13 ธันวาคม 2567 18:28:18
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
.:::
คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงสาม
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงสาม (อ่าน 4984 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 34.0.1847.116
คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงสาม
«
เมื่อ:
24 เมษายน 2557 13:15:59 »
Tweet
บัดนี้จะเป็นคำแนะนำว่าบาร์โดภาวะแห่งเทพพิโรธปรากฏขึ้นได้อย่างไร
จวบจนบัดนี้มี
เจ็ดขั้นด้วยกันที่จะต้องผ่านบนหนทางอันตรายใน
บาร์โด
ที่เขาได้ประสบพบกับ
เทพสันติ
และแม้เขาจะได้รับการถ่ายทอด ชี้แนะในแต่ละขั้นตอนแล้ว หากเขาจะไม่อาจทำการระลึกได้ในขั้นแรก ๆ เขาย่อมระลึกได้ในขั้นตอนอื่น และ
การตรัสรู้สู่วิมุตติสุขอันหา ที่สุดมิได้จะบังเกิดขึ้น
แม้นว่าบุคคลจำนวนมากจะถูกปลดปล่อยจากสังสารวัฏโดยวิธีดังกล่าวนี้ แต่ส่ำสัตว์นั้นมีมากมายมหาศาล มีอกุศล อันแน่นหนา มีม่านปกคลุมอันพิกลพิการทั้งหนักหนาและใหญ่โต มิจฉาทิฏฐิดำรงมาเป็นเวลานานนัก และวัฏฏะแห่งความสับสนและอวิชชา ไม่เคยถดถอยหรือพอกพูน ด้วยเหตุนี้จึงมีบุคคลอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย แต่กลับเร่ร่อนลงสู่ภูมิอันต่ำช้า แม้เขาจะได้รับ การชี้แนะอย่างแจ่มกระจ่างมาตลอดแล้วก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ หลังจากได้ประสบกับ
เทพสันติ วิทยาธร
และ
ทักคินี
จะได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เทพพิโรธ
ผู้กระหายเลือดและเร่าร้อน ๕๘ ตน
จักปรากฏขึ้น โดยกลายร่างจาก
เทพสันติ
บัดนี้พวกเขาไม่เหมือนก่อนแล้ว นี้เป็นช่วง
บาร์โดแห่ง
เทพพิโรธ
ดังนั้นบุคคลทั้งหลายจึงถูก ถมทับโดยความหวาดกลัวอันแรงกล้า และยิ่งเป็นการยากที่จะทำการจดจำนิมิตต่าง ๆ ในเวลานี้ สภาพจิตนั้นไม่อาจควบคุมตนเอง ซีดจางลงและวิงเวียนโซซัดโซเซ
แต่หากการระลึกได้นั้นได้บังเกิดขึ้นแม้เพียงเสี้ยวนาที การปลดปล่อยนั้นก็ง่ายดายนัก
เพราะว่าจาก อิทธิพลแห่งการอยู่เหนือความกลัวย่อมทำให้จิตไม่ฟั่นเฟือนฟุ้งซ่าน และด้วยเหตุนั้นจิตจึงสำรวมกำลังได้เป็นจุดเดียว
หากแม้นบุคคลนั้นมิได้ทำความระลึกในคำสอนดังกล่าวนี้ ถึงเขาจะทำการเรียนรู้มามากมายปานมหาสมุทรกว้างก็ไร้ประโยชน์ แม้กระทั่ง คุรุอาจารย์ที่ปฏิบัติตามพระวินัยและเหล่าวิปัสสนาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังฟุ้งซ่านสับสน และไม่อาจจดจำคำสอนในกาลก่อนได้ ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงเร่ร่อนอยู่ในสังสารวัฏ ยิ่งบุคคลธรรมดาแล้วพวกเขาย่อมทนทุกข์มากกว่าปกติ ในการหลบหนีจากความกลัวอันเข้มข้น พวกเขา ได้พลัดตกลงไปสู่ภูมิอันต่ำช้าและรับทุกข์ทรมาณยิ่งนัก
แต่สำหรับผู้ผ่านการฝึกฝน
โยคะตันตระ
แม้ว่าเขาจะเป็นสานุศิษย์ที่ต่ำต้อยปานใด เขาย่อมจะจดจำเหล่าเทพกระหายเลือดนี้ได้ว่าเป็น
องค์ยิดัม
ในชั่วพลันที่เผชิญ เหมือนดังการพบเพื่อนเก่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเชื่อมั่นในเทพ เหล่านี้และเข้าร่วมโดยไม่แบ่งแยกกับพวกเขา และกลับกลายเป็น
พระพุทธองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
เคล็ดลับอยู่ที่ว่าในยามมีชีวิตอยู่ เขาได้ใช้ เทพกระหายเลือดเป็นบริกรรมนิมิตและทำการบวงสรวงบูชาพวกเขา ผนวกกับการพบเห็นรูปวาดหรือประติมากรรมของทวยเทพเหล่านี้ เขาจดจำภาพในที่นี้ได้และประสบกับวิมุตติสุขในที่สุด
ทว่าในหมู่บรรดาเหล่าวิปัสสนาจารย์ที่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนในศาสนา ถึงเขาจะใช้ความเพียรพยายามสักปานใด และแตกฉาน เพียงใดในพระสูตรในยามมีชีวิตอยู่ หากแต่ครั้นเขาได้ดับร่างลงโดยปราศจากสื่อบอกเหตุ เช่น
มีอัฐิที่ใสแก้ว มีรัศมีพระอาทิตย์ทรงกลด ในยามประชุมเพลิง รวมทั้งปรากฏการณ์บอกเหตุอื่น ๆ
แสดงว่าเขาฝึกฝนตันตระในทางที่ผิดและไม่อาจ
ผสานผสมตันตระเข้าไปในดวงจิต
พวกเขาไม่รู้จักเหล่า
เทพแห่งตันตระ
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่อาจจดจำเทพเหล่านั้นได้เมื่อเขาปรากฏตนในบาร์โด และเมื่อประสบกับสิ่ง ที่มิได้เคยพบเห็นมาก่อน พวกเขาจึงคิดว่านิมิตเหล่านี้เป็นศัตรูและบังเกิดโทสะต่อมัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้ร่วงหล่นสู่ภูมิอันต่ำช้า นั่นเป็นเหตุผลว่า เหตุใดที่บรรดานักปราชญ์และผู้เคร่งครัดในวินัย แต่มิได้ฝึกฝนในตันตระ อัฐิที่ใสดุจแก้ว หรือรัศมีทรงกลดจึงมิได้ ปรากฏแก่เขา
สำหรับผู้ฝึกฝนใน
ตันตระ
แม้ว่าเขาจะต่ำต้อยยิ่งนักประพฤติตนหยาบช้าในโลก ไร้สัมมาคารวะและไม่บริสุทธิ์เคร่งครัด รวมทั้งบุคคลที่ไม่ สามารถฝึกฝน
ตันตระ
ให้สำเร็จ แต่เป็นเพราะว่าเขามีความศรัทธาใน
ตันตระวิชา
และไม่มีข้อสงสัยใดในการเข้าสู่วิมุตติสุขโดยวิธีนี้ ด้วยเหตุ นี้แม้พฤติกรรมของเขาจะไม่เป็นที่ยอมรับกันในโลกมนุษย์
