[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 19:09:22 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานพระพุทธบาทสี่รอย  (อ่าน 10418 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553 09:48:49 »




พระมหาจักรพรรดิ์ วัดพระพุทธบาทสี่รอย เชียงใหม่

ตำนานพระพุทธบาทสี่รอย

            เมื่อสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันนี้ ได้เสด็จจารึกประกาศธรรม และโปรดเวไนยสัตว์ มายังประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน) จนกระทั่งมาถึงเทือกเขาทางตอนเหนือ ของประเทศ ชื่อเขา "เวภารบรรพต" ซึ่งขณะนั้นได้เสด็จพร้อมกับพุทธสาวก 500 องค์ และได้แวะฉันจังหัน อยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้

เมื่อพระพุทธองค์ฉันจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั้น ก็ได้ทราบด้วยญาณสมาบัติว่า บนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า มาประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ คือ พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ภัทรกัลป์นี้ และพระพุทธเจ้าก็ทรงเล็งดู รอยพระพุทธบาทแห่งพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ , พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ และ พระพุทธเจ้ากัสสปะ อันมีในที่นี้ พุทธสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นประธาน เมื่อเห็นเช่นนี้ จึงทูลถามว่า พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย สถานที่แห่งนี้ แม้นว่าพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ก็มาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ทุกๆ พระองค์ และแม้นว่า พระศรีอริยเมตไตร ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ และจักประทับรอยพระบาทสี่รอยนี้ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว (คือประทับลบรอยทั้งสี่ ให้เหลือรอยเดียว)

เมื่อพระพุทธองค์ตรัสแก่สาวกทั้งหลายเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาท ซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ จึงมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ จึงเกิดเป็นพระพุทธบาทสี่รอย

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้นแล้ว ก็ทรงอธิษฐานว่า ในเมื่อ(เรา) ตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็จักนำเอาพระธาตุของตถาคต มาบรรจุไว้ที่รอยพุทธบาทที่นี่ ในเมื่อตถาตนิพพานไปแล้ว 2,000 ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้ก็จักปรากฏแก่ปวงคนและเทวดาทั้งหลาย ก็จักได้มาไหว้และบูชา เมื่อทรงอธิษฐานและทำนายไว้ดังนี้แล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จไปเชตวันอาราม อันมีในเมืองสาวัตถีนั้นแล

เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็นำเอาพระธาตุของพระพุทธองค์ มาบรรจุไว้ที่พระพุทธบาทสี่รอย เมื่อพระพุทธองค์นิพพานล่วงแล้วมาประมาณ 2,000 วัสสา เทวดาทั้งหลายต้องการอยากให้พระพุทธบาทสี่รอยปรากฏแก่คนทั้งหลาย ตามที่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานไว้ ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้งตัวใหญ่(เหยี่ยว) ก็บินลงจากเขาเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้ เพื่อบินลงไปเอาลูกไก่ของชาวบ้าน(คนป่า) ที่อยู่ตีนเขาเวภารบรรพต แล้วก็บินกลับขึ้นไปสู่ยอดเขา มันก็โกรธมาก จึงตามขึ้นไปคิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็ติดตามไปค้นหาดู แต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้นเท่า แต่เห็นรอยพระพุทธบาทสี่รอยอันอยู่พื้นต้นไม้และเถาวัลย์ พรานป่าผู้นั้นก็ทำการสักการะบูชา เสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่บ้านก็เล่าบอกแก่ชาวบ้านทั้งหลายฟัง ความอันนั้นก็ปรากฎสืบๆกันไปแรกแต่นั้นไป คนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชามาก แต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่า "พระบาทรังรุ้ง" (รังเหยี่ยว)

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553 09:52:09 »


ในสมัยนั้นมีพระยาคนหนึ่งชื่อว่า พระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงมีพระราชศรัทธา อยากเสด็จขึ้นไปกราบพระพุทธบาทสี่รอย ก็นำเอาราชะเทวีและเสนา พร้อมกับบริวารทั้งหลาย เมื่อพระยาเม็งรายกราบนมัสการเสร็จแล้ว ก็นำเอาบริวารของตนกลับสู่เชียงใหม่ ก็ตั้งอยู่เสวยราชสมบัติตราบแม้นอายุขัย แล้วลูกหลานที่สืบราชสมบัติก็เจริญรอยตาม และได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาททั้งสี่รอย ทุกๆพระองค์ หลังจากนั้นมาพระบาทรังรุ้งหรือรังเหยี่ยวนี้ ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "พระพุทธบาทสี่รอย" เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึงสี่รอย มาในสมัยยุคหลัง คนทั้งหลายจึงเรียกขานกันว่า พระพุทธบาทสี่รอย คือมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในภัทรกัลป์นี้ คือ

รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรก เป็นรอยใหญ่ ยาว 12 ศอก
รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ 2 ยาว 9 ศอก
รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ เป็นรอยที่ 3 ยาว 7 ศอก
รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคตมะ (ศาสนาปัจจุบัน) เป็นรอยที่ 4 รอยเล็กสุด ยาว 4 ศอก

เมื่อถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือก ผู้ครองนครเชียงใหม่ พร้อมด้วยบริวาร 500 คน ก็ขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาทสี่รอย และได้สร้างพระวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอย ไว้ชั่วคราว โดยแต่เดิม ถ้าใครจะดูรอยพระพุทธบาทบนยอดหินก้อนใหญ่ ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไป หรือปีนขึ้นไปดู ซึ่งก็คงขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ดังนั้นพระยาธรรมช้างเผือก จึงตรัสสร้างแท่นยืนคล้ายๆนั่งร้าน รอบๆก้อนหินที่มีพระพุทธบาทสี่รอย เพื่อที่ผู้หญิงจะได้เห็นรอยพระพุทธบาทด้วย และได้สร้างหลังคา ชั่วคราวมุงไว้
ต่อมาในสมัยพระชายาเจ้าดารารัศมี ก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้มีพระราชศรัทธราก่อนสร้างวิหาร เป็นการกราบบูชารอยพระพุทธบาทไว้ 1 หลัง หลังเล็ก ปัจจุบันได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้วทั้งหลัง จะเหลือไว้แต่ผนังวิหาร พื้นวิหาร และแท่นพระ ซึ่งยังเป็นของเดิมอยู่ ถ้าหารท่านใดมีโอกาสขึ้นไปนมัสการพระบาทสี่รอย ก็จะเห็นวิหารแห่งนี้ โดยเราเดินขึ้นบันไดไปบนเขา พอพ้นบันไดก็จะเห็นวิหารหลังนี้

พอมาสมัยเมื่อปี พ.ศ.2472 ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหาร ที่เจ้าพระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราว และได้สร้างพระวิหารครอบรอยพระพุทธบาทไว้ใหม่ และได้ฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทไว้เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพระพุทธศาสนาไปตลอดกาลนาน

ด้วยวัดพระพุทธบาทสี่รอย เป็นสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ จึงนับได้ว่า เป็นปูชนียสถานที่มีความสำคัญมาก เป็นที่สักการะบูชาของคนและเทวดาทั้งหลาย จากสาส์นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกไว้ว่า พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย แม้ในกรุงศรีอยุธยาก็ยังจำลองไว้ที่ปราสาทนครหลวง ที่วัดจันทร์ลอย ซึ่งพระพุทธบาททั้ง 4 รอยนี้ ครูบาอาจารย์ พระธุดงค์กรรมฐาน สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลายองค์ อาทิ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ, หลวงปู่ชอบ ฐานโม, หลวงปู่สิม พุทธาจาโร และอีกหลายๆองค์ ได้ธุดงค์ขึ้นไปกราบนมัสการมาแล้ว และได้รับรองว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่แท้จริง
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553 09:59:18 »


