|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 19:23:02 » |
|
และยังมีอีกคราวหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า
" สมมติว่ามีบุรุษผู้หนึ่ง ถูกปักตรึงด้วยลูกศรอาบยา และแพทย์ผู้รักษาประสงค์จะผ่าลูกศรนั้นออกในทันที หากบุรุษนั้นไม่ยินยอมจะผ่าให้ลูกศรออก จนกว่าเขาจะได้รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ยิงมีชื่อว่าอะไร มีอายุเท่าใด
บิดามารดาโคตรวงค์มีนามว่าอะไร ด้วยเหตุใดจึงมาทำร้ายเขาครั้นเมื่อได้รู้สิ่งเหล่านี้แล้ว จึงจะยอมให้ถอนลูกศรออก ดังนี้แล้วจะยังรู้ละหรือว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับคนคนนั้น ถ้าเขายังต้องรอให้ได้รับคำตอบทั้งหมดนี้ ตถาคตเกรงว่าบุรุษผู้นั้นคงจะสิ้นชีพไปเสียก่อนจะได้ทันรักษาเยียวยา "
ชีวิตนี้สั้น เราย่อมไม่อาจที่จะใช้ชีวิตที่มีเวลาอยู่อย่างแสนสั้นนี้ไปในการขบคิดใคร่ครวญ เรื่องทางอภิปรัชญาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะอภิปรัชญาไม่อาจนำไปสู่สัจจะอันยิ่งใหญ่ได้เลย
แต่ถ้าหากว่าความรู้อันเกิดจากการนึกคิดทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเสียแล้ว เราจะใช้ เครื่องมืออะไรในการแสวงหาความจริง
ถ้าตอบตามแบบพุทธศาสนา ก็ถือว่าบุคคลอาจเข้าถึงสัจภาวะได้ด้วยประสบการณ์โดยตรงเท่านั้น ด้วยการศึกษาเล่าเรียนและการใคร่ครวญนั้นมีพื้นฐานอยู่บนความนึกคิด
ก็ในกระบวนการนึกคิดนั้นเรามักจะตัดความจริงออกเป็นส่วน ๆ คล้ายกับว่าความจริงเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ตัดออกมาเป็นอิสระ ไม่เกี่ยวข้องกับความจริงเสี้ยวอื่น ๆ
การจัดระบบเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นความคิดแบบวิกัลปะ คือการใช้ปัญญาในการคิดแยกแยะ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในนิกายวิญญาณวาทของฝ่ายมหายาน
ส่วนนิกายทางฝ่ายที่เราแสวงหาประสบการณ์จากสัจจะโดยตรง โดยไม่อาจอาศัยประสบการณ์ ผ่านมาทางการนึกคิด เรียกกันว่า นิรวิกัลปญาณ คือความหยั่งรู้โดยไม่ต้องใช้ปัญญาแยกแยะ
ปัญญาชนิดนี้เป็นผลมาจากสมาธิภาวนา ซึ่งนับเป็นความรู้เกี่ยวกับสัจภาวะอย่างสมบูรณ์และเกิดขึ้นโดยตรง เป็นความรู้ชนิดที่ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างอัตตา ( ผู้รับรู้ ) และกรรม ( ผู้ที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ ) ซึ่งเป็นความรู้ชนิดที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้ความนึกคิดและแสดงออกมาโดยภาษาพูด
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 มิถุนายน 2555 23:51:09 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เปลียนภาพที่หายไปค่ะ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 01 พฤษภาคม 2553 04:01:41 » |
|
เป็นตัวประสบการณ์นั้นเอง สมมติว่าท่านกำลังอยู่ที่บ้านของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้เชิญท่านดื่มน้ำชา ท่านก็ยกถ้วยขึ้นจิบชาในถ้วย รู้สึกว่าท่านพอใจในรสชาติของชา
ท่านวางถ้วยลงบนโต๊ะและเราก็สนทนากัยต่อไป ทีนี้หากข้าพเจ้าจะถามท่านว่า ท่านรู้สึกว่า ชาเป็นอย่างไร ท่านย่อมเริ่มใช้ความจำ ความนึกคิด และใช้ศัพท์แสงทางภาษาพูด
เพื่อที่จะบรรรยายถึงรสชาติของชาออกมา เช่น ท่านอาจพูดว่า " ชาดีมากเป็นชาเตี้ยกวนหยิง ทำจากโรงงานที่กรุงไทเป เมื่อจิบแล้วก้รู้สึกชุ่มชื่น " ท่านอาจแสดงความรู้สึกออกมาได้หลายวิธี
แต่ความคิดและคำพูดเหล่านี้เป็นเพียง " การบรรยายประสบการณ์ที่เกิดจาก การดื่มชาเท่านั้น หาใช่ตัวประสบการณ์โดยตรงไม่ "
ตามความเป็นจริงแล้ว ในประสบการณ์โดยตรงที่เกิดจากการดื่มชา ท่านคงไม่ได้แยกว่าตัวท่านเองเป็นผู้ลิ้มรสและชาเป็นรส
ท่านคงไม่ได้คิดว่าชานั้นเป็นชายี่ห้อเตี้ยกวนหยิงชนิดดีหรือเลวจากไทเปหรือจากใหน ประสบการณ์นี้เป็นประสบการณ์ภายในที่ไม่มีความคิดและคำพูดมาจำกัดขอบเขต
ความรู้สึกล้วน ๆ นี้ย่อมเกิดมาจากประสบการณ์ ท่านอาจบรรยายความรู้สึกออกมา เท่าที่ท่านต้องการ
แต่มีเพียงตัวท่านเองเท่านั้นที่เป็นพยานในการรับรู้ประสบการณ์ในการดื่มชานั้น เมื่อผู้อื่นได้มาฟังท่านพูด เขาก็คงได้แต่สร้างความรู้สึกขึ้นมาใหม่
โดยอาศัยพื้นฐานจากประสบการณ์เกี่ยวกับการดื่มชาที่เขามีอยู่ในอดีต แม้แต่ตัวท่านเอง ก็เช่นกัน เมื่อท่านพยายามที่จะบรรยายประสบการณ์ของท่านออกมา
คำบรรยายนั้นก็หาใช่ " ตัวประสบการณ์แท้ ๆ " ที่ท่านได้รับไม่ ด้วยประสบการณ์แท้ ๆ นั้น ท่านได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับชา ไม่มีผู้ดื่ม ไม่มีชา ไม่มีการให้คุณค่า ไม่มีการแบ่งแยก
ความรู้สึกอันไม่มีอื่นใดเจือปนนี้แหละ อาจยกมาเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นแทน นิรวิกัลปญาณ ( การหยั่งรู้โดยไม่ต้องใช้ปัญญาแยกแยะ ) ซึ่งเป็นปัญญาเครื่องนำเราให้เข้าสู่หัวใจแห่งความเป็นจริง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 พฤศจิกายน 2553 21:11:36 โดย เงาฝัน »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2553 04:40:32 » |
|
ช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้ การที่จะเข้าถึงสัจจะได้ มิใช่ด้วยการสะสมความรู้ แต่ด้วยการตื่นขึ้นในท่ามกลางแก่นแท้แห่งความเป็นจริงเท่านั้น ความจริงทั้งสิ้นจะเปิดเผยตัวเองออกมาอย่างหมดจดในช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้ ด้วยแสงสว่างแห่งการรู้แจ้งเห็นแจ้งนี้ ย่อมสมบูรณ์ในตนเองชนิดที่เรียกว่า ไม่มีอะไรจะต้องเพิ่มเข้ามา หรือไม่มีอะไรที่ขาดตกบกพร่องไป อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากความนึกคิดนั้นจะไม่สามารถมีอิทธิพลต่อมนุษย์ได้อีกต่อไป ถ้าหากว่าท่านโพธิธรรมเป็นพระอริยบุคคลในอุดมคติแล้ว ก็ด้วยเหตุว่า ท่านมีภาพพจน์เป็นเอกบุรุษ ผู้สามารถทำลายโซ่ตรวนแห่งมายา ซึ่งได้พันธนาการมนุษย์ไว้ในโลกแห่งอารมณ์ลงได้
