลุดพ้น จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามาทั้งหมด จึงเป็นจิตที่ผุดผ่องเต็มที่ เบิกบานเต็มที่
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 7.0.517.44 Chrome 7.0.517.44


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2553 18:19:10 »

เห้อ...
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2553 14:28:14 »

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย: ปภัสสร มิทัง ภิกขเว จิตตัง โดยธรรมชาติของจิตดั้งเดิมเป็นธรรมชาติประภัสสร แต่อย่าไปเข้าใจว่าจิตประภัสสร คือจิตหมดกิเลส ถึงพระนิพพาน ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นจิตสะอาด เพียงแค่สะอาด ไม่ถึงความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง

ตอบ

หลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา จำนวนมากยังปฏิบัติได้ไม่ถึงถึงอนาคามีและอรหันต์  ท่านก็ยังไม่รู้  แต่ถ้าหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้อ่านข้อเขียนของผม  ท่านจะเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น  เพราะชัดเจนเลย  ไม่สามารถแย้งได้

ถ้าคุณไม่เชื่อที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน  คุณควรอ่านคำสอนของพระอรหันต์หรือพระอริยะเจ้า ที่มีการรับรองจะดีกว่า

จิตปภัสสร โดย พระอรหันต์และพระอริยะเจ้า


จิตปภัสสร โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

 จิต ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุ เกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ จิตเป็นของประสัสสร คือมันผ่องใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา อาคันตุกกิเลสต่างหาก มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา นี่พูดเรื่อง จิต ให้คิดดูว่า หากจิตเดิมเป็นของเศร้าหมองแล้ว ใครจะทำให้บริสุทธิ์ได้ ไม่มี เลย

เหตุนั้นท่านจึงว่า ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ จิตเป็นของประภัสสรตลอดเวลา ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าจิตประภัสสร จิตกับใจเข้ามารวมกันแล้ว คราวนี้มารวมกันเข้าเป็นใจ เมื่อมันเป็นประภัสสรมันรวมกันเป็นใจ ประภัสสรนั้นหมายความถึงจิตไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง จึงจะเห็นจิต เรียกว่าใจ ถ้าหากยังคิดนึกปรุงแต่งอยู่มันเศร้าหมอง ถ้าจิตผ่องใสแท้มันต้องสะอาดปราศจากความคิดความนึกความปรุงความแต่งจึงเรียกว่าใจ

จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลส ออกหมด มันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ คราวนี้จะไม่เรียกว่าจิต จะเรียกว่าใจ เราเรียกธรรมชาติของที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ว่าใจ
ในขณะที่เราทำความเพียรภาวนา ทำใจให้เป็น กลางๆ เฉยๆ สบาย มันก็ถึงใจ ความสบาย นั่นแหละเป็นใจ ความเฉยๆ นั่นแหละ เป็นใจ ไม่มีอดีตอนาคต ไม่มีบาปไม่มีบุญ ตัวเฉยๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรทั้งหมด ความคิดความนึกความปรุงความแต่ง มัน ออกไปจากใจ เรียกว่าจิต จิตคือผู้คิดนึก ปรุงแต่ง จิตเป็นคนสั่ง สารพัดทุกอย่างในโลก ส่วนใจสงบคงที่


จิตปภัสสร โดย หลวงปู่มั่น ในมุตโตทัย


๑๐. จิตเดิมเป็นธรรมชาติใสสว่าง แต่มืดมัวไปเพราะอุปกิเลส

             ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ
 ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เสื่อมปภัสสรแจ้งสว่างมาเดิม แต่อาศัยอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นอาคันตุกะสัญจรมาปกคลุมหุ้มห่อ จึงทำให้จิตมิส่องแสงสว่างได้


......กิเลสทั้งหลายไม่ใช่ของจริง เป็นสิ่งสัญจรเข้ามาในทวารทั้ง ๖ นับร้อยนับพัน มิใช่แต่เท่านั้น กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้นก็จะทวียิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในเมื่อไม่แสวงหาทางแก้

ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่อาศัยของปลอม กล่าวคืออุปกิเลสที่สัญจรเข้ามาปกคลุมจึงทำให้หมดรัศมี ดุจพระอาทิตย์เมื่อเมฆบดบังฉะนั้น อย่าพึงเข้าใจว่าพระอาทิตย์เข้าไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตย์ต่างหาก


จิตปภัสสร โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


และจิตนี้ก็ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่าเป็นธรรมชาติปภัสสร ที่แปลว่าผุดผ่อง แต่เศร้าหมองไปด้วยเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา อันเรียกว่าอุปกิเลส คือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา แต่ว่าจิตนี้เมื่อได้ปฏิบัติทำจิตตภาวนา คืออบรมจิต ตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็วิมุติหลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามานี้ได้ เมื่อเป็นดั่งนี้จิตจึงกลับเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง ปรากฏตามธรรมชาติของจิต จิตที่ผุดผ่องนี้เอง เมื่อขอยืมเอาคำของดอกบัวมาใช้ คือบาน ก็คือจิตที่บาน และเพื่อให้ได้คำที่สละสลวย จึงได้ใช้คำว่าเบิกบาน ก็คือจิตที่เบิกบานนั้นเอง เพราะฉะนั้น จิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง ก็คือจิตที่เบิกบาน หรือจิตที่เบิกบาน ก็คือจิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง
เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงควรทำความเข้าใจว่า พระจิตของพระพุทธเจ้านั้น วิมุติหลุดพ้น จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามาทั้งหมด

ตลอดจนถึงกิเลสอย่างละเอียดที่เป็นอาสวะอนุสัยนอนจมหมักหมมอยู่ในจิต ทรงได้วิมุติคือความหลุดพ้นจากกิเลสเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่มีกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นเหมือนดอกบัวที่เบิกบานเต็มที่แล้ว ด้วยต้องแสงอาทิตย์คือแสงธรรม คือพระปัญญาที่ตรัสรู้พระธรรมนั้นเอง เพราะฉะนั้น จิตของพระองค์จึงเป็นจิตที่ผุดผ่องเต็มที่ เบิกบานเต็มที่ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วด้วยประการทั้งปวง ไม่มีเครื่องเศร้าหมองเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่เบิกบานแล้ว


สรุปด้วยพระสูตรบทนี้


"ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา "

ทวนข้อสำคัญอีกครั้ง

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี - จิตเป็นของประสัสสร คือมันผ่องใสสะอาด  หากจิตเดิมเป็นของเศร้าหมองแล้ว ใครจะทำให้บริสุทธิ์ได้ ไม่มี เลย

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต- ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ดุจพระอาทิตย์  กิเลสที่ปกคลุมคือ เมฆที่มาบดบัง

สมเด็จพระสังฆราช -  จิตที่เบิกบาน ก็คือจิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง พระจิตของพระพุทธเจ้านั้น วิมุติหลุดพ้น จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามาทั้งหมด จึงเป็นจิตที่ผุดผ่องเต็มที่ เบิกบานเต็มที่

ฟังๆแล้ว ก็ไม่เห็นมีสัตว์โลกสักตน  ที่จะมีความเข้าใจในธรรม ที่บ่งแสดงถึง ความเข้าเข้าใจสักคน
หาเพชรสักเม็ดไม่ได้ สักเม็ด จากคำอธิบายเหล่านั้น

จากคำอธิบาย เหล่านั้น จิตประภัสร  ก็เป้นได้อย่างสวยหรู  เป็นได้แค่เพียง สิ่งที่ถูกรู้
ไม่เห้นมีอะไรต่างกัน เช่นเดียวกับสิ่งที่ถูกรู้มากมายกายกอง ในกองขยะ

ก็เป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้  ไร้คุณค่า ที่จะยึดถือเสียนี่กระไร





บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.448 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 14 กุมภาพันธ์ 2567 02:43:10