[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 14:17:48 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความเป็นมาของพระพุทธเจ้า...ตอน ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  (อ่าน 1375 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2325


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2558 19:45:07 »


http://g03.a.alicdn.com/kf/HTB1.kAKJpXXXXXLXFXXq6xXFXXXF/-font-b-Nepal-b-font-font-b-arts-b-font-Incense-Burner-size-10-0.jpg
ความเป็นมาของพระพุทธเจ้า...ตอน ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

ความเป็นมาของพระพุทธเจ้า
ตอน..ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติจากพระ ครรภ์พระมารดาแล้ว ในที่สุดองค์สมเด็จพระประทีปแก้วใกล้จะถึงวาระที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ทรงบำเพ็ญบารมีมาครบ ๔ อสงไขยกับแสนกัป ควรจะได้เป็นพระพุทธเจ้า  ในวันหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ก็ทรงพบเด็กเกิดใหม่ วันต่อมาทรงพบคนแก่ คนป่วย แล้วก็คนตาย วันสุดท้ายทรงพบสมณะความจริงเวลานั้นพระที่แต่ง ตัวแบบนี้ไม่มีในโลก แต่ว่าเทวฑูตทั้ง ๕ ที่เรียกว่า เทวฑูต คือ เด็กก็ดี คนแก่ก็ดี คนป่วยก็ดี คนตายก็ดี พระก็ดี ที่ปรากฎกับสายพระเนตรขององค์

สมเด็จพระชินสีห์ เมื่อยังเป็นสิทธัตถะราชกุมาร ท่านบอกว่า เวลานั้นเทวดาแสดงขึ้นให้ปรากฎ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตเห็นคนเกิดยังเด็กเล็ก แล้วต่อมาพบคนแก่ แล้วก็พบคนป่วย แล้วก็พบคนตาย น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า "โลกนี้ทุกข์หนอ ไม่มีอะไรเป็นสุข หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้"

ต่อมาเมื่อวันสุดท้าย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเห็นสมณะวิสัย ก็เข้าใจว่า ทางพระนิพพานมีอยู่ ทางนี้เป็นทางสิ้นทุกข์ เหตุฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ตัดสินพระทัยออกบวช นี่ขอเล่าลัดๆ นะ แต่ความจริงเรื่องนี้ยาวมาก ครั้นถึงวาระแล้ว องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยนายฉันนะ ทรงม้ากัณฐกะ ออกจากพระราชนิเวศน์แล้ว

ต่อมาวันสุดท้ายเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประทับนั่งอยู่โคนต้นไทร เป็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันที่นางสุชาดาจะถวายข้าวมธุปายาสแด่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาภความจริงมันเป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง ที่ยอดหญิงสุชาดาสมัยนั้นเธอไม่มีลูก มีสามีแต่หาลูกไม่ได้ จึงได้ไปบนรุกขเทวดาที่โคนต้นไทรที่มีสาขาใหญ่ ว่าเธอมีลูกแล้วเธอจะแก้บนเทวดา ในกาลต่อมาเธอก็มีลูกสมความปรารถนา จึงตั้งใจจะแก้บนเทวดาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ จึงได้เอาโคที่เลี้ยงไว้ด้วยน้ำชะเอม คือ เวลาน้ำที่โคจะกินน่ะเลี้ยงด้วยน้ำชะเอม จะได้มีนมรสหวาน รีดนมโคจากกลุ่มนี้ไปให้กลุ่มนั้นกิน แล้วรีดจากนมโคกลุ่มนั้น อีกกลุ่มที่กินน้ำนมนั่นแหละ เอามาทำข้าวมธุปายาส เธอทำด้วยความปราณีต

บรรดาเทพยดาและพรหมทั้งหมดทราบว่านางสุชาดาจะถวายข้าวแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงเธอถวายแก่รุกขเทวดา แต่ว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นั่น บรรดาเทวดาทั้งหมดก็มาช่วยงานทั้งหมด แม้แต่พระอินทร์เองก็มาช่วยใส่ไฟในเตาของนางสุชาดา  นางสุชาดาเห็นบรรดาเทวดาทั้งหลายเอาเครื่องทิพย์มาโปรยปรายก็ดี มาช่วยกิจการงานทุกอย่างก็ดี ก็เกิดความอัศจรรย์ใจ เธอทั้งหลายเหล่านี้ไม่เคยมีมาในกาลก่อน จึงให้นางบุญทาสีไปทำการปัดกวาดโคนต้นไทรให้สะอาด ว่าวันพรุ่งนี้เราจะนำข้าวมธุปายาสไปถวายรุกขเทวดา นางบุญทาสีไปถึงแล้วเห็นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสด็จประทับอยู่โคนต้นไทร จึงเข้าใจว่าเป็นรุกขเทวดา จึงได้กลับมาบอกกับนางสุชาดาว่า "พระแม่เจ้า เวลานี้เทวดากำลังคอยอยู่ที่โคนต้นไทร เห็นจะดีใจที่พระแม่เจ้าตั้งใจจะนำของไปถวาย"

นางสุชาดาก็เกิดความปลื้มใจ แล้ววันรุ่งขึ้นนางก็นำข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองไปถวาย องค์สมเด็จพระจอมไตรเวลานั้นบาตรหาย เพราะว่าเวลาเจริญทุกขเวทนาไม่ได้ใช้บาตร ไม่ได้ฉันข้าวเมื่อบาตรหายไม่มีอะไร

เมื่อนางสุชาดาถวายพระองค์ก็ทรงรับประเคน แล้วก็มองหน้านางสุชาดาเหมือนจะบอกว่า ฉันไม่มีอะไรจะถ่ายใส่ไว้จ๊ะ นางสุชาดารู้ใจก็กราบทูลถวายว่า "หม่อมฉันถวายทั้งถาด ทั้งข้าวมธุปายาสเจ้าค่ะ"

ความจริงนางไม่ได้คิดว่าเป็นคน คิดว่าเป็นรุกขเทวดา นางกลับมาแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้เสวยข้าวมธุปายาส หลังจากนั้นตอนเย็น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาจึงได้เสด็จไปริมแม่น้ำเนรัญชรา นำถาดทองของนางสุชาดาไปด้วย แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงอธิษฐาน เวลานั้นน้ำไหลเชี่ยวเป็นเวลาน้ำหลาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงอธิษฐานว่า "ถ้าข้าพเจ้าจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ขอถาดทองนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปไกลพอสมควร"

เมื่อทรงอธิษฐานแล้วก็ทรงวางถาดทองลงไปในน้ำ ถาดทองก็สวนกระแสน้ำทวนขึ้นไปแล้วก็จมลง ถาดทองนี้ตามปฐมสมโพธิ ท่านบอกว่า ไปรวมกันที่วิมานของพระยากาลนาคราชที่บาดาล

เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเห็นอัศจรรย์แบบนั้นก็ทรงปลื้มพระทัยเกิดธรรมปีติ จึงได้กลับมาใหม่ที่โคนต้นไทร เวลานั้นก็มีพราหมณ์คนหนึ่งเดินสวนทางมา เห็นสมเด็จพระบรมศาสดาก็เกิดความเลื่อมใส จึงได้ทูลถวายหญ้าคา ๘ กำ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงรับ รับแล้วก็ทรงเปลี่ยนที่นั่งใหม่ เพราะว่าโคนต้นไทรไม่เหมาะ พระองค์เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีใบใหญ่ แล้วก็งวงใบยาว ที่เรียกว่า อัสสัตถพฤกษ์ หมายความว่า ไม้ที่มีหางยาวเหมือนหางม้า ต่อมาภายหลังเรียกกันว่า ต้นโพธิ์  

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ปูหญ้าคา ๘ กำ เป็นอาสนะรองนั่ง หลังจากนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงหันหน้าไปทางทิศตะวันตก หันหลังให้ต้นโพธิ์ ทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าเรายังไม่ได้บรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณเพียงใด เลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไปก็ตามที เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้" นี่ น้ำพระทัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตัดสินใจในวันนั้น ฉะนั้นการบำเพ็ญกุศลสร้างความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อันดับแรกถ้าหวังผลเพื่อพระนิพพาน ถ้าจะทำอันใดเป็นกุศลเป็นเรื่องของกุศล ต้องตัดสินใจอย่างองค์สมเด็จพระทศพล คือ ไม่มีความห่วงกังวลในทรัพย์สินและไม่มีความกังวลในชีวิตของตนเอง ชั่วเวลานั้นนะ

ต่อมาหลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัดสิน พระทัยแบบนั้นแล้ว ในยามต้น สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาก็ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ การระลึกชาติได้ การระลึกชาติได้นี่เป็นประโยชน์ ก็เป็นโอกาสที่สมเด็จพระบรมโลกนาถถอยหลังชาติต่างๆ แต่ละชาติที่เกิดมาแล้ว ซึ่งองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงทราบว่า มันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

และนอกจากนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังได้ทรงทราบว่า บางชาติที่สมเด็จพระบรมโลกนาถเกิดก็พบพระพุทธเจ้าบ้าง พบพระอรหันต์บ้าง ท่านสอนว่าอย่างไรองค์สมเด็จพระจอมไตรก็สามารถทวนคำสอนนั้นได้ ตามความประสงค์ต่อมาในยามที่สอง องค์สมเด็จพระพุทธองค์ก็ทรงได้ ทิพจักขุญาณ หรือที่เรียกกันว่า จุตูปปาตญาณ ทิพจักขุญาณนั้น ถ้ามีกำลังแข็งกล้าขึ้นมาเขาเรียกว่า จุตูปปาตญาณ สามารถรู้วาระของคนว่าคนและสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ทั้งหมด ก่อนเกิดมาจากไหน และเวลาตายแล้วเขาไปอยู่ที่ไหนเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงได้ญาณนี้รวม ๒ ญาณด้วยกัน สมเด็จพระทรงธรรม์ก์ทรงใช้เป็นเครื่องประกอบกับปัญญา

เมื่อยามที่ ๓ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ทรงระลึกได้ในด้านของ อริยสัจ ๔ เป็นปัญญาเกิดขึ้นมาใหม่ องค์สมเด็จพระชินวรทรงทราบด้วยกำลังของญาณคือ ทิพจักขุญาณ และก็ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ว่าคนที่เกิดมาทั้งหลายในโลกนี้ประสบอะไรบ้าง นั่นก็คือ ทุกข์คำว่า ทุกข์ หมายความว่า สิ่งที่จำจะต้องทน ทุกสิ่งทุกอย่างการประกอบอาชีพก็เป็นทุกข์ ความแก่มันก็เป็นทุกข์ ความป่วยก็เป็นทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์

เมื่อทราบขอบข่ายของความทุกข์ว่า การเกิดอาศัยทุกข์เป็นเหตุ และการเกิดแล้วมีแต่ความทุกข์ ก็จะหาทางตัดทุกข์ เมื่อหาทางตัดทุกข์ ก็ต้องอาศัยอริยมรรคที่พระองค์มีอยู่แล้วได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญาเมื่อ ศีล สมาธิ ปัญญามีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงทราบว่า ถ้าจะตัดทุกข์ได้ต้องตัดเหตุเสียก่อน องค์สมเด็จพระชินวรทรงทราบว่า เหตุที่เกิดทุกข์ก็ได้แก่ ตัณหา ๓ ประการ คือ
- กามตัณหา เจตนาอยากจะได้สิ่งที่ไม่มี อยากจะให้มีขึ้น
- ภวตัณหา สิ่งที่มีอยู่แล้วต้องการให้ทรงตัว
- วิภวตัณหา สิ่งใดก็ตามที่จะสลายตัวตามกำลังของกฎของกรรม ก็ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น

ถ้าอารมณ์ใจของคนเป็นอย่างนี้ อารมณ์ใจมันเป็นทุกข์ สิ่งที่มันไม่มี ตะเกียกตะกายอยากจะให้มันมีขึ้น ในเมื่อมันยังหาไม่ได้มันก็เป็นทุกข์ ใช้ความพยายามมากเกินไปก็เป็นทุกข์ กำลังใจมันเป็นทุกข์ อันนี้พระพุทธเจ้าว่าไม่ดี ที่ทุกข์มันจะมีได้เพราะเหตุนี้

ประการที่สอง ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเป็นสภาวะของโลก มันมีกฎธรรมดาบังคับนั่นก็คือ อนิจจัง ทุกอย่างในโลกนี้มีสภาพไม่เที่ยง ของใหม่ได้มาแล้วไม่ช้ามันก็เก่าแล้วมันก็แก่ แล้วมันก็ทรุดโทรมไป ในที่สุดมันก็พัง

คนที่เกิดมาเป็นเด็กก็ไม่ได้ทรงความเป็นเด็กอยู่ ตลอดก้าวเข้าไปหาความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นหนุ่มเป็นสาว เราชอบเพราะร่างกายมันดี แข็งแรงดี แต่ไอ้ความแก่ความตายนี่เราไม่ชอบ แต่เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อไม่ช้าไม่นานเท่าไรความแก่มันเข้ามาถึงแล้ว ความตายมันก็จะเข้ามาถึง ตอนนี้กำลังใจของคนไม่ดี สำหรับท่านที่ทรงตัณหา คือ ภวตัณหา ต้องการอย่างเดียวคือ ความทรงตัว ความผ่องใส และความเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่ต้องการความแก่ ไม่ต้องการความตาย เมื่อสภาวะของร่างกายมันเคลื่อนไปตามนี้ เมื่อความแก่มันเข้ามาถึง อารมณ์ใจมันก็เป็นทุกข์ ฝืนอารมณ์ใจของตนเอง นี่เป็นอันว่าเขาเรียกว่า พายเรือทวนน้ำ  แล้วในที่สุดวิภวตัณหา เมื่อแก่เฒ่าก็ไม่เป็นไรอย่างเพิ่งตายเลย ใจมันว่าอย่างนั้น แต่ในที่สุดความตายมันก็เข้ามาถึงอีก เราห้ามไม่ได้ การไม่อยากตายใจมันก็เป็นทุกข์   ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ถ้าเราจะตัดทุกข์เพื่อพระนิพพานจริงๆ ต้องตัดที่ตัณหา คือ ความทะยานอยากทั้ง ๓ ประการ

กามตัณหา อยากตะเกียกตะกายเกินไป การทำมาหากินด้วยสัมมาอาชีวะ เขาไม่เรียกกันว่าเป็นตัณหา รับราชการ เป็นลูกจ้าง เป็นชาวนา เป็นชาวไร่ ทำการค้าขายประกอบด้วยอาชีพสุจริต เขาเรียกว่า สัมมาอาชีวะ อย่างนี้ไม่เรียกตัณหา ใจมันสบาย ๆ ทำไปด้วยความดี ตามความสามารถให้เต็มที่ ไม่คดไม่โกงใคร อย่างนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า เป็นการเลี่ยงตัณหาข้อต้น คือ กามตัณหา

ต่อมากำลังของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เพื่อจะรักษากำลังใจให้เป็นสุข เมื่อตอนกลางเข้ามาทุกสิ่งทุกอย่างทรงตัว ทรัพย์สินเรามีร่างกายเราดี บ้านเรือนเราทรงตัว ก็จงมีความรู้สึกว่า ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ มันเกิดขึ้นมาได้ มันก็สลายตัวได้ ถ้าเราไม่ใช้มัน ถ้าผลจากอิทนนาทานมันเกิด ไฟมันก็ไหม้ ขโมยมันก็ลัก น้ำมันก็ท่วม แล้วก็ลมพัดให้พังต้องทำกำลังใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนี้มั้นมีขึ้นมาได้มันก็สลายตัวได้ แม้แต่ร่างกายของเราเองก็ดี คนที่เรารัก เราเคารพ เราบูชาก็ดี ก็ต้องถือว่าท่านทั้งหมดนี้ไม่สามารถจะพ้นกฎของธรรมดาไปได้ ทำกำลังใจให้พร้อมไว้ว่า สิ่งใดที่เรารักหรือว่าคนที่เรารัก คนที่เราเคารพ คิดว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า ท่านกับเราจะต้องจากกัน ถ้าเราไม่จากไปก่อน ท่านก็จากก่อน ทำใจไว้อย่างนี้ เมื่อของก็ดี บุคคลก็ดี จะต้องพลัดพรากจากกัน ใจมันก็เป็นสุข อย่างนี้ชื่อว่า หลบภวตัณหาแล้ว ตอนสุดท้าย การหลบวิภวตัณหา ก็ต้องตั้งกำลังใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนี่มันมีการเสื่อมได้ มัน
ไม่ใช่แค่เสื่อมอย่างเดียว ในที่สุดมันก็ต้องพัง อาการพังมันปรากฎเมื่อไรใจเรามันก็เฉยๆ ที่เรียกกันว่า สังขารุเปกขาญาณ  เป็นอันว่า เมื่อยามที่สาม องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงได้ญาณนี้ สมเด็จพระมหามุนีจึงได้ตัดสินพระทัยตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน จัดว่าเป็นพระอรหันต์องค์แรกของโลก ประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้านี่แหละบรรดา ท่านพุทธบริษัท การคุยกันในวันนี้ถ้าจะเล่าความเป็นมาโดละเอียด บรรดาท่านพุทธบริษัทก็ทราบดี เพราะการที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณด้วยน้ำพระทัยอย่างไร อันนี้มีความสำคัญสวัสดี

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เรือใบ
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 234


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 46.0.2490.80 Chrome 46.0.2490.80


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2558 19:56:21 »

สาธุ สาธุ สาธุจ๊า เลือดพุ่ง
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
พระยามาร มารผู้จะได้มา..ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และ พระอุปคุตปราบมาร
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 585 กระทู้ล่าสุด 24 กุมภาพันธ์ 2566 17:41:43
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.437 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 05 เมษายน 2567 04:24:15