[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
01 พฤษภาคม 2567 06:05:12 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ในอ้อมโอบหิมาลัย อุ่นไอธรรม : เทพนิยายแห่งอิสรภาพ  (อ่าน 1825 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 มกราคม 2554 10:05:57 »




เทพนิยายแห่งอิสรภาพ




คงไม่มีใครปฏิเสธว่าในช่วงชีวิตของเรา เราต่างต้องผ่านช่วงของชีวิต ทั้งที่เป็นช่วงที่เรียกว่า ช่วงอันปกติธรรมดา และช่วงอันไม่ปกติธรรมดา เราต่างเคยผ่านความรู้สึกขมขื่น เคร่งเครียด เศร้าหมอง หดหู่ในบาง เวลา ขณะเดียวกันบางช่วงเวลาเราก็พานพบกับความสุข ความสมหวัง ความอิ่มเอิบใจ ความเริงร่าในจิตวิญญาณของตน บ่อยครั้งที่เราต่างได้ หัวเราะและร้องไห้ จะดูเหมือนว่า เราควรพยายามทำความเข้าใจกับ ความผันแปรอันหลากหลายเหล่านี้ เพื่อทำให้เราสามารถก้าวเดินต่อไป ได้ในชีวิตประจำวันของเรา


ขณะที่เรากำลังพยายามทำความเข้าใจปรากกการณ์เหล่านี้ บ่อยครั้งที่ จะมีสัญญาณเตือนใจผุดขึ้นมาให้เราได้เรียนรู้ว่า ขณะนี้เรากำลังก้าวเร็ว เกินไป ช้าเกินไป กำลังหลงวนเวียนอยู่ปลายสุดขอบด้านใดด้านหนึ่ง อยู่หรือไม่ สำหรับสัญญาณเตือนที่ว่านี้ คงไม่ได้หมายถึงพลังอำนาจ ศักดิ์สิทธิ์ หรือปรากฏการณ์พิสดารเร้นลับ อย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ หรือกำลังรอคอยให้เกิด แต่เครื่องเตือนใจที่ว่านี้ความจริงแล้วมีอยู่ใน ทุก ๆ ที่ตั้งแต่อ่างล้างจานในครัวไปจนถึงห้องนอนของเรา เพราะใน ท่ามกลางความสับสนที่เกิดขึ้นในใจ ตั้งแต่ความสับสนในขณะล้างจาน จนถึงครุ่นคิดอยู่บนเตียงนอน สัญญาณเตือนใจเหล่านี้มักจะผุดขึ้นมา ได้เสมอ


แต่ขณะเดียวกันเราต้องไม่ลืมว่าแท้ที่จริงแล้วเราทุกคนต่างถูกทิ้งให้อยู่ เดียวดายเพราะท้ายที่สุดไม่มีใครหรือสิ่งใดที่จะช้วยเหลือเรา หรือเห็น ใจเรานอกจากตัวของเราเอง ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ที่เราควร ตระหนักให้ได้ว่า แท้ที่จริงแล้วเส้นทางของการเดินทางทางจิตวิญญาณ นั้น เป็นการเดินทางโดยลำพัง เราต่างต้องเดินทางโดยลำพังอย่างแท้ จริง เพราะไม่มีใครเลยที่จะช่วยเหลือให้เราเดินทางต่อไปได้ หากเรา ไม่ก้าวเดิน นั่นคือแท้จริงแล้วไม่มีใครเลือกเส้นทางให้เาเดินได้ หาก เราไม่เลือกด้วยตัวเอง