ดังธรรมเทศนาตอนหนึ่งของหลวงปู่สิมว่า

"ในเขตเชียงใหม่นี้ยังมีพระบาทสี่รอยอยู่เขตอำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขา หลวงปู่ผู้เทศน์ไปดูมาแล้วไปกราบ ไปไหว้ มันเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ มันเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขึ้นไป อยู่ข้างริมแม่น้ำ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ได้มาตรัสรู้ในโลก ท่านก็มาประทานเหยียบรอยพระบาทไว้ ในยอดหินก้อนนั้นน่ะ ยาว 12 ศอก เมื่อหมดศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันโธแล้ว พระพุทธเจ้าโกนาคม ก็มาตรัสรื้อขนสัตว์ไปอีก ก่อนนิพพาน ท่านก็มา เหยียบไว้ที่พระบาทแม่ริมนี้เป็นรอยที่สอง (ขนาดลดลงมา) มาถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโป ตรัสรู้ ท่านก็มา เหยียบไว้ได้สามรอย และพระพุทธเจ้าโคดม มาตรัสรู้ ก่อนที่ท่านจะนิพพานก็มาเหยียบรอยพระบาทไว้ในหิน ก้อนเดียวกัน จึงให้ชื่อว่า "พระพุทธบาทสี่รอย" ยังมี พระศรีอาริยเมตไตรโพธิสัตว์ จะมาตรัสรู้แล้วโปรดเวไนยสัตว์ ก็มาเหยียบไว้อีก เรียกว่าแผ่นดินที่เราเกิดมานี้ นับเป็น แผ่นดินที่ร่ำรวยที่สุด แผ่นดินนี้เรียกว่า "ภัทรกัป" มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้ 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ใด มาตรัสสอนก็ตาม ก็สอนให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลายบำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา ละกิเลส ความโกรธ ความโลภ และความหลงอันเก่านี้แหล่ะ เมื่อผู้ใดปฏิบัติภาวนาบารมีเต็มแล้ว ก็จะรู้แจ้งพระนิพพาน เมื่อรูปนามแตกดับแล้ว ก็ไปสู่นิพพาน ไม่ต้องมาวนเวียนว่ายตายเกิดในโลกอันแสนทุรกันดารนี้ อีกต่อไป"

ข้อความนี้คัดลอกจากหนังสือพุทธาจารานุสารณ์ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พุทธศักราช 2536 และประวัติความเป็นมาในตอนต้นนั้น ได้แปลออกมาจากพระคัมภีร์โบราณที่นักปราชญ์สมัยโบราณ ได้จารึกไว้สืบๆกันมา

ดังนั้นก็นับว่าพระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นปูชนียสถานที่สำคัญเป็นที่สักการะบูชามาช้านาน ถ้าหากว่าผู้ใด มีจิตศรัทธาที่จะขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย ก็ควรมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อไปถึงแล้วก็ควรที่จะสำรวม กาย วาจา ใจ ให้มันเป็นปกติ ก็ชื่อว่ารักษาศีล ทำให้เกิดสมาธิ ให้มีจิตใจที่ตั้งมั่น ทำให้เกิดปัญญาและจักได้ชื่อว่า เจริญรอยตามรายพระบาทของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง

การที่มีคนศรัทธาเดินทางขึ้นไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ก็เหมือนกับว่ามีดวงจิต ดวงใจอยู่ในสมาธิภาวนา มีพุทธานุสติเกิดขึ้นในจิตใจ และประกอบไปด้วยความศรัทธา และความเพียร ขันติ ความอดทน การที่จะขึ้นไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ถนนหนทางไม่สู้จะสะดวกเท่าไร เป็นทางขึ้นเขาทางเดินแคบ ขึ้นได้สะดวกก็ช่วงฤดูแล้ง ช่วงฤดูฝนลำบาก จึงเป็นการวัดถึงจิตใจของ พุทธศาสนิกชนว่าจะมีคนศรัทธา มีวิริยะที่จะมีขึ้นไปได้ ถ้าหากว่าใครได้ไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทแล้ว ก็นับว่าเป็นสิริมงคล และจะได้รับผลานิสงส์อย่างมากๆ ดังนั้นขอให้พุทธบริษัททั้งหลายที่ได้ขึ้นมากราบนมัสการ พระพุทธบาทสี่รอยแล้ว และท่านที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับความเป็มาของพระพุทธบาทสี่รอยนี้แล้ว ก็ใคร่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายว่า การที่พระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ มาประทับรอยพระบาทไว้ที่นี่ ก็เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย ดังนั้นการที่เราได้กราบนมัสการ รอยพระพุทธบาทด้วยเครื่องสักการะบูชา มีดอกไม้ ธูป เทียน ก็ยังไม่ได้เจริญตามรอยบาทของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงมุ่งหวังให้เราทั้งหลาย เจริญรอยตามรอยบาทของพระองค์ด้วยการ ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนหนึ่งที่ พระพุทธองค์ทรงโปรดให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย

คำไหว้พระพุทธบาทสี่รอย

สาธุ โกสัมพิยัง อะวิทูเร เวภาระ ปัพพะเต กะกุกสันโธ โกนาคะมะโน กัสสะโป โคตะโม
ปาทะเจติยัง ชินธาตุ จะฐะ เปตวา อะหังวันทามิ ทูระโต



http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=gazembo&group=3
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553 10:12:04 »

http://img717.imageshack.us/img717/2184/2580911.jpg
ตำนานพระพุทธบาทสี่รอย





รัก ยิ้ม รัก



(:LOVE:)สาธุ..................สาธุ.....................สาธุ รัก


บันทึกการเข้า
wondermay
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 30 ตุลาคม 2553 17:21:00 »

สงสัยมานานแล้วครับ ไม่เอา ทำไมรอยพระพุทธบาทถึงมีลักษณะทางกายภาพที่ overscale?????????
บันทึกการเข้า
Pee
นักโพสท์ระดับ 2
**

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 9


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.6.13 Firefox 3.6.13


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 22 ธันวาคม 2553 13:30:20 »

มีรูปหรือไม่
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2553 17:59:13 »


มีรูปหรือไม่




จัดให้ครับ

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 23 ธันวาคม 2553 17:59:59 »




บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2555 16:28:34 »





พระเจ้าเลียบโลก ตอน อานิสงส์บูชาพระบาทรังรุ้่ง(พระพุทธบาทสี่รอย)

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมายังมีพระราชาองค์หนึ่งมีพระนามว่า มังราย เสวยราชย์ในนครเชียงใหม่ ได้ทรงสดับตรังฟังข่าว พระพุทธบาทรังรุ้งเป็นที่ประเสริฐยิ่งนัก จึงทรงมีพระราชศรัทธาใคร่สักการบูชาเป็นอย่างยิ่ง จึงเสด้จไปพร้อมด้วยพระราชเทวีและเสนาอำมาตย์บริวารทั้งหลาย ตามลำดับหนทางจนกระทั่งบรรลุถึงเชิงเขาแล้วเสด็จขึ้นไปสักการบูชาพระพุทธบาทและพระชินธาตุด้วย พระราชปสาทศรัีทธาเลื่อมใสเป็นอันมาก ทรงบังเกิดอัศจรรย์พระทัยยิ่งนัก จึงมีพระราชอาชญาให้คนทั้งหลายวัดระยะดูรอบเชิงเขานั้นมี ๓๗๐ วา ตั้งแต่เชิงภูเขาวัดตามระยะทางเดินสูง ๔๒๗ วา วัดทอดดิ่งลงมาได้ ๑๒๕ วา วัดตรงดิ่งลงมาจนถึงฝั่งแม่น้ำคงไกล ๕๐๐ วา วัดตั้งแต่สพเพาไปถึงรอยพระพุทธบาทได้ ๒๕ วา รอยพระพุทธบาทพระพุทธเจ้ากกุสันธะยาว ๑ วา ๓ ศอก รอยพระพุทธบาทโกนาคมนะยาว ๑ วา ๒ ศอก รอยพระพุทธบาทพระพุทธเจ้ากัสสปะยาว ๑ วา ๑ ศอก รอยพระพุทธบาทพระพุทธเจ้าโคตมะยาว ๑ วา ๑ คืบ ปลายพระบาทเสมอกัน

เมื่อพระยามังรายถวายนมัสการสักการบูชาแล้ว ก็พาเสนาบริวารกลับลงมาตามลำดับ เสด็จมาถึงป่าแห่งหนึ่งจะหาที่พักไม่มี เพราะเป็นป่าแขมป่าเลา (แฝก) และเป็นน้ำทั่วไปทั้งสิ้น ในที่นั้นภายหลังจะแปรชื่อว่า พูเลายางคำ นับตั้งแต่พระยามังรายเสด็จลงจากพระพุทธบาท และออกจากพูเลายางคำ ไม่มีที่พักผ่อนเลยจนกระทั่งถึงป่าแห่งหนึ่ง จึงประทับพักแรมอยู่ในระหว่างป่านั้น ป่าแห่งนั้นเลยปรากฏชื่อว่า ป่ามังราย จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

พระยามังรายเสด็จออกจากที่ประทับพักแรมนั้นมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง คนทั้งหลายก็พากันมาเหง้อ (ชะเง้อ) ดูพระยาที่นั้น นับตั้งแต่นั้นมาเมืองนั้นจึงได้ชื่อว่า เมืองเหง้อ (เมืองชะเง้อ)

นับตั้งแต่พระยามังรายเสด็จไปนมัสการรอยพระพุทธบาทและเสด็จกลับคืนมาสู่นครเชียงใหม่แล้ว ก็ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติตราบสวรรคต ราชวงศ์ลูกหลานเสวยราชสมบัติสืบสันติวงศ์ต่อมาตามลำดับนับได้ ๗ รัชกาล ในสมัยกาลครั้งนั้น ยังมีผ้าขาวผู้หนึ่งอยู่บ้านทุงโนมังราย ที่นั้นมีปรกติไปอุปัฏฐากพระพุทธบาทเป็นประจำ มีวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญเดือน ๗ (เหนือ) ผ้าขาวนั้นก็ไปนมัสการพระพุทธบาทและเข้าสมาธิภาวนาอยู่แล้วรำพึงในใจว่า "เหตุไฉน คนทั้งหลายจึงไม่มานมัสการกราบไหว้พระพุทธบาทอันประเสริฐนี้หนอ" ในขณะนั้นเทวดาทรงทราบวาระจิตแห่งผ้าขาวผู้นั้น จึงนิมิตตนเป็นภิกษุรูปหนึ่ง นั่งภาวนาอยู่ในชะง่อนหินที่เชิงเขา ผ้าขาวผู้นั้นลงจากภูเขามาได้เห็นภิกษุป่ารูปนั้นจึงถามท่านว่า "ในปัจจุบันนี้ สมณพราหมณ์และคนทั้งหลายทำไมจึงไม่มานมัสการกราบไหว้พระพุทธบาทอันประเสริฐนี้หนอ" ภิกษุรูปนั้นจึงตอบว่า "ดูรา ผ้าขาว แต่ก่อนนี้คนทั้งหลายเขาพากันมานมัสการพระพุทธบาทเป็นอันมากจริง แต่ว่าอันตรายทั้งหลายมักบังเกิดแ่กเขา เขาทั้งหลายก็มีความหวาดกลัว เพราะเหตุนั้น ต่อมาเขาก็เลยไม่มานมัสการอีก เพราะว่าคนทั้งหลายนั้นมีจิตใจต่างกัน ลงคนมารอยพระพุทธบาทนี้ด้วยใจคดเลี้ยว ไม่เลื่อมใสศรัทธาในรอยพระพุทธบาท เขามีความประมาทมาก ฆ่าสัตว์ ลักของท่าน เล่นชู้ สนส่อให้ท่านทะเลาะวิวาทกัน กล่าวคำผสุสวาจา และคำอันหาประโยชน์มิได้ และชอบดื่มสุรายาเมาไม่นิยมยินดีในรอยพระพุทธบาท อันตรายทั้งหลายจึงบังเกิดแก่เขา เมื่อเขาตายไปบางคนก็ต้องไปตกนรก" ผ้าขาวก็ถามต่อไปว่า "ต่อไปภายภาคหน้าพระพุทธบาทนี้ยังจะรุ่งเรืองหรือไม่ " ภิกษุรูปนั้นจึงตอบว่า

"ดูรา ผ้าขาว ท่านจงไปบอกแก่คนทั้งหลายที่จะมานมัสการรอยพระพุทธบาทที่นี้ว่า มนุษย์หญิง ชาย คฤหัสถ์ นักบวชทั้งหลายที่จะมานมัสการรอยพระพุทธบาทและพระชินธาตุ ที่นี้จงเป็นผู้สังวรในอินทรีรย์ทั้ง ๖ คือรักษาปาก หู ตา รักษาจมูก และลิ้น รักษากายและใจ อย่าให้บาปบังเกิดขึ้นได้โดยแท้ อย่าทะเลาะวิวาทกัน อย่าฆ่าสัตว์ อย่าลักของท่าน อย่ามายาสาไถย อย่าเล่นชู้ อย่าโกหกพูดเท็จ อย่ากล่าวคำผรุสวาจา อย่ากล่าวคำที่หาประโยชน์มิได้ อย่าดื่มสุรายาเมา และอย่าถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ สั่งน้ำมูกถ่มน้ำลายเชิงเขาพระพุทธบาทด้านตะวันตก ให้ไปถ่ายหรือไปถ่มได้ตะวันออกของพระพุทธบาทโน้นเถิด ประการหนึ่งถ้าเป็นผู้หญิงขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทนั้น ห้ามล่วงล้ำเข้าไปในเขตรั้วล้อมพระพุทธบาท ห้ามโปรยข้าวตอก ดอกไม้บนรอยพระพุทธบาทและรูพระธาตุ ให้ไว้ที่พระอรหันต์นั่งนั้นหากสมควรแล อย่าเอาเทียนติดก้อนหินที่พระพุทธเจ้าประทับนั่ง อย่าตีกลองสะบัดชัย อย่ากางทุงแร(ธงแพร) ใกล้้พระบาท เพราะลมจะเพิกพัดถูกใส่ไฟ ไฟจะไหม้รอยพระพุทธบาท จะเป็นบาปมากนัก หากว่าผู้ใดกระทำสิ่งไม่ชอบไม่ควร เทวดาจะไม่ชอบใจ และพระธาตุก็ไม่แสดงปาฏิหาริย์ อย่าถากไม้ อย่าเอาเปลือกไม้แต่เชิงเขาขึ้นมาข้างบน ซึ่งเข้าใจว่าจะเป็นบุญกุศล จะกลายเป็นสิ่งไม่ดี เพราะว่าต้นไม้เหล่านั้นมีเทวดารักษาทุกต้น จะเป็นที่ไม่ชอบใจของเทวดาทั้งหลาย เขาจะกริ้ว ให้โทษแก่ผู้ฝ่าฝืนหากว่าใครไม่เชื่อ ยังขืนตัดฟันต้นไม้ ก็จักได้รับบาดเจ็บเหมือนดั่งต้นไม้ หากว่าตัดฟันต้นไม้จนตาย ก็ต้องตายเช่นเดียวกับต้นไม้ เมื่อนมัสการกราบไหว้พระพุทธบาทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะลงจากภูเขาให้จัดการปัดกวาดเก็บขยะให้เรียบร้อยแล้วจึงลงมาเถิด

