หลวงปู่เงื่อม อังสุกาโร
พระเกจิชื่อดังแห่งเมืองตรัง"พระครูกมลวรการ" หรือ "หลวงปู่เงื่อม อังสุกาโร" อดีตเจ้าอาวาสวัดกมลศรี ต.กะลาเส อ.สิเกา จ.ตรัง
เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ หรือตรงกับวันที่ 8 พ.ค.2470 ที่บ้านเลขที่ 37 หมู่ที่ 2 บ้านคลองใส ต.เขาไม้แก้ว อ.สิเกา จ.ตรัง
ในช่วงวัยเยาว์หลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ลาออกออกมาช่วยทางครอบครัวทำสวนยางพาราและแต่งงานอยู่กินกับนางพร้อม แสงวิสุทธิ์ จนมีบุตรด้วยกัน 4 คน
กระทั่งเมื่อวันที่ 9 ก.ค.2500 ขณะที่อายุ 31 ปี ตัดสินใจอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดไม้ฝาด ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จ.ตรัง มีพระครูสุตกิจวิจารณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา อังสุกาโร
หลังอุปสมบท ท่านมุ่งมั่นในการศึกษาพระปริยัติธรรมและได้ส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีทั้งการสั่งสอนพระภิกษุ-สามเณร ให้ตั้งใจเรียนพระธรรมวินัยและอยู่ในสัมมาปฏิบัติตลอดมา อบรมสั่งสอนคุณภาพจริยธรรมให้กับนักเรียนและเยาวชน อบรมธรรมะและสั่งสอนศาสนพิธีให้กับพุทธศาสนิกชน ตลอดจนปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างของสมณเพศที่ดี ไม่บกพร่องและไม่มีมลทิน
พร้อมกันนี้ หลวงปู่เงื่อม ยังได้ก่อสร้างศาสนสถาน-อาคารต่างๆ ภายในวัดกมลศรี เช่น กุฏิ เป็นที่พักของพระภิกษุ-สามเณร สร้างศาลาการเปรียญ เพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม และศาสนกิจของพุทธศาสนิกชน รวมทั้งสร้างเมรุ ห้องน้ำ ห้องส้วม อาคารโรงครัว และศาลาที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ รวมทั้งการก่อสร้างเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ขณะเดียวกัน ท่านยังให้การสงเคราะห์ พระภิกษุ-สามเณร ให้ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ช่วยเหลือและอนุเคราะห์ชาวบ้านที่ยากไร้ สนับสนุนทุนการศึกษาให้กับนักเรียนโรงเรียนกมลศรี ทุกปี ปีละ 4,000-5,000 บาท และยังเป็นพระอุปถัมภ์นักเรียนกำพร้าบิดา-มารดา 2 คน คนละ 2,000 บาทต่อปี ที่โรงเรียน กมลศรี กับโรงเรียนบ้านพรุเตย
ลำดับสมณศักดิ์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2543 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามว่า พระครูกมลวรการ
ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ วันที่ 12 ตุลาคม 2523 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดกมลศรี จนมรณภาพ
หลวงปู่เงื่อม เป็นพระเถระที่มากด้วยเมตตา ชอบสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนทั่วไป รักความสะอาด ชอบความเป็นระเบียบ มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมสูง ขณะเดียวกัน ท่านยังเป็นผู้รู้จักเหตุผล รู้จักประมาณตน และมีหลักมนุษยสัมพันธ์ดี
นอกจากจะเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแล้ว ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่สร้างคุณูปการแก่ชุมชนสังคมและสร้างความเจริญให้กับวัดและชุมชนมากมาย ซึ่งท่านได้สร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานต่างๆ ภายในวัดมากมายจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ
ในช่วงบั้นปลายชีวิต ย่างเข้าสู่วัยชราสังขารร่วงโรยไปเป็นธรรมดา และในที่สุดก็ล้มป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับตับ ผู้ใกล้ชิดพาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลายแห่ง
กระทั่งอาการทรุดหนักลงจนยากแก่การเยียวยา ลูกหลานและบรรดาคณะศิษย์ได้พาท่านกลับวัดกมลศรี และท่านได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบในที่สุดเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2552 สิริอายุ 82 ปี พรรษา 51
แม้ว่าจะละสังขารลาโลกไปแล้วก็ตามแต่ คุณงามความดีที่ได้ประกอบศาสนกิจมาตลอดชีวิต จึงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้จดจำอย่างมิลืมเลือน
อริยโลกที่ 6