และค้อนซึ่งใช้ทุบโซ่ตรวนนั้นให้ขาดสะบั้นลงก็คือการปฏิบัติเซน ในช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้นั้น อาจสังเกตเห็นได้จากเสียงหัวเราะที่ระเบิดขึ้นมา แต่เสียงหัวเราะนี้ มิใช่เสียงหัวเราะของผู้ใดผู้หนึ่ง
ซึ่งได้รับมหาโชคอย่างทันทีทันใด ทั้งมิใช่เสียงหัวเราะของผู้ชนะ แต่เป็นเสียงหัวเราะของผู้หนึ่ง ซึ่งหลังจากได้แสวงหาอะไรบางอย่าง อย่างรวดร้าวมาเป็นเวลานาน ในที่สุด เช้าวันหนึ่งก็ได้พบสิ่งนั้นอยู่ในกระเป๋าเสื้อของตนนั่นเอง วันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงยืนอยู่เบื้องหน้าที่ประชุมสงฆ์ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ขณะที่สงฆ์ทุกรูปกำลังรอสดับพระธรรมเทศนาประจำวันอยู่ แต่พระองค์ก็ยังทรงอยู่ในอาการดุษณีภาพ หาได้เอ่ยวาจาใดไม่ ชั่วขณะหนึ่งพระพุทธองค์ทรงยกหัตถ์ขวาอันบรรจงจับดอกบัวชูขึ้น มองดูสังฆสภาโดยมิได้ตรัสแต่ประการใด พระภิกษุสงฆ์ทุก ๆ รูปเพ่งดูพระองค์อย่างไม่เข้าใจ มีเพียงแต่พระมหากัสสปรูปเดียวเท่านั้นที่แลดูพระพุทธองค์ด้วยดวงตาอันเปล่ง ประกายจำรัสพร้อมกับรอยยิ้มละไม ครั้นแล้วพระพุทธองค์จึงตรัสขึ้นในท่ามกลางที่ประชุมว่า
" ตถาคตเป็นผู้มีญาณทัสนะอันรู้จบพร้อมในธรรม ตถาคตเป็นผู้มีดวงจิต อันหลุดพ้นแล้ว คือมีพระนิพพานเป็นที่พักอาศัย ตถาคตเป็นผู้ธำรงสัจจะอันบริสุทธิ์ไม่เคลือบคลุม สิ่งใดอันตถาคตเป็น ธรรมใดตถาคตรู้ สิ่งนั้น ธรรมนั้น ตถาคตได้ถ่ายทอดให้แก่มหากัสสปโดยครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว " พระมหากัสสปถึงช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้ เมื่อพระพุทธองค์ชูดอกบัวขึ้นถ้าพูดกันอย่างเซนแล้วก็ต้องว่าท่านได้รับ " ตราแห่งจิต " มาจากพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงส่งทอดปัญญาญาณจากจิตสู่จิต พระพุทธองค์ได้ทรงหยิบดวงตาแห่งจิตอันใช้สำหรับประทับถือไว้ในพระหัตถ์ และทรงประทับตรานั้นลงไปบนดวงจิตของพระมหากัสสป รอยยิ้มของพระมหากัสสปก็เป็นเช่นเดียวกับการเปล่งเสียงหัวเราะของอาจารย์เซนนั่นเอง พระมหากัสสปตรัสรู้โดยอาศัยดอกไม้ ในทำนองเดียวกับอาจารย์เซนหลาย ๆท่าน ที่บ้างก็ตรัสรู้เมื่อได้ยินเสียงสะท้อน บ้างก็ตรัสรู้เมื่อโดนเตะอย่างหนักหน่วง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 มกราคม 2554 13:57:22 โดย เงาฝัน »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์
เพศ:
United Kingdom
กระทู้: 7865
• Big Bear •
