[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 21:31:33 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แสงสุดท้ายของบ้านโซวเฮงไถ่ เก๋งจีนที่โอ่อ่าที่สุดในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์  (อ่าน 13885 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2321


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 18 ตุลาคม 2557 10:30:43 »

.



แสงสุดท้ายของบ้านโซวเฮงไถ่
งานจากค่ายสารคดี
โดย ภัทรียา พัวพงศกร
ภาพ จิตรสุนทร ประภาจิตสุนทร

วูบหนึ่งฉันหลงคิดไปว่ากำลังจะย้อนเวลาเข้าไปในหนังจีน

ประตูไม้สีแดงสดตั้งตระหง่าน กำแพงสีขาว-น้ำเงินซ้ายขวาประดับลวดลายจิตรกรรมแบบจีน หลังคาหยึกหยักด้านบนประดับลายปูนปั้นอ่อนช้อย แม้ทุกสิ่งจะเก่าคร่ำคร่าไปบ้างตามกาลเวลา แต่คฤหาสน์โซวเฮงไถ่ยังคงยิ่งใหญ่และงดงามดึงดูดใจ ฉันสาวเท้าเข้าไปในบริเวณบ้าน คาดหวังจะเห็นฉากจีนฮกเกี้ยนโบราณตระการตาอายุมากกว่า200 ปีในไทม์แคปซูล ทว่าส่วนผสมของภาพเบื้องหน้ากลับทำให้ฉันประหลาดใจ สระน้ำทันสมัยขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางลานหินกว้าง เรือนหมู่ 4 ด้านที่ล้อมสระยกพื้นสูงแบบบ้านทรงไทย ใต้ถุนของเรือนฝั่งหนึ่งกักสุนัขสีขาวลายน้ำตาลดำหลายสิบตัว

ความลักลั่นย้อนแย้งทำให้คิ้วฉันเลิกสูงถึงกลางหน้าผาก บ้านโบราณที่ดูคล้ายศาลเจ้าแห่งนี้เป็นทั้งสำนักดำน้ำและฟาร์มสุนัขบีเกิ้ล สถานที่ที่เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง แท้จริงเต็มไปด้วยมิติทับซ้อนของเวลา “ลูกชายป้าเขาไปเรียนดำน้ำแล้วชอบ เลยกลับมาเปิดสำนักดำน้ำที่บ้าน” คำอธิบายดังจากประตูครัว ขณะที่สองมือกำลังประกอบอาหาร หญิงชราร่างเล็กสวมผ้ากันเปื้อนเงยหน้าขึ้นมาพูดกับฉัน ใบหน้าใจดีของคุณป้าดวงตะวัน โปษยะจินดา เจ้าของบ้านรุ่นที่ 7 เปี่ยมความเมตตา แดดร้อนจัดของบ่ายวันนั้นทำให้เงาของเธอกลืนไปกับผนังหิน ฉันสบตาเธอ จิตวิญญาณของบ้านแฝงอยู่ในแววตา ราวกับว่าเธอเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสถาปัตยกรรมเก่าแก่แห่งนี้

ป้าดวงตะวันเป็นสะใภ้ของตระกูลโปษยะจินดาตั้งแต่อายุ 18 ปี เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กเพราะคุณยายเป็นต้นห้องของเจ้าบ้านรุ่นที่ 6 หรือสามีของป้า เด็กหญิงดวงตะวันรู้จักทุกองค์ประกอบของสถานที่ ความรุ่งเรืองของบ้านโซวเฮงไถ่แอบอยู่ในรอยแยกของกระเบื้อง ซึมลงหลืบหิน และฝังตัวในไม้สีซีดจาง แต่เมื่อป้าดวงตะวันเอ่ยปากเล่าเรื่องความหลัง ความวิจิตรของตระกูลโซวก็ฉายโชนออกมาอีกครั้งหนึ่ง

