[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
18 เมษายน 2567 09:49:46 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 3 ไตร ฉบับย่อความ  (อ่าน 4173 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 13:56:48 »


<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/21.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/21.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/21.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>


ธรรมบรรยายโดย.................พระพรหมคุณาภรณ์


วัดญาณเวศกวัน จังหวัด นครปฐม




สามไตร>>>>>ถ้าทำได้ก็พอให้เป็นชาวพุทธแท้


วันนี้..........จะพูดถึงหลักธรรม ซึ่งถ้าเรามีเป็นรากฐานไว้แล้ว ไม่ว่าเรา
จะทำหน้าที่ต่อตนเองก็ดี จะไปทำหน้าที่ต่อสังคมก็ดี ตลอดจนเรื่องของ
การพัฒนาทั่ว ๆ ไป ก็ใช้ได้หมด เพราะธรรมเป็นต้นแหล่งแห่งความเจริญ
งอกงามทุกอย่าง
ถ้าเราเข้าใจ แล้วยกธรรมขึ้นมานับถือให้จริง ใจของเราก็จะพ้น
จากตัวตน ขึ้นไปเหนือการยึดติดถือมั่นในอัตตา มารวมกันที่ธรรมเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกัน ก็จะเกิดความสามัคคีได้จริงเมื่อใจขึ้นไปถึงธรรมเป็นอิสระ
ไม่ถูกความยึดติดถือมั่นในอัตตา
มาจำกัดปิดกั้น ปัญญาก็จะมองเห็นชัดแจ้งตรงตามที่เป็นจริงแล้วก็แก้
ปัญหาทั้งหลายให้สำเร็จได้
ธรรมนั้นมีมากมาย พูดไปได้ไม่รู้จบ แต่ถ้าจับหลักได้ ก็โยงถึงกันหมด
ในที่นี้................จะพูดถึงหลักธรรมพื้นฐานแค่ 3 หมวด ซึ่งโยงธรรมทั้ง
มวลมาถึงกัน มารวมกันไว้หมด และคนไทยก็คุ้นหูกันมาก แต่ควรเข้า
ใจให้ดีและปฏิบัติให้ได้ด้วย
ถ้าเอาจริงกันแม้เพียงแค่นี้ คนไทยที่ว่าเป็นชาวพุทธ ก็จะเป็นได้
จริงสมชื่อ มิใช่เป็นแค่สักว่าชื่อ และพระพุทธศาสนาก็จะเกิดประโยชน์
แก่ชีวิตและสังคมได้จริงด้วย มิใช่สักแต่ว่าได้นับถือ...............................

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กุมภาพันธ์ 2553 09:45:30 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 14:02:49 »




ธรรมะ 3 หมวดนี้ ก็เป็นธรรมะง่าย ๆ ซึ่งพุทธศาสนิกชนได้ยิน
กันอยู่เป็นประจำจนเป็นคำสามัญในภาษาไทย
หลักที่ 1 คือ พระไตรรัตน์หรือพระรัตนตรัย หรือแก้ว 3
หลักนี้ง่ายมาก ใครเป็นพุทธศาสนิกชนก็ต้องรู้จักทั้งนั้นได้แก่.........................




พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์



หลักที่ 2 คือ ไตรลักษณ์หรือลักษณะ 3 อย่าง
ไตรรัตน์แล้วก็ไตรลักษณ์ ต.ร. เปลี่ยนเป็น ต.ล. ญาติโยม
คนไทยรู้จักกันแทบทั้งนั้น ไตรลักษณ์มีอะไรบ้างก็ทวนในใจหนึ่ง
อนิจจัง ไม่เที่ยง สองทุกขัง เป็นทุกข์สามอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
หลักที่ 3 คือ ไตรสิกขา ศึกษา 3 ด้าน
ต.ร. แล้วก็ ต.ล.ทีนี้ ต.ส.หลายท่านได้ยินมาแล้วท่านที่
อยู่วงนอก ศึกษาพุทธศาสนาน้อย อาจจะไม่ค่อยได้ยินแต่ที่จริงเป็นคำ
คุ้นหูพอสมควร มีอะไรบ้าง ได้แก่ศีล สมาธิปัญญา
หลักธรรมที่จะพูดวันนี้ ไตร ทั้งนั้นเลย ไตรรัตน์ ไตรลักษณ์
และไตรสิกขา และสามหลักก็เป็น ไตร อีกนั่นแหละ คือรวมแล้ว
พูดสามเรื่อง ก็เป็น ไตรเรื่องถ้าเอาสามเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
ไม่ต้องเอาลึกซึ้งอย่างในที่นี้ ไม่ต้องจบเรื่องพระรัตนตรัย ไม่ต้องจบเรื่องไตรลักษณ์ไม่
ต้องจบเรื่องไตรสิกขา..................................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กุมภาพันธ์ 2553 09:46:50 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 14:06:58 »




เอาแค่ได้ความรู้เบื้องต้นเป็นพื้นฐานถ้าเอามาใช้ให้ถูกต้องเราก็
จะปฏิบัติหน้าที่ต่อตนเอง และต่อสังคมอย่างถูกต้อง เราจะมีการพัฒนา
ชีวิต และพัฒนาสังคมอย่างถูกต้อง และได้ผลอย่างแท้จริง



ไตร ที่นับถือ


เอาพุทธคุณ 3 เป็นจุดเริ่มก้าว


จากสวดด้วยปากสู่การปฏิบัติด้วยชีวิตของเรา


เรื่องพระรัตนตรัยหรือไตรรัตน์นี้เรามักพูดถึงคุณของท่านคุณ
ของพระรัตนตรัยก็คือ คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม และคุณ
ของพระสงฆ์ แต่ถ้าพูดครบ 3 อย่างก็เยอะแยะแค่คุณของพระพุทธ
เจ้าอย่างเดียวก็มี 3 ตกลงวันนี้พูดเรื่อง 3 ทั้งนั้นเริ่มด้วยพุทธคุณมี 3 อย่างอะไรบ้างคือ...........................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กุมภาพันธ์ 2553 09:47:39 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 14:12:39 »




1.พระปัญญาคุณ
2.พระมหากรุณาคุณ
3.พระวิสุทธิคุณ
นี่คือพระคุณของพระพุทธเจ้า 3 ประการ เวลาสวดมนต์ไหว้พระ
เราสวดพุทธคุณ 3 ประการนี้ ตอนนี้เราควรจะเอาสิ่งที่สวดที่ว่าด้วย
ปากนี้ออกมาเป็นสิ่งที่ปฏิบัติในชีวิตจริงบ้างจากคำพูดที่เราสวดนี่ เอาออกมาเป็นการกระทำนำพุทธคุณ 3
คือ...............ปัญญาคุณ...........วิสุทธิคุณ และ...................กรุณาคุณ นั้นมาใช้ในการปฏิบัติก็จะได้
ผลทั้งแก่ชีวิตตน และประโยชน์ของสังคม
เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้านับถือพระพุทธเจ้าเป็นพระ
ศาสดาเราจะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระคุณของท่านน้อมเอาพระคุณของท่านมาไว้ในตน



พระคุณทั้ง 3 ประการนี้เราต้องปฏิบัติตาม


1.พระพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญา จึงตรัสรู้ธรรม สามารถสั่งสอน
ประกาศพระศาสนาและบริหารหมู่สงฆ์ได้สำเร็จ เราก็ต้องพยายาม
ศึกษาให้รู้เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลายและดำเนินชีวิตทำกิจการ
ต่าง ๆ ด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจความจริงนั้นอย่างน้อยในการเป็นอยู่ของเรา
คือ ในการดำเนินชีวิตนั้น เราจะ
ต้องใช้ปัญญา คนเราจะรับผิดชอบต่อตัวเอง และสร้างสรรค์จัดการสิ่ง
ต่าง ๆ ได้ถูกต้อง จะต้องมีความรู้ มีความเข้าใจ และใช้ปัญญา ไม่ใช่อยู่
แค่อารมณ์หรือความรู้สึกเราจะต้องรู้จักปฏิบัติต่อชีวิตนี้ โดยเน้นที่การใช้ปัญญา การ
กระทำอะไรต่างๆ เราจะต้องพยายามทำด้วยปัญญา ด้วยความรู้ - ด้วย
ความเข้าใจเหตุผล อย่างน้อยก็ไม่ทำตามอารมณ์
ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชีวิตจิตใจ ปัญหาทาง
สังคม เราจะต้องใช้ปัญญาก่อน..................................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กุมภาพันธ์ 2553 09:48:25 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 14:16:12 »




ในหน้าที่ต่อส่วนตนต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจเหตุผลถาม
ตนเองว่า ในเรื่องนี้ที่เราจะแสดงออกนี่ เรามีความรู้ความเข้าใจแจ่มชัดแค่ไหน ?
เรารู้ข้อมูลเพียงพอไหม เราได้วิเคราะห์เรื่องอย่างเห็นจะแจ้ง
เข้าถึงหลักจับเป็นขั้นเป็นตอน มองเห็นเหตุปัจจัยของมันหรือยังเห็น
เหตุเห็นผลของมันไหมที่ว่าเห็นเหตุเห็นผล ก็คือ เห็นเหตุของมันในแง่ของการสืบทอดว่า
ที่เรื่องราวเป็นอย่างนี้ เหตุปัจจัยเป็นมาอย่างไร ถ้าแยกเป็นลำดับได้ก็ยิ่ง
ดีแล้วก็เห็นผลในแง่ที่ว่าเมื่อเราทำเหตุอย่างนี้ลงไปแล้ว ผลอะไรจะตามมาเป็นผลดีหรือผลเสีย เป็นต้น
นี่คือแง่ปัญญา ต้องมีการใช้ปัญญาอย่างจริงจัง เป็นการทำความ
รับผิดชอบของตนเองให้สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณา ทรงมุ่งหมายจะให้ชาวโลก
ได้ประโยชน์จากธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ เพื่อให้มวลมนุษย์มีชีวิตที่ดี
งาม มีความสุข หลุดพ้นจากอำนาจบีบบังคับครอบงำของกิเลสและ
ความทุกข์ จึงอุทิศพระชนม์ทั้งหมดของพระองค์บำเพ็ญพุทธกิจเทศนา
สั่งสอนประชาชน โดยไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากใด ๆ
เราทั้งหลายจะต้องมีกรุณา ซึ่งจะพูดรวมทั้งเมตตาไปด้วย เพราะ..................................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กุมภาพันธ์ 2553 09:49:07 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 14:18:34 »




คนไทยคุ้นกับคำว่าเมตตาก่อน
เมตตาก็คือ การมองผู้อื่นด้วยความรู้สึกรักใคร่ปรารถนาดีหรือ
เป็นมิตร คือตั้งจิตไว้ในทางที่มีความรักกัน ไม่ใช่ตั้งจิตด้วยโทสะหรือ
ความโกรธเกลียดชังถ้าเราตั้งจิตในทางโกรธเกลียดชังเมื่อไร เราจะมองคนด้วยความ
ลำเอียง แล้วการมองของเราก็จะผิดพลาด และจะเกิดอคติฉะนั้น เมื่อมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมา
จะต้องตั้งจิตเมตตา มองอย่างมิตรนี้ขึ้นมาให้มีให้ได้ก่อน
ส่วนกรุณาก็คือ ความมีใจพลอยหวั่นไหวไปกับความทุกข์ความ
เดือดร้อนหรือปัญหาของผู้อื่น อยากจะช่วยแก้ไข อยากจะช่วยปลดเปลื้อง
ความทุกข์เริ่มตั้งแต่เห็นอกเห็นใจ จนกระทั่งขวนขวายที่จะช่วยเหลือ
ในการแก้ปัญหา เมื่อมีเมตตากรุณาแล้ว ก็จะทำให้หันหน้าเข้าหากัน
พิจารณาปัญหาร่วมกัน พูดจากัน แล้วก็จะมีทางแก้ปัญหาได้ดีขึ้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นที่แก้ไขยาก ก็เพราะว่าคนไม่มีความรัก ไม่มีความ
เป็นมิตรต่อกัน วางจิตใจในทางโกรธเกลียดชิงชังตั้งแง่ซึ่งกันและกัน
พอเริ่มจากจุดนี้แล้ว ก็มีแต่การที่จะมองแง่ร้าย ผลักไสและทำลายซึ่งกัน
และกัน แล้วการแก้ปัญหาของสังคมก็จะยืดเยื้อเรื้อรังแก้ไม่รู้จักจบ.............................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กุมภาพันธ์ 2553 09:49:46 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 14:22:11 »




ฉะนั้น 2 ข้อนี้จะต้องเป็นคู่กัน และมีความสมดุล คือในแง่ส่วน
ตัวเราจะต้องใช้ปัญญา ส่วนในแง่ของผู้อื่นเราจะต้องใช้เมตตาการุณย์
เมื่อเรามีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ก็จะทำให้เราใช้ปัญญาอย่างถูก
ต้องด้วย ปัญญานั้นจะได้ใช้อย่างไม่ลำเอียง ไม่เกิดโทสาคติ ฉะนั้น
ปัญญาก็ต้องมีเมตตามาช่วย
ส่วนเมตตาก็เหมือนกัน ก็ต้องมีปัญญามาช่วย ถ้าเรารัก อยู่แค่
ความรู้สึกไม่ใช้ปัญญา ไม่หาความรู้จริง ไม่พินิจวิเคราะห์พิจารณา เรา
ก็อคติอีกแบบหนึ่ง อาจจะหลงไปเลย
ฉะนั้น มีเมตตาข้างเดียวก็เสียดุล มีปัญญาข้างเดียวก็เสียดุลย์
ต้องมีทั้งปัญญาและเมตตากรุณา เมื่อมีทั้ง 2 ส่วนแล้วก็สมบูรณ์จะเอา
ใจใส่ช่วยเหลือกัน แต่ก็ไม่หลง ไม่เข้าข้างลำเอียง



