ในสมัยพุทธกาล ในช่วงแรกคณะสงฆ์มีแต่พระอริยบุคคล
และมีจำนวนไม่มาก เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนของพระสงฆ์เพิ่มขึ้น
พระที่ไม่ใช่อริยบุคคลก็มีมากขึ้น พระเริ่มกระจายออกไปกว้างขึ้น
พระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติพระวินัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิด
ความจำเป็นต้องอาศัยอนุปสัมบันในบางเรื่อง เช่น การประเคนของ
พระพุทธเจ้าจึงทรงยินยอมให้มีการบวช สามเณรน้อย ได้
เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาเด็กที่จะบวชเป็นสามเณรได้คือถ้าเด็ก
มีสติปัญญาสามารถเฝ้าศาลา ไม่ให้ไก่ขึ้นศาลาได้ พระพุทธเจ้า
ก็ยอมให้เด็กนั้นบวชเป็นสามเณร ซึ่งปกติอายุก็ประมาณ 7 ขวบ
เด็กน้อยมีสติปัญญาเพียงแค่นี้ก็สามารถปฏิบัติภาวนาได้ และ
หลายองค์ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะการปฏิบัติก็ไม่มีอะไรมาก
เพียงแต่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก รู้ว่าความคิดไม่ดี ความคิดชั่วเกิดขึ้น
ก็ไล่ออกไปเสีย เหมือนสามเณรน้อยไล่ไก่จากศาลา ทำได้เพียง
เท่านี้ก็อาจจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้
ศาลา คือ จิต
ไก่ คือ ความคิดผิด
เด็กน้อย คือ สติปัญญา
เราก็เหมือนเด็กน้อยมีหน้าที่เพียงไล่กิเลส คือไก่ ออกจากศาลา
คือจิตเท่านั้น ปฏิบัติเพียงเท่านี้ก็เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานได้ ที่มา คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ
อานาปานสติ : วิถีแห่งความสุข ๓
โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี