(:???:)เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชนิดที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ แต่!!!
สามารถกินได้จากปลาแซลมอนและล๊อบเสตอร์ โดยตัวอย่าง ในปลาแซลมอน200กรัมจะมี astaxanthinเพียง1mg.

ฉะนั้นกินแบบสำเร้จรูปเถอะ
แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ ตระกูลแคโรทีนอยด์ที่มีสีชมพูถึงแดงจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าแอสตาแซนธินมีความสามารถในการยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่นของออกซิเจนโมเลกุลเดี่ยว
หรือค่าแสดงการต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่าโคเอนไซม์ คิวเทน 800 เท่า สูงกว่าคาทีซินซึ่งเป็นสารสกัดจากชาเขียว 560 เท่าและมีค่าสูงกว่าวิตามินซี 6,000 เท่า
(Nishida et al. 2007) จากการศึกษาเพิ่มเติมของ Shimidzu และคณะ พบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอี 550 เท่า และสูงกว่าเบต้าแคโรทีน 40 เท่า
จากผลของการศึกษาที่พบว่าแอสตาแซนธินเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงจึงมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ถึงการนำไปใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพและความงามหลากหลายด้าน ดังนี้
1. ผลการศึกษาถึงประโยชน์ต่อสภาพผิว
YamashitaE.ได้ทำการวิจัยทางคลีนิคโดยศึกษาแบบ Single Blind Randomized Control ในอาสาสมัครหญิงที่อายุประมาณ 47 ปี จำนวน 49 คน
โดยให้รับประทานแอสตาแซนธิน 2 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เทียบกับกลุ่มควบคุม ผลการศึกษาพบว่าตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3 จนถึงสัปดาห์ที่ 6 ของการทดลอง
อาสาสมัครรู้สึกว่าสุขภาพผิวดีขึ้น คือ ความแห้งและหยาบกระด้างของผิวลดลง ผิวมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นมากขึ้น ริ้วรอยลดลง
2.ผลการศึกษาถึงประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด
Iwamoto T. และคณะนักวิจัยได้ทำการศึกษาทั้งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองถึงฤทธิ์ในการต้านการเกิด แอล ดี แอล ออกซิเดชั่น (LDL Oxidation) ของแอสตาแซนธิน
เทียบกับสารต้านอนุมูลอิสระอื่นเช่น วิตามินอี และลูทีน ซึ่งพบว่าแอสตาแซนธินมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด จากการศึกษาโดยวัดระดับคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และแอล ดี แอล คอเลสเตอรอลในเลือดของอาสาสมัครที่ทานแอสตาแซนธินเสริมที่ 1.8- 21.6 มิลลิกรัมเป็นเวลา 14 วันพบว่ามีการไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แต่ค่า แอล ดี แอล คอเลสเตอรอล lag time
ซึ่งแสดงค่าการต้านการออกซิเดชั่นเพิ่มขึ้นแปรผันตามปริมาณของแอสตาแซนธิน นักวิจัยจึงสรุปว่าการทานแอสตาแซนธินเสริมอาจช่วยในการลดการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัวได้
3.ผลการศึกษาถึงประโยชน์ต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
Uchiyama และคณะได้ทำการศึกษาวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการแล้วค้นพบว่าแอสตาแซนธินมีคุณสมบัติในการป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ตับอ่อนจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน
ในร่างกายส่งผลให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือด (Fasting blood sugar) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังเพิ่มความไวต่อการทำงานของอินซูลินกับเซลล์ภายในร่างกายอีกด้วย
4.ผลการศึกษาถึงประโยชน์ต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและการฟื้นฟูสภาพ
จากการศึกษาของ Sawaki และ คณะ ที่ประเทศญี่ปุ่นพบว่าหลังจากการให้นักกีฬาวิ่ง 1,200 เมตรรับประทานแอสตาแซนธินต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกัน 4 สัปดาห์
ส่งผลให้ลดการเกิดการสะสมของกรดแลคติกอันเป็นสาเหตุของการทำให้กล้ามเนื้อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพออย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา :
http://www.gotoknow.org/posts/543392สรุปAstaxanthin แอสตาแซนธิน เป็นสารแคโรทีนอยด์ที่พบในธรรมชาติ สกัดจากสาหร่ายที่ชื่อว่า “Haematococcus Pluvialis” เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม
มีความสามารถต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า วิตามิน E, เบต้า แคโรทีน และสูงกว่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่น ช่วยให้ผิวพรรณสดใส เพิ่มความชุ่มชื้น ลดอาการผิวหนังหยาบกร้าน และลดริ้วรอย
ช่วยบำรุงสายตาจากการใช้สายตาเป็นเวลานาน ลดอาการเมื่อยล้าสายตา เพิ่มความสามารถในการไหลเวียนโลหิต และลดอาการอักเสบของสายตา นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย
ช่วยป้องกันการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดในสมองแตก
ที่สะดุดคือ ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่า
วิตามิน ซี 6,000 เท่า,
CoQ10 800 เท่า,
วิตามิน อี 550 เท่า,
Green tea catechins 550 เท่า,
Alpha lipoic acid 75 เท่า,
เบต้า แคโรทีน 40 เท่า และ
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น 17 เท่า









