[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
02 พฤษภาคม 2567 04:45:45 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จิตปฐมภูมิในพุทธศาสนา กับ สนามแห่งรูป  (อ่าน 2923 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5076


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 16 มกราคม 2554 10:07:06 »




จอร์จ วอล์ด นักชีววิทยารางวัลโนเบลจากฮาร์วาร์ด บอกว่า เขาคิดว่าจิตมาก่อนกระบวนการวิวัฒนาการของจักรวาล “มันอยู่ของมันมาตลอด” (ตั้งแต่ก่อนจะมีจักรวาลเสียอีก) องค์ดาไล ลามะ ที่ 14  ผู้นำสูงสุดของวัชรญาณพุทธศาสนาของทิเบตพลัดถิ่นที่ไปอยู่ที่ธรรมศาลาประเทศอินเดียก็บอกในทำนองนั้น และบี. อแลน วอลเลซ ได้กล่าวในหนังสือของเขาเช่นเดียวกันว่า ในพุทธศาสนาได้พูดว่า จิตปฐมภูมิ (ญาณ) - ซึ่งแยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ (ญาณะปราณ) - นั้นมันมีมาก่อนจักรวาลนี้เสียอีก บี. อแลน วอลเลซ นั้นเป็นพุทธและติดตามองค์ดาไล ลามะ มาตลอด เป็นนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงและจบปริญญาตรีทางฟิสิกส์ (B. Alan Wallace : Hidden Dimensions, 2007)

ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิดในปี พ.ศ.๒๕๓๙ ผู้เขียนได้รับเชิญให้ไปพูดที่วัดบวรนิเวศโดยพูดให้พระสงฆ์ที่ทำปริญญาโทในมหาวิทยาลัยมหามกุฏฟัง เรื่องอะไรที่เป็นรายละเอียดจำไม่ได้ จำได้ว่าเกี่ยวกับพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ และมีคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือสุชีโวภิกขุเมื่อยังบวชเป็นพระ - ผู้เชี่ยวชาญในพุทธศาสนาอย่างยิ่งคนหนึ่งในไม่กี่คน - นั่งฟังอยู่ด้วย ผู้เขียนได้พูดว่าวิทยาศาสตร์  (เฉยๆ) ที่เราใช้กันที่บ้านเรามานานนั้นแม้จะนานถึง 500 ปีเมื่อเริ่มต้น แต่ก็เกิดทีหลังศาสนาพุทธเรานานนักและประสบความสำเร็จมาก เพราะมันไม่มีนามหรือจิตที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่งกับมันเป็นความจริงตามที่ตาของมนุษย์เราทุกๆ คนเห็นและได้ประโยชน์จริงๆ อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์เรานับวันถึงได้เชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแม้แต่คนที่บวชพระและอยู่ในศาสนาเองบางทีก็เชื่อในวิทยาศาสตร์โดยแบ่งความจริงเป็นสองความจริง คือความจริงทางโลกกับความจริงทางธรรมหรือความจริงแท้ ทั้งๆ ที่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้เขียนได้พูดต่อไปว่าวิทยาศาสตร์ที่เราเรียนรู้และใช้กันที่เราคิดว่าเป็นความจริงนั้นก็เพราะว่ามันตรงกับที่ตาของเราเห็น หูเราได้ยิน แต่เราต้องระวังที่ต้องไม่เอาศาสนาไปเปรียบเทียบหรือทำให้ศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะพุทธศาสนา เพราะว่าธรรมะเป็นอะกาลิโก โอปานะยิโกความจริงหรือสัจธรรมไม่เคยเปลี่ยน แต่วิทยาศาสตร์มันอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ มีทฤษฎีใหม่มาแทนทฤษฎีเก่าอยู่เรื่อยๆ ต่อมาอีกนานหรือเมื่อหลายสิบปีมานี้ ในขณะที่ความรู้และวิชาการของมนุษย์ที่ได้ก้าวหน้ามาตลอดเวลา ค้นพบว่าความจริงที่ตาเราเห็น หูได้ยินที่ตั้งบนวัตถุเนื้อเยื่อซึ่งเราคิดว่ามันเป็นเช่นนั้นอย่างแท้จริงโดยไม่มีข้อสงสัย (หรือความจริงทางโลก) นั้น จริงแล้วมันแสนจะหยาบกร้านเมื่อวิทยาการลงไปมากขึ้นหรือละเอียดขึ้น เราจะพบว่าที่แท้แล้วสิ่งที่เห็นเป็นวัตถุเนื้อเยื่อนั้นเป็นเพราะว่ามันหยาบกร้านนั่นเอง ถ้าหากเราลงไปละเอียดจริงๆ แล้วเราจะรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เราเห็น หูได้ยินและสิ่งที่เรารับรู้เมื่อเราลงไปที่ละเอียดกว่านั้นแล้วเป็นสิ่งเดียวกัน เราเรียกความรู้ใหม่นี้ว่าควอนตัมเม็คคานิกส์หรือควอนตัมฟิสิกส์หรือฟิสิกส์ใหม่ ตอนนั้นอาจารย์สุชีพบอกว่าเรื่องที่หมอพูดน่าสนใจ เพราะว่ามีคนมากมายชอบพูดว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์