แต่ในยามที่เขาดับชีพลงกลับปรากฏอัฐิที่ใสประดุจแก้ว และรัศมีอาทิตย์ทรงกลด แก่เขา นี่เป็นเพราะว่า
คำสอนแห่งตันตระ
นั้นทรงไว้ซึ่งอำนาจอันสูงส่ง
สำหรับเหล่าผู้ฝึกฝนตันตระเหนือเกินเกณฑ์ทั่วไป
ผู้ซึ่งสำรวมจิตในสมาธิและมีการฝึกฝนอันสมบูรณ์ และได้ท่องบ่นหทัยมนตราเป็น การสมบูรณ
์ ไม่จำเป็นต้องเร่ร่อนอยู่เป็นเวลานานในบาร์โดแห่งธรรมดา
ทว่าในชั่วขณะที่เขาหยุดลมหายใจ
เหล่าวิทยธร นักรบ และทักคินี จะเชื้อเชิญเขาสู่แดนสุขาวดี
นิมิต
ที่บ่งบอกนั้นได้แก่
ท้องฟ้าจะแจ่มใส ร่างของเขาจะเลือนหายไปในสายรุ้ง ฝนจะพรำกลิ่นหอมจะรวยริน คีตะจะบรรเลงในท้องฟ้า รัศมีอาทิตย์จะทรงกลด และปรากฏอัฐิธาตุอันสุกใสขึ้น
ด้วยเหตุนี้ บรรดานักปราชญ์ ผู้เคร่งครัดวินัย และสานุศิษย์แห่งตันตระที่ปล่อยให้องค์สัมมาปฏิบัติเสื่อมทรามลง และบุคคลสามัญจำต้อง พึ่งพาคัมภีร์
" มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง "
สำหรับผู้เจริญสมาธิภาวนาที่ผ่านการฝึกฝน
มหามุทรา
และ
มหาสัมปานา( มหาอติหรืออติโยคะ )
ย่อมจดจำ
แสงกระจ่าง
ในบาร์โดชั่วขณะก่อนตายได้และเข้าถึงซึ่ง
ธรรมกายสภาวะ
ทำให้เขาไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง "
หากพวกเขาจดจำ
แสงกระจ่าง
ระหว่าง
บาร์โดชั่วขณะก่อนตายได้
พวกเขาย่อมเข้าถึง
ธรรมกายสภาวะ
แต่หากพวกเขาทำการระลึกได้ใน
บาร์โดแห่งธรรมดา
เมื่อเทพสันติและเทพพิโรธปรากฏขึ้น พวกเขาย่อมเข้าสู่
สัมโภคกายสภาวะ
แต่หากเขาทำการระลึกได้ใน
บาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน
พวกเขาย่อมเข้าสู่
นิรมาณกายสภาวะ
และเกิดในภพอันสูงส่งกว่าเดิม ที่พระสัทธรรมได้แพร่ไปถึง
และเนื่องจากผลการ กระทำนั้นส่งไปถึงชีวิตหน้า อันเป็นเหตุผลว่าทำไมคัมภีร์
" มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง "
จึงเป็นคำสอนที่ปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขได้ โดยปราศจากสมาธิภาวนา เป็นการปลดปล่อยขั้นสูงโดยอาศัยเพียงการสดับฟัง เป็น
คำสอนอันลึกซึ้งที่ก่อให้เกิดการตรัสรู้ในพริบตา
ดังนั้น สรรพสัตว์ที่เข้าถึงคำสอนย่อมไม่พลัดตกสู่ภูมิอันต่ำช้า ทั้งคัมภีร์
" มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง "
และ คัมภีร์
" มหาวิมุตติโดยการสวมใส่ "
จะต้องถูกอ่านอย่างชัดเจน เพราะเมื่อคำสอนทั้งคู่ถูกนำมาใช้รวมกัน จะเปรียบประดุจมณฑลทองที่ประดับด้วยพลอยการเวก
บันทึกการเข้า
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 34.0.1847.116
Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงสาม
«
ตอบ #1 เมื่อ:
24 เมษายน 2557 13:16:39 »
บัดนี้สาระสำคัญอันยิ่งยวดของคัมภีร์
" วิมุตติโดยการสดับฟัง "
จะได้รับการสั่งสอน มันจักแสดงแถลงไขว่าบาร์โดภาวะแห่งเทพพิโรธ ปรากฏขึ้นได้อย่างไร จงเรียกนามของผู้ตายสามครั้งและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
จงฟังคำข้า อย่าแชเชือน ถึงแม้ว่าช่วง
บาร์โดแห่งเทพสันติ
จะได้ปรากฏขึ้นแล้ว ท่านก็ยังมิอาจระลึกพวกเขาได้ ดังนั้นท่านจึงได้ร่อนเร่มาจนถึงที่นี่ บัดนี้ในวันที่แปด
เหล่าเทพกระหายเลือด
จักปรากฏกายขึ้น จงจดจำพวกเขาให้ได้อย่าหวั่นไหว "
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
ท่านผู้มีนามศักดิ์สิทธิ์ว่า
พุทธะเฮรุกา
จะอุบัติขึ้นจากภายในกระหม่อมของท่าน ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าอย่าง แจ่มชัดและเป็นจริง กายของเขาเป็นสีแดงดุจผลองุ่น มีสามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ใบหน้าซีกขวามีสีขาวนวล ซีกซ้ายมีสีแดงจ้า ซีกตรงมีสีดุจผลองุ่น ร่างของเขาใสสว่างดุจก้อนแสง ตาทั้งเก้าจ้องมองท่านอย่างโกรธเคือง คิ้วของเขาประดุจสายฟ้าฟาด ซี่ฟันของเขา วาวดุจทองแดง เขาส่งเสียงหัวเราะก้อง อะ ลา-ลา และ ฮ่าฮ่า ผิวปากดัง ซู่ว์ ผมสีแดงทองมวยมุ่นสู่เบื้องบนส่งประกายวาว ศีรษะของเขาสวมด้วยมงกุฏกะโหลก และดวงสุริยัน-จันทรา ร่างของเขาประดับด้วยอสรพิษดำและกะโหลกสด ๆ มือทั้งหกคู่นั้นแบ่งถือ ศาสตราวุธ มือแรกข้างขวาถือวงล้อ มือที่สองถือขวาน มือที่สามถือดาบ มือแรกข้างซ้ายถือระฆัง ถือคันไถไว้ในมือกลาง ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือสุดท้าย ชายาประจำองค์ได้แก่ นางพุทธะ-โกรดิสวารี สวมกอดร่างเขาอยู่ มือขวาของนางโอบรัดอยู่รอบคอของเขา มือซ้ายถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะ ล้นด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปากของภัสดา พุทธะเฮรุกาส่งเสียง ร้องจากเพดานบน และคำรามดุจฟ้าผ่า เปลวไฟแห่งปัญญาจะพวยพุ่งออกจากหว่างกลางวัชระเรืองแสงบนศีรษะ เขายืนตระหง่านอยู่บน บัลลังก์ที่พยุงไว้ด้วยครุฑ ที่งอขาข้างหน้าไว้แล้วเหยียดอีกข้างออก
" อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด อย่าไหวหวั่น อย่าสับสน ระลึกไว้เสมอว่าพวกเขามีรูปลักษณ์ดังใจของท่าน
เขาคือองค์ยิดัมประจำตัวท่าน
ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย จริง ๆ แล้วพวกเขาคือ
พระไวโรจนพุทธ
และองค์ชายา
ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย
การระลึกได้และ การปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
"
เมื่อกล่าวถ้อยคำดังกล่าวนี้แล้ว
ผู้ตายจะจดจำองค์
ยิดัม
ได้ในที่สุดและเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน และกลายเป็น
สัมโภคกายพุทธ
ในที่สุด
แต่หากผู้ตายเกิดหวาดกลัวและหลบหนีไป จึงมิอาจระลึกได้ ดังนั้นในวันที่เก้า
สาวกผู้กระหายเลือดแห่ง
วัชรสกุล
จะมาเชื้อเชิญเขา ดังนั้นเพื่อทำการชี้แนะเขาอีกครั้ง ผู้อ่านควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่เก้าบริวารแห่ง
วัชรสกุล
อันมีนามว่า
วัชระเฮรุกา
ผู้ศักดิ์สิทธ
ิ์จะอุบัติขึ้นจาก ฟากฟ้าตะวันออกของกลางกระหม่อมท่าน ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า มีกายสีน้ำเงินบาง มีสามเศียรหกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ใบหน้าซีกขวา มีสีขาวนวล ซีกซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกตรงมีสีน้ำเงิน ถือวัชระไว้ในมือด้านขวา ถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง มือถือขวานไว้มือสุดท้าย ถือระฆังไว้ในมือแรกด้านซ้าย ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง และถือคันไถไว้ในมือสุดท้าย ชายาประจำองค์ ได้แก่ พระนางวัชระโกรดิสวารี มือขวาของนางโอบรัดอยู่รอบคอของเขา มือซ้ายถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะล้นด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปากภัสดา
" อย่าหวาดกลัวเขาเป็นอันขาด อย่าาพรั่นพรึง อย่าสับสน ระลึกไว้เสมอว่าพวกเขามีรูปลักษณ์ดังใจท่าน
เขาเป็นองค์ยิดัมประจำตัวท่าน
ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย
จริง ๆ แล้วพวกเขาคือองค์
พุทธวัชรสัตว์
พร้อมด้วยศักติ ดังนั้นจงมีศรัทธา การระลึกได้และการปลดปล่อย สู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นพร้อมกัน "
เมื่อคำสอนนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา
เขาย่อมจดจำองค
์ยิดัม
ประจำตนได้และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกท่านและกลายเป็น
พุทธะในสัมโภคกายภาวะ
ทว่าในบุคคลที่กอปรขึ้นด้วยอกุศลกรรมอันหนักหนาสาหัส เขาย่อมเกิดความหวาดกลัวและทำการหลบหนี ด้วยเหตุนั้นการระลึกจึงไม่อาจ เกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ในวันที่สิบ
บริวารผู้กระหายเลือดแห่ง
รัตนสกุล
จักมาเชื้อเชิญพวกเขา ดังนั้นจึงควรทำการชี้แนะต่อเขาอีก ผู้อ่านควรเรียกชื่อของผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่สิบ
บริวารอันกระหายเลือดแห่ง
รัตนสกุล
มีนามว่า
รัตนะเฮรุกา
ผู้ศักดิ์สิทธิ์
จะปรากฏตนออกจากทิศใต้ของกระหม่อมท่าน ร่างของเขานั้นจะมีสีเหลืองนวล สามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ซีกหน้าด้านขวามีสีขาว ซีกด้านซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกตรงกลางมีสีเหลืองเข้ม ถือเพชรนิลจินดาไว้ในมือด้านแรกขวา ถือซ่อมสามขาเสียบศีรษะมนุษย์ ๓ หัวด้วยกัน ไว้ในมือกลางด้านขวา และถือไม้เท้าไว้ในมือสุดท้าย ถือระฆังไว้ในมือแรกข้างซ้าย ถือถ้วยกระโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง ซ่อมสามขาไว้ ในมือท้าย ศักติของเขาได้แก่ รัตนะโกรดิสวารี สวมกอดเขาอยู่ มือขวาโอบอยู่รอบคอ มือซ้ายถือถ้วยกะโหลกศีรษะล้นไปด้วยเลือด จ่อที่ริมฝีปากของภัสดา
" อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด อย่าไหวหวั่น อย่าพรั่นพรึง
จงจำไว้ว่าเขาเป็นนิมิตมายาอันเกิดจากใจท่าน เขาเป็นองค์
ยิดัม
ประจำตัวท่าน
ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวพวกเขา ความจริงแล้วพวกเขาคือ
องค์รัตนสัมภวะผู้ศักดิ์สิทธิ์
พร้อมด้วยชายา ดังนั้น
จงดำรงความสงบ การระลึกได้และการบรรลุสู่วิมุตติสุขจะเป็นไปอย่างฉับพลัน "
เมื่อคำชี้แนะผ่านพ้นไป
ผู้ตายย่อมจดจำองค์
ยิดัม
ประจำตัวได้ และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยกและกลายเป็น
องค์พุทธะผู้บริสุทธิ์
บันทึกการเข้า
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 34.0.1847.116
Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงสาม
«
ตอบ #2 เมื่อ:
24 เมษายน 2557 13:17:27 »
ทว่าแม้จะได้รับคำชี้แนะดังกล่าวเช่นนี้ เขาก็ยังถูกฉุดดึงด้วยจิตใจใฝ่ต่ำ อันก่อให้เกิดความหวาดกลัวและทำการหลบหนีไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่อาจจดจำ
องค
์ยิดัม
ได้ แม้ว่าเขาจะได้ประสบกับ
เทพยามันตากะ
แแล้วก็ตามที เขาก็ยังไม่อาจทำความระลึกได้ ดังนั้นในวันที่สิบเอ็ด
องค์ประธานแห่ง
ปัทมสกุล
ผู้กระหายโลหิต นาม
ปัทมะเฮรุกา
อันศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวขึ้น
จากฟากฟ้าตะวันตกของกระหม่อม และ สำแดงกายอยู่อย่างชัดแจ้งพร้อมด้วยองค์ชายาของเขา ร่างกายของเขามีสีแดงเข้ม สามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้กันไปมา หน้าซีกขวาสีขาวโพลง ซีกซ้ายเป็นสีน้ำเงินคราม ด้านตรงเป็นสีแดงเข้ม มีหกกร ในแขนข้างขวาทรงถือดอกบัวไว้เป็นลำดับแรก ถือซ่อมสามขาที่เสียบไว้ด้วยศีรษะมนุษย์ในลำดับต่อมา และคันเบ็ดในลำดับท้ายสุด ในแขนข้างซ้ายทรงถือระฆังไว้เป็นลำดับแรก ถือถ้วยรูปกะโหลกที่เอ่อล้นไปด้วยโลหิตมนุษย์ในลำดับต่อมา และกลองขนาดย่อมในลำดับสุดท้าย ชายาของเขาได้แก่ปัทมะโกรดิสวารี สวมกอดร่างของเขาอยู่ มือขวาของนางโอบรัดรอบคอเขา แขนข้างซ้ายถือถ้วยหัวกะโหลกโชกไปด้วยโลหิตจ่ออยู่ริมฝีปากภัสดา
" อย่าหวาดกลัวพวกเขาไปเลย อย่าพรั่นพรึง อย่าหวั่นไหว แต่จงทำใจให้เริงรื่นและพึงระลึกให้ได้ว่า
เขาเป็นมายาจากจิตท่านเอง เขาคือองค์ยิดัมประจำตนท่าน
ด้วยเหตุนี้จึงมิควรหวาดกลัวไหวหวั่น
ตัวตนอันแท้จริงของเขาได้แก่
พระอมิตาภพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์
ร่วมทาง กับองค์ชายา ดังนั้นพึงทำการระลึกถึงคำสอน และ
การปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
"
เมื่อคำชี้แนะดังกล่าวนี้สิ้นสุดลง เขาย่อมจดจำได้ว่า
นิมิตมายานั่นคือองค์
ยิดัม
ประจำตัวเขา และเขาจะรวบร่างเป็นหนึ่งและกลายเป็น
องค์พุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์
ทว่า ภายหลังจากการได้รับการชี้แนะดังกล่าวนี้แล้ว เขายังอาจถูกฉุดรั้งด้วยอำนาจใฝ่ต่ำและเกิดความหวาดกลัวและหลบหนีไป ด้วยเหตุนั้นจึงไม่อาจจดจำองค์ยิดัมประจำตนได้ ดังนั้นในวันที่สิบสอง
องค์ประธานแห่ง
กรรมสกุล
ผู้กระหายเลือดจักปรากฏกายขึ้นพร้อม ด้วยเการิศ ปิศาจและโยคินี
เพื่อทำการเชื้อเชิญเขา ถ้าเขาไม่อาจทำการระลึกในคำสอนได้ เขาย่อมหวาดกลัวอย่างแรงกล้า ด้วยเหตุนี้เพื่อทำการชี้แนะต่อเขาอีก ผู้อ่านควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน เมื่อวันที่สิบสองมาถึง
องค์ประธานแห่งกรรมสกุลผู้กระหายโลหิต นาม
กรรมะเฮรุกา
จะอุบัติจากฟากเหนือของกระหม่อม และปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าท่านอย่างแจ่มแจ้งพร้อมด้วยองค์ชายา ร่างของเขา เขียวครึ้มมีสามเศียร หกกร ขาสี่ข้างแยกออกจากกัน ซีกหน้าด้านขวามีสีขาวโพลง ซีกหน้าด้านซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกหน้าตรงเขียวครึ้มดูลึกลับ ในแขนข้างขวาทรงถือดาบไว้เป็นลำดับแรก ถือซ่อมสามขาที่ใช้เสียบศีรษะมนุษย์ไว้ในลำดับต่อมา และทรงถือคันเบ็ดไว้เป็นลำดับสุดท้าย ในแขนข้างซ้ายทรงถือระฆังไว้เป็นเบื้องแรก ถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะมนุษย์ไว้ในลำดับต่อมา และทรงถือคันไถไว้ในลำดับสุดท้าย ศักติของเขาได้แก่กรรมะโกรดิสวารี สวมกอดร่างของเขาอยู่ แขนข้างขวาของนางโอบอยู่รอบคอเขา แขนข้างซ้ายถือถ้วยหัวกะโหลกโชกไปด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปาก
" อย่าหวาดกลัวเขาไปเลย อย่าพรั่นพรึง อย่าหวั่นไหว
จงจดจำไว้ว่าเขาเป็นนิมิตมายาจากใจของท่านเอง เขาคือองค
์ยิดัม
ประจำตัวท่าน
ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัว ที่จริงแล้วเขาคือ
พระอโฆสิทธิพุทธ
ร่วมทางด้วยองค์ชายา ดังนั้นจงอุทิศตนอย่างแรงกล้า
การจดจำและ การปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขจะเกิดขึ้นโดยฉับพลัน
"
เมื่อคำกล่าวนี้ถูกกล่าวขึ้นเพื่อชี้แนะผู้ตาย
เขาย่อมจดจำองค์
ยิดัม
ประจำตนได้ และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับท่านและกลายเป็น
องค์พุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์
โดยอาศัยคำสอนดังกล่าวนี้จากคุรุของเขา ผู้ตายย่อมจดจำ
ภาพทั้งหลายที่ปรากฏว่าเป็น
นิมิตแห่งใจตน เป็นการละเล่นของใจ และเขาจะได้รับการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข
ทุกสิ่งจะเป็นดังสิงห์โตร้ายที่ถูกแช่แข็ง เขาย่อมหวาดหวั่นหากไม่รู้ว่ามันเป็นสิงห์โตที่ถูกแช่แข็งไว
้ แต่เมื่อใดก้ตามที่มีคนไปแสดงว่า สิ่งนี้คืออะไรกันแน่ เขาย่อมประหลาดใจและไม่หวาดกลัวอีกต่อไป
ณ ที่นี้เขาหวาดกลัว เพราะว่าเหล่าทวยเทพอันกระหายเลือดปรากฏตนในรูปกายอันใหญ่โตและแขนขาอันมโหฬาร คับแน่นผืนฟ้า
แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาได้รับการชี้แนะว่าเหล่า
ทวยเทพล้วนเป็นภาพมายาแห่งใจ หรือเป็นองค์ยิดัมประจำตน
แสงสุกใสที่เขาได้สำรวมจิตไว้ในกาลก่อนและแสงสุกใส ในตนเองที่อุบัติขึ้นในภายหลัง จะเข้ารวมตัวกันเปรียบประดุจมารดาโอบอุ้มบุตร เปรียบประดุจการพบปะกับบุคคลที่เขาคุ้ยเคยเป็นอย่างดี
แสงสุกใสที่ปลดปล่อยออกจากจิตของเขาจะอุบัติขึ้นอย่างฉับพลันเบื้องหน้า และเขาจะได้รับการปลดปล่อยโดยอำนาจแห่งตน
แต่หากเขาไม่ได้รับการชี้แนะดังนี้ แม้กระทั่งบุคคลที่ผ่านการฝึกฝนอย่างดีเยี่ยม ก็อาจหลบหนีจากสถานที่แห่งนี้และต้องวนเวียน วนสังสารวัฏไม่สิ้นสุด ครั้นแล้ว
เหล่าเการิศทั้งแปดและปิศาจหลายเศียรจะอุบัติ
จากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏตนขึ้นเบื้องหน้า ดังนั้นเพื่อทำการชี้แนะเขาอีกครั้งหนึ่ง ผู้อ่านควรทำการเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน เการิศทั้งแปดจะอุบัติจากใจกลางกระหม่อมและปรากฏตนขึ้นเบื้องหน้าท่าน อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด
" จากฟากตะวันออกของกระหม่อม เการิศ-ขาว จะอุบัติขึ้นถือซากศพกับไม้เท้าในมือข้างขวาและถือถ้วยกะโหลกศีรษะเปี่ยมด้วยเลือด ในมือซ้าย อย่าหวาดกลัวเป็นอันขาด จากฟากใต้ของกระหม่อมเการิศ-เหลือง จะยิงธนูออกจากคันศร จากฟากตะวันตกปราโมหะ-แดง จะถือธงพรายทะเล จากฟากเหนือเวตาลี-ดำ จะถือวัชระและถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะเปี่ยมด้วยโลหิต จากฟากตะวันออกเฉียงใต้ ปุคคาสิ-แสด จะถืออวัยวะภายในไว้ในมือขวาและใช้มือซ้ายช่วยในการกัดกิน จากฟากฟ้าตะวันตกเฉียงใต้กัศมาลี-เขียวเข้ม จะดื่มโลหิต จากถ้วยกะโหลกที่นางถือไว้ในมือซ้ายและใช้มือขวาจับวัชระคนถ้วย จากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คันธาลี-สีเหลืองอ่อน จักฉีกศีรษะและ ร่างของมนุษย์ให้แยกจากกัน ถือหัวใจไว้ในมือข้างขวาและกัดกินร่างกายด้วยมือข้างซ้าย จากทอศตะวันออกเฉียงเหนือสมาสานี-สีคราม จักฉีกศีรษะและร่างของมนุษย์ให้แยกขาดจากกันและกัดกิน แปดเการิศจากทิศทั้งแปดจะล้อมรอบเทพเฮรุกาผู้กระหายเลือดทั้งห้า อันอุบัติขึ้นจากใจกลางกระหม่อมและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน หลังจากนี้แปดปิศาจแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะอุบัติขึ้นจากใจกลางกระหม่อม และปรากฏตนอยู่เบื้องหน้าท่าน
" ทางทิศตะวันออก สิงหมุกขา กายสีม่วง ศีรษะเป็นสิงห์แขนสองข้างรองอยู่ที่หน้าอก คาบซากศพคนไว้ในปาก สลัดแผงขนคอไปมา จากทิศใต้วยัคฆ์ ( พยัคฆ์ ) มุกขา กายสีแดง ศีรษะเป็นเสือสองแขนไขว้ชี้ลงสู่พื้นดิน ดวงตาของนางจับจ้องและขู่คำราม จากทิศตะวันตก ศกลาลมุกขา กายสีดำ ศีรษะเป็นสุนัขจิ้งจอก ถือมีดโกนไว้ในมือข้างขวาและเครื่องในในมือซ้าย กัดกินและเลียโลหิตจากอวัยวะภายใน จากทิศเหนือ สวานะมุกขา ศีรษะเป็นสุนัขป่า ใช้มือสองข้างจรดซากศพติดริมฝีปาก ดวงตาจับจ้องไปเบื้องหน้า จากทิศตะวันออกเฉียงใต้ คฤชรมุกขา กายสีเหลืองอ่อน ศีรษะเป็นนกแร้ง แบกซากศพมนุษย์ขนาดใหญ่ไว้เหนือบ่า ถือโครงกระดูกไว้ในมือของนาง จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ กานกะมุกขา กายสีแดงเข้ม ศีรษะเป็นเหยี่ยว ถือแผ่นหนังไว้เหนือไหล่ จากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กากามุกขา กายสีดำ ศีรษะเป็นอีกา ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือซ้ายและถือดาบไว้ในมือขวา กัดกินหัวใจและปอด ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อุลุมุกขา กายสีน้ำเงินเข้ม ศีรษะเป็นนกเค้าแมว ถือวัชระไว้ในมือขวาและถือดาบไว้ในมือซ้ายกำลังกินซากศพ แปดปิศาจจากสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะพากันห้อมล้อมเทพเฮรุกาผู้กระหายเลือด ซึ่งอุบัติจากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด จงจำไว้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการละเล่นแห่งใจ อันเป็นนิมิตจากตัวท่านเอง
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
ภาพธิดาทั้งสี่แห่งจตุรบาลจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า ดังนั้นจงจดจำ พวกนางให้ได้ดังนี้
" จากทางทิศตะวันออกของกระหม่อม อังกุศ กายขาว ศีรษะเสือโคร่ง ถือง้าวและถ้วยกะโหลกศีรษะอันเปี่ยมด้วยเลือดจะอุบัติ และปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทิศใต้ บาศก์ กายเหลือง ศีรษะเป็นสุกรตัวเมีย ถือบ่วงบาศก์ ทิศตะวันตก ศฤงคาร กายสีแดง ศีรษะเป็นสิงห์โต ถือโซ่เหล็ก ทางทิศเหนือ ฆณฏา กายสีเขียว ศีรษะงู ถือกระดิ่งในมือ เทพธิดาทั้งสี่แห่งจตุรบาลจะอุบัติจากกลาง กระหม่อมของท่านและปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า จงจดจำพวกเขาให้ได้ว่าล้วนเป็นองค์ยิดัมแห่งตัวท่านเอง
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
หลังจากเวลาดังกล่าว
เทพเฮรุกา
อันดุร้ายสามสิบตนจะปรากฏขึ้น โยคินียี่สิบแปดนางจะร่วมทางมา
พวกเขาจะอุบัติจากกลางกระหม่อมของท่านเช่นกันและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า ล้วนมีศีรษะแตกต่างกันไป ถืออาวุธต่าง ๆ กัน อย่าหวาดกลัวพวกเขา
แต่จงจำไว้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นการละเล่นแห่งใจ เป็นนิมิตจากตัวท่านเอง ใชช่วงเวลาวิกฤตนี้ จงระลึกถึงคำสั่งสอนของคุรุให้ได้