แม้แต่ในธิเบตเองที่มีการกล่าวขานกันอย่างมากมายถึงความเร้นลับของ การส่งมอบต่อความรู้ ไปสู่การตรัสรู้โดยฉับพลันระหว่างครูกับศิษย์ แต่ต้องไม่ลืมว่าเส้นทางนี้ไม่ได้อยู่ในกำมือของครูฝ่ายเดียว แต่เป็นความ สัมพันธ์ที่ต้องเชื่อมต่ออย่างลึกซึ้งระหว่างจิตสองดวงของทั้งครูและศิษย์ ครูและศิษย์ต่างมีความสำคัญและพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่มีครูผู้ใดสามารถ ทำให้ศิษย์สำเร็จบรรลุได้ หากศิษย์ไม่เป็นผู้ลงมือกระทำด้วยตนเอง ไม่มี ความสำเร็จใดได้มาด้วยการอ้อนวอนทั้งครูและศิษย์ต่างต้องออกเดินทาง คนละครึ่งทาง ไม่มีสิ่งใดจะให้หรือถ่ายทอดจากฝ่ายเดียวได้ร้อยเปอร์เซนต์ โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องทำอะไรเลย


และนั่นคือเหตุผลที่ว่าขณะที่เราโดดเดี่ยว เราก็สัมพันธ์กับสรรพสิ่งอื่น และขณะที่สัมพันธ์กับสรรพสิ่งอื่นคำถามเชิงสัมพันธภาพมักจะเกิดขึ้น เช่น เราจะสัมพันธ์กันอย่างไรดี เราควรจะเปิดตนเองมากน้อยแค่ใหน เราควรปล่อยให้ความสัมพันธ์เจริญไปในทิศทางใด และเมื่อเราสัมพันธ์ กับสิ่งใด ๆ มากขึ้น ปรากฏการณ์ภายนอกก็จะเริ่มเคลื่อนเข้าหาภายใน ตัวตนของเรา ให้เราได้เริ่มที่จะเรียนรู้ เริ่มที่จะเกิดความประทับใจ ไม่ ประทับใจ เป็นสุขหรือทุกข์กับมัน แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เราจะสามารถ ย้อนเวลาไปปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ที่เคลื่อนเข้าหาเราให้มันเป็นไปดังที่ใจ ของเราปรารถนา สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเข้ามาและดำเนินไปตามทิศทาง ของมันเองและเราทำได้แต่เพียงแค่มีชีวิตอยู่กับมันตามความเป็นจริง โดยไม่ต้องไปยึดติดไปยึดถือ ไปฟูมฟายกับมันมากมายจนเกินเหตุ แต่ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าให้เราเย็นชา แข็งกระด้าง เพราะนั่นก็จะเป็น สุดโต่งอีกข้อที่ทำให้เราพลาดที่จะสื่อสารสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ รอบตัว


ดูเหมือนว่าทุกสรรพสิ่งนั้นช่างง่ายดายจริง ๆ ดังนั้มันจึงเป็นเรื่อง ยุ่งยากจนเกินไปที่ตัวเราเองมักจะหลงวนตัวเองอยู่กับการใช้ภาษา ที่ยุ่งยาก ที่จะพยายามอธิบายความซับซ้อนของจิตให้เป็นตรรกะ เช่นนั้น ตรรกกะเช่นนี้ ขบคิดเคี้ยวเล่นกับความคิดของตัวเราเอง และพยายามอธิบายด้วยคำพูดอย่าง " ในทางตรงกันข้าม ยังมี " หรือ " ลองอธิบายเช่นนี้ดู " ซึ่งล้วนแต่เป็นวังวนให้เราขบคิดแต่ไม่ เคยพบทางออก เหตุผลสำคัญที่ยังคงทำให้เราต้องวนเวียนจ่อมจม อยู่ใน ความทุกข์ ความเจ็บปวดก็คือ เรามักจะเอาตัวเราเองเข้าไป พัวพันกับการวางแผนและการสร้างยุทธวิธีที่ซับซ้อนจนเกินไป จนหลงลืมที่จะนำชีวิตไปสู่การปฏิบัติอย่างที่มันควรจะเป็น


ตัวอย่างของความยุ่งยากประการหนึ่งที่เราพอจะมองเห็นก็คือดังเช่น คำสอนในเรื่องภพทั้งหกของพระพุทธศาสนา ในภพภูมิของเปรต ก็มีปัญหาในเรื่องของความสะดวกสบาย ความหิว ความกระหาย ในภพภูมิของอสูร ก็มีปัญหาเรื่องการแก่งแย่งแข่งขัน ความอิจฉา ริษยาซึ่งกันและกัน ในภพภูมิของเทพ ก็ยังมีปัญหาเรื่องจิตวิญาญาณ ที่หลงติดกับความสุขสบายอันไม่จีรัง ในภพภูมินรก ก็ยิ่งต้องททุกข์ ทรมาณในความรุนแรง และไม่สามารถติดต่อหรือเชื่อมโยงกับสิ่งใด ๆ ได้ ในภพภูมิของสัตว์ก็มีปัญหาในการเรียนรู้ การลังเลของการรับรู้ ใน ภพภูมิของมนุษย์ก็มีปัญหาที่ติดอยู่กับความโลภ ความโกรธ ความหลง การยึดมั่นถือมั่นในกิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งภพภูมิที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ ไม่ได้หมายถึงภพภูมิที่มีอยู่ในดินแดนอื่น หรือในสถานการณ์อื่น แต่ แท้จริงแล้วภพภูมิเหล่านี้ล้วนอยู่ภายในตัวเรา ภายในจิตใจของมนุษย์ ทุกคนนี้เอง เราทุกคนต่างมีปัญหาของความหิว ความกระหาย ปัญหา ทางอารมณ์ ทางจิตวิญญาณ ทางความสัมพันธ์ ดังเช่นที่ ปรากฏใน ภพภูมิอื่น ๆ เพียงแต่ทุก ๆ ปัญหาต่างปรากฏอยู่ ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ภายใน จิตใจของเราทุกคนนี้เอง เพียงแต่แต่ละปัญหาที่เราต่างกำลังเผชิญ อยู่นั้นมักจะมีทางออก หรือจุดเด่นของมันนใแต่ละสถานการณ์ของ มันเอง ที่พอจะให้เราเห็นหนทางที่จะก้าวออกไปให้พ้นจากช่วงของ ความสับสนที่ร้อยรัดเราเอาไว้อยู่ เพียงแต่เมื่อเราต้องตกเข้าไปอยู่ใน สถาการณ์ใด ๆ ที่ลึกขึ้น และไกลขึ้น เรามักจะเกิดคำถามภายในใจว่า นี่เรากำลังก้าวเดินมาไกลเกินไป หรือว่าเรากำลังเดินไม่ได้ไกลพอกันแน่ เรากำลังย่างก้าวอย่างช้า ๆ จนเกินไป หรือแท้จริงแล้วเรากำลังก้าวเร็ว เกินไปต่างหาก แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราต้องตระหนัก ก็คือเราทุกคนต่างกำลังก้าวเดิน และอาจจะกำลังนั่งอยู่บนนพาหนะ แบบใดแบบหนึ่งซึ่งไม่มีวันถอยกลับ หรือไม่มีแม้แต่เกียร์ที่ต่ำลง เรา อาจเดินทางท่องไปด้วยความเร็วสูงสุด และซ้ำร้ายไม่เบรคเลยเสียด้วย ลองจินตนาการถึงภาพยนต์วิทยาศาสตร์ดูก็ได้ ที่เราต่างกำลังอยู่บน ยานอวกาศที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้าจกระทั่งเราถูกปล่อยสู่การเดิน ทางอันไม่มีที่สิ้นสุดในห้วงอวกาศ ที่มีเพียงแต่ลำพังตัวเราเท่านั้น ที่ต้องเคลื่อนผ่านไป และผ่านไป โดยไม่มีใครรรับประกันได้เลยว่า เราจะปลอดภัย หรือไม่มีวันที่ความตายจะมาเยือน นั่นแหละคือเส้น ทางการเดินทางชีวิตของมนุษย์เรา


ในทุกวันนี้ปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทุกคนในปะเทศกำลังเผชิญคือ ปัญหาเรื่องจิตวิญญาณที่ต่างคนต่างกำลังพยายามแก้ปัญหา อาจจะ เพื่อตัวเองหรือเพื่อสังคมก็ตาม จนกำลังจะกลายเป็นว่า ต่างกำลัง แข่งขันเกมอัตรายแก่กัน ดังเช่นที่ท่านชอกยัม ตรุงปะ กล่าวไว้ว่า " ก็เปรียบได้กับการที่มนุษย์เราต่างกำลังทำงานบนแบบแผนของกรรม และเราต่างไม่เพียงแต่กำลังพยายามที่จะต่อสู้ทางความคิดที่ต่างกัน แต่กลับพยายามที่จะแทรกซึมซึ่งกัและกันอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ อันตรายอย่างมาก อำนาจอันเร้นลับของฝ่ายหนึ่งที่เป็นวัตถุนิยม และ อีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นจิตวิญญาณกำลังก่อสงครามระหว่างกัน และที่เป็น เช่นนั้นเพราะมันได้ถูกกำหนดให้เป็นแบแผนเช่นนั้นไว้แล้วตั้งแต่ต้น มันถูกกำหนด ถูกครอบงำไว้แต่ต้เลยว่า จิตวิญญาณนั้นต้องต่อต้าน ทางโลกและเรื่องทางโลกต้องต่อต้านจิตวิญญาณ เราต่างถูกแบ่งแยก เป็น ๒ ฝั่งอย่างชัดเจน และต่างกำลังเผชิญกับอันตรายของการต่อต้าน ซึ่งกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ "


จากความขัดแย้ง ๒ ฝั่งระหว่างวัตถุนิยมและจิตวิญญาณ จึงมักนำไป สู่กิจกรรมที่ว่าหากใครก็ตามที่กำลังถือตนว่ากำลังทำงานในส่วนของ จิตวิญญาณอยู่ก็มักถูกคาดหมายเลยว่าต้องเป็นเป้าของการโจมตีจาก ฝ่ายวัตถุนิยม เพราะว่าในขณะเดียวกัน ผู้ที่กำลังทำงานด้านจิตวิญญาณ ก็กำลังแทรกซึมสู่โลกวัตถุนิยมเช่นเดียวกัน ในห้วงเวลที่ผ่านมาผู้คน มากมายที่พยายามจะเป็นครูทางจิตวิญาญาณหรือเป็นผู้ฝึกฝนบนเส้นทาง ทางจิตวิญญาณ ก็ยังคงเผชิญกับอำนาจของวัตถุนิยมอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็น ทางกาย หรือทางจิตใจก็ตาม จะดูเหมือนมันกลายเป็นเรื่องอันตราย เสียแล้วที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับมัน แต่ถ้าหากเราคิดว่าเรายังคงยืนยัน ที่จะเข้าไปเกี่ยงข้อง เข้าไปสัมพันธ์กับจิตวิญญาณในท่ามกลางของสภาวะ แห่งวัตถุนิยม เราคงต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างมากที่จะทำงานกับมัน ที่จะแทรกซึม ซึมซับ โดยไม่ให้เกิดอันตราย และสมาธิภาวนาก็ถือเป็น เทคนิคหนึ่งในการแทรกซึม ในการที่จะผันแปรพลังอำนาจลบให้กลาย เป็นพลังด้านบวก หรือแปรเปลี่ยนให้เป็นสภาวการณ์เชิงสร้างสรรค์ นั่นคือสิ่งที่เราควรจะเข้าไปเกี่ยข้องด้วยที่จะทำเพื่อสร้างสรรค์เชิงจิต- วิญญาณ


แต่การเกี่ยวข้องอย่างสมาธิภาวนาเช่นนี้ ฟัง ๆ ดูอาจจะเหมือนง่าย แต่บางครั้งก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่งในขณะเดียวกัน เพราะว่ามันเป็นการเดิน ทางโดยลำพัง และตลอดเส้นทางบางครั้งอาจมีบันไดช่วยให้เราปีน ป่าย แต่บางครั้งเราก็ต้องเผชิญกับชะง่อนผา กับสายน้ำอันเกรี้ยวกราด หรืออาจต้องกำลังเดินบนสะพานที่กำลังโยกคลอน หรืออาจกำลัง ต้องก้าวอย่างระมัดระวังบนทางที่ลื่นไถล หรือบางครั้งเราอาจต้อง เผชิญกับพายุกระหน่ำ กับสายฝน กับพายุหิมะ หรือแม้แต่สายลม อันกรรโชกแรง สรรพสิ่งที่เราต้องเผชิญและฝ่าฟันตลอดเส้นทางนั้น ล้วนต้องการความกล้าหาญ และอดทนอย่างมั่นคง เพราะเราก็เปรียบ ได้กับกำลังเดินทางข้ามผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ โดยไม่มีน้ำแม้แต่ หยดเดียว


สำหรับทางธิเบตแล้ว การเดินทางฝึกฝนปฏิบัติบเส้นทางสายนี้ไม่ใช่ เรื่องง่ายอย่างที่ใครบางคนคิด หรือเสแสร้งหลอกว่าตนเป็นผู้สำเร็จ อย่างบางคนเป็น เพราะการเสแสร้ง และหลอกตนเองนั้นเป็นเรื่องที่ อันตราย และไม่อาจโทษว่าเป็นความผิดพลาดของใครได้เลยนอกจาก ตนเอง เราไม่สามารถโทาใครได้แม้แต่ครูอาจารย์หากเราก้าวพลาด และไม่ควรโทษตนเองด้วยว่าไม่ควรเลือกมาเดินบนเส้นทางสายนี้ เพราะ การกล่าวโทษมันช่วยอะไรไม่ได้เลย สิ่งเดียวที่พอจะทำได้และควรทำ ก็คือการก้าวไปบนหนทางที่เลือกเดินเพราะบนเส้นทางสายนี้ ไม่ได้มี แต่อันตรายหรือความยากลำบากเพียงอย่างเดียว แต่บนเส้นทางของ จิตวิญญาณนี้ยังมีแรงบันดาลใจ มีพลังที่คอยหหนุนเนื่องเราอยู่สม่ำเสมอ ขอเพียงแต่ให้เรารู้จักเลือกแรงบันดาลใจที่จะออกเดินก้าวแรก และเริ่ม บนเส้นทางสายนี้หรือรู้จักเลือกที่จะสื่อสาร เชื่อมต่อกับพลังที่คอยหนุน เนื่องอยู่ข้างหลัง ซึ่งไม่ใช่พลังอำนาจของครูที่เป็นปัจเจกบุคคลเพราะ ที่สุดแล้วครูเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับเราแต่พลังที่อยู่เบื้องหลัง ที่พูดถึงอยู่นี้ คือพลังที่สืบต่อเนื่องกันมามากกว่า ๒ , ๕oo ปี จากคุรุ ที่สืบทอดต่อกันมา เป็นพลังของแรงบันดาลใจ ของคำสอนที่ชี้ให้ เข้าถึงความจริง จนเป็นความพยายามอุตสาหะ พากเพียร เป็นพลังงาน เป็นอำนาจทางจิตวิญญาณ ที่จะสืบทอดต่อกันไปให้สรรพสัตว์ทั้งปวง ได้เข้าถีง และหลุดพ้นด้วยกัน


การสืบทอดเช่นนี้สำคัญมากในการถ่ายทอดทางจิตวิญญาณของธิเบต และไม่มีใครเลยในสายของการถ่ายทอด ที่จะสนใจหรือสืบทอดเฉพาะ พลัง แต่เป็นการสืบทอดแรงบันดาลใจที่จะทำงาน ที่จะฝึกฝนปฏิบัติ เพื่อสรรรพสัตว์ การสืบทอดเช่นนี้ในธิเบต ได้ส่งต่อกันมารุ่นแล้วรุ่น เล่า เปรียบได้กับทองคำเนื้อดี ที่แม้จะต้องผ่านความร้อนจนหลอม ละลาย ถูกทุบ ถูกตี ถูกตัด และจนได้ทองคำอันบริสุทธิ์มีชีวิตชีวา หรือเหมือนการทำขนมปังสด ที่ความรู้การทำขมปังได้ถูกถ่ายทอดมา รุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่ขนมปังที่ได้ก็ยังสดร้อน และรสดีให้ผู้คนในปัจจุบัน ได้ลิ้มรสเช่นเดิม คุณค่าของแรงบันดาลใจเช่นนี้คงสืบต่อกันมาอย่างมี ชีวิตชีวา และช่วยหนุนเนื่องให้เรายังคงก้าวเดินบนเส้นทางของจิต วิญญาณ แม้ว่าจะต้องเป็นการเดินทางที่ฝ่าฟันผ่านผืนทะเลทราย ผ่าน พายุ ข้ามสะพาน หรือต้องปีนป่ายหินผาเพียงใดก็ตาม


อย่างไรก็ตามจากการสืบทอดสายสัมพันธ์ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการ ตระหนักรู้ในตัวของเราเอง เพราะการสืบทอดสายสัมพันธ์ ไม่ได้ หมายถึงการที่เราตกเป็นสมบัติของสายปฏิบัติหรือสายสัมพันธ์ใด สายใดสายหนึ่ง แต่มันควรเป็นสายสัมพันธ์ที่ช่วยให้เราได้ตระหนัก ถึงตัวของเราเองที่จะทำงานกับตัวเองและที่จะเป็นมิตรกับตัวเอง เพราะการที่จะเป็นมิตรกับตัวเองนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เราคิด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เราสามารถที่จะเป็นมิตรกับตัวเราเองได้ เพียงแค่พื้นฐานของการที่จะเป็นมิตรกับตัวเราเองให้ได้นั้น สิ่งสำคัญ ที่สุดคือความซื่อตรง เป็นความซื่อตรงต่อตนเอง ที่จะมองให้เห็น ตัวตนแท้ของเราว่าเป็นอย่างไร และอีกประการหนึ่งก็คือ การได้ ตระหนักว่า ท้ายที่สุดความสัมพันธ์และเอื้ออาศัยต่อสิ่งภายนอกหรือ บุคคลภายนอกนั้นก็ไม่ยั่งยืน เพราะแม้แต่ผู้เป็นครูหรือคุรุที่คอยช่วย เหลือหือโอบอุ้มเรา ก็ไม่อาจที่จะอยู่กับเราได้ตลอดเวลา ถึงที่สุด ก็มีแต่ตัวเราคนเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ ที่เราจะต้องขวนขวายทำงานและฝึกฝนปฏิบัติต่อไป


เหล่านี้คือความจริงในแง่สายสัมพันธ์ที่ต้องเกิดขึ้น เพราะแม้แต่อาจารย์ อย่าง ชอกยัม ตรุงปะ ก็ยังเคยเล่าไว้ว่า ตอนที่ท่านสถาปนาความสัมพันธ์ กับคุรุของท่าน ในช่วงแรกที่ท่านมีเวลามากมายที่อยู่กับคุรุ ที่จะเรียนรู้คำ สอนมากมาย แต่ตลอดเวลาท่านไม่เคยรู้ตัวเลยจริง ๆ แล้วท่านสามารถ สืบสานสายสัมพันธ์กับคุรุได้ลึกซึ้งเพียงใด จนกระทั่งมีช่วงเวลาที่จะต้อง จากกัน ที่ท่านไม่อาจพบครูและพูดคุยกับครู จนเริ่มเรียนรู้ที่จะกลับมา ทบทวนและตระหนักถึงตนเอง จากนั้นท่านกลับพบว่าท่านเพิ่งเริ่มสาน สัมพันธ์กับครูจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พบกัน และเมื่อท่านได้พบกับครูของ ท่านอีกครั้ง ตอนนี้เองที่ท่านเพิ่งรู้สึกว่าในที่สุด ท่านได้เข้าถึงความหมาย ของการสืบทอดสายสัมพันธ์ และการเข้าใจคำสั่งสอนที่ผ่านมาอย่างแท้ จริง ท่านถือว่านี่เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่แท้จริง แต่แล้วท่านต้อง จากครูอีกครั้ง และค่อย ๆ เริ่มตระหนักลึกถึงภายในของตน แนบแน่น กับคำสอนที่ครูได้ถ่ายทอดมา จนท่านปรารถนาอยากพบครูอีกครั้ง เพื่อ จะบอกกับครูว่าในที่สุดท่านก็ได้ยินครูจริง ๆ ได้เข้าใจในสิ่งที่ครูถ่ายทอด จริง ๆ แต่ท่านไม่เคยมีโอกาสที่จะพบครูอีกเลย เพราะในที่สุดครูของ ท่านได้ถูกจีนจับตัวไป และถูกทรมาณจนตายในคุก