ตรงนี้และเดี๋ยวนี้ผู้เขียนขอพูดว่า จริงๆ แล้วควอนตัมฟิสิกส์จะพูดแต่สิ่งที่ละเอียดสุดละเอียดทางวิทยาศาสตร์ในระดับที่ต่ำมากๆ ระดับของอะตอมหรือต่ำกว่านั้น เช่น อนุภาคหรือคว้าก และจริงๆ แล้วอีกที ผู้เขียนคิดเอาเองว่าสิ่งที่เล็กละเอียดสุดละเอียดย่อมเหมือนกับสิ่งที่หยาบใหญ่ต่างๆ จนสุดที่จะหยาบใหญ่ถึงที่สุด คือดาวเคราะห์ที่ใหญ่เช่นโลกเรา ดวงอาทิตย์หรือดาว (ฤกษ์) กาแล็กซีจนถึงจักรวาลเองย่อมมีคุณสมบัติหรือหลักการคล้ายๆ กัน เพียงผิดกันที่ขนาด แรงต่างๆ และมวลสาร ซึ่งยิ่งมีขนาดใหญ่กว่าก็ยิ่งมีมากกว่า ฉันใดก็ฉันนั้น สิ่งที่เล็กละเอียดก็เป็นอย่างนั้น อะตอมมีลักษณะสมบัติเป็นอย่างไร อนุภาคหรือคว้ากก็เป็นอย่างนั้นได้โดยหลักการ อะตอมมีสนามพลังงานได้หรือมีสนามควอนตัมได้  อนุภาคหรือคว้ากก็มีสนามพลังงานหรือควอนตัมฟีลด์ได้เช่นกัน ฉะนั้นจิตที่เล็กละเอียดสุดๆๆๆ ละเอียดยิ่งกว่าอนุภาคหรือคว้ากไม่รู้ว่ากี่เท่าก็มีสนามพลังงานหรือควอนตัมฟีลด์ตลอดจนซูเปอร์...ซูเปอร์ ฯลฯ  ควอนตัมฟีลด์จนไม่รู้ว่ากี่ซูเปอร์กี่ซูเปอร์ได้เหมือนกัน

รูเปิร์ต เชลเดรก นักชีววิทยาและนักวิจัยเขียนหนังสือที่เป็นผลงานวิจัย และเขาได้สร้างทฤษฎีที่ก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายในวงการว่าด้วยวิทยาศาสตร์แห่งชีวิตมากหลายเมื่อราวๆ 30 ปีมาแล้ว จนบรรณาธิการวารสารวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษและในยุโรป - ที่เป็นอาจารย์ใหญ่ทางชีววิทยา - ถึงกับด่าว่าว่า “เป็นหนังสือที่ควรเผาทิ้งทำลายมากที่สุด” แต่ต่อมาหนังสือและผลงานวิจัยกับทฤษฎีของเขาได้รับการอ้างอิงในทางบวกมากที่สุดคนหนึ่ง และผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่านบางคนคงเคยได้ยินชื่อของรูเปิร์ต เชลเดรก บ้างไม่มากก็น้อย (Rupert Sheldrake : New Science of Life, 1981)