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
จากทิศตะวันออก โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติจากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ฝูงรากษส ปิศาจ สีม่วงคล้ำ มีศีรษะเป็นยักษ์ ถือวัชระไว้ในมือ พราหมมี กายสีส้ม ศีรษะเป็นงู ถือดอกบัว มหาเทวี เทพธิดาผู้ยิ่งใหญ่ กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นเสือดาว ถือตรีศูล โลภะ เจ้าแห่งความโลภ กายสีน้ำเงิน ศีรษะเป็นพังพอน ถือกงจักร กุมารี ผู้บริสุทธิ์ กายสีแดง ศีรษะเป็นหมีเหลือง ถือหอกสั้น และอินทรานี กายสีขาว ศีรษะเป็นหมีสีน้ำตาล ถือวงอวัยวะภายใน จงอย่าหวาดกลัวพวกเขา เป็นอันขาด
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
จากทิศใต้ โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อมและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า วัชระ กายสีเหลือง ศีรษะเป็นหมู ถือมีดดาบคมกริบ สันติ ความสงบ กายสีแดง ศีรษะเป็นพรายทะเล ถือแจกันไว้ในมือ อมฤตา สายธารแห่งอมตะ กายสีแดง ศีรษะเป็นแมลงป่อง ถือดอกบัว จันทรา ดวงจันทร์ กายสีขาว ศีรษะเป็นนกเหยี่ยว ถือวัชระในมือ ทัณฑะ ไม้เท้า กายสีเขียว ศีรษะเป็นจิ้งจอก ถือไม้เท้าในมือ และรากษส ปิศาจ กายสีเหลืองเข้ม ศีรษะเป็นเสือ ถือถ้วยกะโหลกเปี่ยมด้วยเลือดในมือ จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
จากทิศตะวันตก โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อม และปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า ภักษินี ผู้หิวกระหาย กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นนกแร้ง ถือไม้เท้าไว้ในมือ ระตี ความสุข กายสีแดงศีรษะเป็นม้า ถือแขนขาของซากศพ ขนาดใหญ่ มหาพละ ผู้ทรงพลังอันเข้มแข็ง กายสีขาว ศีรษะเป็นครุฑ ถือไม้เท้า รากษส ปิศาจ กายสีแดง ศีรษะเป็นสุนัข กำลังใช้มีดวัชระในมือตัดสิ่งของอยู่ กามะ ความปรารถนา กายสีแดง ศีรษะเป็นนก ยิงธนูจากคันศรในมือ วสุรักษา ผู้พิทักษ์ทรัพย์สิน กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นกวาง ถือแจกัน จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
จากทิศเหนือ โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อมและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า วายุเทวี เทพธิดาแห่งสายลม กายสีน้ำเงิน ศีรษะเป็นสุนัขป่า โบกธงไปมา นารี อิสตรี กายสีแดง ศีรษะเป็นกระบือ ถือเสาหลัก วาราหิ สุกรตัวเมีย กายสีดำ ศีรษะเป็นสุกรตัวเมีย ถือพวงมาลาที่ทำจากฟัน วัชระ กายสีแดง ศีรษะเป็นกา ถือหนังของทารก มหาหัสดินทร ช้าง กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นช้าง ถือซากศพขนาดใหญ่ในฝ่ามือ ดื่มเลือดจากซากศพ วรุณเทวี เทพธิดาแห่งน้ำ กายสีน้ำเงิน ศีรษะเป็นอสรพิษ ถือพวงมาลาทำจากฝูงอสรพิษ จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
โยคินีทั้งสี่แห่งจตุรบาลจะอุบัติจากภายในกระหม่อมของท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้าท่าน จากทิศตะวันออก วัชระ-ขาว ศีรษะเป็นนกโกกิลา ถือง้าวเหล็ก จากทิศใต้ วัชระ-เหลือง ศีรษะเป็นแพะ ถือบ่วงบาศก์ในมือ จากทิศตะวันตก วัชระ-แดง ศีรษะเป็นสิงโต ถือโซ่เหล็ก จากทิศเหนือ วัชร-เขียว ศีรษะเป็นงู ถือระฆัง โยคินีทั้งสี่เหล่านี้จะอุบัติจาก ภายในกระหม่อมของท่านและปรากฏตนเบื้องหน้าท่าน
บันทึกการเข้า
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5162
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 34.0.1847.116
Re: คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต : [The Tibetan Book of the Dead] ช่วงสาม
«
ตอบ #3 เมื่อ:
24 เมษายน 2557 13:18:14 »
โยคินีทั้ง ๒๘ ตน
ที่กล่าวมานี้จะอุบัติขึ้นเองจากการแปรเปลี่ยนของรูปทรงที่ดำรงอยู่เดิมแห่ง
เทพเฮรุกา
ผู้ดุร้าย
ด้วยเหตุนี้จึงควรจดจำพวกเขาให้ได้
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
ธรรมกายภาวะ
จักปรากฏตนในรูปของ
เทพสันติ
อันเป็นส่วนหนึ่งแห่ง
สุญตาภาวะ
จงจดจำพวกเขาให้ได้ ส่วน
สัมโภคกาย
ภาวะจักปรากฏตนในรูปของ
เทพพิโรธ
อันเป็นส่วนหนึ่งแห่ง
แสงสุกใส
ในยามนี้ เมื่อเทพกระหายเลือดห้าสิบแปดองค์ อุบัติจากภายในกระหม่อมท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้าท่าน
ท่านย่อมตระหนักได้ว่า
นิมิตมายาที่ปรากฏขึ้นจากล้วนอุบัติจากประภารัศมี ภายในตน
และท่านย่อมแปรเปลี่ยนเป็น
พุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์
ที่ไม่แบ่งแยกจากเทพกระหายเลือด
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
ถ้าท่านไม่อาจทำการระลึกถึงได้ในยามนี้ ท่านจะเกิดความหวาดกลัวและหลบหนีจากไป และได้รับความทุกข์ ทรมาณมากขึ้น หากท่านไม่อาจทำการระลึกถึงคำสอนได้