เวภารปาทธาตุนิฏฐิตา กล่าวถึงเรื่องพระพุทธบาทและพระชินธาตุ อันมีอยู่บนภูเขาเวภารบรรพตคือ เขารังรุ้ง ก็จบเพียงเท่านี้


ต่อไปนี้จักได้แสดงถึงเรื่องพระธาตุที่ประดิษฐานอยู่ที่เมืองฝาง ผู้มีปัญญาพึงรู้ดังต่อไปนี้เทอญ ยังมีภูเขาหินลูกหนึ่ง ชื่อ ดอยผาตุบ สมัยเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ได้เสด็จมาถึงที่นี้ตรัสว่า "เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว จงนำเอาธาตุตถาคตมาประดิษฐาน ณ ที่นี้เถิด" พระมหาอานันทเถระเจ้าและพระยาอโศก ก็ทูลขอเอาพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงลูบพระเศียรได้เกศามาเส้นหนึ่งมอบให้พระมหาอานันทเถระเจ้า พระมหาอานันเถระเจ้าจึงเอาพระเกศาธาตุเส้นนั้นประดิษฐานไว้ในถ้ำดอยผาตุบนั้น พระพุทธองค์จึงทรงเสด็จสีหไสยาสน์ที่นั้นคืนหนึ่ง จากนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเสด็จไปสู่ดอยท่าข้ามเมืองเยิง ตามลำดับหนทางจนไปบรรลุถึงพระเชตวันมหาวิหารอยู่ต่อมาอีก ๑ พรรษา พระพุทธองค์ก็เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ก็มีในครั้งนั้นแล

หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้วนานได้ ๒๑๘ ปีพระยาอโศกธรรมราชาก็ทรงแจกพระธาตุของพระพุทธเจ้า และพระธาตุของพระพุทธองค์มาประดิษฐานอยู่ในดอยผาตุบที่เมืองฝาก ในเวลานั้นมีพระอรหันต์ ๓ องค์ มานิพพานในที่นั้น พระอินทร์จึงให้วิษณุกรรมเทวบุตร มานิมิตอุโมงค์เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระชินธาตุ แล้วจุดประทีปบูชาไว้ด้านในประตูถ้ำ อันมีทางฝ่ายแม่น้ำ เทวดาได้เอาหินก้อนใหญ่มาปิดประตูถ้ำไว้ พระธาตุที่ประดิษฐานอยู่ในถ้ำผาตุบที่นั้น ก็รุ่งเรืองยิ่งนัก เป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลายจนตลอดไปถึงสิ้น ๕,๐๐๐ วัสสา แลตำนานถ้ำผาตุบก็จบเพียงเท่านี้แล