ว่ากันตามจริงทฤษฎีของรูเปิร์ต เชลเดรก ก็คล้ายคลึงกับความคิดของเดวิด โบห์ม นักควอนตัมฟิสิกส์ผู้มีฉายานามว่า “ตัวแทนของไอน์สไตน์” (prot?g?) ที่คิดว่าโบห์มได้พิสูจน์สัจธรรมความจริงแท้ของพระพุทธองค์ดังที่ปรากฏในพระสูตรของมหายานพุทธศาสนา (อวตามังสกสูตร) ที่กล่าวว่าในจักรวาลนี้ทุกๆ สิ่งและทุกๆ ปรากฏการณ์ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงต่อเนื่องซึ่งกันและกันเป็นทั้งหมดหนึ่งเดียว (All is  One and One is All) จริงๆ แล้วผู้เขียนคิดว่าความจริงทุกข้อทางควอนตัม (quantum reality) ทั้งแปดข้อนั้นล้วนแล้วแต่ตรงกับสัจธรรมความจริงของพุทธศาสนาทั้งนั้น นั่นคือวิทยาศาสตร์โดยฟิสิกส์ใหม่หรือควอนตัมเม็คคานิกส์ ซึ่งถูกต้องกว่าคลาสสิคัลฟิสิกส์ของนิวตันไม่รู้ว่ากี่เท่าต่อกี่เท่านั้น ได้พิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกจนหมดข้อสงสัยว่าสัจธรรมความจริงของพุทธศาสนาเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่หรือควอนตัมฟิสิกส์อย่างไร? จึงไม่ควรที่ใครๆ จะเปรียบเทียบพุทธศาสนาว่าเป็นวิทยาศาสตร์เฉยๆ อย่างที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างบนนั้น


ทฤษฎีของรูเปิร์ต เชลเดรก ซึ่งสร้างความโกลาหลให้กับวงการชีววิทยาตามที่เล่ามานั้นเป็นทฤษฎีที่มีใจความว่าสิ่งต่างๆ และปรากฏการณ์ทั้งหลายแหล่ในโลกหรือจักรวาลแห่งนี้ทั้งหมดมีการกระทำที่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัวที่ทำให้มันทั้งหลายมีรูปแบบหรือรูปร่างที่ ต้องตายตัวเป็นเช่นนั้นโดยไม่มีทางเป็นอย่างอื่น คือพูดง่ายๆ มีรูปแบบหรือสนาม - เหมือนแท่งแม่เหล็กที่ไม่ว่าเราจะหักมันออกเป็นกี่แท่ง  แต่แต่ละแท่งจะยังคงลักษณะของแม่เหล็ก คือจะมีขั้วเหนือขั้วใต้อยู่อย่างนั้นเสมอไป - ที่จะต้องจัดการ  (organize) ขยายข้ามมิติของเวลา-สถานที่ให้มันเป็นเช่นนั้นอยู่วันยังค่ำ ลูกมะม่วงโดยธรรมชาติจะต้องมีรูปร่าง กลิ่นและขนาดของลูกมะม่วง ลูกจระเข้โดยธรรมชาติจะต้องเหมือนพ่อเหมือนแม่ของมันวันยังค่ำ  รูเปิร์ต เชลเดรก เรียกสนามที่ก๊อบปี้รูปแบบนี้ว่าสนามรูปแบบของสรรพสิ่งทั้งหมด - รวมทั้งผลึกที่ไม่มีชีวิตด้วย - (morphic field) ซึ่งถ้าหากเป็นสิ่งที่มีชีวิต รูเปิร์ต เชลเดรก จะเรียกว่าสนามรูปแบบของชีวิต  (morphogenetic field) ส่วนการสะท้อนรูปแบบซึ่งทำให้ภาพของรูปแบบ (morphic resonance) ผ่านกาลเวลาเป็นล้านๆ ปี มีคนไปสัมภาษณ์เดวิด โบห์ม ถึงในเรื่องนี้ในปี 1984 ว่าจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อมโยงต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียวกันหรือความเป็นทั้งหมด (all or wholeness) ของเขาหรือไม่ ซึ่งโบห์มตอบว่าในทางควอนตัมฟิสิกส์ที่เขาเสนอนั้นเป็นเรื่องใหญ่และทั่วไปและเกี่ยวกับจักรวาลทั้งหมด แต่หากเป็นเรื่องความคิดเห็นของรูเปิร์ต เชลเดรก ในกรณีนี้แล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ที่นักชีววิทยาทั้งใหญ่ทั้งเล็กตำหนิรูเปิร์ต เชลเดรก เพราะว่าเขาไปรื้อฟื้นความคิดของลามารคที่นักชีววิทยาทั้งหมดเลยไม่เชื่อ  (แต่ตอนนี้ลามารคกลับมาแรงในวงการวิทยาศาสตร์) อันนี้ผู้เขียนคิดเอาเองว่าที่นักชีววิทยาไม่ด่าเดวิด โบห์ม ก็เพราะเดวิด โบห์ม นั้นใหญ่เกินไปประการหนึ่ง และเพราะว่าเป็นเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์ที่นักชีววิทยาส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นมักไม่ค่อยรู้อย่างลึกซึ้งเท่าใดนักอีกประการหนึ่ง จริงๆ แล้วนักฟิสิกส์จำนวนมาก รวมทั้งจอห์น เบลล์ นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล (Bells’ theorem) เชื่อว่าการสร้างก๊อบปี้รูปแบบคือสนามควอนตัม (quantum field) รูปแบบหนึ่ง

บทความบทนี้มีเป้าหมายที่จะบอกท่านผู้อ่านว่าความรู้ทั้งหมด - เช่นเดียวกับสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงในโลกในจักรวาล - ล้วนเชื่อมโยงต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกกันระหว่างกัน ระหว่างอะไรต่อมิอะไร ในที่นี้คือศาสนากับศาสนา เพราะว่าศาสนาทุกศาสนาเป็นเรื่องและสอนธรรมะหรือธรรมชาติ แต่คนเราทั่วไปมักจะคิดว่าธรรมชาติคือสิ่งแวดล้อมที่มองเห็น (หรือใช้อุปกรณ์เช่นกล้องจุลทรรศน์ช่วยขยาย) แต่ธรรมะนั้นรวมถึงทั้งธรรมชาติที่มองไม่เห็นและไม่มีทางมองเห็นด้วย ซึ่งก็คือความจริงที่แท้จริง (Absolute Mind หรือปรมัต) หรือพระเจ้าที่อยู่สูงกว่าพระเจ้า หรือพระเจ้าที่เป็นส่วนตัว (personal God หรือผู้สร้าง ผู้ควบคุมและผู้ให้รางวัลกับลงโทษมนุษย์) หรือว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ขอให้เป็นศาสนาหรือเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ ผู้เขียนเชื่อว่าฟิสิกส์ใหม่มีสองทฤษฎี คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ กับทฤษฎีควอนตัม คือความจริงที่แท้จริง ไม่เหมือนความจริงทางโลกที่อวัยวะประสาทสัมผัสของสัตว์โลกบอกกับสัตว์โลก (ที่รวมทั้งมนุษย์ด้วย) หรือคลาสสิคัลฟิสิกส์ของไอแซค นิวตัน และชีววิทยาดาร์วินิซึ่มของชาร์ลส์ ดาร์วิน แม้ว่าคลาสสิคัลฟิสิกส์และชีววิทยาดาร์วินิซึ่มจะใช้ได้ และผลิตเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่สนองกิเลสตัณหาให้กับมนุษย์ได้ และทำให้คุณภาพของชีวิตมนุษย์ดีขึ้น ซึ่งมันก็แค่ความจริงทางโลก แต่มันก็ไม่ใช่ความจริงแท้ของจักรวาล ซึ่งไม่อาจจะอธิบายการพองตัว (inflation) ของจักรวาลอย่างทันทีทันใดได้ ซึ่งไม่อาจจะอธิบายมวลสารและพลังงานมืด (dark energy) ได้ ซึ่งไม่อาจจะอธิบายอัตราเร่ง (speed) ของกาแล็กซีที่นับวันวินาทีก็จะเร็วขึ้นๆ เรื่อยๆ ได้ หรือแม้ไม่อาจจะอธิบายการมีจักรวาลที่มีจำนวนไม่สิ้นสุดตามที่พุทธศาสนาบอกได้ ไม่อาจจะอธิบายความว่างเปล่าหรือสุญตาตามที่พุทธศาสนาบอกได้ ไม่อาจจะบอกการกำเนิดที่ไม่มีการกำเนิดของจิตและพลังงานปฐมภูมิ (primordial consciousness/primordial energy) ตามที่พุทธศาสนาบอกได้ ไม่อาจจะบอกการกำเนิดของสนามแห่งรูปหรือรูปแบบได้ ฯลฯ นอกจากการอธิบายด้วยควอนตัมเม็คคานิกส์ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และซูเปอร์สตริงธีออรี่ นั่นคือจักรวาลวิทยาใหม่ที่มีอายุไม่ถึงสิบปี นั่นคือความจริงที่แท้จริงของจักรวาลหรือปรมัต.


http://www.thaipost.net/sunday/160111/32905

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2469 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2748 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2057 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2001 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2054 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.365 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 29 เมษายน 2567 15:22:50