ท่านจะแลเห็นเหล่าเทพกระหายเลือดนี้ว่าเป็นยมราช ท่านจะรู้สึกหวาดกลัว พวกเขา ท่านจะรู้สึกหวาดหวั่นและพรั่นพรึงและถึงสลบไสลไป
นิมิตมายาของท่านจะกลายเป็นบรรดาภูติผี และท่านจะวนเวียนอยู่ใน สังสารวัฏ
แต่หากท่านหลุดพ้นจากความผูกพันหรือความหวาดกลัว ท่านย่อมไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
ร่างกายอันใหญ่โตของเทพสักดิ์สิทธิ์และพิโรธนั้นมีขนาดเปรียบดังท้องฟ้าอันไพศาล ขนาดปานกลางก็เปรียบ เท่าเขาพระสุเมรุ และขนาดเล็กก็ปานเท่าโครงกระดูกของมนุษย์เราต่อกันสิบแปดเท่า
ถึงกระนั้นก็ไม่ควรหวาดกลัวและไหวหวั่น ปรากฏการณ์ทั้งหลายล้วนเป็นเพียง
ประกายวูบวาบไม่จีรังและนิมิตมายาเท่านั้น
โดยการระลึกได้ว่านิมิตเหล่านี้เป็น
ประภารัศมีตามธรรมชาติ แห่งจิตของท่านเอง
ด้วยเหตุนี้รัศมีจากตัวท่านจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับแสงวูบวาบและจินตภาพดังกล่าว และตัวท่านจะกลายเป็น ผู้ตรัสรู้ยิ่ง
ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
ไม่ว่าท่านจะแลเห็นสิ่งใด ไม่ว่ามันจะน่ากลัวสักเพียงใดจงจำไว้ว่า
มันเป็นนิมิตจากดวงจิตของท่านเอง ถ้าท่านจดจำมันได้ ท่านย่อมกลายร่างเป็นพุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์โดยพลัน ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งที่เรียกว่าการตรัสรู้โดยฉับพลัน
ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งที่เรียกว่า
การตรัสรู้โดยฉับพลันอันเปี่ยมล้น
จะบังเกิด ณ จุดนี้ จงจำคำสอนนี้ให้ดี
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
ถ้าท่านยังไม่อาจจดจำความในคำสอนได้และยังคงหวาดกลัวอยู่ เทพสันติทั้งหลายจะปรากฏตนในรูปมหากาละ ส่วนเทพพิโรธจะปรากฏในรูปของราชันย์ ธรรมะ-ยมราช และท่านจะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏที่ห้อมล้อมด้วยนิมิตของท่านที่แปรเปลี่ยนเป็น ฝูงปิศาจ
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
ถ้าท่านยังไม่สามารถจดจำนิมิตจากใจท่านได้แม้ว่าท่านจะได้ปฏิบัติธรรมมานานแล้วนับชั่วกัปกัลป์ และแม้ท่าน จะได้ทำการเล่าเรียนพระสูตรและตันตระมาเป็นเวลานาน ท่านก็ไม่อาจเข้าสู่การตรัสรู้ธรรมได้
แต่หากท่านสามารถจดจำนิมิตจากใจท่านได้ โดยอาศัย
เคล็ดลับเพียงประการเดียวและถ้อยคำเพียงคำเดียว เพียงคำเดียว
ท่านย่อมกลายเป็น
องค์พุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์
ได้
" หากท่านไม่อาจจดจำนิมิตจากใจท่านได้ พวกเขาย่อมปรากฏตนในรูปของราชะธรรมะ - ท้าวยมราช ภายในบาร์โดแห่งธรรมดาชั่วฉับพลัน ที่ท่านตายลง ร่างกายอันมโหฬารแห่งยมราชจะโป่งพองคับท้องฟ้า ร่างขนาดกลางของเขานั้นปานเท่าพระสุเมรุ จะท่วมท้นจักรวาล เขี้ยวขบอยู่ที่ริมฝีปากด้านล่าง ดวงตาแวววาวดุจกระจกเงา ผมบนศีรษะม้วนมุ่นอยู่เหนือศีรษะ มีเอวอันกว้างใหญ่และคอเรียวบาง ถือบันทึกผลกรรมไว้ในมือ กู่ก้องให้สังหารและลงทัณฑ์ พวกเขาจะฉีกศีรษะออกจากกาย เลียลิ้มเศษสมอง ดึงลากอวัยวะภายในออกมา อาศัยวิธีนี้ พวกเขาย่อมจะครอบคลุมพื้นที่ทั่วจักรวาล
" ดูกร
ทายาทแห่งอริยสกุล
เมื่อนิมิตดังกล่าวนี้ปรากฏขึ้น จงอย่าหวาดกลัวเป็นอันขาด
บัดนี้ท่านได้ครอบครองกายทิพย์อันเกิด จากวิบากกรรม ไม่ว่าท่านจะถูกสังหารและตัดออกเป็นชิ้น ๆ ท่านก็จักไม่มีวันตาย จริงแล้วตัวท่านเองเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ของสุญตาภาวะ ดังนั้นจึงหามีอะไรให้ต้องหวาดเกรงไม่ ยมราชนั้นอุบัติจากจิตอันทรงประภารัศมี พวกเขาไม่มีแก่นสารอันแน่นอน สุญตาภาวะย่อมไม่อาจถูกทำลายโดยสุญตาภาวะได้
จงเชื่อมั่นเถิดว่า
บรรดาเทพสันติและเทพพิโรธ เหล่าเฮรุกาผู้กระหายเลือด เทพศีรษะเป็นสัตว์ รัศมีสีรุ้ง รูปกายอันน่าหวาดกลัวของยมราช ล้วนไม่มีแก่นสารแน่นอน พวกเขาเกิดขึ้นโดยการละเล่นแห่งใจโดยฉับพลัน
ถ้าท่านทำความเข้าใจในสิ่งนี้ได้ ความกลัวทั้งหลายจะถูกขจัดสิ้นไปและ
ท่านจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวและกลายเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง
ถ้าท่านทำ การตระหนักเช่นนี้ได้ พวกเขาคือองค์
ยิดัม
ของท่านนั้นเอง
" จงทำความเข้าใจดังนี้ว่า
พวกเขาได้มาทำการเชื้อเชิญฉันภายในหนทางอันตรายแห่งบาร์โด ฉันขอถือพวกเขาเป็นสรณะ จงระลึกถึง พระรัตนตรัย จงจดจำองค์ยิดัมของท่านให้ได้
และเรียกชื่อพวกเขาพร้อมทั้งอ้อนวอนพระรัตนตรัยด้วยคำต่อไปนี้ " ข้า ฯ ได้วนเวียนอยู่ใน สังสารวัฏเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว โปรดเป็นผู้กูภัยชีวิตข้า ฯ โดยอาศัยความกรุณาของท่าน โปรดนำข้า ฯ ไปด้วยเทอญ " จงวอนขอ เทพกระหายเลือดเหล่านี้ ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า และท่องบทสวดเพื่อปลุกเร้าแรงบันดาลใจ
เป็นเพราะอำนาจใฝ่ต่ำอันแรงกล้า ข้า ฯ จึงร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏ
ใน
แสงสุกใส
แห่งการละทิ้งความหวาดกลัวทั้งปวง
ขอให้องค์ภควา ทั้ง
สันติ
และ
พิโรธ
จงปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เทพธิดาผู้โหดเหี้ยม ราชินีแห่งอากาศธาตุจงปรากฏอยู่เบื้องหลัง
นำข้า ฯ ผ่านหนทาง
อันตรายใน
บาร์โด
และนำข้า ฯ เข้าสู่
ภาวะพุทธะอันสมบูรณ์
เมื่อต้องจากลาบรรดามิตรสหายที่รัก ข้า ฯ จึงร่อนเร่อยู่อย่างเดียวดาย
รูปทรงอันไร้แก่นสารของข้า ฯ ได้ปรากฏขึ้น
ขอให้ข้า ฯ จดจำตนเองได้อย่างไม่พรั่นพรึง
เมื่อ
รูปทรงแห่งเทพสันติและเทพพิโรธปรากฏขึ้น
ขอให้ข้า ฯ ระลึกได้ในทันทีอย่างเชื่อมั่นและไม่หวาดหวั่น
เมื่อข้า ฯ ต้องเผชิญกับผลแห่งวิบากกรรม
ขอให้
องค์ยิดัม
ได้โปรดชะล้างความเจ็บปวดนานาแก่ข้า ฯ ด้วย
เมื่อแสงแห่งธรรมดาได้กัมปนาท ก้องดุจอสนีบาต
ขอให้เป็นดุจเสียงสาธยายมนต์แห่งอักขระทั้งห้า
เมื่อข้า ฯ ต้องตามติดในผลกรรม โดยปราศจากการเกื้อกูลใด ๆ
ขอให้องค
์พระอวโลกิเตศวรเจ้าผู้เปี่ยมกรุณา
ช่วยข้า ฯ ด้วยเทอญ
เมื่อข้า ฯ ได้รับการทรมาณทรกรรมจากความรู้สึกใฝ่ต่ำ
ขอให้
สมาธิอันสว่างไสวและแจ่มกระจ่างปรากฏขึ้น
ขอให้
องค์ประกอบทั้งห้า ( ขันธ์ 5 ) ไม่อุบัติเป็นปรปักษ์
ขอให้ข้า ฯ ได้ประสบกับ
ภูมิแห่งปัญจพุทธองค
์ด้วยเทอญ
" จงท่องคำสวดเพื่อปลุกเร้าแรงบันดาลใจนี้อย่างจริงจัง ความกลัวทั้งหลายจะสูญหายไป และท่านจะเป็น
พุทธะผู้บริสุทธ
ิ์ใน
สัมโภคกายภาวะ
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องจดจำข้อความให้ได้ จงอย่าหวั่นไหวเป็นอันขาด "
ถ้อยคำต่อไปนี้จะต้องได้รับการกล่าวทวน สามถึงเจ็ดครั้งไม่ว่าผู้ตายจะมีความชั่วร้ายสักเพียงใดหลงเหลืออยู่ ก็สามารถปลดเปลื้องลงเสียได้ แต่ถึงจะกระทำให้แก่เขาเพียงใด หากเขาไม่อาจระลึกได้ พวกเขาก็จะวนเวียนอยู่ใน
บาร์โด
ลำดับสาม
อันได้แก่
บาร์โดแห่งการเกิด
ดังนั้น การชี้แนะจึงควรกระทำต่อไปนี้
มีผู้คนมากมาย ที่ไม่ว่าพวกเขาจะผ่านการฝึกฝนมามากหรือน้อยก็ตามในสมาธิจิต ก็ยังสับสนด้วยความหวาดกลัวใน
บาร์โดชั่วขณะก่อนตาย
ดังนั้นนอกจากอาศัยคัมภีร์
" วิมุตติโดยการสดับฟัง "
แล้ว ก็ไม่มีทางช่วยอื่นใดอีก สำหรับบุคคลที่ได้ผ่านการฝึกฝนสมาธิภาวนามาช้านาน บาร์โดแห่งธรรมดาจะอุบัติขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อจิตและกายของเขาแยกขาดออกจากกัน บุคคลที่สามารถจดจำดวงจิตของตนได้ และเคย พบพานนิมิตดังกล่าวในยามมีชีวิตอยู่จะมีกำลังมากเมื่อ
แสงกระจ่าง
ได้ปรากฏขึ้นใน
บาร์โดชั่วขณะก่อนตาย
ดังนั้น
การฝึกฝนในระหว่างมีชีวิตอยู่จึงสำคัญมาก
ส่วนบุคคลที่ในขณะมีชีวิตอยู่ได้ทำสมาธิภาวนาโดยใช้บริกรรมนิมิตและม
ีการฝึกฝนอันสมบูรณ์พร้อมแห่ง
ตันตระ
จะเข้มแข็งมากเมื่อ
เทพสันติ
และ
เทพพิโรธ
อุบัติขึ้นในระหว่างบาร์โดแห่งธรรมดา
ดังนั้นจึงเป็นการสำคัญมากที่จะต้องฝึกฝนจิต
โดยอาศัย คัมภีร์
" วิมุตติโดยการสดับฟังในบาร์โด "
โดยเฉพาะในยามมีชีวิตอยู่
เนื้อหาคัมภีร์เล่มนี้ทุกคนควรทำความเข้าใจ
ควรสอนอย่างครบถ้วน ควรอ่านดัง ๆ ควรจดจำอย่างถูกต้อง ควรฝึกฝนวันละสามครั้ง ไม่ย่อหย่อน ความหมายของถ้อยคำในคัมภีร์จะต้องกระจ่างในดวงจิต ไม่ควรลืมเลือนความหมายและถ้อยคำ
แม้จะปรากฏมือสังหาร ฤาฆาตกรนับร้อยนับพันไล่ล่าก็ตามที เพราะชื่อคัมภีร์อันได้แก่
" มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง "
นั้นมีความสำคัญนัก
แม้บุคคลที่ได้ประกอบ อนันตริยกรรมทั้งห้าประการ ก็ย่อมจะได้รับการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข แม้ได้สดับเข้า
ดังนั้นจึงควรจะได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ในสาธุชนผู้ใคร่ธรรม และเผยแพร่ไปในทุกแห่งหน
แม้เพียงได้ยินถ้อยความในคัมภีร์เล่มนี้สักคราหนึ่ง และอาจจะไม่ทำความเข้าใจมันได้แจ่มชัดนัก
แต่เนื่องจากใน
สภาวะแห่งบาร์โดจิตจะ
กระจ่างสดใสกว่าเดิมถึงเก้าเท่า
ดังนั้นจึงย่อมจดจำมันได้โดยไม่ตกหล่นหลงลืม
ด้วยเหตุนี้จึงควรทำการสอนสั่งด้วยคัมภีร์นี้ตลอดชั่วชีวิต และควรจะอ่านข้างเตียงของผู้ป่วย และควรอ่านข้างหูศพผู้ตาย ควรเผยแพร่ให้ทุกทิศทางและทั่วถึง
การได้ประสบพบเห็นคัมภีร์เล่มนี้ถือว่าเป็นโชคอันล้ำเลิศเป็นการยากที่จะได้ประสบพบเห็นคัมภีร์เล่มนี้
เว้นแต่ผู้ที่ได้ขจัดผลกรรมชั่วและได้สั่งสมคุณงามความดีมาเนิ่นนาน
หากมีใครได้สดับฟังข้อความ เขาผู้นั้นย่อมได้รับการปลดปล่อย
แม้เขาจะไร้ซึ่งศรัทธาก็ตามที ดังนั้น
คัมภีร์นี้จึงควรได้รับการเทิดทูนเป็นอย่างดี เพราะเป็น
คัมภีร์ที่ดึงเอาแก่นสารแห่งพระธรรมทั้งปวงมารวมกัน
ท่อนสุดท้ายแห่งการชี้แนะถึงบาร์โดแห่งธรรมดา มีนามว่า
" มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง "
คำสอนใน
บาร์โดภาวะ
เพื่อการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขโดยการสดับฟังและท่องจำ
สรรพมงคล
บันทึกการเข้า
ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...