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2553 19:39:30 » |
|
สาธุ อนุโมทนาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
B l a c k B e a r : T h e D i a r y
|
|
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 15 มกราคม 2554 19:40:56 » |
|
อภิวัจนะถ้อยคำในพุทธศาสนา เช่นคำว่า ตถตะ สภาวะ ธรรมกาย นิพพาน ฯลฯ คือตัว สัญลักษณ์ของความจริง แต่หาใช่ ตัวความจริงไม่ ในพุทธศาสนานิกาย เซนมิได้ถือว่า นามธรรมและ สัญลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือ ตัวความจริง การตื่นขึ้นและการมีสติกำหนดรู้ในปัจจุบันสภาพ จึงน่าที่จะทำความเข้าใจว่า เพราะเหตุใดคำถามเกี่ยวกับตถตะ พุทธะ ธรรมกาย อาจารย์เซนจึงกระตุ้นให้ ผุดออกมาจากภายใน สู่ภายนอก ขอให้ลองมาพิจารณาถึงปัญหา ซึ่งศิษย์เซนมักจะถามอาจารย์ของตนว่า " พุทธะ คืออะไร " และนี่คือตอบต่าง ๆ อันอาจนับได้ว่าเป็น อภิวัจนะกุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน " พระพุทธเจ้าหรือ อยู่ในสถานศักดิ์สิทธิ์นั่นไง " " พระองค์ทำด้วยดินเหนียว และถูกห่อหุ้มด้วยทอง " " อย่าพูดจาไร้สาระ " " ภยันตรายมาจากปากของเธอเอง " " เราถูกล้อมรอบอยู่ด้วยภูเขา " " จงมองดูชายผู้มีอกเปลือยเปล่า และเดินไปด้วยเท้าเปล่านั่นสิ "บางทีคำตอบเหล่านี้อาจจะทำให้เรางุนงง แต่บุคคลผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยการ กำหนดรู้ในสภาวะปัจจุบัน ย่อมอาจจะถึง การตรัสรู้ด้วยคำตอบอันใดอันหนึ่ง ในคำตอบเหล่านี้ และบุคคลผู้ซึ่ง หลงวนเวียนอยู่ในความหลงลืม ก็ อาจจะตื่นขึ้นด้วยคำตอบนี้ รวมทั้งบุคคลซึ่ง วนเวียนอยู่แต่ในเรื่องของ นามธรรมก็อาจจะกลับมา สู่ความเป็นจริง ด้วยอาศัยคำตอบเหล่านี้เช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 17 มกราคม 2554 08:27:41 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 เมษายน 2555 06:23:59 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: jpg »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 20 มกราคม 2554 09:23:02 » |
|
บางครั้ง อาจารย์เซนก็นำ กุงอัน เก่า ๆ ที่เคยมีอยู่แล้วมาใช้แทนที่จะคิดค้นขึ้นใหม่ นี่มิได้หมายความว่าท่านปล่อยปละละเลย ให้ศิษย์เป็นเพียงผู้ดู ใช้แต่สติปัญญาของตัวไปพิจารณากุงอันของผู้อื่น อาจารย์เซนต้องการให้กุงอันของเก่า กลับมาเป็นของใหม่และให้ศิษย์รับเอาไปเป็นของตน ภิกษุรูปหนึ่งได้ถามอาจารย์เดียนง ูเกียกหวง อาจารย์เซนชาวเวียดนามในสมัยศตวรรษที่ ๑๓ ว่า " อะไรคือการทำเพื่อความก้าวหน้าแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน " ท่านเดียนงูตอบว่า " คือการ คอนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไว้ ที่ปลายไม้เท้า "
