เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์(ร.5)เมื่อทรงพระเยาว์ ถ่ายโดยชาวต่างชาติ อาจเป็นด้วยพระอำนาจของพระสยามเทวาธิราช จึงช่วยให้ดับไฟที่ไหม้โรงแก๊สนั้นได้ทัน เรื่องไฟไหม้ในพระบรมมหาราชวังนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ตอบปัญหาประจำวันในหนังสือสยามรัฐ ประจำวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ความตอนหนึ่งว่า “... จน วันหนึ่ง มีคนร้ายลอบเข้าไปจุดไฟในพระบรมมหาราชวังใกล้กับตึกที่เก็บดินดำ โดยประสงค์ที่จะให้ดินดำนั้นระเบิดขึ้น เคราะห์ดีที่เจ้านายข้าราชการในวังหลวง เห็นเหตุการณ์และดับไฟเสียทัน มิฉะนั้นจะเกิดเหตุร้ายแรง และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอาจถึงสวรรคตเสียแต่ในต้นรัชกาล
เมื่อ เกิดเหตุนี้ขึ้นแล้ว ความอลเวงทางการเมืองก็เกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างหนัก กรมพระราชวังบวรฯเสด็จไปประทับอยู่ในกงสุลของชาติมหาอำนาจนั้น และยอมพระองค์อยู่ใต้อารักขาของชาตินั้น เมืองไทยขณะนั้นจึงล่อแหลมหวุดหวิดจะมีมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงและยึดเอาเป็นเมืองขึ้น เดชะบุญที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาสามารถระงับเหตุต่างๆได้ทันท่วงที และเดชะบุญที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มีใจซื่อสัตย์ จงรักภักดีและอาจหาญ ได้อุตสาหะบากบั่นเข้าไปถึงกงสุลต่างประเทศและเชิญเสด็จกรมพระราชวังบวรฯออก มาได้ เมืองไทยจึงรอดมาได้ไม่เสียเอกราช...”
เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนี้ ทำให้นึกโยงมาปัจจุบันโดยเฉพาะปัญหาทางภาคใต้ที่กำลังมีข่าวลือ มีความสับสนของข่าวสาร และในระดับบริหารก็มีข่าวลวงสารพัดชนิด ในระดับประชาชนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปสารพัดทิศทาง ความระแวงเกิดขึ้นไปทั่ว (แต่ความระวังกลับไม่ค่อยจะมีมากนัก) ย้อน กลับไปครั้งนั้นเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ ซึ่งสมัยนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นวินาศกรรมครั้งสำคัญทีเดียว เพราะเกิดขึ้นในวังหลวง ต้องถือว่าร้ายแรงมาก นึกสภาพเราในฐานะพลเมืองคงจะสะเทือนขวัญไม่น้อยทีเดียว
วิธีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าครั้งนี้ เมื่ออ่านแล้วทำให้เห็นว่าทรงตัดสินพระทัยได้อย่างเฉียบขาด ทันเหตุการณ์ และทรงมีความเป็น"ผู้นำ"อย่างแท้จริง ในประกาศนั้นจะเห็นว่าทรงใช้ "ความจริง"สยบ"ข่าวลือ" ทั้งการแจกแจงเนื้อหาเหตุร้ายที่เกิดขึ้นโดยละเอียด ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสเหมาะที่จะแถลงไขความคลุมเครือที่เกี่ยวข้องกับข่าวลือ เป็นโอกาสที่ถ่วงน้ำหนักได้พอดีในการทำความเข้าใจกับราษฎรและส่งสาส์นถึงฝ่ายตรงข้ามไปในตัวด้วย
ในตอนท้ายของบทความที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้เกี่ยวกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลพวงจากการที่สถาบันสงฆ์เป็นเสาหลักสำคัญหนึ่งในการปกป้องบ้านเมือง สถาบันพระพุทธศาสนาไม่เคยแยกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ และความมั่นคงของชาติสยามมาแต่ครั้งสุโขทัย อยุธยา เรื่อยมาแล้ว (ความจริงแต่ครั้งพุทธกาลพระบรมศาสดาก็ทรงคลี่คลายปัญหาการเมืองอยู่หลายครั้ง) ที่น่าสนใจค้นคว้าคือ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีแนวคิดการห้ามพระยุ่งเกี่ยวกับการเมือง? แนวคิดนี้มาจากไหน? และมีจุดประสงค์อะไร?
อันความกรุณาปรานี
จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ
จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว