[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 เมษายน 2567 12:20:29 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แม่สลอง - ความสงบสุขแห่งขุนเขา  (อ่าน 1803 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2325


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 30 เมษายน 2558 15:51:51 »

.

แม่สลอง
ความสงบสุขแห่งขุนเขา



หมู่บ้านสันติคีรี บนยอดดอยแม่สลอง.

ฤดูร้อนระอุอ้าวเปลวแดดแผดเผาจนพาให้จิตใจไม่เป็นสุขเช่นนี้ ผมขอพักเรื่องหนักๆ แล้วพาแฟนานุแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน ไปเที่ยวชมสถานที่ที่ดูแล้วสบายตาชื่นฉ่ำอุรากันดีกว่าครับ

สถานที่ที่ผมจะกล่าวถึง นอกจากสวยงามแล้วยังมีประวัติศาสตร์น่าสนใจ มีความเป็นมายาวนานระหว่างผู้คนต่างเชื้อชาติ ต่างอุดมการณ์ แต่สุดท้ายก็หลอมรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ในที่สุด

สถานที่แห่งนั้นคือ ดอยแม่สลอง ที่มั่นสุดท้ายของมังกรพลัดถิ่น

ชุมชนบนยอดดอยที่แลไปทางไหนก็เห็นแต่ความเขียวชอุ่มของแมกไม้นานาพันธุ์ กลับแฝงฝังตำนานอันเจ็บปวดที่ต้องแลกด้วยเลือดและหยาดน้ำตา กว่าจะสุขสงบสวยงามดังที่เห็นในปัจจุบัน



สายหมอกขาวห่มคลุมทิวเขา.

เมื่อ 60 กว่าปีมาแล้ว แผ่นดินจีนเกิดเหตุการณ์พลิกผันครั้งสำคัญ เหมาเจ๋อตุงนำกองทัพประชาชนลุกฮือขึ้นก่อสงครามกลางเมืองด้วยอุดมการณ์อันแน่วแน่ เพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ ท่านประธานเหมานำทัพเข้าโรมรันกับรัฐบาลจีนคณะชาติซึ่งนำโดยเจียงไคเชค แห่งพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งก๊กมินตั๋งเป็นฝ่ายปราชัย ต้องหนีไปตั้งสาธารณรัฐจีนขึ้นที่เกาะไต้หวัน ในปี พ.ศ.2492 ทหารจีนคณะชาติและประชาชนจีนส่วนหนึ่งจากมณฑลยูนนานหนีศึกคอมมิวนิสต์เข้าไปในประเทศพม่าบริเวณท่าขี้เหล็ก แต่ก็ถูกทหารพม่าโจมตีจนต้องถอยร่นไปตั้งทัพใหม่ที่เมืองสาดในเขตพม่า

หลังจากนั้น กองกำลังจีนพลัดถิ่นก็เคลื่อนพลไปสร้างที่มั่นแห่งใหม่ ณ เมืองเชียงลับ แถบชายแดนลาว กองกำลังนี้แบ่งออกเป็น 5 กองทัพ มีการปะทะกับทหารพม่าและทหารจีนคอมมิวนิสต์อย่างหนักหน่วงเรื่อยมาเป็นเวลานับสิบปี จนถึงปี 2504 ฐานทัพที่เชียงลับก็แตกพ่าย ทหารกองทัพที่ 3 นำโดยนายพลหลี่เหวินฝานถอยลงใต้เข้าสู่ภาคเหนือของไทย มาอยู่ที่เชียงใหม่ ส่วนกองทัพที่ 5 นำโดยนายพลต้วนซีเหวิน ถอยร่นมาตั้งหลักอยู่ที่ดอยแม่สลอง เชียงราย ส่วนทหารกองพลอื่นนั้นถูกส่งไปอยู่ที่ไต้หวัน


ป้านชายักษ์บนไร่ชาที่แม่สลอง.

รัฐบาลไทยขณะนั้นยินยอมให้ทหารจีนพลัดถิ่นทั้ง 2 กองทัพอยู่ในดินแดนไทยเพื่อเป็นกันชนป้องกันการรุกรานของคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะบริเวณดอยแม่สลองซึ่งเป็นภูสูงเหมาะจะใช้ตรวจตราในระยะไกล ทหารจีนเรียกดอยแห่งนี้ว่า “เหมย ซือ เล่อ” เหมย แปลว่าสวยงาม, ซือ แปลว่าเรียบร้อย, เล่อ แปลว่าสงบสุข รวมแล้วได้ความว่าเป็นดินแดนที่สงบสุขเรียบร้อยสวยงาม ภายหลังได้มีการตั้งชื่อหมู่บ้านบนดอยแม่สลองว่า บ้านสันติคีรี ซึ่งถอดความหมายถึงความสงบสุขเช่นเดียวกับชื่อภาษาจีน

กองกำลังทหารจีนคณะชาติในดินแดนไทยนั้นปรากฏเกียรติประวัติมากมายในการรบกับคอมมิวนิสต์ร่วมรบกับทหารในเขตภาคเหนือ แต่ทหารจีนคณะชาติก็ต้องพลีชีพและบาดเจ็บทุพพลภาพไปไม่น้อย เพื่อตอบแทนที่ได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดินไทย รัฐบาลจึงอนุมัติให้พวกเขาและครอบครัวได้แปลงสัญชาติเป็นไทยโดยสมบูรณ์


ต้นบ๊วยยามผลัดใบกลางสายหมอก.

ต่อมาในปี 2524 กองกำลังอาสาสมัครไทยซึ่งก็คืออดีตทหารจีนคณะชาติ จำนวน 4 กองร้อย ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารหาญ เพื่อล้อมปราบผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เขาค้อและเขาย่า จ.เพชรบูรณ์ จนได้รับชัยชนะ นั่นคือภารกิจสุดท้ายของอดีตทหารก๊กมินตั๋งในไทย หลังสิ้นศึกครั้งนี้ นักรบจากแดนไกลได้วางปืนและหวนคืนสู่ครอบครัวอันเป็นที่รัก

เมื่อเวลาแห่งความสุขสงบมาถึง อดีตนักรบกลับบ้านมาจับจอบจับเสียมประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกฝังบ่มเพาะพืชผลหลากสายพันธุ์บนดินแดนแห่งใหม่ที่ถือเป็นบ้านหลังสุดท้าย พวกเขาทุ่มเทความรักให้กับดงดอยที่จะเป็นแผ่นดินเกิดของลูกหลานในอนาคต

บ๊วย, ท้อ, พลับ, เชอรี่, สาลี่, ผักและไม้ดอกเมืองหนาว ผลิดอกออกผลงดงามบนภูสูง และที่ขึ้นชื่อลือนามอย่างยิ่งก็คือชาพันธุ์ดี อาทิ อู่หลงก้านอ่อน, อู่หลงเบอร์ 12, ซิงซิง, จินเซียน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยและองค์กรเอกชนจากไต้หวัน ทั้งด้านเมล็ดพันธุ์, ผู้เชี่ยวชาญที่มาให้คำแนะนำ รวมถึงการตั้งโรงอบใบชาที่ได้มาตรฐาน ใบชาจากดอยแม่สลองเป็นของดีขึ้นชื่อที่ใครๆก็อยากสัมผัสรสกลิ่นหอมจรุง การได้ชมความสวยงามของทิวแถวไร่ชาบนลาดดอยก็เป็นหนึ่งในยอดปรารถนาของนักเดินทาง

ทิวทัศน์ตระการตาตลอดเส้นทางสู่แม่สลองเลียบเลาะไปตามขุนเขาสลับซับซ้อน สายหมอกและดอกไม้งามจะตรึงใจทุกดวงที่ล่วงเข้าสู่ดินแดนอันงามพิสุทธิ์ ในช่วงฤดูหนาวดอกนางพญาเสือโคร่งหรือที่ขนานนามกันว่าซากุระเมืองไทยตามเส้นทางสู่บ้านสันติคีรีจะบานสะพรั่งแต้มแต่งขุนเขาให้พราวตาด้วยสีชมพูหวานละมุนจนอยากหยุดเวลาแห่งความสุขไว้ตราบนานเท่านาน


สายธาราที่หล่อเลี้ยงผู้คนบนขุนเขา.