ยังมีในสมัยครั้งหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณเป็นอันมากประทับสำราญพระอิริยาบถอยู่ในโฆสิตาราม (บางฉบับว่านิโครธสิตอาราม) อันมีในเมืองโกสัมพี ก็ทรงเล็งทิพยจักขุญาณมองเห็นลัวะ ๒ คนผัวเมีย อยู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่า ลุคคามะ ในดอยถ้ำด่านยางจวง (บางฉบับว่า ด่านยางเจาะ) ลัวะทั้ง ๒ คนผัวเมียนั้นเป็นผู้มีบุญสมภารอันเคยสร้างมาแต่บุรพชาติเป็นอันมาก ควรแก่การถึงมรรคผลธรรมอันวิเศษ เมื่อทรงทราบเช่นนั้นแล้ว พระพุทธองค์จึงทรงห่มผ้าและทรงถือบาตร เสด็จไปประทับนั่งอยู่ที่โคนไม้นิโครธต้นหนึ่งในดอยครอม แล้วก็ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีทั้ง ๖ ประการ คือ ขาว เขียว เหลือง แดง หงสบาท และสีแก้วผลึก มีวรรณะดังแก้วไพฑูรย์น้ำทองคำ อยู่ที่ข้างทางเดิน ลัวะทั้งสองคนผัวเมียเดินมาถึงที่นั้นก็แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีมีวรรณะต่างๆ แผ่ซ่านออกไปทั่วทิศ ดูโอภาสรุ่งเรืองยิ่งนัก เขาทั้งสองก็บังเกิดศรัทธาปสาทะเลื่อมใส มีความโสมนัสยินดีเป็นอันมาก จึงพากันเข้าไปถวายอภิวาทกราบไหว้องค์พระพุทธเจ้าแล้วก็น้อมถวายห่อข้าวแก่พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับเอาห่อข้าวนั้นแล้ว แล้วก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นภาษาทมิฬ คือภาษาชาวป่า แก่ลัวะสองผัวเมียนั้น ในเรื่องอริยสัจธรรมทั้ง ๔ ประการ ลัวะทั้งคู่ก็ได้ตรัสรู้มรรคผลธรรม บังเกิดอจลศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงถือห่อข้าวนั้นแล้วก็ทรงประทับนั่งเหนือผ่าด่านก้อนนั้น ทรงผินพระพักตร์ไปทางด่านยางจวง เพื่อจักเสวยโภชนาหาร ในเวลานั้นพระอินทร์ทรงแทราบแล้วก็สเด็จลงมาจากฟากฟ้า เพื่อปรนนิบัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแทงพระขรรค์เพชรไปที่หินก้อนหนึ่งทางทิศเหนือ ในทันใดนั้นน้ำก็พุ้งออกมาจากหินก้อนนั้น ได้เอาน้ำนั้นถวายพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ทรงบริโภคแล้ว ก็เสด็จขึ้นไปเหยียบรอยพระบาทไว้เหนือหินก้อนนั้น ซึ่งมีสัณฐานเหมือนดังช้างหมอบ เพื่อไว้ให้เป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลาย คือรอยพระบาทอันมีอยู่ทางทิศตะวันออกแห่งผาด่านที่นั้น พระพุทธเจ้าเสด็จกลับคืนไปสู่เมืองโกสัมพีประทับอยู่ในนิโครธสติตอาราม

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว มีพระอรหันต์ ๗ องค์ นำเอาพระธาตุมาบรรจุในประเทศยางจวงนั้น เป็นไปดั่งพระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ทุกประการ เมื่อจะบรรจุพระบรมธาตุนั้นได้พร้อมกันกับด้วยท้าวพระยาเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ตลอดถึงชาวเมืองทั้งมวลได้ขุดหลุมลึกลงไป ๗ วา แล้วจึงอัญเชิญพระบรมธาตุลงบรรจุในที่นั้นเพื่อให้เป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลาย

ยังเทวดาองค์หนึ่งชื่อว่า อาหัสสักกะ ได้อยู่รักษาพระธาตุและพระบาทของพระพุทธเจ้า เทวดาองค์นั้นคือหลานของพระยาอโศกธรรมราช เมื่อได้จุติจากชาติที่เป็นหลานของพระยาอโศกแล้ว ก็ได้มาเกิดเป็นเทวดาอยู่รักษารอยพระบาทและพระธาตุยางจวง ที่นั้น ก็มีแล


ธาตุกณฺฑํ นิฏฐิตํ กัณฑ์ที่กล่าวถึงพระธาตุ จบเพียงเท่านี้
จบผูกที่ ๑
http://www.sanggadjai.com/index.php?topic=2614.0

บันทึกการเข้า
คำค้น: ตำนาน พระพุทธบาทสี่รอย หลวงปู่สิม  พระมหาจักรพรรดิ์ พุทธานุสติ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.576 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 13 เมษายน 2567 22:38:15