คฤหาสน์โซวเฮงไถ่มีอายุมากกว่า 250 ปี อายุมากกว่ากรุงเทพมหานคร และเป็นหนึ่งในเก๋งจีนที่โอ่อ่าที่สุดในยุคเริ่มกรุงรัตนโกสินทร์ ผังบ้านผสมรูปแบบ “ซื่อเหอหยวน” หรือ “สี่เรือนล้อมลาน” มีอาคาร 4 ด้านล้อมลานหินกว้าง ด้านหน้าเป็นซุ้มประตูทางเข้า ด้านหลังเป็นเรือนประธาน ที่เก็บป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ เข้ากับลักษณะเรือน 2 ชั้น และพื้นชานยกระดับแบบไทย การก่อสร้างทั้งหมดเป็นแบบโบราณที่ไม่ใช้ตะปู แต่ใช้ไม้แกะสลักในการประกอบทั้งหมด









ในสมัยรัชกาลที่ 2-3 ที่ดินกว่าครึ่งบริเวณตลาดน้อย รวมถึงท่าเรือโปเส็งริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นพื้นที่กิจการกงสีของเจ้าสัวจาดผู้เป็นต้นตระกูลโปษยะจินดา

จุดขนถ่ายสินค้านี้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญที่สร้างความมั่งคั่งแก่ตระกูลโซว คฤหาสน์กว้างคึกคักอบอุ่นด้วยบริวารนับร้อย ห้องหลายสิบห้องมีผู้คนเดินขวักไขว่ คุณป้าเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อน การคิดภาษีตามบ้านต่างๆ วัดจากขนาดของบ้าน โซวเฮงไถ่เป็นบ้านที่เสียภาษีเยอะที่สุด ในสมัยต่อมาเมื่อเปิดกิจการค้าขายและโรงรับจำนำ ทรัพย์สมบัติมหาศาลที่บรรจุในกำปั่นกดทับพื้นเรือนเสียจนไม้สักบุ๋มเป็นรอยจนถึงทุกวันนี้

น้ำเสียงของป้าภาคภูมิใจเมื่อเล่าถึงอดีต ฉันหันหน้าไปทางแม่น้ำ ท่าเรือโปเส็งหายไปแล้ว บ้านสมัยใหม่ที่ปลูกชิดท่าน้ำเรียงกันเป็นตับ เมื่อหมดยุคของเรือสำเภาและถนนหนทางตัดพาดทั่วเมือง การค้าแบบเก่าก็สิ้นสุดลง เสียงเรือเครื่องวิ่งตัดลำน้ำดังจากเจ้าพระยาที่ถูกอาคารคอนกรีตบดบัง ผิวสระน้ำกลางลานกระเพื่อมไหว สายน้ำที่หล่อเลี้ยงกิจการของบ้านแปรรูปจากแม่น้ำสายใหญ่เป็นสระคลอรีนในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งคุณภู่ศักดิ์ โปษยะจินดา ลูกชายคนโตของป้าดวงตะวัน หรือเจ้าของคฤหาสน์โซวเฮงไถ่คนปัจจุบันใช้เป็นที่สอนดำน้ำ

“แต่ก่อนตรงนี้เคยเป็นลานกว้าง ร่มเย็น เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ใครๆ ก็อยากมาบ้านเรา แต่พอมีสระนี้ขึ้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด”

โรงเรียนสอนดำน้ำในเก๋งจีนกลางเมืองเป็นจุดขายลือชื่อของที่นี่ กิจการสำนักดำน้ำและฟาร์มสุนัขบีเกิ้ลเกิดขึ้นราว 10 ปีก่อน โดยคุณภู่ศักดิ์เห็นช่องทางทำธุรกิจจากการใช้พื้นที่ในคฤหาสน์ให้เกิดประโยชน์ แม้ธุรกิจจะดำเนินไปได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน ภูมิทัศน์สงบงามดั้งเดิมก็ลบหายไป ดวงหน้าของป้าดวงตะวันหมองลงเมื่อเล่าถึงตรงนี้

การสืบทอดความยิ่งใหญ่ของตระกูลรุ่นต่อรุ่นท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากสามีของป้าเป็นอัมพาตและเสียชีวิต สตรีร่างเล็กคนนี้กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวที่รับหน้าที่ดูแลลูกในวัยเรียน 3 คน และคฤหาสน์โบราณเพียงลำพัง เพื่อรักษาหัวใจของบ้าน พื้นที่ในตลาดน้อยถูกตัดแบ่งขาย เหลือเพียงพื้นที่บริเวณคฤหาสน์โซวเฮงไถ่ซึ่งป้าดวงตะวันตั้งใจจะเก็บไว้ให้ลูกหลานและรักษาให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด

“สมัยปี 2520 อธิบดีกรมศิลปากรมาติดต่อบ้านเรื่องการอนุรักษ์ แต่บ้านเราไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเราต้องย้ายออก จะเปลี่ยนแปลงต่อเติมอะไรในบ้านไม่ได้เลย เขาจะเอาคนเข้ามาจัดการ” แม้เวลานั้นคฤหาสน์จะมีสภาพทรุดโทรม แต่เพื่อให้คนในตระกูลได้อยู่ในบ้านหลังเดิม บวกกับกรมศิลปากรขาดแคลนทุนทรัพย์ในการช่วยเหลือซ่อมบำรุง ป้าดวงตะวันตัดสินใจซ่อมแซมบ้านด้วยเงินทุนของตนเองทั้งหมด อย่างไรก็ดี ด้วยความไม่รู้และการขาดทักษะการบูรณะโบราณสถานแบบจีน ทำให้ระหว่างการซ่อมแซม คนงานทำรูปเขียนกระจกจำนวนมากแตกหักเสียหาย และวิศวกรก็ซื้อกระเบื้องมุงหลังคาผิดประเภท ทำให้การซ่อมแซมเชื่องช้าและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น

“เสียดายมาก คนไม่รู้ค่า ของก็เสียหายหมด” หญิงสูงอายุพูดเสียงเศร้า หลังการซ่อมบ้านครั้งใหญ่ หน้าที่ดูแลบ้านก็เปลี่ยนมือมาสู่ทายาทรุ่นล่าสุด ผนังและประตูเลื่อนกระจกเข้ามาแทนที่ไม้ ห้องหับจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้กลายเป็นห้องเก็บของหรือถูกปิดตาย ใต้ถุนเรือนกลายเป็นฟาร์มสุนัข ยุคสมัยเก่าค่อยๆ หลุดลอกออกจากหน้าประวัติศาสตร์ของคฤหาสน์ หลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่คือความทรงจำของป้าดวงตะวัน คนรุ่นสุดท้ายที่เห็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของคฤหาสน์โซวเฮงไถ่

กาลเวลาที่เดินรุดหน้า มาพร้อมความเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กหญิงดวงตะวันที่เคยวิ่งเล่นในลานหินกว้าง บัดนี้กลายเป็นนายแม่ชราแห่งตระกูลโปษยะจินดา คฤหาสน์โบราณซึ่งครั้งหนึ่งวิจิตรโอ่อ่า โลกาภิวัตน์ก็บีบบังคับให้บ้านต้องแปรสภาพไป สายลมอ่อนๆ จากแม่น้ำพัดเข้ามา แดดอ่อนแสง โรยลงตามกำลังของดวงอาทิตย์ที่เริ่มล้า ยามเย็นคืบคลานมาถึงเสียแล้ว คฤหาสน์สีแดงดูมีมนต์ขลังเก่าแก่ ใบหน้าเหนื่อยอ่อนของสตรีชรานิ่งสงบ แม้บ้านโซวเฮงไถ่ไม่ได้สดใสเจิดจ้า จิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ยืนหยัดผ่านร้อนหนาวของคุณป้าและตัวคฤหาสน์ก็จับใจผู้พบเห็นและรับฟังเรื่องราวนัก แสงสุดท้ายของดวงตะวันพาดผ่านหลังคากระเบื้องว่าว ฉันรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีเสน่ห์กว่าที่เคย อาจเป็นเพราะแสงหลอกตา หรือเป็นเพราะว่าคฤหาสน์ถูกอาบด้วยความรักกันแน่นะ 

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.438 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 17 เมษายน 2567 21:44:34