ทำการด้วยปัญญา ออกจากใจที่เมตตาโดยลึกลงไป ก็จริงใจ บริสุทธิ์ใจ จิตไร้เงื่อนงำ


พระพุทธเจ้าทรงมีพระวิสุทธิคุณ ทรงหลุดพ้นแล้วจากกิเลส
และความทุกข์ทั้งปวง ทรงมีการกระทำทางกาย ทางวาจา บริสุทธิ์ มี
พระทัยบริสุทธิ์ ทรงรู้จริง เป็นจริงอย่างที่ทรงสอนผู้อื่น และทรงสอนเขา
ด้วยความบริสุทธิ์พระทัย มุ่งประโยชน์แก่เขาอย่างแท้จริง..........
เราทั้งหลายก็จะต้องอยู่ร่วมในสังคมด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ มีความ
จริงใจต่อกัน นอกจากมีคุณสมบัติ 2 ข้อแรก ซึ่งเป็นหลักใหญ่ของการ
แก้ปัญหาแล้ว ลึกลงไปจะต้องมีอีกอย่างหนึ่ง คือความบริสุทธิ์ใจหรือ..............

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กุมภาพันธ์ 2553 09:50:18 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 14:46:27 »




ความจริงใจว่าเรามุ่งหมายความดีความงาม
เรามุ่งหมายประโยชน์สุขแก่ชีวิตของผู้อื่นและของสังคมอย่างแท้
จริงไม่ได้มีเงื่อนงำไม่ได้มีความมุ่งหมายซ่อนเร้นและพร้อมกันนั้นก็
ฝึกฝนพัฒนาชีวิตของตนให้งอกงามมีความบริสุทธิ์สะอาดโล่งเบาเป็น
อิสระ ปราศจากกิเลส ปลอดทุกข์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปปัญหาอย่างหนึ่งของสังคม
ที่เกิดเรื่องอะไรต่ออะไรก็เพราะผู้ทำผู้
ปฏิบัติมีความมุ่งหมายซ่อนเร้นอยู่ในใจตัวเองไม่บริสุทธิ์ใจ แต่มุ่งหวัง
ผลประโยชน์ มุ่งหวังอำนาจ มุ่งหวังอะไรบางอย่าง แล้วทำการนั้นขึ้นมา
จึงมีอะไรแอบแฝงอยู่ จนกระทั่งในการปกครองบ้านเมืองบางทีประชาชนก็กลายเป็นเครื่องมือไป
ฉะนั้น............เราในฐานะชาวพุทธที่ร่วมสังคมอยู่ในโลก ควรดำเนินตาม
หลักพระพุทธจริยาวัตร โดยนำเอาพระพุทธคุณมาใช้ เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า
ต้องใช้พุทธคุณให้ครบ 3 อย่าง ถ้าเราใช้ครบสามอย่าง
แล้ว ปัญหาของสังคม ของบ้านเมือง ของประเทศชาติและแม้แต่ปัญหา
ส่วนตัวก็จะแก้ไขได้ง่ายขึ้น



สรุปให้จับหลักได้ง่ายขึ้นว่า...................


1.พระปัญญาคุณ สอนว่า เราจะต้องมีปัญญาความรู้ความ
สามารถที่จะรับผิดชอบตัวเอง ดำเนินชีวิตและกิจการให้สำเร็จ แก้ปัญหาได้
และรู้จักวิเคราะห์เรื่องราวให้จะแจ้งลึกซึ้งถึงความจริง
2.พระกรุณาคุณ สอนว่า เราจะต้องมีเมตตากรุณาในการเกี่ยว
ข้องสัมพันธ์กับคนอื่น วางใจเป็นมิตร มุ่งหวังประโยชน์สุขแก่เขา และ
ทำประโยชน์แก่สังคม
3.พระวิสุทธิคุณ สอนว่า ตัวเราเองต้องสะอาด ปราศจากปัญหา
ปลอดโปร่งโล่งเบา ทำจิตใจให้เป็นอิสระเบิกบานผ่องใสไร้ทุกข์ได้ด้วยตน
เอง และมีความบริสุทธิ์ใจ ตั้งใจจริงเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อสันติสุข
มุ่งเพื่อความจริงแท้....................................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กุมภาพันธ์ 2553 09:50:59 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.498 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 26 มีนาคม 2567 08:21:43