นอกจากธรรมชาติและสวนเกษตรแล้วยังมีสถานที่สำคัญอีกหลายแห่งที่น่าไปเยี่ยมเยือน เช่น พระธาตุศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ที่สร้างขึ้นตามแบบสถาปัตยกรรมล้านนาประยุกต์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า ซึ่งชาวไทยบนพื้นที่สูงทุกชนเผ่ารักและบูชาท่านสุดหัวใจ สถานที่แห่งนี้เป็นจุดสูงสุดของดอยแม่สลอง เหมาะที่จะมาชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก เห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกลสุดสายตา ถ้าภูมิอากาศเป็นใจทะเลหมอกขาวจะห่มกอดทิวเขาดุจภาพฝัน จุดชมวิวอีกแห่งที่งามไม่แพ้กันคือบริเวณสุสานนายพลต้วนซีเหวิน ที่มองลงมาจะเห็นทัศนียภาพของหมู่บ้านสันติคีรีที่มีบ้านหลังเล็กหลังน้อยเรียงรายอยู่บนสันเขา ท่านที่สนใจประวัติศาสตร์ต้องไม่พลาดชมพิพิธภัณฑ์วีรชนอดีตทหารจีนคณะชาติ ซึ่งออกแบบตามศิลปะจีน เพื่อใช้เก็บข้อมูล ภาพถ่าย ความเป็นมา และวีรประวัติของทหารจีนคณะชาติเอาไว้

ชาวไทยเชื้อสายจีนบนดอยแม่สลองยังรักษาเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตนไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ภาษา อาหารการกิน ผู้ไปเยือนจึงเหมือนได้ไปยังต่างแดน โดยไม่ต้องปล่อยให้เงินตรารั่วไหลไปนอกประเทศ เพราะที่นี่ก็สวยประทับใจไม่น้อยหน้าชาติใดในโลก และยังได้เรียนรู้วิถีชีวิตของเพื่อนร่วมชาติผู้ผูกพันอยู่กับภูสูง หากท่านไปเดินเที่ยวตลาดสดยามเช้าก็จะได้พบกับพี่น้องอีกหลายชนเผ่าที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ทั้งชาวอาข่า, เมี่ยน (เย้า), ลาหู่, ลีซู, ไทใหญ่ และชาวลัวะ


การถนอมอาหารแบบดั้งเดิมยังมีให้เห็นที่นี่.

ความงามของดอยแม่สลองนั้นตราตรึงใจ จนผู้สร้างภาพยนตร์ไทยรักโรแมนติกเรื่อง “สี่เส้า” ตั้งใจใช้แม่สลองเป็นฉากหลักในการถ่ายทำ ทั้งยังสรรหามุมสวยแห่งใหม่ในแม่สลองที่หลายคนมองข้าม พยายามนำเสนอสิ่งที่มีอยู่ที่นั่นจริงๆ เพื่อถ่ายทอดความงดงามของดินแดนแห่งขุนเขาอันเหน็บหนาว รวมทั้งผู้คนและชุมชนซึ่งมีอัตลักษณ์โดดเด่นทางวัฒนธรรมไปสู่สายตาผู้ชมทั่วประเทศ ผ่านเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวสองคู่ ที่มี อาเว่ย, อาฉิง และเสี่ยวผิง ซึ่งกำเนิดและเติบโตเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยบนยอดดอยแม่สลอง


ชุมชนที่ยังรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้.

เมื่อทั้งหมดเติบโตขึ้น ความสัมพันธ์แบบเพื่อนของบางคนได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความรักแบบหนุ่มสาว อาเว่ยแอบรักอาฉิง ทั้งที่อาเว่ยมีเสี่ยวผิงเป็นคู่หมั้นหมายที่รักตนอยู่แล้ว บวกกับการก้าวเข้ามายืนในหัวใจอาฉิงของกมล หนุ่มกรุงเทพฯผู้มีวิถีแตกต่าง แต่มีความรักบริสุทธิ์เต็มหัวใจ ความรักความผูกพันต่อกันของหนุ่มสาวทั้งสี่กลายเป็นความสัมพันธ์อันซับซ้อน ความรักที่ “แม้ไม่ได้ครอบครอง ขอให้ได้มองตลอดไป” จะเป็นเช่นไร ความรักสี่เส้าท่ามกลางบรรยากาศแสนโรแมนติกบนยอดดอยจะสุขสมหรือทุกข์ตรมเพียงใด ต้องลองติดตามชมกันครับ


ไร่ชาเขียวขจีบนลาดเขา

เรื่อง-ภาพ - ไทยรัฐออนไลน์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.337 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 20 กุมภาพันธ์ 2567 03:13:05