" กุงอันเก่ามีประโยชน์อย่างไร " พระภิกษุรูปนั้นถามขึ้น " ทุกครั้งที่นำกลับมาใช้ กุงอันก็ใหม่อยู่เสมอ " ท่านเดียนงูยิ้ม
หากว่าผู้ใดไม่อาจเห็นต้นสน ก็เป็นด้วยผู้นั้นไม่อาจทำให้ต้นสน กลายเป็นต้นสนใหม่ หรือต้นสนแห่งสัจจะสำหรับตัวเรา และเป็นเพราะผู้นั้น มัวแต่ไปพึงใจอยู่กับการค้นหา มองหาต้นสนของคนอื่น
หลังจากที่ท่านเจาจูได้มรณภาพแล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ไปเล่าเรียนศึกษากับศิษย์ ผู้สำเร็จของท่านเจาจู " อาจารย์เจาจู ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับต้นสนบ้างหรือไม่ " ภิกษุรูปนั้นถามขึ้น " หามิได้ อาจารย์มิได้พูดอะไรเกี่ยวกับต้นสนเลย " ศิษย์สำเร็จตอบ
แต่กุงอันเรื่องต้นสนนี้เป็นี่รู้จักกันโดยทั่วไป ทุกคนในวงการเซนพูดกันถึงต้นสนนี้ทั้งนั้น เหตุใดศิษย์ของอาจารย์เจาจูจึงปฏิเสธความจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปเล่า ดังนั้น ภิกษุรูปนี้จึง รบเร้า ต่อไป " ทุกผู้คนต่างรู้อยู่แก่ใจว่า อาจารย์ของท่านได้ตั้งกุงอันเรื่องต้นสนขึ้น เหตุใดท่าน จึงปฏิเสธด้วยเล่า " " อาจารย์ไม่เคยตั้งกุงอันเช่นนั้นขึ้นเลย เธอควรจะหยุดสบประมาทท่านได้แล้ว " ศิษย์ท่านเจาจูตอบอย่างเฉื่อยชา
เป็นที่น่าประหลาดใจว่า เหตุใดศิษย์ผู้สำเร็จของอาจารย์เจาจูจึงทำเช่นนั้นคำตอบง่ายแสนง่าย คือ " ต้นสนมิอาจแลเห็นได้ " ด้วย รูปนั้น อยู่นอกวงกลม มาบัดนี้สิ พระกลับมาแลหาต้นสนซึ่งได้ตายไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ " ฆ่า " ต้นสนนั้น ให้ตายไปเสียดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงคำนินทาว่าร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้
คำตอบของศิษย์อาจารย์เจาจูได้กลายเป็นกุงอันใหม่ อันอาจทำให้ใคร ๆ อาจแลเห็นต้นสนต้นมหึมาผุดตระหง่านขึ้นมา ซึ่งจะกลายเป็นพลังแห่งชีวิตใหม่ แต่ไม่ว่าจะมีผู้แลเห็นหรือแลไม่เห็น ต้นสนใหม่ก็ตาม ต้นสนเก่าของอาจารย์เจาจูก็ยังคงไร้ประโยชน์อยู่เช่นเดิม หาจำเป็นต้อง เกี่ยวพัน ไปถึงไม่
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 สิงหาคม 2555 20:58:23 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: jpg+จัดหน้าค่ะ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: 22 มกราคม 2554 13:10:15 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์
เพศ:
United Kingdom
กระทู้: 7865
• Big Bear •
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 8.0.552.224
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: 22 มกราคม 2554 17:02:10 » |
|
สุดยอดครับ
อนุโมทนาสาธุครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
B l a c k B e a r : T h e D i a r y
|
|
|
|
|
|
กำลังโหลด...