เหตุการณ์เช่นนี้ล้วนเกิดขึ้นกับใครก็ได้ หรือแม้แต่กับครูกับศิษย์อย่าง คุรุมิลาเรปะ และกัมโปปะ ครั้งหนึ่ง คุรุมิลาเรปะได้ถ่ายทอดคำสอนและ ประสบการณ์เร้นลับ แด่กัมโปปะ ให้ฝึกฝน จนกระทั่ง กัมโปปะ ฝึก สำเร็จ และระหว่างที่ กัมโปปะ กำลังเดินทางกลับไปหา คุรุมิลาเรปะ เพื่อบอกถึงความสำเร็จของตนนั้น ท่านก็ได้พบผู้ส่งสาสน์แจ้งให้ท่าน ทราบว่า คุรุมิลาเรปะ ได้เสียชีวิตแล้วเหลือเพียงชายจีวรของคุรุเก็บไว้ ให้ท่านเท่านั้น


นั่นคือนัยที่กำลังจะบอกกับเราว่า บนเส้นทางของการฝึกฝนของการ ถ่ายทอดสายสัมพันธ์ เราสามารถฝึกฝนตระหนักรู้ในตนเองจนสำเร็จ แต่จงอย่าคาดหมายว่าความสำเร็จนั้นจะต้องมีใครคนอื่นมายกย่อง ยินดีชื่นชมกับความสำเร็จของเราด้วย แม้แต่ครูของเราเอง เพราะใน ที่สุดแล้ว เราก็ยังต้องเดินทางโดยลำพังอยู่เช่นเคย เพียงแต่เป็นการเดิน ทางครั้งใหม่ที่แตกต่างจากครั้งเมื่อเริ่มเดิน เพราะการเดินทางในครั้งนี้ เราได้ผ่านการฝึกฝน การเรียนรู้การสานสัมพันธ์แล้ว เพื่อที่จะก้าวเดิน เพื่อสร้างสานสัมพันธ์ใหม่ต่อไป ที่สำคัญคือเมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะยัง ตระหนักถึงความสำคัญของการได้เข้าถึงตนเอง ตระหนักในตัวตน ที่แท้ของตนเองหรือไม่ เพราะที่สุดแล้วไม่มีการเฉลิมฉลองใด ๆ จาก ใครแม้แต่การได้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีบัลลังก์ทองลาภยศสรรเสริญใด ที่จะมาประดับประดาอลังการ ไม่มีการตบแต่งเครื่องทองจากผู้เป็นครู เพื่อให้เราเป็นผู้ที่บรรลุแล้ว เพราะสิ่งนั้นมันก็ยังไม่พ้นจากมายา และ เป็นอันตรายอยู่ดี ขณะที่แท้จริงแล้ว ความสำคัญของช่วงเวลาแห่ง ความสำเร็จ ก็คือการได้ตระหนักถึงตนเองอย่างซื่อตรงและพร้อมที่จะ เดินทางโดยลำพังอีกครั้ง เพื่อช่วยให้คนอื่นได้ก้าวเดินเช่นเราเท่านั้น เองมิใช่หรือ



- จาก ในอ้อมโอบหิมาลัย อุ่นไอธรรม -

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
เจ้าทึ่ม
one for all, all for one
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 41


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 16 มกราคม 2554 09:25:28 »

 อายจัง
บันทึกการเข้า

น้อมคารวะบรรพบุรุษครูบาอาจารย์และทีมงาน
▄︻┻┳═一
SookJai.com
นักโพสท์ระดับ 9
****

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 795


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.6.13 Firefox 3.6.13


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 28 มกราคม 2554 00:19:29 »

สาธุ อนุโมทนาครับ
บันทึกการเข้า

คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.458 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 26 กุมภาพันธ์ 2567 06:16:37